ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ความลับแห่งป่าทรีเซนต์
Chapter 6 ความลับแห่งป่าทรีเซนต์
หึๆๆ เป็นเจ้าชาย......เราเป็นเจ้าชาย ฮ่าๆๆๆ
ความคิดที่ริมฝีปากเผยอรอยยิ้มกริ่ม นัยน์ตาคู่เขียวมรกตพราวระริกวิบวับ แล้วภาพความสำราญต่างๆก็เริ่มทยอยตามมาเป็นฉากๆ
“เจ้าชายเพคะ.....เสวยนี่หน่อยสิเพคะ” เสียงออดอ้อนจากสาวงามร่างอรชรอ้อนแอ้นที่ห้อมล้อมนับสิบ มือบางหยิบผลองุ่นพวงโตจากขอบบ่อน้ำร้อน เพื่อป้อนเจ้าชายหนุ่มอย่างเย้ายวน
“งั่บ! อืม........อร่อย... เอามาอีกซิ”คำสั่งจากเจ้าชายละม้ายคล้ายนักเลงรูปหล่อ นัยน์ตาคู่เขียวมรกตที่เปี่ยมความสุขสำราญ กำลังทอดมองสาวงาม และเพชรนิลจินดาที่กองท่วมหัว
แน่ล่ะ มัน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนกับสาวสวยนับสิบข้างกาย ห้อมล้อมด้วยเงินทองนับล้าน....
หลุดจากความคิด น้ำลายที่เอ่ออยู่รอบปากก็กลับเข้าที่ได้ทันเวลา เสียงคิกคักจากลำคอก็ดูจะกลั้นเก็บไว้ไม่อยู่ สวรรค์ทรงโปรดขนาดนี้แล้ว มีหรือเขาจะไม่นั่งน้ำลายหก
เฮ้อ.......สบายทั้งชาติละงานนี้
เทรวิสทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่ม แผ่หลาเต็มเตียง หลับตาพริ้ม หยิบหมอนมาตบๆก่อนจะยกขาก่ายเต็มที่ แล้วต่อด้วยการนอนนับผลประโยชน์มหาศาลที่จะได้รับ....
อำนาจที่สั่งการได้เต็มที่ เงินทองที่ใช้จ่ายได้ไม่มีวันหมด เกียรติยศที่พรั่งพร้อม และสาวงามที่ตามมาจากการเป็นรัชทายาทองค์สำคัญแห่งเคดาส..........
สุดยอด!!!
“มันไม่โอเวอร์ไปซะหน่อยเร้อ.. เจ้าชายเทรวิส”เสียงจากจิตใต้สำนึกในโหมดหนุ่มน้อยลูกช่างมุงหลังคาแย้งขึ้นในใจ
“โอเวอร์ไป!”เสียงย้อนสูงสวนกลับ “แกหุบปากไปเลย เป็นแค่ลูกช่างมุงหลังต๊อกต๋อย อย่างบังอาจมาขัดขวางความคิดของเจ้าชาย”
“เจ้าชายโง่ๆ ล่ะสิไม่ว่า”เสียงด่าแบบไม่ไว้หน้าในโหมดนักเลง แล้วต่อด้วยคำปรามาสที่ทำเอาว่าที่รัชทายาทใจเสีย“อยากรู้จริง ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาว่าเป็นเจ้าชายกำมะลอ แล้วจะทำหน้ายังไง”
“หึ! ถูกจับรึ ไม่มีทาง”คำปฏิเสธเสียงแข็ง “ถ้าฉันถูกจับแกก็ถูกจับด้วยนั่นแหละ... ไอ้ลูกช่างมุงหลังคาซังกะบ๊วย”
“ก็เออสิวะ! เพราะฉะนั้นแกกลับมาเป็นเทรวิสนักเลงหัวไม้ ลูกช่างมุงหลังคาคนเดิมซะ” เสียงเกลี้ยกล่อมเชิงบังคับดังขึ้นซ้ำๆ
“ไม่”
“งั้นลองคิดผลเสียดู ”คำกล่าวทิ้งท้ายจากเสียงในจิตใต้สำนึก
ความคิดในหัวบัดนี้ตีกันยุ่งวุ่นวาย เสียงต่างๆกำลังดังระงมในสมอง มันปรากฏแง่ดีและแง่ร้ายขึ้นมาแข่งขันกัน
แล้วหัวสมองอันปราดเปรื่องก็เริ่มลองประมวลผลข้อมูลที่ได้รับ
สมการ(+) [(เทรวิส + ความหล่อ) บุญหล่นทับ] เงินทอง + สาวงาม + อำนาจ+เกียรติยศ +รัชทายาท = เจ้าชายมาดเท่ห์
สมการ(-) [(เทรวิส + ความหล่อ)ซวยแต่กำเนิด]ถังแตก +ขุนนางแก่+ต้องโทษ+ล่มจม + โดนประหาร = ตายอย่างเขียด
หักล้างสมการ......
คงเหลือ..........
เจ้าชายมาดเท่ห์ = ตายอย่างเขียด
มันคุ้มกันมั้ยวะ!!!
+++++++++++++++++++++
ชายป่าระแนวผาด้านหลังพระราชวังฟรอนติโซ่ ซึ่งเสมือนเป็นสถานที่ต้องห้ามในเขตพระราชวัง นับจากพระนางเรเชลาได้สถาปนาขึ้นเป็นราชินี ป่าทรีเซนต์แห่งนี้ก็ถูกปิดตายลง และกำเนิด เดดลี บลัดไม้พิษที่ปกป้องเส้นทางจากผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง
ต้นเดดลี บลัดในที่นี้ มีใบแหลมเรียวและลำต้นสีแดงสดราวกับเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้เจริญงอกงาม ซึ่งกำลังแผ่ขยายกิ่งก้านสาขาเลื้อยปกคลุมผืนดินทั่วบริเวณ หนามแหลมคมที่คอยปล่อยพิษร้ายต่อผู้ที่สัมผัส จะค่อยๆกระจายอย่างช้าๆไปตามกระแสเลือด หากไม่ได้รับการถอนพิษได้ทันท่วงที มันคือการจบชีวิตและการพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา
แต่บัดนี้กฎเหล็กได้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้แต่คำสั่งราชินีผู้สูงศักดิ์ค้ำฟ้า ยังเป็นเพียงลมปาก ไม้พิษร้ายเพียงพื้นดินเหล่านี้มีหรือจะขัดขวางเส้นทาง
ชายหนุ่มที่ผ่านฤดูหนาวมาราวๆสามสิบปีเศษ กำลังยืนหยัดอยู่บนเส้นทางสายต้องห้าม ชุดเกราะหนักเต็มยศของผู้หาญกล้าขับความน่าเกรงขามที่ปรากฏอยู่ในตัวตนให้ดูองอาจภาคภูมิ ใบหน้าที่ทอดมองหนทางอย่างแน่นิ่งนั้นสงบและเยือกเย็น แต่หารู้ไม่ว่าความเยือกเย็นนั้นเป็นสิ่งที่หน้าที่กำลังกลืนกินเขาเข้าสู่กรงเหล็ก....
‘จงเก็บอารมณ์ไว้ให้ลึกที่สุดของจิตใจ แล้วจงสวมเกราะไว้ด้วยคำว่าหน้าที่’คำเดียวที่สั่งสอนเขาให้เติบโต และเป็นคำเดียวที่เขาพึงระลึกเสมอ ประกายของความรู้สึกจึงฉาบอยู่บนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งบัดนี้กำลังฉายความแข็งกร้าว และความทระนงในตนออกมาประหนึ่งราชสีห์พลัดถิ่น
“ผงคืนสภาพ!”มือหนากร้านกำผงสีขาวละเอียดโปรยไปในอากาศส่งให้เกิดละอองฟุ้ง ก่อนจะลอยละล่องจับตามใบและลำต้น สายตาที่จับจ้องนั้นกำลังรอคอยเวลาที่ลำต้นสีแดงฉานจะหวนคืนสู่ต้นอ่อนสีเขียวที่ไร้พิษภัย
เวลากำลังย้อนกลับ ปัจจุบันกำลังหวนคืนสู่การเริ่มต้น วงจรอุบาทของวัชพืชไร้ค่า.........
เพียงพอแล้วสำหรับก้าวต่อไป รอยย่ำที่หนักหน่วงเหยียบลงสู่ต้นพืชอ่อนอย่างว่องไว สีเขียวที่ไร้พิษภัยในยามนี้มันจะผลิใบเติบโตจนเป็นสีแดงเลือดอันร้ายกาจในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ตลอดระยะทางที่ผ่านพ้นไป สายตาของเขานั้นจับจ้องไปรอบกาย พร้อมๆกับกำชับดาบเล่มใหญ่ข้างกายไว้ตลอดเวลา ความร้อนจากแสงแดดยามสายนั้น เป็นผลให้เหงื่อใสๆจับตัวเป็นหยดรินไหลบนใบหน้าและหนวดเคราเกรียนที่เริ่มขึ้นจากคางจนถึงส่วนแก้ม ผมสีน้ำตาลไหม้ที่ยาวระบ่านั้นก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่แพ้กัน
“ไอ้พวกต้นไม้นรก”คำแรกที่ก้าวสุดท้ายพ้นอาณาเขตของไม้พิษ พร้อมกับประกายเหยียดที่ฉายอยู่มุมปาก
และในขณะนั้นเอง เขาก็ได้มาถึงต้นแอชสูงใหญ่สองต้น มันสูงตระหง่านขึ้นเหนือยอดเฟิร์น และพันธุ์ไม้ใดๆ มอสที่เกาะอยู่เป็นหย่อมๆตามโขดหินนั้นผสมผสานกับดอกเห็ดสีสดที่ผุดขึ้นมาตามพื้นดิน เงาของไม้ใหญ่ที่ปกคลุมทำให้ภายใต้ความรกครึ้มนั้นดูมืดมัวคล้ายดั่งดวงอาทิตย์ได้ลับฟ้าลงแล้ว ประกอบกับเถาวัลย์ที่เลื้อยห้อยลงมาทั่วบริเวณเหมือนอสรพิษที่กำลังโรยตัวลงมาจากกิ่งไม้ และมันก็อาจแฝงตัวอยู่ในขณะนี้เช่นกัน
ทันทีที่ชายหนุ่มได้ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น ลมกรรโชกแรงก็พัดโถมกระหน่ำขึ้นมาในบัดดล ยอดไม้ใบไม้ไหวกระพือตามแรงลม เสียงจักจั่นที่ดังระงมเมื่อครู่เงียบลงสงัด เหลือไว้แต่เพียงเสียงหวีดหวิวของกิ่งไม้ที่เสียดสีกันดุจเสียงร่ำไห้และโหยหาแห่งป่าอาถรรพ์
กีซ....กีซ....กีซ....
