ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ความผูกพันพ่อลูก
Chapter 2 ความผูกพันพ่อลูก
นครหลวงแห่งอาณาจักรเคดาส....
สายลมเย็นย่ำ ยามรุ่งทิวา และเล็มยอดหญ้ายามหยาดน้ำค้างรุ่งอรุณปลิวปราย กระเซ็นหยดลงสู่ดินอันอุดม แสงสีทองแห่งดวงอาทิตย์อุทัย สาดบางกระทบปราการสูงใหญ่ แห่งนครนักรบ ไล้โลมด้วยม่านหมอกบางเบาเอื่อยๆมาโอบอุ้มดวงใจในหน้าที่และภารกิจ
พื้นภพปูด้วยพรมอิฐแดงเป็นแนวตลอดจนประตูเมืองสูงใหญ่ ไล่มาจนถึงปราสาทสูงเทียมฟ้า ปลุกพลังใจในสายเลือดชาวเคดาส ในยามใดเมื่อทอดมอง หนทางอันทรงเกียรติ
..........ปราสาท ฟรอนติโซ่ แห่งราชวงศ์ อัลเทรดาน..........
ธงทิวพยัคฆ์ ขลิบเงินวาว พื้นขาว โบกสะบัดพัดกระพือ ตลอดแนวกำแพง จวบจนยอดปราสาทสูงล้ำเสียดนภา อวดศักดาแห่งความภาคภูมิ เสียงฝีเท้าของเหล่าอาชาพ่วงพีควบกุบกับ ตะบึงกระทบอิฐลาดรองรับเหล่านักรบอัศวิน ขณะชักม้าศึกตั้งแถวรอรับเสด็จ ณ หน้าปราการประตูเมือง
เสียงหวูดกู่ก้องสุดกำลัง เหนือปราการกำแพงอิฐ ด้วยความฮึกเหิม ประกาศก้องเกียรติยศให้สะท้านสะเทือนทั่วหล้า ประตูเหล็กกล้าเปิดออกช้าๆด้วยพลังอันหนักหน่วงของเหล่าอาชาไนย ส่งเสียงกระทบเสียดสีกับอิฐศิลา และโซ่ตรวนคล้องกับอัศวะพ่วงพีที่ทำการเปิดรับเสด็จเชื้อพระวงศ์องค์สำคัญ.....
เจ้าชาย อุลริค เดรโก อัลเทรดาน แห่งอาณาจักรเคดาส!
ก๊าซ!!!!
เสียงกรีดร้องแหลมสูงด้วยพละกำลัง สยายแผ่นปีกกว้างบดบังสุริยะประจวบจนผืนนภา ประกาศกู่ก้องกังวาน สยบสรรพชีวิตให้อยู่ใต้อาณัติ แบกร่างผู้ถือครองบังเหืยนที่เปี่ยมด้วยศักดิ์และศรีของเจ้าชาย ผู้ทรงพาหนะสูงล้ำ แห่งเคดาส
หนึ่งเดียวแห่งผู้ครอง... หนึ่งเดียวแห่งเกียรติยศ... หนึ่งเดียวในนาม ฟีร์กิลเดรก เดอะดรากอน มังกรอัคคีเพลิง
มังกรเกล็ดเงินดั่งแร่แซฟไฟร์ สะท้อนดวงสุริยาวาววับ นัยน์ตาสีเพลิงดุจลาวาแห่งภูเขาไฟโลกันต์ หยิ่งทะนงไม่ต่างกับผู้เป็นนาย ชักบังเหืยนร่อนลงสู่ทุ่งเหลืองอร่าม ลมโหมกระพือรุนแรงพัดเอนราบลู่ไปตามกระแสลม
เจ้าชายองค์สำคัญย่างกรายลงจากหลังมังกร ด้วยท่วงท่างามสง่า พระเกศาสีน้ำตาลประกายทองยาวหยัก รับกับรูปพักตร์และเครื่องหน้า นัยน์ตาสีเขียวมรกตหยิ่งยโสในศักดิ์ราชนิกูลยิ่งนัก หากแต่ด้วยวัยพระชันษาเพียงสิบหก ที่ยังคงฉาบในดวงเนตรลึกๆ
