ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Conquest of Devilment Empire

    ลำดับตอนที่ #11 : สืบข่าว

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 51


    Chapter 11  สืบข่าว





    ยามรัตติกาลแห่งการหลับใหล เงียบเชียบวังเวงใจ เมื่ออนธกาลล่วงล้ำเลยเวลาสองยาม...  แสงคบไฟจุดดั่งดวงประทีบทองส่องประกายขึ้นตามแนวกำแพง ตลอดจนทางเดินในปราสาทฟรอนติโซ่





    ตึก ๆ



    เสียงฝีเท้าวิ่งก้าวยาวๆตามแนวกำแพง หลบหลีกหนีแสงไฟรำไร เบียดกายซ่อนตัวในความมืด นัยน์ตาคู่เขียวมรกต สอดส่ายสายตาหลบหลีกนายทหารเวรยามสองนายที่เดิน ตรวจตราผ่านโค้งกำแพงจนลับหายไป





    เทรวิสสืบเท้าหนีอย่างเงียบกริบ ในยามวิกาลเช่นนี้ เสี่ยงอย่างยิ่งที่จะถูกจับได้  แล้วคงจบเห่ไปทั้งขบวน ตั้งแต่เจ้าชายต้นเรื่องไล่มา จนแม่นม องครักษ์ และสุดท้ายหนักที่สุด คือเขา ข้อหา ‘ผู้แอบอ้างเป็นเจ้าชาย’ แถมเพิ่มอีกกระทงกลายเป็น‘ไส้ศึก’ งานนี้คงหวังได้อย่างเดียวว่าศพคงอยู่ครบสามสิบสอง



    เคร้ง!



    เสียงศาสตราวุธ กระทบพื้นอิฐทางเดิน ล่องมา



    หัวใจเต้นตุบๆระรัวเร็วยิ่งกว่าคราวหลบหนีนักเลงมากมายนัก เหงื่อเย็นเยียบซึมชื้นแผ่นหลัง เทรวิสสาวเท้าหลบเข้าหลืบกำแพงหลังหุ่นชุดเกราะอัศวิน เมื่อเสียงไม่พึงประสงค์อยู่ห่างเขาเพียงพ้นช่วงกำแพง



    เสียงที่เจ้าตัวเลือกที่จะหลบนิ่งอยู่หลังหุ่นอัศวินให้เป็นที่กำบัง



    ชั่วอึดใจนายทหารอีกสองนายเดินเลี้ยวมุมกำแพงใกล้ๆ พร้อมเสียงบทสนทนา



    “เฮ้ยระวังหน่อยสิวะ อาวุธน่ะเก็บให้มันมิดชิดหน่อย ตกมากี่รอบแล้ว ถ้าศัตรูอยู่แถวนี้ มันคงรู้ตัวว่าเรามาตั้งแต่ไอ้เสียงดาบหล่นครั้งแรกที่ปราสาทฝั่งซ้ายโน่น”



    “หุบปากไปเลย เสียงแกก็เบาอยู่เมื่อไหร่ พล่ามมาตั้งแต่ตรวจฝั่งซ้ายยันฝั่งขวา”คนทำอาวุธตกหยุดเดิน กล่าวเสียงก่นด่า ก่อนพยายามเสียบดาบเข้าฝักที่ดูจะยากเย็นเอาการ



    “เฮ้ย ที่ล็อกแม่งเจ๊งว่ะ เซ็งฉิบหายเลย”เสียงบ่นขรมของเจ้าคนซุ่มซ่าม เรียกให้เจ้าเพื่อนอีกคนด่าสำทับ



    “เจ๊งก็เจ๊ง เจ๊งแล้วพูดเบาๆไม่เป็นรึไงวะ”



    “เออ ไม่เป็น”เสียงตัดบท ก่อนว่าให้เพื่อนมันหายกังวลใจ “แกก็วิตกจริตเกินเหตุ ลองมันมาก็คงจะอยู่แถวนี้นั่นแหละทหารยามเพิ่งเดินผ่านไปสองคนอยู่ใกล้ๆ  ถ้ามันจะหลบก็คงไม่พ้นหลังชุดอัศวินนั่นหรอกว้า”



    หัวใจหล่นวูบ เต้นไม่เป็นส่ำ เมื่อนายทหารอีกคนดูจะสนใจไม่น้อยกับคำกล่าวคาดการณ์ลอยๆของผู้ที่ง่วนอยู่กับการเก็บอาวุธ



