ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Conquest of Devilment Empire

    ลำดับตอนที่ #4 : วันสุดท้าย...

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 51


    Chapter 4 วันสุดท้าย...





    “เฮ้ย เทรวิส ทางนี้ฉันเก็บเสร็จเรียบร้อยแล้ว แกจูงม้ามาทางนี้หน่อยสิวะ ฉันจะได้เอาสัมภาระขึ้นม้าซะที”



    เทโรเพื่อนหนุ่มตัวเล็กบาง ตะโกนแผดในลำคอ เรียกเจ้าเพื่อนที่หายจ้อยรับหน้าที่ไปปล่อยม้า ที่มันไปนานกว่าเวลาที่ควรจะเป็น





    กุบๆ กับๆ



    เสียงย่างเหยาะ คละมากับเสียงร้องของเจ้าเดนนี่พร้อมๆกับเด็กหนุ่มสูงเพรียวที่ตอนนี้เหงื่อโทรมกาย เปียกชุ่มตั้งแต่หัวน้ำตาลทองๆ ไล่มาจนเสื้อเก่าๆสีน้ำตาลแก่ให้โชกด้วยน้ำ เอื้อมมือข้างที่เหลือเปิดประตูไม่โรงนาออก พลางขมวดเชือกหนาลากอะไรบางอย่าง ที่ดูทุลักทุเลไม่เบา ให้คนมองนึกเอะใจ ลูบผมเกรียนสีชาแบบคร้านๆ ก่อนขยับกายชะโงกดูด้วยความสนใจ



    “ลากอะไรมาวะนั่น”นัยน์ตาสีฟ้าใส หรี่เล็กเพ่งผ่านความมืด แล้วก็ต้องเจอเข้าอย่างจัง กับม้าที่เจ้าตัวหวัง..........



    เอาม้าตัวเล็กๆ.....



    เส้นอารมณ์มันจะขาดเอาซะดื้อๆก็ตอนนี้แหละ



    “ไอ้บ้า!!!!! ฉันสั่งให้เอาม้า แล้ว แก เอา ลา มาทำไมวะ หา!”



    คนขัดคำสั่งหัวเราะแห้งๆ  ลาก ‘ลาแก่’ ที่โง่แสนโง่ แล้วคว้าข้อมือของคนตัวเล็กกว่ายัดเชือกใส่ในมือแบบไม่ต้องดูสีหน้าเพื่อนตัวน้อยซักนิด แล้วก็หันมายิ้มให้นิดก่อนจะผิวปากฮัมเพลงไม่รู้ไม่ชี้



    นัยน์ตาสีฟ้าขุ่นขึ้ง สบถยาวเหยียดไม่สมกับร่างเล็กบางๆแม้แต่น้อย แต่มือก็ต้องคว้าสัมภาระอย่างเลี่ยงไม่ได้  โยนไปพาดไว้บน‘ม้าตัวเล็ก’ ที่ไอ้เพื่อนมันหามาให้ แต่มันก็ดูจะเชื่องช้า และแก่หง่อมเป็นทวดลาได้ทีเดียว



    จัดเสร็จก็ได้ฤกษ์ต้องปีนขึ้นไปขี่อย่างเสียมิได้  ทั้งๆที่เพื่อนหัวน้ำตาลทองนั่นมันกับได้ขึ้นขี่ม้า ที่ดูจะเท่ห์กว่าเป็นกอง



    ม้าหนุ่มเดนนี่ก็ใช่ว่าจะสวยสง่า แต่เมื่อนายของมันได้อยู่คู่กายนั้น กับขับให้ภาพรวมดูน่าเกรงขามกว่าเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งท่วงท่า อีกรูปร่างหน้าตา ที่คมคายราวกับภาพเขียนบรรจงสร้าง อันแต่งแต้มเครื่องหน้าสมสั ดส่วน ทั้งแกร่งและอ่อนโยนเคล้ากันอย่างเหมาะสม



    ประกอบกันแล้วก็อดตาร้อนไม่ได้ ไม่เว้นแม้แต่ใบหน้าที่มันยังคงยิ้มระรื่น ยามคอขาดบาดตาย