“ฝ่าบาท”นายทหารทรงเครื่องราชองครักษ์ น้อมโค้งศีรษะด้วยความเคารพ
“ข้าเบื่อ รู้มั้ยว่าข้าเบื่อ”คำตรัสจากเจ้าชาย ขณะเปลี่ยนพาหนะขึ้นควบอาชาสีขาวดุจหมอก พระเนตรสีเขียวมรกตสบจ้องนายทหารคนสนิทข้างกาย ที่ขึ้นควบม้าสีดำขนาบข้าง
“กระหม่อมทราบ แต่ตอนนี้พระองค์ไม่สามารถเสด็จไปแห่งใดได้อีกแล้ว เมื่อองค์ราชินีดำรัสชัดเจน”ราชองครักษ์ กราบทูล ขณะควบม้าเหยาะๆ ตามทาง
“เซอร์ชาล์มาน ท่านก็รู้ว่าข้ามันขี้เบื่อ”นัยน์เนตรคู่มรกต ฉายประกายขุ่น ก่อนเอ่ยดำรัส “ข้าต้องการเล่นสนุก”
“แต่องค์กษัตริย์ ลอยด์เออร์ พระบิดาพระองค์กำลังพระประชวรอยู่นะกระหม่อม หากองค์สมเด็จราชินีรู้จะมิทรงกริ้วเอาหรือ”เซอร์ชาล์มาน กล่าวนอบน้อม ขณะที่คนฟังกระตุกบังเหืยนอาชาให้พยศขึ้นด้วยความโกรธา
นัยน์เนตรสีเขียวฉายแววบ่งความขัดพระทัย ชักม้าแตกกระบวนแถวรับเสด็จ ก่อนกล่าว “ข้าไม่สน เจ้ามีหน้าที่ทำตามที่ข้าบอก อย่าริอาจมาสั่งสอนข้า”
“กระหม่อมมิบังอาจ”
“ดี! ข้านึกอะไรสนุกๆออกแล้ว”เจ้าชายผู้มากยศ กล่าวตรัสให้องครักษ์รับภารกิจ “ข้าจะเปลี่ยนตัว”
ฝีเท้าม้าหยุดกึก กลางคัน ขณะที่ท่านราชองครักษ์นิ่งไปอึดใจ ในคำดำรัสของเจ้าชายองค์สำคัญแห่งเคดาส... เจ้าชายผู้ไม่มีจิตใจในการปกครอง บั่นทอนความหวังอันประกอบเกียรติความศรัทธายิ่งใหญ่ แห่งชาติบ้านเมือง เมื่อผู้สืบทอดบัลลังก์ยังนึกเล่นสนุกในยามขับขัน
.........นี่หรือพระดำริของผู้เป็นกษัตริย์ ในการผลัดบัลลังก์ครั้งหน้า.......
“กระหม่อมไม่เห็นด้วย”เซอร์ชาล์มานกล่าวขัดเจ้าชายผู้สูงศักดิ์
“ท่านไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจ ข้าขอสั่งให้ท่านว่า หาใครก็ได้ในอาณาจักรนี้ที่หน้าตาเหมือนข้า นำมาเป็นเจ้าชาย”เจ้าชายอุลริคกล่าวสุรเสียงกร้าว “คำสั่ง! ถ้าท่านไม่ทำคงรู้ว่าจะเกิดสิ่งใด”
เซอร์ชาล์มานนิ่งจมสู่ห้วงคิด ก่อนลอบถอนหายใจ “พระองค์จะไปอยู่ที่ใดในยามนั้น”
“ข้าจะเฝ้ารอดูมันผู้นั้นอยู่ไม่ไกล”นัยน์ตาคู่เขียวมรกตหยิ่งทะนง ฉายประกายแพรวพราว “ท่านให้มันฝึกทุกอย่างที่ข้าฝึก และทำทุกอย่างที่ข้าทำ ยกเว้น ”คำดำรัสเงียบไปอึดใจ ก่อนทอดมองพระเนตรขึ้นไปยังปราสาทสูง
“การพบองค์สมเด็จพระราชินี ราเชล่า พระมารดาของข้า...”