    เทรวิสสอดส่ายหาช่องทางรอด อย่างน้อยการประมืออาจทำให้เขารอดจากคมดาบคราวนี้ แต่ก็คงระเห็จเข้าไปนอนซังเตในไม่ช้า



    แล้วเจ้าทหารวิตกจริต ก็ตัดสินใจขยับกายเข้าไปดูด้วยตา ให้หายข้อข้องใจ



    หัวใจหล่นฮวบอีกรอบ



    นัยน์ตาคู่เขียวหรี่ลง เตรียมรับมืออย่างเลี่ยงไม่ได้





    “เฮ้ย!  ข้าเก็บไม่ได้ว่ะ มาช่วยหน่อยโว้ย”



    “วะ แกนี่ เป็นทหารประสาอะไรวะ เก็บดาบเข้าฝักยังทำไม่เป็น”เจ้าคนจะไปดูหลังหุ่น ต้องชะงักแล้วหันมาบ่น พลางช่วยมันยัดดาบลงฝัก



    “ข้าเก่งแต่ชักดาบโว้ย ไอ้เรื่องเก็บดาบลงฝักนี่ไม่ถนัดว่ะ”เสียงกึ่งเล่นกึ่งจริง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อคุย ให้เจ้าคนลุ้น ลอบถอนหายใจยาว



    “ข้าได้ยินข่าววงใน เค้าว่ากันว่า เจ้าช....”น้ำเสียงหยุดชะงัก ก่อนหรี่ให้เบากว่าเดิม “เจ้าชายอุลริค รัชทายาทจะยังไม่ได้ขึ้นครองเคดาสทันทีที่องค์กษัตริย์สวรรคต เค้าว่ากันอย่างนั้น ข้าเพิ่งรู้มา”



    “ชูว์ เบาๆ เรื่องอย่างนี้ ใครเค้าเอามาพูดกัน” คนฟังจุ๊ปาก ให้เงียบ ก่อนเหลือบหน้าเหลือบหลัง



    “เรื่องอย่างนี้มันไม่เข้าใครออกใคร องค์ราชินีมีอำนาจอยู่ในมือ มีหรือจะอยากให้คนอื่นปกครอง ลูกก็ลูกเถอะ เจ้าชายอุลริคไม่ใช่หน่อเนื้อเชื้อไขท่าน เรื่องอย่างนี้คงว่ากันลำบาก แล้วตอนนี้อำนาจก็อยู่ในมือท่าน อีกไม่นานข้าว่า บางทีเราอาจไม่ได้องค์กษัตริย์ แต่จะเป็นกษัตรีแทน”



    คำกล่าวเสริมพล่ามออกมาหมดเปลือกของนายทหารรู้มาก เข้าหูเจ้าคนแอบฟังเป็นกระบุง เห็นทีคราวนี้แผนออกสืบหาเรื่องราวคงไม่ต้องไปไหนไกล รู้มันได้ง่ายๆจากไอ้ทหารสองตัวช่างพูดนี่สบายๆ คิดถึงแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ว่าถ้าหากเป็นไส้ศึกแอบเข้ามาสืบ คงรู้ไส้รู้พุงนครเคดาสไปถึงไหนๆ  



    “เออ ข้ารู้มาอีกเรื่องนึง เรื่องนี้น่าขำชะมัด”นายทหารคนชอบชักดาบ เริ่มสะกดความขัน ก่อนจะเล่าเท่าที่รู้มา



    “ข้าได้ยินเรื่องแปลกๆจากปากชาวบ้านมาเมื่อวันก่อน เห็นว่ากันว่ามียิปซีเร่ร่อนเข้ามาในเมือง แล้วทำนายว่า โชคชะตามนุษย์กำลังจะผันผวน ดินแดนที่สาบสูญกำลังจะคืนแผ่นดิน ต้องมีชีพดับดิ้นในคืนจันทราสีแดง  รู้มั้ยว่าเล่นเอาชาวบ้านเชื่อกันงมงาย ไปขอคำทำนายกันเป็นวักเป็นเวรไม่เป็นอันทำกินกันเลย ไร้สาระสิ้นดี”