    เหลือบมามองตัวเอง ก็ต้องถอนใจยาว ตัวเล็กๆขี่ลาแก่ หอบข้าวของอีรุงตุงนัง สรุปก็ต้องปลงตก



    แต่จนแล้วจนรอดอารมณ์ก็ดันพุ่งสูงปรี๊ด กับคำกระเซ้าจากเพื่อนที่มันอยู่สูงกว่า



    “อะฮ่า เทโร! เหมาะกับแกดีนี่หว่า ขี่ทำไมม้า ขี่ลาแกเท่ห์กว่าตั้งเยอะ”แล้วคนว่าก็หัวเราะซะยาว จนเจ้าเพื่อนคนถูกแซว หน้าแดงก่ำเป็นมะเขือเทศ







    ตึก..ตึก..ตึก…



    เสียงฝีเท้าของบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ พร้อมกับแสงคบเพลิงสาดส่องเป็นดวงเคลื่อนคล้อยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ  ผ่านรูช่องกระดานไม้ ให้ผู้บุกรุกต้องเงียบเสียงลง แล้วหันมามองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจกระโดดผลุง ลงจากทั้งหลังม้าหลังลา แล้วลากพาหนะเข้าไปหลบในมุมอับ





    แอ้ด!!!



    ประตูไม่เก่าๆถูกเปิดออก



    บุรุษร่างใหญ่โตคนหนึ่ง กำลังหอบถุงกระสอบสองถุงแบกมาเก็บไว้ในที่ซ่อน จากการคาดการคิดว่าน่าจะเป็นลูกน้อง ซึ่งไม่ได้เข้าไปร่วมสังสรรค์กับบรรดาพลพรรค



    เทรวิสเหลือบนัยน์ตาคู่เขียวมรกตใสสะท้อนแสงคบไฟแวววาวดั่งลูกแก้วล้ำค่า จับจ้องไปหาเจ้าหนุ่มน้อยร่างบางนามเทโร แล้วขยิบตาเป็นที่รู้กัน ตระเตรียมหยิบดาบออกมาพร้อมรับมือ อย่างเลี่ยงไม่ได้



    พลันที่เทรวิสสัมผัสดาบ ก็หวนคิดไปถึงสิ่งค้างคาใจ.....



    ดาบในตำนาน?



    คิดได้แค่นั้นก็ต้องขับไล่ออกไป ปรายสายตามามองเรือนดาบต้นเรื่องแบบปลงๆ ก่อนลอบถอนหายใจยาว เพราะเวลานี้มันไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งไตร่ตรอง หรือนั่งขบปัญหาโลกแตก



    เอาวะ ใช้ก็ใช้ นานๆจะได้ใช้ของดี



    เทรวิสยักคิ้วเข้มให้เทโรแบบกึ่งเล่นกึ่งจริง ก่อนพยักหน้า แล้วโผล่พรวดออกไปรับมือ



    “เงียบปากเอาไว้ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว”



    เทรวิส แทบจะคำรามกระหึ่มในลำคอ ประกายยียวนกวนประสาทดูจะเลือนหายไปสิ้น นัยน์ตาคู่เขียวมรกตวาวโรจน์ปะทะแสงรำไรในความมืดไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าคู่ต่อสู้ ที่มีร่างใหญ่ ลำตัวหนาอวบอูมด้วยกล้ามเนื้อและกำลังเหนือกว่า



    หัวสมองเทรวิสกำลังประมวลทางรอด ตลอดจนเอนกายไปสำรวจรอยเท้าที่ศัตรูสร้างขึ้น แล้วก็ต้องยิ้มกริ่มในใจ



    หนุ่มน้อยตวัดดาบเล่มยาวคู่กายออกมาตั้งท่ารับมือ ร่วมกับมีดสั้นคู่ อาวุธประจำกายเทโร



    “หืม!!!”