+++++++++++++++++++++++
แสงตะวันแผดกล้า ในยามเที่ยง ลามเลียผืนอิฐแดงให้ขึ้นไอระอุ จวบจนผิวหนังกรำแดดของชาวเมืองผู้ประกอบกิจธุระหน้าที่ต่างกันไป เมื่อต้องอยู่ในฐานะไพร่ มิใช่ชนชั้นขุนนาง
“พ่อ!! ลงมากินข้าวได้แล้ว เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งตกหลังคาลงมาเดี้ยง ผมขี้เกียจป้อนข้าวป้อนน้ำ”
เสียงตะโกนลั่น เรียกบุคคลที่กำลังขะมักเขม้นตอกไม้บนหลังคาไม้ปังๆ ให้เงยหน้าขึ้น ปาดเช็ดเหงื่อไคลที่ย้อยลงมาชุ่มหนวดเคราเฟิ้มกับเสื้อขาดๆ แล้วหรี่สายตาคู่เขียวฝ้าฟางค้นหาเสียงเรียก ฝ่าแสงจ้าที่แยงนัยน์ตายามเที่ยง
เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลประกายทอง แหงนนัยน์ตาสีเขียวมรกตคมเข้มขึ้นมาสบ แสงแดดร้อนส่องแผดเผาใบหน้าขาวละไม ให้ต้องยกมือหนึ่งขึ้นมาป้อง แล้วกวักมือไหวๆ
“พ่อ ผมอยู่นี่ เที่ยงแล้ว ลงมาทานอาหาร เร็ว!..”น้ำเสียงกวนเส้นอารมณ์ ที่มันแยกได้ยากว่าเรียกหมาหรือเรียกพ่อ ล่องลอยมาเข้าหูคนสูงวัย
ทันทีที่นัยน์ตาคู่เขียวฝ้าฟางเหลือบมาพบเจ้าลูกตัวดี ถึงกับต้องโยนค้อนโครม ขยับมือชี้นิ้วอันสั่นเทาด้วยความโกรธ ให้ดวงหน้าที่แดงด้วยฤทธิ์แดดพุ่งเป็นริ้วๆ
“ไอ้ลูกหมา!! เดี๋ยวข้าจะลงไปอัดแกเดี๋ยวนี้ ยืนรอเฉยๆอยู่ตรงนั้นได้เลย”
ชายกลางคนหายใจฟึดฟัด ยันตัวลุกขึ้นปีนลงมาจากหลังคา ไม่ฟังเสียงหงุงหงิงกวนประสาทของเจ้าลูกชายตัวแสบ ที่ก่อเรื่องยุ่งไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้ใบหน้าที่ควรจะหนุ่มกว่านี้ กลับมีรอยย่นเพิ่มวันละสามเวลาตั้งมีเด็กหนุ่มคนนี้เกิดมา
หนุ่มหน้าใสนาม เทรวิส บาเลอร์ฟอน วัยสิบหกปี ผมสีน้ำตาลประกายทองระต้นคอรับกับรูปหน้าคมคายดูดี ที่ติดจะมอมแมมกับการใช้ชีวิตสมบุกสมบัน เจ้าของนัยน์ตาสีเขียวมรกตคมเข้มฉายประกายกร้านแกร่งแกมกวนประสาทของเด็กรุ่น กำลังจับตามองชายอายุอานามราวห้าสิบปีด้วยความเอือมระอา เมื่อไอ้ท่าทางเก้ๆกังๆ ดูทุลักทุเลนักหนา จากสังขารที่ไม่อำนวย สำหรับอาชีพช่างมุงหลังคา กำลังค่อยๆไต่ลงมาด้วยท่าทางฮึดฮัด
“มาว่า ไอ้ลูกหมาๆ ผมมันก็ลูกพ่อนั่นแหละ เดี๋ยวผมจะเป็นหมาให้สักวัน ถ้าพ่ออยากเป็นพ่อหมา”
โครม!! แอ็ก!