    “ไร้สาระ? เรื่องยังงี้แกยังว่าไร้สาระ  รู้มั้ยว่าถ้ามีนักทำนายเข้ามาทายทักเรื่องการตายถึงในเมืองเนี่ย มันหนีไม่พ้นราชวงศ์ชั้นต้นๆของอาณาจักรเลยนะเว้ย ใครๆก็ต้องนึกถึงกษัตริย์ที่ทรงประชวรอยู่ตอนนี้กันทั้งนั้น แล้วอีกอย่างก็ใช่ว่าหมอดูนั่นจะทำนายผิดไปซะหมด เพราะเรื่องอาณาจักรที่สาบสูญนั่นน่ะ มันก็เป็นตำนานเก่าแก่ที่เล่าขานกันไปทั่วบ้านทั่วเมืองตั้งแต่ข้ายังจำความได้  แถมเรื่องพวกสัตว์อสูรกายที่ถล่มเรือรบน่ะ ก็กำลังดังเป็นพลุแตก ว่ามันออกอาละวาดหนักกว่าที่เคยมีมาในรอบศตวรรษเลย   แล้วถ้ามันไม่ใช่เพราะดินแดนแห่งความตายจะถูกปลุก มีหรือที่สัตว์ร้ายพวกนี้จะขานรับอำนาจ”



    คนว่าว่าอย่างซีเรียส ก่อนจะเล่าเรื่องที่ตนเคยฟังมาเป็นร้อยรอบ  



    “ปู่ข้ายังย้ำแล้วย้ำอีก เล่าแล้วเล่าอีก ว่ากษัตริย์นั้นน่ะ เสกมนต์ดำปกป้องอาณาจักรตัวเองไว้ แต่มนต์ผิดพลาด เลยส่งผลให้อาณาจักรล่มสลาย ถ้าถึงคราวเคราะห์มนุษย์จะวิบัติ ก็จงยืนหยัดสู้และเชื่อในผู้นำมวลมนุษย์ ที่จะนำไปสู่แสงสว่าง”



    คนฟังมองแบบขบขัน ขยับอาวุธข้างกายที่ดูเหมือนเก็บเรียบร้อยแล้ว พลางหัวเราะร่วน



    “โธ่เอ้ย! ที่ข้ารู้มามีอีกเป็นกระบุงโกย อยากฟังเรื่องไหนล่ะ เรื่องจอมราชันย์ปีศาจ ....จอมมารสาปแผ่นดิน....อภินิหารศึกหอคอย.... หรือจะ เรื่องนี้ก็เยี่ยมนะ รักลับๆของกษัตริย์และซาตาน  อันนี้ออกแนววิปริตนิดหน่อย” ว่าแล้วก็แกล้งหยอก เอื้อมมือไปจับคางของเจ้าเพื่อนคนฟังให้ปัดมือทิ้งแทบไม่ทัน พลางทำท่าขนลุกซู่



    “เรื่องบ้าๆอันหลังแกแต่งเองนี่หว่า ทุ เ ร ศที่สุด  บางทีราชาแห่งความตายนั่นอาจรอเวลาคืนชีพก็ได้ หรือแกจะอธิบายได้กับข่าวแปลกๆมีมากขึ้น ทั้งเรื่อง ป่าอาถรรพ์ ที่จู่ๆก็แผ่อิทธิพลขยายอาณาเขตเข้ามาจนนักบวช ร่ายเวทกางเขตแดนแทบไม่ไหว ไหนจะเรื่องพวกสัตว์ในตำนานที่ถูกสะกดไว้ตั้งแต่อดีต หลุดออกมาสร้างความวุ่นวายกันยกใหญ่ เอาใกล้ๆตัวก็เรื่องที่มีคนพบมังกรดำในถ้ำอัคนี แล้วถูกเขมือบลงท้องไปทุกราย ไม่มีใครรอดกลับมาซักคน”  



    “ฮ่าๆ แกนี่เชื่อเรื่องงมงาย หลอกง่ายอย่างกับเด็กๆจริงๆเลยว่ะ  ไม่รอดกลับมาแต่ผีมันเอามาเล่าว่างั้นเถอะ”คนฟังปล่อยเสียงหัวเราะครืน



    “ไหนๆแล้วแกก็ลองไปดูแล้วรอดกลับมาเล่าเรื่องจริงสิวะ เผื่อจะเป็นวีรบุรุษกับเขาบ้าง”ว่าแล้วก็ตบลงไปบนบ่าเจ้าเพื่อน ที่กำลังหน้ามุ่ยพลางลำดับความคิด