    เสียงครางกระหึ่มด้วยอารมณ์เยาะ ขยับรอยยิ้มกระตุก แล้วขากเสลดถ่มน้ำลายลงพื้น ด้วยแววชังปนหยามเหยียด



    “ไอ้หนู แกกล้ามากนะที่บุกมาถึงที่นี่”เสียงใหญ่แหบพร่าของนักเลงร่างโต กล่าวด้วยเนื้อความช้าๆแต่เหื้ยมเกรียม



    รอยยิ้มเยาะยังเผยออยู่บนริมฝีปากหนา ยกมือขึ้นแบเพื่อให้เจ้าเด็กสองตัวได้เห็นว่า คู่ต่อสู้ไร้อาวุธ แต่ยังคงจะตั้งท่าสู้ ถึงแม้ว่าจะเป็นสองรุมหนึ่งก็ตาม ก่อนจะยกมือหนาขยับมือเรียก พร้อมกับถ่มน้ำลายอีกรอบ



    “เข้ามาพร้อมกันทั้งคู่เลย... ไอ้เด็กเวร







    เคร้ง!



    เสียงดาบหนักกระทบพื้นดินแบบไม่ปราณีปราสัย เพราะเจ้าเด็กหนุ่มหน้าคมคาย มันโยนโครมทิ้งไปซะเฉยๆ ซ้ำมันยังมีหน้าทำเสียงกวนเส้นอารมณ์ โบ้ยไปให้เจ้าเพื่อนรักข้างๆซะอย่างนั้น



    “เทโร แกจัดการคนเดียวแล้วกัน ฉันไม่สู้กับคนไม่มีอาวุธ แล้วฉันก็ไม่สู้กับคนไม่สมบูรณ์ทางร่างกาย  สองรุมหนึ่ง สู้ไปก็ไม่สมศักดิ์ศรี”



    นัยน์ตาคู่เขียวฉายประกายหยามเหยียดพุ่งตรงไปยังนักเลงร่างใหญ่ ก่อนจะหันมายิ้มแป้นให้กับเจ้าเพื่อนโดนโบ้ยงาน ที่มองอย่างงงๆพักหนึ่ง ก่อนจะยักไหล่รับอย่างเลี่ยงไม่ได้ ลองมันจะไม่สู้ จะไปแค่นมันก็คงไม่ได้



    แต่สีหน้ายิ้มหยันของคู่ต่อสู้กับเผือดลง อย่างเห็นได้ชัด สายตาเริ่มคุขึ้นด้วยโทสะ คำว่า ‘ไม่สมบูรณ์ทางร่างกาย’มันเป็นผลกับอารมณ์ให้เดือดดาล



    มันรู้ได้ยังไงกัน ไอ้เด็กเวรนี่?



    ชายร่างใหญ่ขยับขาซ้ายอย่างร้อนตัว แต่แววดุดันตอนนี้กลับทบทวีเพิ่มพูนขึ้นเป็นสองเท่า กวาดสายตามองหนุ่มร่างจ้อยที่โดนเพื่อนเกี่ยงมาเป็นคู่มือแล้ว มันดูถูกกันชัดๆ



    “จะให้ข้าสู้กับไอ้เปี๊ยกนี้คนเดียว ข้าก็ไม่อยากจะสู้ให้เสียเวลา”เสียงแหบพร่ายังคงเน้นชัด และดังกระหึ่มขึ้น ก่อนชี้นิ้วมือไปยังเจ้าหนุ่มต้นเรื่องตัวจุดชนวน



    “เอ็ง!ไอ้หน้าอ่อน มาสู้กับข้าอย่างสมศักดิ์ศรี ดาบประทะดาบ ไม่มีการออมมือ”







    +++++++++++++++++







    “ไอ้เทรวิส กับเทโรมันไปทำซากอะไรของมันตั้งนานสองนานว้า เดี๋ยวปัดเตะกระเด็นทั้งคู่ซะเลยนี่”



    เสียงบ่นงึมงำของเจ้าเพื่อนที่คอยจัดการอยู่กับพวกนักเลงในบาร์ พลางเตะโครมไปที่หินก้อนเบ้อเร่อ แล้วก็ต้องมานึกขึ้นได้ว่าไอ้หินแข็งๆนี่มันไม่ใช่ไอ้เพื่อนสองตัว เลยต้องมายกมือคลำเท้าอย่างน่าเวทนา เพิ่งมารู้สึกเจ็บเอาก็ตอนเห็นเท้าบวมเป่งไปแล้ว