ทันใดนั้นเองเสียงแหลมสูงกับดังกึกก้องทั่วป่าขานรับกันเป็นทอดๆ เสมือนการสนทนาด้วยภาษาอสุรกายร้าย ที่ปราดเปรื่องเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจความหมาย และมันกำลังเคลื่อนตัวตามแนวพุ่มไม้
ไล่ต้อนเหยื่อ !
ความคิดที่นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ลง กวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง แน่นอนว่ามันน่าจะมีมากกว่าหนึ่งตัว หากแต่บัดนี้สายตาของเขายังไม่สามารถเห็นร่างของมันได้ชัดเจนนัก เพียงแค่เงาที่วูบผ่านไปพริบตา ขนาดของมันก็น่าจะกินความยาวได้ราวๆสามเมตร...
มือหนาค่อยๆขยับปลดถุงหนังข้างเอว ก่อนจะหยิบจะงอยเล็บขนาดใหญ่อันคมกริบออกมาแล้วชูขึ้น
“ข้าเป็นนายเจ้า มัลติฟาร์! ข้าอยู่เหนือเจ้า!”เสียงคำราม ดังก้องไปทั่วป่า กลบเสียงสรรพสิ่งให้เงียบสงัด...
เงียบแม้กระทั้งลมที่โหมกระหน่ำ...
ทันใดนั้นเอง ร่างของสัตว์ร้าย ได้กระโจนออกจากความมืด มันส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่นขู่คำรามอย่างน่าสะพรึงกลัวพร้อมลมหายใจอันร้อนผ่าว เขี้ยวโค้งยาวอ้าออกสุดกราม ฟันซี่เล็กๆนับร้อยนั้นเรียงตัวอยู่ภายในปากสีแดงเลือด และเยิ้มไปด้วยเมือกสีเขียวๆ ลิ้นของมันยาวตวัดได้รอบตัว สีขาวที่ปลายลิ้นนั้นเป็นเหมือนเข็มนับพันเล่มที่คอยปล่อยพิษร้าย รวมทั้งเกล็ดแข็งๆของมันที่กางตั้งชันไล่ไปจรดหาง และมีแผ่นเกล็ดคมกริบดั่งใบมีดกวัดแกว่งกลางอากาศคอยสังหารเหยื่อด้วยวิธีทรมาน
ใบมีดที่ปลายหางสบัดฟั่บ เฉียดผ่านร่างเพียงครึ่งก้าว แต่การหลบหลีกนั่นก็ห่างจากต้นเดดลี บลัดที่กำลังชูหนามแหลมปล่อยพิษร้ายในระยะเผาขน หัวคิ้วหนาขมวดลงอย่างไม่สบอารมณ์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเริ่มกรุ่นด้วยความโมโห
“จงฟังคำสั่งข้า”เสียงคำรามที่ดังกว่าครั้งไหนๆ ได้สะท้อนซ้ำๆทั้งป่า ก่อนจะขว้างจะงอยเล็บในมือลงตรงหน้า
อสุรกายร้ายผงกหัวขึ้นลง และพ่นลมหายใจสาปสางออกมาจนเกิดเสียงฟืดฟาด ก่อนจะตวัดลิ้นสีแดงเลือดเข้าไปสัมผัสจะงอยเล็บของซากมัลติฟาร์ สหายแห่งเผ่าพันธุ์อสุรกาย มันกำลังพิสูจน์กลิ่นทดแทนดวงตาที่มันไม่เคยได้รับจากพระเจ้า
“ข้าเป็นนายเจ้า มัลติฟาร์ ข้าชนะเผ่าพันธุ์เจ้า”สิ้นเสียง เจ้าสัตว์ร้ายตรงหน้าก็ค่อยๆหุบแผงคอลง และลดเกล็ดที่ตั้งชัน ก่อนจะหมอบหัวลงกับพื้น
“เปิดทางให้ข้า มัลติฟาร์!”
มันขานรับคำสั่งด้วยเสียงแหลมสูง และส่งเสียงสัญญาณกับตัวอื่นๆ ก่อนจะหายเข้าไปในความรกครึ้มของป่า และกลืนเข้าไปในความเงียบสงัด
บัดนี้ป่าทรีเซนต์ไร้สำเนียงเสียงใดๆ ร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งจมสู่ความวิตกกังวล ที่กำลังกัดกร่อนเขาทีละน้อย มือที่เก็บจะงอยเล็บขึ้นมานั้นขยับแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ข้าเลือกทางผิดไปหรือเปล่า........ข้าเอาตำแหน่งองครักษ์มาแลกมันคุ้มกันมั้ย.........
คำถามที่ดังก้องอยู่ในใจยามนี้ แม้หนทางจะถูกเปิดให้โดยสัตว์ร้ายเหล่านี้แล้ว แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าสิ่งใดๆคือ การพบบุคคลที่เขาย้อนกลับไปคิดเสมอว่าหากไม่เคยพบคงจะดีกว่านี้
ใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอยบางๆดูเคร่งขรึมลงถนัด เขายกมือลูบเคราเกรียนๆอย่างใช้ความคิด นัยน์ตาคู่เข้มฉายรอยลังเลขึ้นมา ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วตัดสินใจยกฝ่ามือประทับลงกลางอากาศ พร้อมกับเปล่งวาจา
“ไร้ความสิ้นหวังมิใช่ที่หมาย หนทางสายอิสรภาพมิใช่เส้นทาง ประตูสู่แสงสว่างจงปิดมัน และรับฟังข้า ผู้ปรารถนาพันธนาการ”
สิ้นเสียง ปลายนิ้วมือที่สัมผัสอากาศ กลับปรากฏรากไม้สีเขียวยึกยือ เลื้อยสอดเสียดแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง จนเกิดเป็นกำแพงรากไม้น่าขนลุกที่ยังขยับยื่นรากอันหงิกงอไปมา พร้อมๆกับเสียงกระซิบกระซาบอันแสนเย็นยะเยือก ราวกับการเปิดฉากของโศกนาฏกรรม
“ไร้ อิสรภาพ สู่ พันธนาการ”
สิ้นคำสุดท้าย รากไม้ที่สอดเสียดกันค่อยๆปริแยกออก เสียงครวญคราง กรีดร้องดังระงมเซ็งแซ่ หากแต่เขาไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ทั้งยังก้าวผ่านเลยไป และเหยียบลงบนบันไดหินอันเย็นยะเยียบสู่ทางเข้าของห้องใต้ดิน
ตลอดเส้นทางที่วนดิ่งลงไปตามแนวกำแพงนั้น ค่อยๆแคบลงเรื่อยๆ แสงตะเกียงตามรายทางที่เพิ่งถูกจุดดูจะน้อยนิดและริบหรี่ลงทุกที บนเพดานอันครำคร่ากับปรากฏรอยสลักอักษรเวทย์โบราณเรืองแสงจางๆขึ้น เมื่อได้กระทบกับแสงสว่าง ความกดดันที่เกาะกุมหัวใจกำลังบีบคั้น ตลอดทุกๆขั้นที่ย่างก้าวลงไป
ไม่มีคุกที่ไหน อยู่แล้วรู้สึกดี
เส้นทางสิ้นสุดลงตรงหน้าประตูเหล็กขึ้นสนิม มันถูกล็อกด้วยแท่งเหล็กขนาดใหญ่ พร้อมโซ่ตรวนที่คล้องอีกชั้น หากแต่เขาไม่ต้องทำอะไรเพื่อจะเปิดมันด้วยซ้ำ.....
ปึก! แอ้ด..............
โซ่ที่คล้องนั้นกวัดแกว่งและถูกปล่อยลงกระทบกับพื้นศิลา เสียงเหล็กท่อนโตถูกยกขึ้น ก่อนจะค่อยๆแง้มสู่ภายในจนเกิดเสียดเอี๊ยดอ๊าดเสียดสีกับสนิมที่เกาะกิน มันเป็นเช่นนี้เสมอมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่!