เสียงหล่นผลุงลงมาก่อนถึงพื้น กระแทกลงบนดินทรายให้ฝุ่นลอยฟุ้ง ว่าด้วยความโมโหจัดจนลืมตัวกระโดดพรวดลงมาอย่างไม่เจียมสังขาร
ลงมาจุกได้พัก ก็เริ่มยกมือคลำหลังครางโอดโอย นึกเสียหน้าไอ้ลูกชายตัวแสบหนักหนา ให้ใบหน้าย่นๆบูดเบี้ยวเหยเกแสยะแยกเขี้ยววับ สมกับที่เป็นพ่อหมาปรามลูกหมา
เจ้าลูกหมาตระหนกน้อยๆ ก่อนมาเป็นหัวเราะขบขัน นัยน์ตาคู่เขียวประกายระริกยียวนกวนประสาท เดินจ้ำมานั่งยองๆดูอาการ ก่อนแย้มรอยยิ้มบนริมฝีปากบาง
“ช่างมุงหลังคา ตกหลังคา ขายขี้หน้าเค้ามั้ยเนี่ยพ่อ”เจ้าลูกหมาทำตาปริบๆ เอ่ยกระเซ้า
คนตกหลังคาแยกเขี้ยวรับ ยกมือขึ้นให้เจ้าลูกชายตัวดีพยุงขึ้นไปนั่งบนแคร่ไม้ผุๆ ก่อนว่า “แกก็ดีแต่ทำให้ข้าตายเร็วขึ้นทุกวัน”
เทรวิสตวัดนัยน์ตาคู่เขียวไปมองคนเจ็บ ก่อนหลุบลงต่ำ นิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “พ่อโกรธฮึดฮัดอะไรนักหนา ทำอย่างกับผมไปทำอะไรให้”
“ก็แกไปทำอะไรไว้ แกก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ”
“ทำอะไร?”เทรวิสเลิกคิ้วสูง
“บ๊ะ นี่แกอย่ามาเล่นลูกไม้ทำหน้าโง่บังหน้า จะให้ข้าแจงมั้ยว่าแกไปทำอะไรเอาไว้บ้าง”คนเป็นพ่อกล่าวเสียงเครียด
คนเล่นลูกไม้ไหวไหล่ ยกมือขึ้นเสยผมสีน้ำตาลประกายทอง ก่อนถาม“แล้วมันไปขัดลูกหูลูกตาพ่อรึไง ฮึ”
ว่าแล้วเจ้าตัวก็ยื่นหน้าเข้ามาฉีกยิ้มกว้าง แต่ต้องรีบหดกลับเพราะเสียงที่แผดลั่นจากคนอารมณ์ไม่ดี
“มันไม่ได้ขัดลูกตาข้า แต่มันขัดบาทานักเลงโว้ย” ใบหน้าย่นขึ้นสีแดงก่ำด้วยความโมโห ขยับตัวจะเข้าไปเขกหัวลูกชายตัวดี แต่ก็ต้องเอามือมาคลำหลังที่ระบมแทน เบ้ปากให้หนวดเครากระดิกริกๆ
“ขัดบาทานักเลง? พ่ออย่ามามั่วนิ่มหาเรื่องให้ผมหน่อยเลย ผมไม่เคยไปยุ่งกะพวกนี้ซักหน่อย” คิ้วสีน้ำตาลเข้มขมวดมุ่น เหลือบตาไปมองคนตรงหน้า ก่อนโบกมือแบบไม่ใส่ใจ
“ถ้าข้าหาเรื่องให้แกได้ก็คงดี มันคงดีกว่าที่แกไปหาเรื่องมาเองแบบนี้แน่ๆ ข้าละปวดหัวกับแกจริงๆ จะปรามแกไม่อยู่แล้ว.... ถ้าแม่แกอยู่ถึงวันนี้มันคงดีกว่านี้แน่ๆ”ชายกลางคนว่า เสียงแผ่วท่อนท้าย ให้ลูกชายต้องรีบเถียงข้างๆคูๆ
“ก็บอกแล้วว่าไม่รู้ๆ ยังจะอะไรอีกล่ะพ่อ พวกนักเลงที่พ่อว่า มันอาจเป็นเจ้าหนี้ตระกูลเราก็ได้ มีอย่างที่ไหน มีเรื่องทีไร พ่อโยนมาให้ผมรับหมดทุกที”
นัยน์ตาสีเขียวฟางๆของคนเป็นพ่อวาววับขึ้น เอานิ้วชี้จิ้มมาที่หน้าผากของตัวยุ่ง ที่เอนลงมานั่งข้างๆ
“ก็แกน่ะ เคยทำให้พ่อคิดอย่างนั้นได้มั้ยล่ะ แล้วไอ้เรื่องบ้าบอที่มันเข้าหูข้าทุกวัน มันคงเป็นผลจากตระกูลเรามันไปติดหนี้งั้นด้วยสิ แกจะบอกว่ามันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแกเลยด้วยใช่มั้ย หา!”พ่อลูกตระกูลเดียวกัน บ่นเสียงขรม ก่อนว่าดังๆให้คนฟังหูผึ่ง