    “เฮ้ย! ใกล้ออกไปได้แล้วโว้ย”



    เสียงใหญ่ๆตะโกนดังมาจากข้างในร้าน



    “อย่าให้ข้าออกไปได้เลยนะ จะจับฆ่ามันให้หมด”



    แล้วเสียงเฮก็ดังขึ้นก้องอยู่ภายในบาร์ ให้คนจะถูกฆ่าต้องกลืนน้ำลายเอื้อก ก่อนจะเดินงุ่นง่านดูลาดเลาอยู่ใกล้ๆ





    ปั่ก ๆ ๆ



    ไม้ที่ประตูก็เริ่มร้าวเป็นแนวยาวให้ใจหายเล่น นึกอยากเผ่นไปหาเจ้าเพื่อนสองตัวนั่น แต่ติดที่ว่าจะต้องมาดูลาดเลาอยู่ตรงนี้ก่อน หากเกิดเรื่องผิดพลาดยังไง เขาก็ต้องเบี่ยงเบนเจ้าพวกนี้ออกไปให้ไกลจากคอกม้า



    ว่าแล้วก็สบถงุบงิบ ยกมือขึ้นมาหักนิ้วเล่น แล้วก็ต้องสะดุ้งตัวน้อยๆ จากเสียงแรงกระแทก





    “ใครบังอาจมาทำอย่างนี้กับพวกข้า มันผู้นั้นจะไม่ตายดีแน่! อย่าให้ข้าออกไปได้นะโว้ย!!!!!”





    กลืนน้ำลายอีกเอื้อก นึกเสียวสันหลังแปล๊บ แล้วสภาพแวดล้อมก็เริ่มไม่เป็นใจ ลมหนาวในยามดึกคืนสงัดพัดเอื่อยๆ แม้แสงเดือนยังเลือนหายไปกับราตรีเดือนมืด หันมองรอบกายก็คงมีแต่เขาคนเดียว ถึงจะคิดว่าตัวเองเก่งขนาดไหน แต่ก็ยังไม่นึกอยากเผชิญหน้า พวกนักเลงบ้าเลือดพวกนี้อยู่คนเดียว



    นึกไปถึงคำสั่งเจ้าเพื่อนตัวดี ที่มันรับปากจะคิดแผน แล้วก็อดเจ็บใจไม่ได้



    “เฮ้! วิล แกอยากประมือกับพวกนักเลงมากใช่มั้ย?”หนุ่มน้อยเทรวิสเอ่ยถาม ซึ่งก็ได้คำตอบคือการพยักหน้าจริงจัง  แล้วมันก็ยิ้มระรื่นเปื้อนใบหน้าดูดีของมัน พร้อมโยนภาระโครมเข้าให้



    “งั้นนายไปจัดการกับพวกมันทั้งแก้งที่อยู่ในบาร์ พลาดยังไงนายก็ล่อมันออกไปห่างๆฉันกับไอ้เทโรด้วยล่ะ เหอะๆคราวนี้ฉันว่าแกได้ปะทะสมใจอยากแน่ เพื่อนเอ๋ย”



    เสียงหัวเราะขบขัน ของมันยังดังกังวานก้องอยู่ในหัว แล้วเจ้าตัวก็ต้องรับปากไปเพราะกลัวเสียฟอร์ม



    นึกถึงเจ้าเพื่อนคนนี้ทีไร มันหาทางใช้เขาได้ทุกที ส่วนมันไปยิ้มระรื่น กวาดทองอยู่ในโรงม้าสบายใจเฉิบ





    ++++++++++++++++++++++





    โครม!!!!!