ความมืดและแสงสว่างเพียงน้อยนิดนั้นปรากฏอยู่ภายในห้อง สภาพอากาศอันเย็นยะเยือก ส่งให้แม้แต่ผนังยังเย็นเฉียบ
“เกวิเนียร์....”ริมฝีปากขยับอย่างแผ่วเบา สีหน้าที่ปรากฏอยู่นั้นเหมือนจะเป็นความตะลึงเสียมากกว่า เมื่อได้พบเห็นบุคคลตรงหน้า
หญิงนางหนึ่งซึ่งเหยียดร่างบางๆลงบนแท่นหินอันเย็นเยียบ นางปล่อยลำแขนเรียวสวยกับลำตัว และวางมือข้างหนึ่งไว้บนหน้าตัก อาภรณ์สีน้ำเงินวาวบางเบาที่สวม แนบสนิทเนื้อตามเรือนร่าง พลิ้วระบายยาวลงมากรอมจรดพื้น เรือนผมสีน้ำเงินเข้มนั้นยาวตรงสลวยรับกับเรือนร่างอรชรอันสมสตรี บดบังส่วนใบหน้ารูปไข่ไว้ครึ่งหนึ่ง สันจมูกคมสวยนั้นรับกับริมฝีปากบาง หากแต่มันกลับแห้งผาก ไร้ความชุ่มชื้น และไร้การแต่งแต้มจากเครื่องประทินใดๆ
เบื้องหน้าของนางเป็นโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งประกอบด้วยกระจกร้าวบานใหญ่ และตราแม่ทัพซึ่งแขวนอยู่ถัดมา นัยน์ตาสีน้ำทะเลที่นิ่งสงบ และเยือกเย็น ประดุจมหาสมุทรที่ร้างไร้คลื่นลม กำลังทอดมองเงาสะท้อนจากกระจกตลอดชั่ววันชั่วคืน
นางนั่งอยู่เช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อคราวพบกันหนที่แล้ว....
ความเงียบโรยตัวลง แสงรำไรจากช่องลมบนปล่องเพดานสูงส่องลงมาเป็นแสงบางๆ กระทบร่างเซียวของนางชัดขึ้น ผิวขาวๆนั้นดูเป็นความซีดเสียมากกว่า แต่ใบหน้าเพียงครึ่งที่ได้เห็นนั้นกลับดูดึงดูด และลึกลับเสียจนอยากเข้าไปใกล้ ดวงตาคู่ที่อาลัยอาวรณ์ และอัดแน่นไปด้วยความปวดร้าวคู่นั้น มันว่างเปล่า ราวกับนางไม่เคยมองสิ่งใด นอกจากตัวเองและความหลัง
“แผนนี้สำเร็จได้ ก็เพราะท่าน.... เกวิเนียร์”คำเปิดสนทนาจากผู้มาเยือน
เวลานี้เทียนนับร้อยที่ตั้งรายล้อมกำแพงถูกจุดขึ้น ส่งให้ห้องทั้งห้องสว่างไปด้วยแสงเทียน
หากแต่นางกลับยังคงทอดมองภาพเบื้องหน้าอยู่เช่นเดิม....
เก้าอี้ไม้ถูกเคลื่อนย้ายมาขวางตรงหน้าร่างสูงสง่าทันทีที่ขยับสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าไม่ควรล้ำเส้นไปมากกว่านี้ หรือเป็นแค่เพียงการเชื้อเชิญให้นั่งตามมารยาทที่พึงกระทำ ซึ่งเขาไม่อาจรู้ความคิดของนางได้เลยแม้แต่น้อย.....
นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองดูเสี้ยวหน้านาง ก่อนจะล้มตัวลงนั่ง เพียงไม่นานโต๊ะไม้ด้านข้างก็ขยับเคลื่อนย้ายตามมา พร้อมๆกับสมุดปกหนังที่กางหน้ากระดาษว่างเปล่า ควบคู่ขวดน้ำหมึกที่วางเคียงกับปากกาขนนกสีทอง และมันกำลังสั่นระริกวิบวับ
มันเป็นการเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต...
ปากกาขนนกลอยขึ้นและจุ่มหมึกประหนึ่งมีผู้ใช้งาน ก่อนจะลงอักษรในหน้ากระดาษ
“ยินดีต้อนรับ เซอร์ชาลมาน เลอัลไลเออร์ องครักษ์แห่งราชวงศ์ฟรอนติโซ่
หวังว่าท่าน คงมาพร้อมกับสัญญา............”
ราชองครักษ์เจ้าของนาม อ่านข้อความที่เขียนขึ้น ก่อนจะลุก แล้วเงยหน้ามองเกนิเวียร์ ที่ยังคงทอดมองเบื้องหน้าเสมือนเขาไม่มีตัวตน หากแต่ลายเส้นอักษรทุกตัวอักษรที่ขนนกได้จารึกลงไปนั้น เป็นคำทักทายจากนางโดยแท้จริง
“ข้าอยากรู้ว่าท่านจะทำอะไรในสามวันนี้”เซอร์ชาลมานกล่าว หัวคิ้วเข้มขมวดลงเมื่อยังไม่ได้รับคำตอบ “หากข้าไม่รู้ ข้าคงให้ท่านไม่ได้”
นัยน์ตาสีน้ำตาลจับจ้องไปที่นางนิ่ง จนสังเกตข้อมือขาวที่เกร็งข้อขึ้น ก่อนที่ขนนกสีทองจะเริ่มกวัดแกว่งอีกครั้ง
“เพียงสามวัน......นั้นประหนึ่ง ชีวิตข้า หากวาจาท่านแปรเปลี่ยนดั่งธารไหล
แสงแห่งหวังหมดสิ้นแล้วทั้งกายใจ คงมอดไหม้ดับสิ้นทั้งชีวา.............”
สายตาคู่เข้มอ่านคำกลอนที่เขียนด้วยอักษรจากปลายขนนก ลายเส้นที่ตวัดกวัดแกว่งราวกับสื่ออารมณ์ของนาง ที่อ่อนแรง ดูสิ้นหวัง และไร้ซึ่งหนทาง
ตัวอักษรที่ปรากฏค่อยๆเลือนหายไป.... ก่อนขนนกจะสะบัดอย่างรุนแรง และขีดเขียนข้อความใหม่ขึ้นอีกครั้ง
“คำสัญญาสำหรับท่านอาจเป็นความหมายแค่สัญญา
แต่สำหรับข้า หากกล่าวแล้ว มันคือ คำสาบาน!”
ปลายขนนกจิกลงทุกตัวอักษร และฉวัดเฉวียนอย่างฉุนเฉียว เขาอ่านมันได้ทัน ก่อนที่หน้ากระดาษทั้งหน้าจะถูกฉีกออก และปลิวขึ้นมอดไหม้ไปกับเพลิง สลายกลายเป็นผงธุลีร่วงลงสู่พื้น
จบ!!
เซอร์ชาลมานนิ่งเงียบจมสู่ห้วงความคิด หากเขาทำตามสัญญาแล้วนางหนีออกไป ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? แล้วจะต้องมีแพะรับบาปอีกสักกี่คน? แต่หากเขาผิดสัญญา นางผู้นี้ก็อาจจะไม่มีวันได้ออกไปสู่โลกภายนอก.......
แต่แน่ใจแล้วหรือ ว่านางออกไปเองไม่ได้......
ความคิดที่เหงื่อผุดพรายตามหน้าผากที่เริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ สายตาคู่เข้มนั้นทอดมองไปยังนางแน่นิ่ง ก่อนจะตัดใจกล่าวขึ้น
“สามวันที่ท่านจากไป ข้าขอเก็บสิ่งนี้ไว้เป็นประกัน”ราชองครักษ์กล่าวพร้อมกับผายมือไปที่ตราแม่ทัพซึ่งแขวนอยู่ข้างกระจก ที่นางทอดมองประจำทุกค่ำเช้า
นัยน์ตาอันว่างเปล่าดั่งผืนน้ำสงบเบือนมองตามสิ่งที่ราชองครักษ์ต้องการเป็นเครื่องต่อรอง
ตราแม่ทัพ อย่างนั้นหรือ?..........
เวลาดำเนินผ่านไปเนิ่นนาน พร้อมๆกับประกายเยือกเย็นที่ฉาบอยู่บนดวงตาคู่ฟ้าน้ำทะเล........มันนานเสียจน บรรยากาศภายในเริ่มอบอ้าว และยังเป็นผลให้บุคคลที่รอคำตอบรู้สึกกดดันเป็นทวีคูณ
แลกกับสามวัน และชะตากรรมที่ได้รับบัญชา..........สิ่งไหนสำคัญกว่า?
ความคิดที่นางตัดสินใจลงในที่สุด และแล้วตราแม่ทัพที่ได้นำมาต่อรองก็ลอยมาอยู่ในมือเรียวบาง นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นฉายประกายความอาลัย พร้อมกับหยาดน้ำใสๆที่เอ่อรอบดวงตา นิ้วเรียวยาวลูบลงบนตราก่อนจะส่งให้ลอยไปเข้ามือใหญ่อย่างช้าๆ
“ขอบคุณ”คำกล่าวจากเซอร์ชาลมาน และไม่มีคำใดๆหลุดออกมาจากปากเขาอีกเลย มือหนาที่ถือตราแม่ทัพอยู่นั้นกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเดินหันหลังจากไป พร้อมๆกับแสงเทียนที่ค่อยๆดับลง และความว่างเปล่าของนางในความหลังอันมืดมิด
+++++++++++++++++++++++++++++
“แกต้องโดนประหาร เทรวิส บาเลอร์ฟอน”เสียงจากเด็กหนุ่มมาดนักเลงดังขึ้นอีกครั้ง
ประหาร!!!!
ร่างทั้งร่างลุกพรวดขึ้นจากที่นอน ด้วยเหงื่อที่โทรมเต็มร่างกาย นัยน์ตาคู่เขียวเบิกโพลงจับภาพแทบไม่ชัด ตอนนี้ที่แห่งนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับเขาเลยซักนิด
ใช่! ไม่เหมาะเลย
ร่างสูงกระโดดแผล็วลงจากเตียง ก่อนจะวิ่งปรู๊ดออกจากห้องไปด้วยเสียงอันอึกกะทึกครึกโครม จนชนข้าวของล้มระเนระนาด โดยไม่ทันนึกถึงนายทหารยามเฝ้าประตูที่กำลังจ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ในวินาทีนั้นเองเขากลัวแทบจับใจ หากแต่สายตาสองคู่นั้นก็เบือนกลับไปมองตรงอย่างเดิมอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่า เจ้าชายซุ่มซ่ามคนหนึ่ง
ผ่านด่านแรกมาได้...... ด่านต่อไปต้องทำเนียนเข้าไว้.............