“รู้มั้ยว่าพวกนักเลงมันมาที่บ้านวันนี้”
“พวกนักเลงมาที่บ้าน!”เด็กหนุ่มตะโกนลั่น “มันได้ทำอะไรรึเปล่า”
คำถามที่เรียกสายตาของคนเป็นพ่อปราดมามองเจ้าลูกชาย ที่มันยังดูเป็นห่วงพ่อของมัน ก่อนขยับแย้มรอยยิ้มบาน ทุบอกตัวเองปักๆ
“คนอย่างข้าไม่แพ้ใครง่ายๆหรอกโว้ย แกไม่ต้องห่วง เพราะข้าคือ แธชเชอร์ ช่างมุงหลังคาแห่งเคดาส”
คนไม่เคยแพ้ใครเพราะไม่เคยสู้กับใครยกยอตัวเองซะลั่น ให้คนผ่านไปมาหมั่นไส้เล่น ไม่เว้นแม้แต่เจ้าลูกชายบังเกิดเกล้าที่นั่งหัวเราะหึๆ ฝืนยิ้มสุดกลืน อยากเอาหน้ามุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อเห็นท่านพ่อกำลังจะตั้งท่าร้องเพลงน่าปวดกบาล
“แธชเชอร์ แธชเชอร์..... ตัวข้านามแธชเชอร์ บาเลอร์ฟอน
.....ยิ่งใหญ่สูงเทียมฟ้า อยู่เหนือคนทั่วหล้าทุกวัน.............
.....ยิ่งใหญ่อัศจรรย์ ตัวข้านั้น คือช่างมุงหลังคา............
เสียงที่ขับลำนำ ดั่งกระบือคลอดบุตร และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เพราะหากนายแธชเชอร์คนนี้ พูดถึงตัวเองเมื่อไหร่ ก็ไม่วายที่จะหยิบบทเพลงประจำกายขึ้นมาร้องอย่างหน้าชื่นตาบาน จนทำให้คนเป็นลูกต้องตวาดดังๆ ท่ามกลางเสียงหัวเราะขำขันเบาๆ จากเหล่าชาวบ้านในระแวกใกล้เคียง
“หยุดซะทีเถอะพ่อ! ปวดหู ไม่อายชาวบ้านเค้าก็สงสารหูผมที่อยู่ข้างๆปากพ่อหน่อยก็ได้! เพลงพ่อน่ะ เก็บไว้หาเมียใหม่แล้วไปร้องกรอกหูให้เค้าฟังคนเดียวก็พอ ไม่ต้องมาเผื่อแผ่ชาวบ้านชาวช่องแถวนี้เค้าหรอก เดี๋ยวเค้าจะกินอาหารไม่ลง ” เทรวิสบ่นเป็นชุด ก่อนยกมือกุมขมับแล้วถามเสียงเครียด รีบวกเข้าเรื่องเพราะยังไงโดนด่ายังดีกว่ามานั่งฟังพ่อร้องเพลง
“มันมาทำอะไรบ้าง? พวกนักเลงน่ะ”
คนเป็นพ่อกระแอมเบาๆ เรียกความหมั่นไส้ให้ก่อตัวขึ้นยิบๆ จนเจ้าลูกชายต้องแจงข้อผิดพลาดมหันต์ ที่เจ้าตัวดันถามคำถามกำกวม
“ไอ้ที่ผมถามเมื่อกี้น่ะ ผมไม่ได้หมายถึงพ่อ... แต่ผมหมายถึงเจ้าเดนนี่มันนู่น มันยังอยู่มั้ยพ่อ”
แธชเชอร์ที่ปลื้มใจนักหนา แทบสำลักน้ำลายเป็นสายเลือด กับคำพูดของเจ้าลูกตัวแสบ เร่งใบหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหจนเลือดขึ้นหน้าควันออกหู ไม่พูดไม่จา ยังความคิดให้เทรวิสต้องนึกสงสัยว่า พ่อจะโกรธอะไรนักหนา ในเมื่อก็ยังสบายดี นั่งหัวเด่ ด่าหูดับตับไหม้อยู่ทนโท่ เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่า พอถึงเวลาพ่อก็คงหลบหัวซุกหัวซุน หนีไปซ่อนกับข้างบ้านอย่างเคย
“พ่อ....”