    “แต่เอาเถอะ ยังไงเรื่องนี้มีให้เถียงอีกเยอะ  ข้าว่าตรงนี้มันประเจิดประเจ้อไปซักหน่อย ออกเวรเมื่อไหร่ค่อยคุยกัน ข้าได้ยินเสียงทหารยามอีกชุดเดินไล่เรามาใกล้ทันแล้ว เดี๋ยวจะเป็นเรื่อง แล้วเราก็ทิ้งช่วงสองคนนั่นมานานแล้ว ข้าว่ารีบๆ เดินต่อเหอะ อย่าคิดมาก”



    คำกล่าวที่ฉลาดที่สุดสำหรับนายทหารรตรวจการ ที่พยักหน้าเห็นด้วย พากันเร่งฝีเท้าตรวจตราตามแนวทางเดิน จนพ้นโค้งกำแพง





    เฮ้อ!



    เสียงถอนหายใจเบาๆของเจ้าคนแอบฟังจนหูผึ่ง รู้ข่าวที่ไม่เคยรู้มาเพียบ เท่านี้ก็ต้องถือว่าเป็นกำไรจากเจ้าทหารปากสว่างสองคนที่คาบข่าวมาบอกให้กับเขาอย่างไม่ต้องไปถามใครให้มันปวดหัว



    ราชินีเป็นแม่เลี้ยงเจ้าชายอุลริค?



    ข่าวหนึ่งที่ได้ยินมาแล้วแทบไม่เชื่อหู ไม่อยากเชื่อว่าเรื่องในวังนี่จะปิดไว้ได้แนบเนียนขนาดนี้ โดยไม่มีเล็ดลอดไปเข้าหูไพร่อย่างเขาซักนิด



    ถึงว่า....พิธีแต่งตั้งสถาปนาเจ้าชาย ถึงมีตอนเขาอายุปาเข้าไปสิบขวบแล้ว ทั้งๆที่น่าจะรับตำแหน่งตั้งแต่เกิดใหม่ๆ



    บ๊ะ! แล้วแม่นมก็ไม่เล่าให้เราฟัง กลัวนักกลัวหนาว่าจะจบเห่ แต่ไม่ยักกะเล่า



    เทรวิสสบถเสียงเครียด  ก่อนจะปัดความคิดแล้วลอบเดินตามแนวกำแพงไปเรื่อยๆ  อย่างน้อยออกมาแล้วก็ต้องกอบโกยข้อมูลไว้ให้มากที่สุด





    แสงคบเพลิงถูกจุดไล่ยาวไปตามช่องทางเดินเล็กๆ เหมือนกับเส้นทางลับที่แตกแขนงออกหลายสาย  แล้วฝีเท้าก็ต้องชะงักเมื่อความรู้สึกเย็นวาบแผ่ซ่านขึ้นกลางแผ่นหลัง



    เทรวิสเหลียวกลับไปมองทางที่เขามา หากแต่เสียงที่เคยได้ยินมันกลับเงียบสงัด



    เส้นทางเบื้องหน้านั้นเร่งความรู้สึกไม่สบายใจให้ประโคมใส่สมองอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด  คิดจะเหลียวหลังกลับ ก็ต้องตะลึง เมื่อทางเดินกลับมีมากกว่าหนึ่ง



    หลงทาง!



    ความคิดเดียวที่ทำให้หน้าเผือดสีลงอย่างเห็นได้ชัด ฝีเท้าเร่งพาร่างสูงให้ออกจากจุดเดิมอย่างร้อนรน หากแต่มันกลับมีแต่ทางที่ซับซ้อนขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่แล้วไอเย็นยะเยือกก็โถมซัดให้ชาวาบไปทั้งร่าง





    นายท่าน....นายของข้า........



    เสียงแหบพร่าก้องสะท้อนกังวาน ล่องมาตามแนวกำแพง



    เหงื่อเย็นๆซึมชื้นทั่วใบหน้า เลือดในกายเย็นเฉียบ หัวใจมันกำลังร่ำร้องให้ออกจากที่แห่งนี้ หากแต่ร่างกลับไม่ทำไปอย่างที่ใจคิด



    เทรวิสก้าวไปตามเสียงอันอ่อนแรง แต่มันกลับมีพลังที่จะเรียกหาผู้รับฟัง  



    ข้าพบท่านแล้ว......  