เทรวิสเริ่มวางมาดเป็นเจ้าชายอุลริคเต็มขั้น หัวใจที่เคยเต้นปกติตอนนี้มันเหมือนจะออกมาเต้นแร้งเต้นกาอยู่ข้างนอก การแสดงบทราชนิกุลผู้สูงศักดิ์มันทารุณกว่าให้ไปแก้ผ้าโดดแม่น้ำกลางฤดูหนาวเป็นไหนๆ เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้ร้อนขนาดนี้
มันร้อนจนอยากจะบ้า
เหงื่อเม็ดเป้งกำลังหยดย้อยตามสันจมูกโด่งสวย และผุดพรายบนใบหน้าเนียนขาวแบบลูกผู้ดีมีกะตัง ชุดครุยยาวคลุมลากพื้นนั้นก็ยิ่งทำให้เป็นความทรมานอย่างสาหัส เมื่อการเดินแต่ละก้าวที่จะแสนจะยากเย็นเต็มทีอยู่แล้ว ยังต้องมาคอยระวังชายที่มันโผล่มาให้เหยียบได้ตลอดเส้นทาง
ทำเนียนเข้าไว้.......เก็กเข้าไว้.......อย่าหลุดนะแก....จำไว้เป็นเจ้าชาย...เจ้าชาย...เจ้าชาย....
เสียงพึมพำ พร้อมกับการสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันมาตีหน้าขรึม และพยักหน้าเล็กน้อยให้กับอัศวินหนุ่มที่เดินผ่านมาทำความเคารพให้ตามมารยาท
รอดไปหนึ่ง...........
จวนมาถึงส่วนหน้าของพระราชวังเต็มที เขาผ่านมาแล้วสามส่วน ตั้งแต่ทิศตะวันตกส่วนบน ลงมาส่วนล่าง แล้วมาที่โถงกลาง เผชิญใครต่อใครมากหน้าหลายตาก็ดูจะผ่านมาได้แบบกระท่อนกระแท่น
แต่แล้วเพียงแวบเดียวที่เขาเหลือบไปเห็นบนพระราชวังส่วนบนที่ดูผิดสังเกตยิ่งนัก ทหารสวมเกราะกำลังแยกย้ายกันเป็นกองๆ ให้ใจหล่นฮวบ
ความแตก!!
ความคิดเดียวที่ฝีเท้าใส่สปีดเกียร์หมาโกยแนบออกให้เร็วที่สุด ไม่สนแม้สายตาใครต่อใครที่จับจ้อง ขอเพียงออกจากที่แห่งนี้ได้เป็นพอ
โครม!!
ชนใครวะ?
ร่างทั้งร่างหงายตึง ก้นกระแทกพื้นลงไปเต็มๆ หากแต่ไม่ใช่ร่างเขา แต่เป็นเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลไหม้ระบ่าที่หวีจัดทรงไว้อย่างเนี๊ยบ นัยน์ตาสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับเทรวิสกำลังหรี่ลงด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าที่ดูดีบิดเบี้ยวไปมาด้วยอารมณ์ต่างๆนานาของหนุ่มน้อยผู้สูงศักดิ์ ผิวขาวขึ้นสีแดงจัดด้วยความอาย และความโมโห.... เบือนมามองเสื้อผ้าที่เขาผู้นี้สวมใส่ มันไม่ได้ต่างจากเขาเลยสักนิด....
มันไม่มีอะไรต่างจากเขาต่างหาก!!!
“บังอาจ แกเป็นใครกันแน่?”เด็กหนุ่มลุกขึ้นทันที พร้อมๆกับจัดอาภรณ์ให้เข้ารูป โดยยังไม่ได้มองคู่กรณี
“แกมีโทษ อย่......”เสียงอันเกรี้ยวกราดอหยุดลงด้วยความตะลึง ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมามองเทรวิสที่กำลังอ้าปากค้าง
“แก.. แกเป็นใคร??”เสียงตะกุกตะกักกล่าวออกมาอย่างยากเย็น “แก.....เหมือนฉัน”สีหน้าที่ฉงนอยู่ค่อยๆคลายออก พร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยน์ที่มุมปาก ก่อนจะตะโกนเสียงราวกับฟ้าผ่า
“ทหาร! จับมัน!”
สิ้นเสียงปากที่กำลังอ้าปิดลงทันที พร้อมๆกับน้ำลายอึกใหญ่ที่ค้างเต็มลำคอ ร่างสูงแข็งทื่อกระดิกกระเดี้ยไม่ออก ก่อนจะรวบรวมสติเผ่นด้วยฝีเท้าที่พึ่งพาได้ทุกเมื่อ โดยอาศัยความงุนงงของเหล่าบรรดาทหารที่กำลังสับสนว่าใครเป็นใคร
คนไหนคือ เจ้าชาย?
เหมือนฟ้าดินจะเป็นใจ ม้าหนุ่มสีดำสนิทถูกผูกไว้ใกล้ๆกำลังหายใจฟืดฟาดราวกับต้องการทะยานสุดกำลัง อาจเพราะเป็นจังหวะที่ขุนนางได้มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน และคนเลี้ยงมายังไม่ได้เอาม้าตัวนี้ไปเก็บในคอก มันจึงกำลังจะกลายม้าตกอับของนักโทษคดีอุกฉกรรจ์
“ไปเร็ว ช่วยฉันหน่อย”เทรวิตบไปบนสีข้าง และควบสุดแรงเกิด เรี่ยวแรงมหาศาลที่ม้าหนุ่มได้ทะยานออกตัวนั้น รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
“จับมัน! มันปลอมตัวมา”เจ้าชายตัวจริงเสียงจริงตะโกนลั่นไล่หลัง สั่งทหารอีกครั้งเพื่อยืนยันค่ำสั่งเดิม
แต่สายไปแล้วที่ทหารเหล่านั้นจะตามทัน.....
เขาหลุดพ้นการจับกุมอย่างฉิวเฉียด และที่หมายแห่งแรกที่ต้องแวะอำลาคือบ้านหลังโทรมๆแห่งเดิม...
ภาพกิจวัตรประจำวันของชายวัยกลางคนที่กำลังตอกหลังคาไม้ด้วยความมุ่งมั่น นัยน์ตาคู่เขียวคู่นั้นยังคงฟ้าฟางอยู่เช่นเคย เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ชุ่มโชกและเปรอะเปื้อนตั้งแต่หัวจรดเท้า คิ้วหนาๆที่ขมวดลงอย่างจดจ่อกับงานที่ทำนั้นเป็นภาพที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“พ่อ พ่อ”เทรวิสตะโกนเรียกแล้ว หากแต่ยังไม่มีทีท่าว่าคนเป็นพ่อจะได้ยิน
ทันใดนั้นเอง ทหารในชุดเกราะนับสิบได้กรูเข้ามารวบตัวไว้ทันที และมัดด้วยเชือกป่านหนาทั้งข้อมือและข้อเท้า สีหน้าของทหารราวกับยิ้มเยาะและหัวเราะด้วยเสียงอันน่าชิงชัง
“แกตายแน่ไอ้หนู”นายจมูกหนา ว่าเสียงทุ้มๆปนเยาะเย้ยขำขัน พลางมัดเชือกให้แน่นขึ้น
“ริอาจมาเป็นเจ้าชาย เจียมกะลาหัวบ้างมั้ย ฮ่าๆๆๆ ไอ้เด็กโง่”นายทหารอีกคนว่าเสริม พร้อมกับเสียงหัวเราะครืนอันชวนน่าขนลุก มันบีบก้องกังวานอยู่ภายในสมองน้อยๆของเขา นัยน์ตาคู่เขียวที่เริ่มเอ่อและแดงก่ำพยามยามไขว่คว้าไปมองผู้เป็นพ่อที่ดูไม่ได้ใยดีเขาสักนิด
“พ่อ!! ช่วยด้วย ผมไม่อยากโดนจับ”เสียงร่ำร้องทั้งน้ำตา ร่างทั้งร่างดิ้นเร่าเหมือนหนูติดจั่น และร้องเรียกหาพ่อเหมือนเด็กนิ้วติดขวดนม
นายแธชเชอร์เหลียวมาสบตากับเทรวิสผู้เป็นลูกด้วยความเย็นชากึ่งสมเพช ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดุดัน
“หาเรื่อง! แกยังมีหน้ามาเรียกข้าว่าพ่ออีก”นิ้วอันสั่นเทากำลังชี้มาด้วยความเดือดดาลพลุ่งพล่าน ใบหน้าที่เริ่มชราแดงก่ำและแสยะออกราวกับเสือที่กำลังจะขย้ำเหยื่อและฉีกออกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะกล่าวถ้อยความอย่างแจ่มแจ้ง เท่าที่สมองน้อยๆของเทรวิสจะได้จดจำชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ
“ถ้ารากฐานยังไม่แข็งแรง ขึ้นไปอยู่บนหลังคา ดีกว่าขึ้นไปสู่อำนาจแห่งผู้ปกครอง หากแกตกลงมา มันเจ็บน้อยกว่ากัน จำไว้”
“ได้เวลาแล้วไอ้หนู โน่น เชือก! เอาไว้ แขวนคอ”เสียงใหญ่กลั้วหัวเราะดังขึ้น พร้อมๆกับแรงของเชือกมัดมือที่กระตุกสุดแรง ร่างทั้งร่างแทบจะล้ม เพราะมันหมดเรี่ยวแรงตั้งแต่เห็นเสี้ยวของลานประหารแล้ว
“แกตาย......”
ม่าย!!!!!!!!!!