    ร่างหนึ่งถูกซัดกระเด็นพาเอาถังไม้ล้มครืน



    ผู้อยู่เหนือโน้มตัวลงหยิบคาบคู่กายขึ้นมา ยิ้มเยาะอย่างกำชัย หากแต่ผู้พ่ายกลับทวีอารมณ์กรุ่นในตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รอยยิ้มที่แต้มบนดวงหน้าดูดีนั้นพลันเหือดหายไปครัน



    คำว่าแพ้ ไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรม แห่งตระกูล บาเลอร์ฟอน



    ร่างเด็กหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ พลางกำชับดาบเล่มยาวแน่นจนขึ้นข้อขาว กลิ่นคาวเลือดบางๆคลุ้งอยู่ในลมหายใจ  โลหิตสีแดงสดกำลังรินจากริมฝีปาก



    เขายกมือขึ้นปาดเบาๆ นัยน์ตาคู่เขียวมรกตทอประกายขุ่นขึ้ง ไม่สบอารมณ์ยิ่ง เลือดในกายกำลังรุ่มร้อนด้วยโทสะ หากแต่ชายร่างใหญ่ตรงหน้า ยังคงเหยียดรอยยิ้มหยัน



    “แกอยากตายแบบไหน”ผู้อยู่เหนือเอ่ยถามด้วยถ้อยคำเหื้ยมเกรียม พลางตวัดดาบในมือ ย่างสามขุมเข้ามาใกล้



    “แบบที่แกไม่มีวันได้เห็นไง…ไอ้พิการ”



    เสียงเย็นเฉียบตอบกลับ อารมณ์ของหนุ่มน้อยคู่กรณีตอนนี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ขนาดเพื่อนรักเทโรที่เฝ้ามองเหตุการณ์มาตลอดยังอดเสียวสันหลังไม่ได้



    เทรวิสตั้งเรือนดาบขึ้นมาด้วยท่วงท่าน่าเกรง เมื่อคราวนี้จะขอสู้อย่างสมน้ำสมเนื้อเสียที ถึงจะรู้ว่าสุดท้ายผลตอบแทนคงไม่มีอะไรดีไปกว่า ความพ่ายแพ้ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่อย่างใดเมื่ออารมณ์เป็นใหญ่ ก็มักจะอยู่เหนือสติเสมอ



    ดาบอันแฝงด้วยปริศนาเหล็กกล้าเงาวาว แหวกผ่านอากาศปะทะคู่ต่อสู้ด้วยพลังอันหนักหน่วง





    เคร้ง!!!!



    ดาบปะทะดาบ  ดาบแรกที่เกิดจากแรงเหวี่ยงของผู้ที่เริ่มจะสู้จริงจัง



    หลังจากการหลบดาบอยู่เนิ่นนาน และยกขึ้นมารับบ้างเป็นครั้งคราว แต่ไปๆมาๆวิถีดาบที่ปะทะ กลับเป็นดาบตายทั้งคู่  เขาไม่นึกว่ามันจะปล่อยดาบ แล้วหันมาซัดหมัดทั้งดุ้น จนทำให้พลาดท่ากระเด็นโครมไปกระแทกถังไม้ อย่างน่าขายหน้าทีสุด



    คิดแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมาอีก ตวัดดาบเล่มยาวในมือฟาดฟันใส่ศัตรูร่างใหญ่ อย่างไม่สนว่าคู่ต่อสู้จะได้เปรียบที่รูปร่างขนาดไหน  พลางหลบดาบที่ตวัดลงมาอย่างปราดเปรียว ส่งให้แรงดาบของคู่ต่อสู้พลาดเป้าหมาย เซเสียหลักทั้งตัว



    เทรวิสใช้โอกาส ลอยตัวขึ้นโหนขื่อไม้ที่ยื่นออกมา ก่อนจะเหวี่ยงตัวถีบชายผู้พลาดท่า ให้กระเด็นไปหมกอยู่ในกองฟาง แล้วกระโดดลงสู่พื้นอย่างสวยงาม ท่ามกลางสียงเชียร์มวยเป็นระลอกจากเพื่อนที่โดนตัดชื่อออกจากรายการ แล้วระเห็จไปเป็นคนดูอย่างเต็มตัว



    แต่เรื่องแค่นี้ก็ยังเอาชนะความอึดของคู่ต่อสู้ไม่ได้ ร่างใหญ่ๆกำลังยันกายขึ้นมาอย่างไม่สะทกสะท้าน ถึงแม้ว่าด้วยขาซ้ายที่ไม่สมบูรณ์ แต่ความแข็งแรงหรือความอึดที่มีมากกลับเข้ามาแทนที่ได้เป็นอย่างดี