    พรึ่บ



    คบไฟถูกจุดขึ้นภายใน ห้องเล็กๆที่อับชื้น และคลุ้งด้วยกลิ่นอับแบบชวนคลื่นไส้  หยากไย่ที่เกาะหนาจับตัวอยู่ทั่วทุกมุม





    ข้าพบท่านแล้ว......  





    เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งจนสะท้อนคับห้อง  หากแต่กลับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากแท่นที่วางหนังสือเล่มใหญ่กลางห้อง





    มาทางนี้  มาหาข้า



    สำแดงพลังของท่านให้ข้าเห็น แล้วท่านจะเป็นนายข้า........




    เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นจากแท่นหนังสือเล่มใหญ่  เสียงที่ทำให้หัวใจเทรวิสไม่สงบตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน  



    ร่างสูงก้าวเข้าหาอย่างไร้สติ ฝ่าเท้าค่อยๆเหยียบลงบนแท่นยกระดับทีละขั้น จนอยู่เบื้องหน้าของสิ่งที่กำลังร่ำร้อง





    คัมภีร์หนังมนุษย์!





    ผิวใบหน้าและหนังศีรษะถูกถลกเป็นแผ่น เพื่อประกอบเป็นปกหน้าคัมภีร์เล่มใหญ่.... มันถูกขึงแน่นจนเนื้อส่วนตา ปาก และรูจมูกฉีกกว้าง สีดำเกรียมที่บอกเค้าของน้ำยาที่รักษาหนังให้เหื่ยวแห้ง แต่มันยังคงนุ่ม  นุ่มเหมือนกับสัมผัสใบหน้าของเหยื่อที่ถูกนำมาเป็นหนังสือเล่มนี้



    สติถูกครอบงำ มือเอื้อมขึ้นสัมผัสใบหน้าที่บิดเบี้ยวอันน่าพรั่นพรึงอย่างไม่เกรงกลัว ราวกับมนต์สะกดที่กำลังร่ำร้องให้เปิดมัน



    หยุด! จงตอบคำถามข้า ก่อนเปิดมัน



    เทรวิสชะงักมือในทันที ก่อนที่เสียงในจิตใจกำลังโหยหา





    ข้าต้องการเปิดมัน!





    กฎย่อมเป็นไปตามกฏ นายท่าน...



    ตอบคำถามข้า แล้วท่านจะได้ครอบครอง...






    ถ้าเช่นนั้นจงอย่ารอช้า... ข้าต้องการมัน





    เสียงหัวเราะเย็นๆจากคัมภีร์หนังมนุษย์ ก่อนที่มันจะเอ่ยวาจาน่าพิศวง





        ประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุด.......





        ลึกซึ้ง เหมือนเป็นบรรพบุรุษของสรรพสิ่ง.....





        บันดาลให้ความคมหดหาย คลี่คลายความขัดแย้ง….





        ให้สรรพสิ่งร่วมแสงร่วมฝุ่น...





        ดำรงอยู่ก่อนมีฟ้าดิน...







        มันคือสิ่งใด?






    เสียงนั้นกังวานชัดติดหู ความอยากกำลังครอบงำ จิตใจกำลังดิ่งสู่วังวน......



        ประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุด.....



        อำนาจหรือ?





        ลึกซึ้ง เหมือนเป็นบรรพบุรุษของสรรพสิ่ง.....



        กาลเวลา?





        บันดาลให้ความคมหดหาย คลี่คลายความขัดแย้ง….



        ปัญญา?





        ให้สรรพสิ่งร่วมแสงร่วมฝุ่น.......



        จิตวิญญาณ?





        ดำรงอยู่ก่อนมีฟ้าดิน...



        ...?



        ถ้าข้าตอบสิ่งเหล่านี้เล่า เจ้าจะว่าอย่างไร





        ดูเหมือนท่านจะยังตีโจทย์ไม่แตก.........





        ข้าถามว่ามันคือสิ่งใดกัน ที่สร้างสรรค์สรรพสิ่งได้ถึงเพียงนั้น



        มีประโยชน์อเนกอนันต์ถึงเพียงนี้



         และดำรงอยู่มาใต้กาลเวลาอันยาวนาน






    เทรวิสหวนกลับไปรำลึกอีกครั้ง....