++++++++++++
หึๆๆ เป็นเจ้าชาย......เราเป็นเจ้าชาย ฮ่าๆๆๆ
ความคิดที่ริมฝีปากเผยอรอยยิ้มกริ่ม นัยน์ตาคู่เขียวมรกตพราวระริกวิบวับ แล้วภาพความสำราญต่างๆก็เริ่มทยอยตามมาเป็นฉากๆ
“เจ้าชายเพคะ.....เสวยนี่หน่อยสิเพคะ” เสียงออดอ้อนจากสาวงามร่างอรชรอ้อนแอ้นที่ห้อมล้อมนับสิบ มือบางหยิบผลองุ่นพวงโตจากขอบบ่อน้ำร้อน เพื่อป้อนเจ้าชายหนุ่มอย่างเย้ายวน
“งั่บ! อืม........อร่อย... เอามาอีกซิ”คำสั่งจากเจ้าชายละม้ายคล้ายนักเลงรูปหล่อ นัยน์ตาคู่เขียวมรกตที่เปี่ยมความสุขสำราญ กำลังทอดมองสาวงาม และเพชรนิลจินดาที่กองท่วมหัว
แน่ล่ะ มัน จะมีอะไรสุขใจไปกว่าการแช่ตัวในบ่อน้ำพุร้อนกับสาวสวยนับสิบข้างกาย ห้อมล้อมด้วยเงินทองนับล้าน....
หลุดจากความคิด น้ำลายที่เอ่ออยู่รอบปากก็กลับเข้าที่ได้ทันเวลา เสียงคิกคักจากลำคอก็ดูจะกลั้นเก็บไว้ไม่อยู่ สวรรค์ทรงโปรดขนาดนี้แล้ว มีหรือเขาจะไม่นั่งน้ำลายหก
เฮ้อ.......สบายทั้งชาติละงานนี้
เทรวิสทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่ม แผ่หลาเต็มเตียง หลับตาพริ้ม หยิบหมอนมาตบๆก่อนจะยกขาก่ายเต็มที่ แล้วต่อด้วยการนอนนับผลประโยชน์มหาศาลที่จะได้รับ....
อำนาจที่สั่งการได้เต็มที่ เงินทองที่ใช้จ่ายได้ไม่มีวันหมด เกียรติยศที่พรั่งพร้อม และสาวงามที่ตามมาจากการเป็นรัชทายาทองค์สำคัญแห่งเคดาส..........
สุดยอด!!!
“มันไม่โอเวอร์ไปซะหน่อยเร้อ.. เจ้าชายเทรวิส”เสียงจากจิตใต้สำนึกในโหมดหนุ่มน้อยลูกช่างมุงหลังคาแย้งขึ้นในใจ
“โอเวอร์ไป!”เสียงย้อนสูงสวนกลับ “แกหุบปากไปเลย เป็นแค่ลูกช่างมุงหลังต๊อกต๋อย อย่างบังอาจมาขัดขวางความคิดของเจ้าชาย”
“เจ้าชายโง่ๆ ล่ะสิไม่ว่า”เสียงด่าแบบไม่ไว้หน้าในโหมดนักเลง แล้วต่อด้วยคำปรามาสที่ทำเอาว่าที่รัชทายาทใจเสีย“อยากรู้จริง ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาว่าเป็นเจ้าชายกำมะลอ แล้วจะทำหน้ายังไง”
“หึ! ถูกจับรึ ไม่มีทาง”คำปฏิเสธเสียงแข็ง “ถ้าฉันถูกจับแกก็ถูกจับด้วยนั่นแหละ... ไอ้ลูกช่างมุงหลังคาซังกะบ๊วย”
“ก็เออสิวะ! เพราะฉะนั้นแกกลับมาเป็นเทรวิสนักเลงหัวไม้ ลูกช่างมุงหลังคาคนเดิมซะ” เสียงเกลี้ยกล่อมเชิงบังคับดังขึ้นซ้ำๆ
“ไม่”
“งั้นลองคิดผลเสียดู ”คำกล่าวทิ้งท้ายจากเสียงในจิตใต้สำนึก
ความคิดในหัวบัดนี้ตีกันยุ่งวุ่นวาย เสียงต่างๆกำลังดังระงมในสมอง มันปรากฏแง่ดีและแง่ร้ายขึ้นมาแข่งขันกัน
แล้วหัวสมองอันปราดเปรื่องก็เริ่มลองประมวลผลข้อมูลที่ได้รับ
สมการ(+) [(เทรวิส + ความหล่อ) บุญหล่นทับ] เงินทอง + สาวงาม + อำนาจ+เกียรติยศ +รัชทายาท = เจ้าชายมาดเท่ห์
สมการ(-) [(เทรวิส + ความหล่อ)ซวยแต่กำเนิด]ถังแตก +ขุนนางแก่+ต้องโทษ+ล่มจม + โดนประหาร = ตายอย่างเขียด
หักล้างสมการ......
คงเหลือ..........
เจ้าชายมาดเท่ห์ = ตายอย่างเขียด
มันคุ้มกันมั้ยวะ!!!
+++++++++++++++++++++
ชายป่าระแนวผาด้านหลังพระราชวังฟรอนติโซ่ ซึ่งเสมือนเป็นสถานที่ต้องห้ามในเขตพระราชวัง นับจากพระนางเรเชลาได้สถาปนาขึ้นเป็นราชินี ป่าทรีเซนต์แห่งนี้ก็ถูกปิดตายลง และกำเนิด เดดลี บลัดไม้พิษที่ปกป้องเส้นทางจากผู้ฝ่าฝืนคำสั่ง
ต้นเดดลี บลัดในที่นี้ มีใบแหลมเรียวและลำต้นสีแดงสดราวกับเลือดที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้เจริญงอกงาม ซึ่งกำลังแผ่ขยายกิ่งก้านสาขาเลื้อยปกคลุมผืนดินทั่วบริเวณ หนามแหลมคมที่คอยปล่อยพิษร้ายต่อผู้ที่สัมผัส จะค่อยๆกระจายอย่างช้าๆไปตามกระแสเลือด หากไม่ได้รับการถอนพิษได้ทันท่วงที มันคือการจบชีวิตและการพ่ายแพ้ต่อโชคชะตา
แต่บัดนี้กฎเหล็กได้ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง แม้แต่คำสั่งราชินีผู้สูงศักดิ์ค้ำฟ้า ยังเป็นเพียงลมปาก ไม้พิษร้ายเพียงพื้นดินเหล่านี้มีหรือจะขัดขวางเส้นทาง
ชายหนุ่มที่ผ่านฤดูหนาวมาราวๆสามสิบปีเศษ กำลังยืนหยัดอยู่บนเส้นทางสายต้องห้าม ชุดเกราะหนักเต็มยศของผู้หาญกล้าขับความน่าเกรงขามที่ปรากฏอยู่ในตัวตนให้ดูองอาจภาคภูมิ ใบหน้าที่ทอดมองหนทางอย่างแน่นิ่งนั้นสงบและเยือกเย็น แต่หารู้ไม่ว่าความเยือกเย็นนั้นเป็นสิ่งที่หน้าที่กำลังกลืนกินเขาเข้าสู่กรงเหล็ก....
‘จงเก็บอารมณ์ไว้ให้ลึกที่สุดของจิตใจ แล้วจงสวมเกราะไว้ด้วยคำว่าหน้าที่’คำเดียวที่สั่งสอนเขาให้เติบโต และเป็นคำเดียวที่เขาพึงระลึกเสมอ ประกายของความรู้สึกจึงฉาบอยู่บนนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งบัดนี้กำลังฉายความแข็งกร้าว และความทระนงในตนออกมาประหนึ่งราชสีห์พลัดถิ่น
“ผงคืนสภาพ!”มือหนากร้านกำผงสีขาวละเอียดโปรยไปในอากาศส่งให้เกิดละอองฟุ้ง ก่อนจะลอยละล่องจับตามใบและลำต้น สายตาที่จับจ้องนั้นกำลังรอคอยเวลาที่ลำต้นสีแดงฉานจะหวนคืนสู่ต้นอ่อนสีเขียวที่ไร้พิษภัย
เวลากำลังย้อนกลับ ปัจจุบันกำลังหวนคืนสู่การเริ่มต้น วงจรอุบาทของวัชพืชไร้ค่า.........
เพียงพอแล้วสำหรับก้าวต่อไป รอยย่ำที่หนักหน่วงเหยียบลงสู่ต้นพืชอ่อนอย่างว่องไว สีเขียวที่ไร้พิษภัยในยามนี้มันจะผลิใบเติบโตจนเป็นสีแดงเลือดอันร้ายกาจในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ตลอดระยะทางที่ผ่านพ้นไป สายตาของเขานั้นจับจ้องไปรอบกาย พร้อมๆกับกำชับดาบเล่มใหญ่ข้างกายไว้ตลอดเวลา ความร้อนจากแสงแดดยามสายนั้น เป็นผลให้เหงื่อใสๆจับตัวเป็นหยดรินไหลบนใบหน้าและหนวดเคราเกรียนที่เริ่มขึ้นจากคางจนถึงส่วนแก้ม ผมสีน้ำตาลไหม้ที่ยาวระบ่านั้นก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อไม่แพ้กัน
“ไอ้พวกต้นไม้นรก”คำแรกที่ก้าวสุดท้ายพ้นอาณาเขตของไม้พิษ พร้อมกับประกายเหยียดที่ฉายอยู่มุมปาก
และในขณะนั้นเอง เขาก็ได้มาถึงต้นแอชสูงใหญ่สองต้น มันสูงตระหง่านขึ้นเหนือยอดเฟิร์น และพันธุ์ไม้ใดๆ มอสที่เกาะอยู่เป็นหย่อมๆตามโขดหินนั้นผสมผสานกับดอกเห็ดสีสดที่ผุดขึ้นมาตามพื้นดิน เงาของไม้ใหญ่ที่ปกคลุมทำให้ภายใต้ความรกครึ้มนั้นดูมืดมัวคล้ายดั่งดวงอาทิตย์ได้ลับฟ้าลงแล้ว ประกอบกับเถาวัลย์ที่เลื้อยห้อยลงมาทั่วบริเวณเหมือนอสรพิษที่กำลังโรยตัวลงมาจากกิ่งไม้ และมันก็อาจแฝงตัวอยู่ในขณะนี้เช่นกัน
ทันทีที่ชายหนุ่มได้ก้าวเท้าเข้าไปใกล้ขึ้น ลมกรรโชกแรงก็พัดโถมกระหน่ำขึ้นมาในบัดดล ยอดไม้ใบไม้ไหวกระพือตามแรงลม เสียงจักจั่นที่ดังระงมเมื่อครู่เงียบลงสงัด เหลือไว้แต่เพียงเสียงหวีดหวิวของกิ่งไม้ที่เสียดสีกันดุจเสียงร่ำไห้และโหยหาแห่งป่าอาถรรพ์
กีซ....กีซ....กีซ....