    “ขอปิดเกม ตอนนี้เลยแล้วกัน”เทรวิสหันไปกล่าวแบบกึ่งขบขันกับเพื่อนรัก พลางชายตาไปมองถุงทรายสองสามถุงใหญ่ที่ถูกผูกอยู่บนเพดาน



    “หลับฝันดีนะ พรรคพวก” สิ้นเสียงก็เงื้อมดาบเข้าตัดเชือกหนาที่ผูกติดกับถุงทราย ให้ดิ่งลงฟาดหัวกบาลของชายตรงหน้าอย่างแม่นยำ  



    ก็จะไม่ให้แม่นได้ยังไง ในเมื่อมันดันไปยืนอยู่ใต้เครื่องน็อกเอ้าท์พอดิบพอดี





    แอ็ก!!!



    แล้วฝุ่นหนาก็ลอยฟุ้งตลบอบอวล พร้อมกับร่างใหญ่ๆที่ลงไปกองสลบเหมือด



    คนชนะไม่รีรอแต่อย่างใด โบกมือเรียกเทโรให้ไปลากลามา ก่อนจะผิวปากเรียกเจ้าม้าเดนนี่ แล้วควบตะบึงออกจากที่เกิดเหตุโดยพลัน



    ดาบเล่มสวยช่วยชีวิต ถึงแม้ว่าจะเป็นดาบแปลกๆ แต่ก็ต้องนึกขอบคุณ เพราะหากนำดาบเก่าๆเล่มเดิมมาใช้ คงหักสามสี่ท่อน ตั้งแต่ยังไม่ได้ลงมือ  



    นึกแล้วก็ตวัดดาบเหน็บไปที่ย่ามที่พาดอยู่ข้างๆสีข้างของเจ้าเดนนี่ พลางลดความเร็วลงรอเจ้าเพื่อนกับพาหนะของมัน ที่เดินตุบปัดตุบเป๋ ออกนอกเส้นทางอยู่ร่ำไป พร้อมกับเสียงบ่นสบถหงุงหงิงไม่ขาดสาย ของเจ้าเทโร ที่ดันไปทะเลาะกับลา



    “เฮ้ยเทโร ให้มันไวๆหน่อยสิวะ เดี๋ยวมันก็แห่กันมาหรอก”เทรวิสว่า พร้อมกับกระตุกสายบังเหืยนเจ้าเดนนี่ให้เดินไปเทียบข้าง



    “ถ้าแกอยากให้ฉันไปได้ไวๆ แกก็ลงมาจากม้า แล้วเอามาให้ฉันขี่ซะสิวะ มา ลงมาเดี๋ยวนี้เลยมา”เทโรว่า ด้วยอารมณ์หงุดหงิด พลางหันไปมองเทรวิสที่หน้าบอกบุญไม่รับ หัวเราะแหะๆ เลยต้องคลายความขุ่นเคือง แล้วว่าเสียงกลั้วหัวเราะ“อยากรู้จริงเชียวว่า ไอ้หน้าตาของนายมันจะช่วยให้ขี่ลาได้เท่ห์กว่าฉันบ้างมั้ย”



    เทรวิสยักไหล่ นัยน์ตาคู่เขียวมรกตประกายระริก ดีดนิ้วเปาะ



    “คนมันหล่อ ต่อให้ขี่หมา เค้าก็ว่าเท่ห์”รอยขบขันพรายบนใบหน้าขาว คิ้วเข้มยักขึ้นยั่วน้อยๆ ก่อนจะเหน็บเค้าให้



    “ส่วนนายตัวกะเปี๊ยกอย่างนี้ ต่อให้ขี่มังกร คนเค้าก็หัวเราะ เผลอๆมีตั้งวงพนันขันต่อกันอีกด้วย ว่านายจะตกลงมาเมื่อไหร่”



    เทรวิสหัวเราะขำๆ  แต่เจ้าเพื่อนเทโรจนต่อคำพูดไปเรียบร้อยแล้ว รู้จักกันมาก็หลายปี ไอ้นิสัยชมตัวเองไม่ละอายปากนี่ก็แก้ไม่หายซักที แถมมันยังชอบหาจุดอ่อนมาจี้อยู่เรื่อย