\".....\"
เมื่อไม่ได้คำตอบเจ้าตัวก็ผละจากพ่อที่รัก เดินไปดูด้วยตาตนเอง ในเมื่อท่าทางนายแธชเชอร์คนนี้จะอารมณ์ดีขึ้นยาก
ข้างหลังบ้านหลังเก่า มีคอกเล็กๆ ที่ทำขึ้นมาสำหรับเดนนี่ ม้าละอ่อนคู่ใจ ที่เทรวิสได้มาจากการลงแข่งดวลดาบ ในบ่อนเล็กๆ เมื่อปลายปีที่แล้ว แต่ตอนนี้.......
มันหายไปแล้ว!!!
“พ่อ!!! มันเอาม้าผมไปได้ยังไง!!!”เสียงกัมปนาท จากเจ้าหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ เมื่อเห็นความว่างเปล่า และไม่มีวี่แววว่าม้าตัวโตๆ จะไปซ่อนอยู่ที่ไหนได้ “พ่อ!! ผมถามว่ามันเอาไปได้ยังไง”
“ข้าไม่รู้เว้ย ไม่อยากจะยุ่งอะไรกับแกแล้ว จะไปไหนก็ไปเลยไป วันๆมีแต่หาเรื่องให้ข้าปวดกบาล ม้านี่ข้าก็เคยถามแกตั้งหลายครั้งแล้วว่าแกได้มาได้ยังไง แต่แกก็ไม่เคยบอกข้า แล้วแกไปมีเรื่องอะไรที่ไหนบ้างข้าก็ไม่รู้กับแก แต่ขอทีเถอะ อาชีพช่างมุงหลังคามันก็ดีกว่านักเลงหัวไม้มากมายนัก หรือถ้าแกจะปิดบังทำไม่เห็นหัวพ่อ ว่าวันๆแกไปทำอะไรบ้าง แกก็ไม่ต้องมานับว่าข้าเป็นพ่อ!!”
เสียงด่าด้วยอารมณ์รุนแรงของผู้เป็นพ่อ ฉุดหัวใจเด็กหนุ่มให้สั่นคลอน คำพูดของพ่อบังเกิดเกล้าที่เจ้าตัวปิดบังเรื่องต่างๆเอาไว้ เพราะไม่อยากให้ต้องมากังวล แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งแย่หนักข้อขึ้น
หากพูดตามตรงเขาห่วงพ่อมากกว่าจะบอกเรื่องราวต่างๆ ที่ไปเกี่ยวพันกับพวกนักเลงพวกนั้นได้ แค่มันมาหาถึงที่นี่ได้ ก็ถือว่าเป็นเหตุผิดพลาดครั้งใหญ่
“พ่ออารมณ์ไม่ดี วันนี้คงพูดกันไม่รู้เรื่อง ผมไปดีกว่า แล้วเมื่อไหร่พ่ออารมณ์ดีกว่านี้ ค่อยคุยกัน”
“แกจะออกไป เอาม้าคืน ข้าจะไม่ว่าแก แต่ถ้ายังจะทำตัวแบบนี้อีก ถือว่าช่างมุงหลังคาคนนี้ ไม่เคยมีลูกที่เป็นอันธพาล!!!”
+++++++++++++++++++++++++
31 ก.ค. 48
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น