ทันใดนั้นเองเสียงแหลมสูงกับดังกึกก้องทั่วป่าขานรับกันเป็นทอดๆ เสมือนการสนทนาด้วยภาษาอสุรกายร้าย ที่ปราดเปรื่องเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจความหมาย และมันกำลังเคลื่อนตัวตามแนวพุ่มไม้
ไล่ต้อนเหยื่อ !
ความคิดที่นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่ลง กวาดตามองรอบตัวอย่างระแวดระวัง แน่นอนว่ามันน่าจะมีมากกว่าหนึ่งตัว หากแต่บัดนี้สายตาของเขายังไม่สามารถเห็นร่างของมันได้ชัดเจนนัก เพียงแค่เงาที่วูบผ่านไปพริบตา ขนาดของมันก็น่าจะกินความยาวได้ราวๆสามเมตร...
มือหนาค่อยๆขยับปลดถุงหนังข้างเอว ก่อนจะหยิบจะงอยเล็บขนาดใหญ่อันคมกริบออกมาแล้วชูขึ้น
“ข้าเป็นนายเจ้า มัลติฟาร์! ข้าอยู่เหนือเจ้า!”เสียงคำราม ดังก้องไปทั่วป่า กลบเสียงสรรพสิ่งให้เงียบสงัด...
เงียบแม้กระทั้งลมที่โหมกระหน่ำ...
ทันใดนั้นเอง ร่างของสัตว์ร้าย ได้กระโจนออกจากความมืด มันส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่นขู่คำรามอย่างน่าสะพรึงกลัวพร้อมลมหายใจอันร้อนผ่าว เขี้ยวโค้งยาวอ้าออกสุดกราม ฟันซี่เล็กๆนับร้อยนั้นเรียงตัวอยู่ภายในปากสีแดงเลือด และเยิ้มไปด้วยเมือกสีเขียวๆ ลิ้นของมันยาวตวัดได้รอบตัว สีขาวที่ปลายลิ้นนั้นเป็นเหมือนเข็มนับพันเล่มที่คอยปล่อยพิษร้าย รวมทั้งเกล็ดแข็งๆของมันที่กางตั้งชันไล่ไปจรดหาง และมีแผ่นเกล็ดคมกริบดั่งใบมีดกวัดแกว่งกลางอากาศคอยสังหารเหยื่อด้วยวิธีทรมาน
ใบมีดที่ปลายหางสบัดฟั่บ เฉียดผ่านร่างเพียงครึ่งก้าว แต่การหลบหลีกนั่นก็ห่างจากต้นเดดลี บลัดที่กำลังชูหนามแหลมปล่อยพิษร้ายในระยะเผาขน หัวคิ้วหนาขมวดลงอย่างไม่สบอารมณ์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเริ่มกรุ่นด้วยความโมโห
“จงฟังคำสั่งข้า”เสียงคำรามที่ดังกว่าครั้งไหนๆ ได้สะท้อนซ้ำๆทั้งป่า ก่อนจะขว้างจะงอยเล็บในมือลงตรงหน้า
อสุรกายร้ายผงกหัวขึ้นลง และพ่นลมหายใจสาปสางออกมาจนเกิดเสียงฟืดฟาด ก่อนจะตวัดลิ้นสีแดงเลือดเข้าไปสัมผัสจะงอยเล็บของซากมัลติฟาร์ สหายแห่งเผ่าพันธุ์อสุรกาย มันกำลังพิสูจน์กลิ่นทดแทนดวงตาที่มันไม่เคยได้รับจากพระเจ้า
“ข้าเป็นนายเจ้า มัลติฟาร์ ข้าชนะเผ่าพันธุ์เจ้า”สิ้นเสียง เจ้าสัตว์ร้ายตรงหน้าก็ค่อยๆหุบแผงคอลง และลดเกล็ดที่ตั้งชัน ก่อนจะหมอบหัวลงกับพื้น
“เปิดทางให้ข้า มัลติฟาร์!”
มันขานรับคำสั่งด้วยเสียงแหลมสูง และส่งเสียงสัญญาณกับตัวอื่นๆ ก่อนจะหายเข้าไปในความรกครึ้มของป่า และกลืนเข้าไปในความเงียบสงัด
บัดนี้ป่าทรีเซนต์ไร้สำเนียงเสียงใดๆ ร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งจมสู่ความวิตกกังวล ที่กำลังกัดกร่อนเขาทีละน้อย มือที่เก็บจะงอยเล็บขึ้นมานั้นขยับแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ข้าเลือกทางผิดไปหรือเปล่า........ข้าเอาตำแหน่งองครักษ์มาแลกมันคุ้มกันมั้ย.........
คำถามที่ดังก้องอยู่ในใจยามนี้ แม้หนทางจะถูกเปิดให้โดยสัตว์ร้ายเหล่านี้แล้ว แต่สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่าสิ่งใดๆคือ การพบบุคคลที่เขาย้อนกลับไปคิดเสมอว่าหากไม่เคยพบคงจะดีกว่านี้
ใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอยบางๆดูเคร่งขรึมลงถนัด เขายกมือลูบเคราเกรียนๆอย่างใช้ความคิด นัยน์ตาคู่เข้มฉายรอยลังเลขึ้นมา ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วตัดสินใจยกฝ่ามือประทับลงกลางอากาศ พร้อมกับเปล่งวาจา
“ไร้ความสิ้นหวังมิใช่ที่หมาย หนทางสายอิสรภาพมิใช่เส้นทาง ประตูสู่แสงสว่างจงปิดมัน และรับฟังข้า ผู้ปรารถนาพันธนาการ”
สิ้นเสียง ปลายนิ้วมือที่สัมผัสอากาศ กลับปรากฏรากไม้สีเขียวยึกยือ เลื้อยสอดเสียดแผ่ขยายออกเป็นวงกว้าง จนเกิดเป็นกำแพงรากไม้น่าขนลุกที่ยังขยับยื่นรากอันหงิกงอไปมา พร้อมๆกับเสียงกระซิบกระซาบอันแสนเย็นยะเยือก ราวกับการเปิดฉากของโศกนาฏกรรม
“ไร้ อิสรภาพ สู่ พันธนาการ”
สิ้นคำสุดท้าย รากไม้ที่สอดเสียดกันค่อยๆปริแยกออก เสียงครวญคราง กรีดร้องดังระงมเซ็งแซ่ หากแต่เขาไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ทั้งยังก้าวผ่านเลยไป และเหยียบลงบนบันไดหินอันเย็นยะเยียบสู่ทางเข้าของห้องใต้ดิน
ตลอดเส้นทางที่วนดิ่งลงไปตามแนวกำแพงนั้น ค่อยๆแคบลงเรื่อยๆ แสงตะเกียงตามรายทางที่เพิ่งถูกจุดดูจะน้อยนิดและริบหรี่ลงทุกที บนเพดานอันครำคร่ากับปรากฏรอยสลักอักษรเวทย์โบราณเรืองแสงจางๆขึ้น เมื่อได้กระทบกับแสงสว่าง ความกดดันที่เกาะกุมหัวใจกำลังบีบคั้น ตลอดทุกๆขั้นที่ย่างก้าวลงไป
ไม่มีคุกที่ไหน อยู่แล้วรู้สึกดี
เส้นทางสิ้นสุดลงตรงหน้าประตูเหล็กขึ้นสนิม มันถูกล็อกด้วยแท่งเหล็กขนาดใหญ่ พร้อมโซ่ตรวนที่คล้องอีกชั้น หากแต่เขาไม่ต้องทำอะไรเพื่อจะเปิดมันด้วยซ้ำ.....
ปึก! แอ้ด..............
โซ่ที่คล้องนั้นกวัดแกว่งและถูกปล่อยลงกระทบกับพื้นศิลา เสียงเหล็กท่อนโตถูกยกขึ้น ก่อนจะค่อยๆแง้มสู่ภายในจนเกิดเสียดเอี๊ยดอ๊าดเสียดสีกับสนิมที่เกาะกิน มันเป็นเช่นนี้เสมอมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขามาที่นี่!