    แย่.....ปากมัน แย่มาก





    “อ่ะ เทโร ฉันฝากแกไว้หน่อย” เทรวิสหยิบดาบที่เก็บไว้ในย่าม โยนให้หนุ่มร่างเล็กที่คว้าไว้ จนแทบจะตกจากหลังลา



    “เอามาให้ฉันทำไมวะ”



    “ตอนนี้ฉันยังเอากลับบ้านไม่ได้ เดี๋ยวพ่อเห็นละซวยสามสี่ตลบแน่ๆ ฉันไม่อยากสาธยายเรื่องอะไรยาวๆ”เทรวิสกล่าวเอือมๆ



    “แล้วดาบนี่?”เทโรมองเรือนดาบอย่างสงสัย ดาบเล่มนี้เขาก็เพิ่งเคยเห็นเพื่อนคนนี้นำมาใช้วันแรก แล้วดูท่าทางดาบเล่มนี้จะแปลกตา เกินกว่าจะเป็นสมบัติของช่างมุงหลังคา



    “ไม่รู้!!! จบ ไม่ต้องถาม อยากรู้อะไรไปถามวิลมันโน้น”



    มันโบ้ยอีกแล้ว



    เทโรถอนหายใจยาว พลางยักไหล่ แล้วยัดดาบเก็บรวมกับข้าวของที่ขนมา







    ฟั่บ



    ขวานด้ามเบ้อเร่อลอยคว้างผ่านอากาศ มาปักอยู่บนพื้นตรงหน้าลาน้อยของเทโรพอดิบพอดี มันยกขาหน้าขึ้น ร้องครางอยางขวัญหนีดีฝ่อ ก่อนจะวิ่งวนอย่างเสียสติ



    “เฮ้ย หยุดๆๆ”เทโรร้องลั่น ตอนนี้ภาพต่างๆมันจับทิศทางแทบไม่อยู่



    “พวกนั้นมันออกมาได้แล้ว เรารีบไปกันเถอะ ฉันว่าไอ้วิลมันคงจะต้องรับศึกหนักอยู่แหละตอนนี้”เทรวิสขมวดหัวคิ้วมุ่น มองด้ามขวานเก่าๆ ที่คาดว่าคงเป็นลูกหลง กะประมาณแรงของเจ้าพวกนี้ มันขว้างขวานกันแต่ละที คงห่างอยู่เหมือนกัน



    แต่สถานที่ตรงนี้ก็ไม่ได้ไกลจากเสียงฝีเท้าที่เดินย่ำกันพลุกพล่านยามดึกมากเกินกว่าจะวางใจ  แสงไฟคบเพลิงนั้นจุดสว่างไสว เป็นที่ให้น่าคิดถึงเพื่อนอีกคนว่าจะอยู่รอดปลอดภัยหรือไม่ แต่ความเชื่อมือและเชื่อใจก็ต้องมาก่อน เมื่อปล่อยให้จัดการ เขาก็ต้องทำหน้าที่ของเขา ไม่ก้าวก่ายกัน





    “อ้าก.........ก......ก.....ก...ก... ช่วย.....ด้วย.....”



    เสียงร้องหลง ห่างออกไป เมื่อเทรวิสหันไปมองก็ต้องพบว่า เพื่อนตัวจ้อยได้โดนลาโง่ ลักพาตัวเตลิดกระเจิดกระเจิง ไปได้ไกลโขทีเดียว



    “เฮ้ย เทโร!”



    ตะโกนเรียกดังมากก็ไม่ได้ ถึงนึกอยากตามไปช่วยขนาดไหน แต่วันนี้ก็เหนื่อยมากพอแล้ว ปล่อยให้มันได้ผจญภัยซะบ้างคงขำดี



    เทรวิสหัวเราะเบาๆ ส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนจะตะบึงควบม้ากลับบ้านในทันที แยกกันตรงนี้คงจะปลอดภัยกว่า



    ++++++++++++++++++++++





    ฝีเท้าเจ้าเดนนี่ไวสมกับเป็นม้าหนุ่ม ภายในเพียงชั่วไม่กี่นาที เทรวิสก็ได้มาถึงบ้านที่อยู่อาศัยตั้งแต่เด็กจนโต