    ความอยากครอบงำเจ้ามากเกินไปแล้ว เทรวิส



    เสียงเตือนตัวเองดังขึ้นในจิตใจ  ราวกับว่าความคิดกำลังแบ่งเป็นสองฝ่าย....มันฉุดความคิดต่างๆให้นิ่งลง



    จิตใจที่ว้าวุ่นเริ่มสงบลง......





    มันสงบเงียบ





    เงียบลงยาวนาน.........





    เงียบราวกับผืนน้ำที่สงบนิ่ง.....





    แล้วคำตอบก็ปรากฏชัด







        “ความว่างเปล่า”





    เทรวิสเปล่งเสียงอันเฉียบขาดขึ้น ประกายเก่าๆไม่ส่อเค้าให้เห็นแม้แต่เศษเสี้ยว ราวกับเป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง





    “ความว่างเปล่าคือประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สร้างสรรค์สรรพสิ่งอย่ามหัศจรรย์ให้ถือกำเนิดขึ้นจากแหล่งเดียวกัน กำหนดวิถีการเจริญเติบโตร่วมกัน เหมือนเป็นบรรพบุรุษของสรรพสิ่ง  



    ยิ่งทำตามอยาก ความคมก็มีมาก เดินตามทางของแต่ละคน ก็เกิดความขัดแย้งมาก มีเพียงความว่างเปล่าที่จะช่วยได้ ร่วมแสงร่วมฝุ่นเดินตามวิถีเดียวกัน และมันดำรงอยู่ก่อนมีฟ้าดิน”







    พลังของท่านปรากฏให้ข้าเห็นแล้ว.....ดูเหมือนท่านจะเก็บมันไว้นานเกินไป.....





    แต่ถึงคราวออกมาใช้ ท่านก็ใช้อย่างเฉียบคม








    สิ้นเสียงอันแหบพร่า สติก็ดับวูบลง ความมืดมิดเข้ากลืนกิน  ความรู้สึกร้อนๆหนาวๆไหลเวียนไปทั่วร่าง





    คัมภีร์หนังมนุษย์ถูกเปิดออก.....หน้ากระดาษกำลังพลิกจากหน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย..... เสียงสวดระงมเซ็งแซ่กำลังโห่ร้องเย็นยะเยือก  



    อักขระสีดำถ่ายเทจากหน้ากระดาษสู่ร่างที่รองรับ  



    มันถูกสูบเข้าไปสถิตในร่างเนื้อ...



    สถิตอยู่ใต้อำนาจจิตใจ





    ข้ารับใช้ หานายใหม่ของมันได้แล้ว!





    +++++++++++++++++++++++++++







    พลั่ก



    นายทหารยามสองนายที่เดินลัดเลี้ยวมา ล้มลงกองกับพื้นด้วยแรงปะทะของด้ามหอกที่กวัดแกว่งอย่างรวดเร็ว จนเหยื่อไม่มีโอกาสได้ปริปาก



    ชายหนุ่มคว้าข้อมือของทหารที่นอนสลบเหมือด แล้วลากเข้าไปไว้ในหลืบกำแพงอย่างชำนิชำนาญ ไม่สมกับร่างสูงที่ดูไม่บางนัก แต่ก็ไม่น่าแข็งแรงขนาดลากทหารในชุดเกราะเหล็กที่หนักอึ้งได้เพียงคนเดียว



    จัดการเรียบร้อย ก็ต้องเสยผมสีน้ำตาลอ่อนขึ้นอย่างหัวเสีย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววหงุดหงิดอย่างกลบไม่อยู่



    ไอ้เจ้าบ้านั่นมันไปอยู่ไหนนะ  ปราสาทนี่มันหากันง่ายๆเสียเมื่อไหร่กัน



    คิดแล้วก็สบถอุบในใจ พลางทำหน้าที่ต่ออย่างไม่มีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ เค้าสั่งมาให้ทำก็ต้องทำ ขัดคำสั่งพ่อ เห็นที่จะไม่ใช่วิสัยของว่าที่อัศวิน







    แล้วร่างสูงก็ลัดเลาะมาจนพบเข้ากับภารกิจที่ได้รับมา....





    ไอ้ไพร่ซังกะบ๊วยที่มันหายไปจากห้องบรรทม!!





    ++++++++++++++







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×