ความมืดและแสงสว่างเพียงน้อยนิดนั้นปรากฏอยู่ภายในห้อง สภาพอากาศอันเย็นยะเยือก ส่งให้แม้แต่ผนังยังเย็นเฉียบ
“เกวิเนียร์....”ริมฝีปากขยับอย่างแผ่วเบา สีหน้าที่ปรากฏอยู่นั้นเหมือนจะเป็นความตะลึงเสียมากกว่า เมื่อได้พบเห็นบุคคลตรงหน้า
หญิงนางหนึ่งซึ่งเหยียดร่างบางๆลงบนแท่นหินอันเย็นเยียบ นางปล่อยลำแขนเรียวสวยกับลำตัว และวางมือข้างหนึ่งไว้บนหน้าตัก อาภรณ์สีน้ำเงินวาวบางเบาที่สวม แนบสนิทเนื้อตามเรือนร่าง พลิ้วระบายยาวลงมากรอมจรดพื้น เรือนผมสีน้ำเงินเข้มนั้นยาวตรงสลวยรับกับเรือนร่างอรชรอันสมสตรี บดบังส่วนใบหน้ารูปไข่ไว้ครึ่งหนึ่ง สันจมูกคมสวยนั้นรับกับริมฝีปากบาง หากแต่มันกลับแห้งผาก ไร้ความชุ่มชื้น และไร้การแต่งแต้มจากเครื่องประทินใดๆ
เบื้องหน้าของนางเป็นโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งประกอบด้วยกระจกร้าวบานใหญ่ และตราแม่ทัพซึ่งแขวนอยู่ถัดมา นัยน์ตาสีน้ำทะเลที่นิ่งสงบ และเยือกเย็น ประดุจมหาสมุทรที่ร้างไร้คลื่นลม กำลังทอดมองเงาสะท้อนจากกระจกตลอดชั่ววันชั่วคืน
นางนั่งอยู่เช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อคราวพบกันหนที่แล้ว....
ความเงียบโรยตัวลง แสงรำไรจากช่องลมบนปล่องเพดานสูงส่องลงมาเป็นแสงบางๆ กระทบร่างเซียวของนางชัดขึ้น ผิวขาวๆนั้นดูเป็นความซีดเสียมากกว่า แต่ใบหน้าเพียงครึ่งที่ได้เห็นนั้นกลับดูดึงดูด และลึกลับเสียจนอยากเข้าไปใกล้ ดวงตาคู่ที่อาลัยอาวรณ์ และอัดแน่นไปด้วยความปวดร้าวคู่นั้น มันว่างเปล่า ราวกับนางไม่เคยมองสิ่งใด นอกจากตัวเองและความหลัง
“แผนนี้สำเร็จได้ ก็เพราะท่าน.... เกวิเนียร์”คำเปิดสนทนาจากผู้มาเยือน
เวลานี้เทียนนับร้อยที่ตั้งรายล้อมกำแพงถูกจุดขึ้น ส่งให้ห้องทั้งห้องสว่างไปด้วยแสงเทียน
หากแต่นางกลับยังคงทอดมองภาพเบื้องหน้าอยู่เช่นเดิม....
เก้าอี้ไม้ถูกเคลื่อนย้ายมาขวางตรงหน้าร่างสูงสง่าทันทีที่ขยับสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าไม่ควรล้ำเส้นไปมากกว่านี้ หรือเป็นแค่เพียงการเชื้อเชิญให้นั่งตามมารยาทที่พึงกระทำ ซึ่งเขาไม่อาจรู้ความคิดของนางได้เลยแม้แต่น้อย.....
นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบมองดูเสี้ยวหน้านาง ก่อนจะล้มตัวลงนั่ง เพียงไม่นานโต๊ะไม้ด้านข้างก็ขยับเคลื่อนย้ายตามมา พร้อมๆกับสมุดปกหนังที่กางหน้ากระดาษว่างเปล่า ควบคู่ขวดน้ำหมึกที่วางเคียงกับปากกาขนนกสีทอง และมันกำลังสั่นระริกวิบวับ
มันเป็นการเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต...
ปากกาขนนกลอยขึ้นและจุ่มหมึกประหนึ่งมีผู้ใช้งาน ก่อนจะลงอักษรในหน้ากระดาษ
“ยินดีต้อนรับ เซอร์ชาลมาน เลอัลไลเออร์ องครักษ์แห่งราชวงศ์ฟรอนติโซ่
หวังว่าท่าน คงมาพร้อมกับสัญญา............”
ราชองครักษ์เจ้าของนาม อ่านข้อความที่เขียนขึ้น ก่อนจะลุก แล้วเงยหน้ามองเกนิเวียร์ ที่ยังคงทอดมองเบื้องหน้าเสมือนเขาไม่มีตัวตน หากแต่ลายเส้นอักษรทุกตัวอักษรที่ขนนกได้จารึกลงไปนั้น เป็นคำทักทายจากนางโดยแท้จริง
“ข้าอยากรู้ว่าท่านจะทำอะไรในสามวันนี้”เซอร์ชาลมานกล่าว หัวคิ้วเข้มขมวดลงเมื่อยังไม่ได้รับคำตอบ “หากข้าไม่รู้ ข้าคงให้ท่านไม่ได้”
นัยน์ตาสีน้ำตาลจับจ้องไปที่นางนิ่ง จนสังเกตข้อมือขาวที่เกร็งข้อขึ้น ก่อนที่ขนนกสีทองจะเริ่มกวัดแกว่งอีกครั้ง
“เพียงสามวัน......นั้นประหนึ่ง ชีวิตข้า หากวาจาท่านแปรเปลี่ยนดั่งธารไหล
แสงแห่งหวังหมดสิ้นแล้วทั้งกายใจ คงมอดไหม้ดับสิ้นทั้งชีวา.............”
สายตาคู่เข้มอ่านคำกลอนที่เขียนด้วยอักษรจากปลายขนนก ลายเส้นที่ตวัดกวัดแกว่งราวกับสื่ออารมณ์ของนาง ที่อ่อนแรง ดูสิ้นหวัง และไร้ซึ่งหนทาง
ตัวอักษรที่ปรากฏค่อยๆเลือนหายไป.... ก่อนขนนกจะสะบัดอย่างรุนแรง และขีดเขียนข้อความใหม่ขึ้นอีกครั้ง
“คำสัญญาสำหรับท่านอาจเป็นความหมายแค่สัญญา
แต่สำหรับข้า หากกล่าวแล้ว มันคือ คำสาบาน!”
ปลายขนนกจิกลงทุกตัวอักษร และฉวัดเฉวียนอย่างฉุนเฉียว เขาอ่านมันได้ทัน ก่อนที่หน้ากระดาษทั้งหน้าจะถูกฉีกออก และปลิวขึ้นมอดไหม้ไปกับเพลิง สลายกลายเป็นผงธุลีร่วงลงสู่พื้น
จบ!!
เซอร์ชาลมานนิ่งเงียบจมสู่ห้วงความคิด หากเขาทำตามสัญญาแล้วนางหนีออกไป ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ? แล้วจะต้องมีแพะรับบาปอีกสักกี่คน? แต่หากเขาผิดสัญญา นางผู้นี้ก็อาจจะไม่มีวันได้ออกไปสู่โลกภายนอก.......
แต่แน่ใจแล้วหรือ ว่านางออกไปเองไม่ได้......
ความคิดที่เหงื่อผุดพรายตามหน้าผากที่เริ่มมีริ้วรอยเล็กๆ สายตาคู่เข้มนั้นทอดมองไปยังนางแน่นิ่ง ก่อนจะตัดใจกล่าวขึ้น
“สามวันที่ท่านจากไป ข้าขอเก็บสิ่งนี้ไว้เป็นประกัน”ราชองครักษ์กล่าวพร้อมกับผายมือไปที่ตราแม่ทัพซึ่งแขวนอยู่ข้างกระจก ที่นางทอดมองประจำทุกค่ำเช้า
นัยน์ตาอันว่างเปล่าดั่งผืนน้ำสงบเบือนมองตามสิ่งที่ราชองครักษ์ต้องการเป็นเครื่องต่อรอง
ตราแม่ทัพ อย่างนั้นหรือ?..........
เวลาดำเนินผ่านไปเนิ่นนาน พร้อมๆกับประกายเยือกเย็นที่ฉาบอยู่บนดวงตาคู่ฟ้าน้ำทะเล........มันนานเสียจน บรรยากาศภายในเริ่มอบอ้าว และยังเป็นผลให้บุคคลที่รอคำตอบรู้สึกกดดันเป็นทวีคูณ
แลกกับสามวัน และชะตากรรมที่ได้รับบัญชา..........สิ่งไหนสำคัญกว่า?
ความคิดที่นางตัดสินใจลงในที่สุด และแล้วตราแม่ทัพที่ได้นำมาต่อรองก็ลอยมาอยู่ในมือเรียวบาง นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นฉายประกายความอาลัย พร้อมกับหยาดน้ำใสๆที่เอ่อรอบดวงตา นิ้วเรียวยาวลูบลงบนตราก่อนจะส่งให้ลอยไปเข้ามือใหญ่อย่างช้าๆ
“ขอบคุณ”คำกล่าวจากเซอร์ชาลมาน และไม่มีคำใดๆหลุดออกมาจากปากเขาอีกเลย มือหนาที่ถือตราแม่ทัพอยู่นั้นกำแน่นขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะเดินหันหลังจากไป พร้อมๆกับแสงเทียนที่ค่อยๆดับลง และความว่างเปล่าของนางในความหลังอันมืดมิด
+++++++++++++++++++++++++++++
“แกต้องโดนประหาร เทรวิส บาเลอร์ฟอน”เสียงจากเด็กหนุ่มมาดนักเลงดังขึ้นอีกครั้ง
ประหาร!!!!
ร่างทั้งร่างลุกพรวดขึ้นจากที่นอน ด้วยเหงื่อที่โทรมเต็มร่างกาย นัยน์ตาคู่เขียวเบิกโพลงจับภาพแทบไม่ชัด ตอนนี้ที่แห่งนี้ไม่ได้เหมาะสำหรับเขาเลยซักนิด
ใช่! ไม่เหมาะเลย
ร่างสูงกระโดดแผล็วลงจากเตียง ก่อนจะวิ่งปรู๊ดออกจากห้องไปด้วยเสียงอันอึกกะทึกครึกโครม จนชนข้าวของล้มระเนระนาด โดยไม่ทันนึกถึงนายทหารยามเฝ้าประตูที่กำลังจ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ในวินาทีนั้นเองเขากลัวแทบจับใจ หากแต่สายตาสองคู่นั้นก็เบือนกลับไปมองตรงอย่างเดิมอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นมากไปกว่า เจ้าชายซุ่มซ่ามคนหนึ่ง
ผ่านด่านแรกมาได้...... ด่านต่อไปต้องทำเนียนเข้าไว้.............