    ยามค่ำคืนเช่นนี้ สภาพบ้านหลังนี้ดูเหมือนบ้านร้างเสียมากกว่า



    ภายใต้ความบุโรทั่งนั้น สิ่งที่เทรวิสอดใจไม่ดีไม่ได้ นั่นคือดวงไฟตะเกียงที่ยังคงจุดสลัวๆรอดหน้าต่างบานเก่า ในห้องข้างล่าง ราวกับกำลังมีคนที่อยู่เบื้องหลังได้เฝ้าคอยการกลับมาของเขา



    ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ก็ทำให้เทรวิสรู้สึกผิดมากในเวลานี้



    พ่อ!



    สายคล้องเจ้าม้าเดนนี่ดูเหมือนจะถูกดึงให้หยุดอยู่ห่างที่หมายอยู่หลายเมตร



    เทรวิสกระโดดลงอย่างเงียบเชียบ พลางกระสับกระส่ายว่าจะหาทางเข้าไปในบ้านได้อย่างไร หรือจะหาข้อแก้ตัวอะไรมากล่าวอ้าง กับพ่อบังเกิดเกล้า



    ลมเอื่อยๆพัดมาแล้ว ไอน้ำจับตัวลงแล้ว แต่เขานี่สิ ยังต้องอยู่นอกบ้าน  อยู่นอกความเข้าใจของพ่อ……..







    วินเทอร์ ดรีมเมอร์..... วินเทอร์ ดรีมเมอร์..... วินเทอร์ ดรีมเมอร์.....





    เสียงเย็นยะเยือกดังกังวาน อย่างแผ่วเบาราวกับเสียงนั้นกำลังกระซิบอยู่ที่ข้างหู  รู้สึกแม้กระทั่งลมอ่อนๆที่ต้องใบหู จนทำให้ขนในกายลุกซู่อย่างเฉียบพลัน



    สายลมนั้นพัดแรงขึ้น....แรงขึ้น....



    แรงขึ้นจนกิ่งไม้ใบไม้ระแวกนั้นโหมกระพือ มันเหมือนกับบางอย่างผิดปกติ  ลมที่พัดเข้ามาต้องผิวกายนั้นหนาวจับจิต หนาวจนเขาไม่มีเวลาได้รู้ว่า.....



    มันมุ่งมาหาเขาคนเดียว!



    สายหมอกสีเทาขาวเริ่มปรากฏอยู่เหนือหัว แผ่วงกว้างฟุ้งจนคลุมกายของเด็กหนุ่ม



    กลิ่นหอมรัญจวนใจตลบอบอวล ก่อนจะเริ่มทำให้สติที่มีอยู่นั้นพร่าเรือน แล้วศีรษะก็หนักขึ้นจนแทบจะทรงตัวไว้ไม่อยู่ หากแต่ตอนนี้เทรวิสทำได้เพียงคงสติไว้ เพราะเพียงแค่ลืมตาตอนนี้เขาก็ทำได้ยากยิ่งนัก



    “ม่าย...”



    เสียงครางเบาๆ แต่ไม่มีใครได้ยิน ไม่แม้กระทั่งนายแธชเชอร์ที่น่าจะนั่งรออยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่ทำไมพื้นที่แถวนี้เหมือนกับถูกมนต์สะกดสาปไว้



    แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!!!



    คำถามที่ประดังประเดในใจไม่หยุดหย่อน



    แต่แล้วก็ต้องสะท้านทั่งร่างเมื่อเสียงเดิมนั้นกำลังเอื้อนเอ่ย



    “ด้วยมนตราแห่งสายลมหวน...... จงบันดาลห้วงนิทราในบัดดล......”



    สำเนียงเสนาะไพเราะดั่งเสียงลมหวีดหวิวเป็นท่วงทำนอง เป็นประกาศิตสุดท้าย  ก่อนที่เด็กหนุ่มจะจะเข้าสู่วังวนนิทรา



    วันสุดท้ายของเด็กหนุ่มลูกช่างมุงหลัง กำลังจะหมดไปแบบที่ไม่มีวันหวนกลับ.......



    +++++++++++++++++++++++
    15 มิย. 48




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×