เทรวิสเริ่มวางมาดเป็นเจ้าชายอุลริคเต็มขั้น หัวใจที่เคยเต้นปกติตอนนี้มันเหมือนจะออกมาเต้นแร้งเต้นกาอยู่ข้างนอก การแสดงบทราชนิกุลผู้สูงศักดิ์มันทารุณกว่าให้ไปแก้ผ้าโดดแม่น้ำกลางฤดูหนาวเป็นไหนๆ เพราะอย่างน้อยมันก็ไม่ทำให้ร้อนขนาดนี้
มันร้อนจนอยากจะบ้า
เหงื่อเม็ดเป้งกำลังหยดย้อยตามสันจมูกโด่งสวย และผุดพรายบนใบหน้าเนียนขาวแบบลูกผู้ดีมีกะตัง ชุดครุยยาวคลุมลากพื้นนั้นก็ยิ่งทำให้เป็นความทรมานอย่างสาหัส เมื่อการเดินแต่ละก้าวที่จะแสนจะยากเย็นเต็มทีอยู่แล้ว ยังต้องมาคอยระวังชายที่มันโผล่มาให้เหยียบได้ตลอดเส้นทาง
ทำเนียนเข้าไว้.......เก็กเข้าไว้.......อย่าหลุดนะแก....จำไว้เป็นเจ้าชาย...เจ้าชาย...เจ้าชาย....
เสียงพึมพำ พร้อมกับการสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันมาตีหน้าขรึม และพยักหน้าเล็กน้อยให้กับอัศวินหนุ่มที่เดินผ่านมาทำความเคารพให้ตามมารยาท
รอดไปหนึ่ง...........
จวนมาถึงส่วนหน้าของพระราชวังเต็มที เขาผ่านมาแล้วสามส่วน ตั้งแต่ทิศตะวันตกส่วนบน ลงมาส่วนล่าง แล้วมาที่โถงกลาง เผชิญใครต่อใครมากหน้าหลายตาก็ดูจะผ่านมาได้แบบกระท่อนกระแท่น
แต่แล้วเพียงแวบเดียวที่เขาเหลือบไปเห็นบนพระราชวังส่วนบนที่ดูผิดสังเกตยิ่งนัก ทหารสวมเกราะกำลังแยกย้ายกันเป็นกองๆ ให้ใจหล่นฮวบ
ความแตก!!
ความคิดเดียวที่ฝีเท้าใส่สปีดเกียร์หมาโกยแนบออกให้เร็วที่สุด ไม่สนแม้สายตาใครต่อใครที่จับจ้อง ขอเพียงออกจากที่แห่งนี้ได้เป็นพอ
โครม!!
ชนใครวะ?
ร่างทั้งร่างหงายตึง ก้นกระแทกพื้นลงไปเต็มๆ หากแต่ไม่ใช่ร่างเขา แต่เป็นเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลไหม้ระบ่าที่หวีจัดทรงไว้อย่างเนี๊ยบ นัยน์ตาสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับเทรวิสกำลังหรี่ลงด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าที่ดูดีบิดเบี้ยวไปมาด้วยอารมณ์ต่างๆนานาของหนุ่มน้อยผู้สูงศักดิ์ ผิวขาวขึ้นสีแดงจัดด้วยความอาย และความโมโห.... เบือนมามองเสื้อผ้าที่เขาผู้นี้สวมใส่ มันไม่ได้ต่างจากเขาเลยสักนิด....
มันไม่มีอะไรต่างจากเขาต่างหาก!!!
“บังอาจ แกเป็นใครกันแน่?”เด็กหนุ่มลุกขึ้นทันที พร้อมๆกับจัดอาภรณ์ให้เข้ารูป โดยยังไม่ได้มองคู่กรณี
“แกมีโทษ อย่......”เสียงอันเกรี้ยวกราดอหยุดลงด้วยความตะลึง ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมามองเทรวิสที่กำลังอ้าปากค้าง
“แก.. แกเป็นใคร??”เสียงตะกุกตะกักกล่าวออกมาอย่างยากเย็น “แก.....เหมือนฉัน”สีหน้าที่ฉงนอยู่ค่อยๆคลายออก พร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยน์ที่มุมปาก ก่อนจะตะโกนเสียงราวกับฟ้าผ่า
“ทหาร! จับมัน!”
สิ้นเสียงปากที่กำลังอ้าปิดลงทันที พร้อมๆกับน้ำลายอึกใหญ่ที่ค้างเต็มลำคอ ร่างสูงแข็งทื่อกระดิกกระเดี้ยไม่ออก ก่อนจะรวบรวมสติเผ่นด้วยฝีเท้าที่พึ่งพาได้ทุกเมื่อ โดยอาศัยความงุนงงของเหล่าบรรดาทหารที่กำลังสับสนว่าใครเป็นใคร
คนไหนคือ เจ้าชาย?
เหมือนฟ้าดินจะเป็นใจ ม้าหนุ่มสีดำสนิทถูกผูกไว้ใกล้ๆกำลังหายใจฟืดฟาดราวกับต้องการทะยานสุดกำลัง อาจเพราะเป็นจังหวะที่ขุนนางได้มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน และคนเลี้ยงมายังไม่ได้เอาม้าตัวนี้ไปเก็บในคอก มันจึงกำลังจะกลายม้าตกอับของนักโทษคดีอุกฉกรรจ์
“ไปเร็ว ช่วยฉันหน่อย”เทรวิตบไปบนสีข้าง และควบสุดแรงเกิด เรี่ยวแรงมหาศาลที่ม้าหนุ่มได้ทะยานออกตัวนั้น รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
“จับมัน! มันปลอมตัวมา”เจ้าชายตัวจริงเสียงจริงตะโกนลั่นไล่หลัง สั่งทหารอีกครั้งเพื่อยืนยันค่ำสั่งเดิม
แต่สายไปแล้วที่ทหารเหล่านั้นจะตามทัน.....
เขาหลุดพ้นการจับกุมอย่างฉิวเฉียด และที่หมายแห่งแรกที่ต้องแวะอำลาคือบ้านหลังโทรมๆแห่งเดิม...
ภาพกิจวัตรประจำวันของชายวัยกลางคนที่กำลังตอกหลังคาไม้ด้วยความมุ่งมั่น นัยน์ตาคู่เขียวคู่นั้นยังคงฟ้าฟางอยู่เช่นเคย เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ชุ่มโชกและเปรอะเปื้อนตั้งแต่หัวจรดเท้า คิ้วหนาๆที่ขมวดลงอย่างจดจ่อกับงานที่ทำนั้นเป็นภาพที่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“พ่อ พ่อ”เทรวิสตะโกนเรียกแล้ว หากแต่ยังไม่มีทีท่าว่าคนเป็นพ่อจะได้ยิน
ทันใดนั้นเอง ทหารในชุดเกราะนับสิบได้กรูเข้ามารวบตัวไว้ทันที และมัดด้วยเชือกป่านหนาทั้งข้อมือและข้อเท้า สีหน้าของทหารราวกับยิ้มเยาะและหัวเราะด้วยเสียงอันน่าชิงชัง
“แกตายแน่ไอ้หนู”นายจมูกหนา ว่าเสียงทุ้มๆปนเยาะเย้ยขำขัน พลางมัดเชือกให้แน่นขึ้น
“ริอาจมาเป็นเจ้าชาย เจียมกะลาหัวบ้างมั้ย ฮ่าๆๆๆ ไอ้เด็กโง่”นายทหารอีกคนว่าเสริม พร้อมกับเสียงหัวเราะครืนอันชวนน่าขนลุก มันบีบก้องกังวานอยู่ภายในสมองน้อยๆของเขา นัยน์ตาคู่เขียวที่เริ่มเอ่อและแดงก่ำพยามยามไขว่คว้าไปมองผู้เป็นพ่อที่ดูไม่ได้ใยดีเขาสักนิด
“พ่อ!! ช่วยด้วย ผมไม่อยากโดนจับ”เสียงร่ำร้องทั้งน้ำตา ร่างทั้งร่างดิ้นเร่าเหมือนหนูติดจั่น และร้องเรียกหาพ่อเหมือนเด็กนิ้วติดขวดนม
นายแธชเชอร์เหลียวมาสบตากับเทรวิสผู้เป็นลูกด้วยความเย็นชากึ่งสมเพช ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความดุดัน
“หาเรื่อง! แกยังมีหน้ามาเรียกข้าว่าพ่ออีก”นิ้วอันสั่นเทากำลังชี้มาด้วยความเดือดดาลพลุ่งพล่าน ใบหน้าที่เริ่มชราแดงก่ำและแสยะออกราวกับเสือที่กำลังจะขย้ำเหยื่อและฉีกออกเป็นชิ้นๆ ก่อนจะกล่าวถ้อยความอย่างแจ่มแจ้ง เท่าที่สมองน้อยๆของเทรวิสจะได้จดจำชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ
“ถ้ารากฐานยังไม่แข็งแรง ขึ้นไปอยู่บนหลังคา ดีกว่าขึ้นไปสู่อำนาจแห่งผู้ปกครอง หากแกตกลงมา มันเจ็บน้อยกว่ากัน จำไว้”
“ได้เวลาแล้วไอ้หนู โน่น เชือก! เอาไว้ แขวนคอ”เสียงใหญ่กลั้วหัวเราะดังขึ้น พร้อมๆกับแรงของเชือกมัดมือที่กระตุกสุดแรง ร่างทั้งร่างแทบจะล้ม เพราะมันหมดเรี่ยวแรงตั้งแต่เห็นเสี้ยวของลานประหารแล้ว
“แกตาย......”
ม่าย!!!!!!!!!!
++++++++++++
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น