ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Conquest of Devilment Empire

    ลำดับตอนที่ #7 : ความจริงที่น่าเวทนา

    • อัปเดตล่าสุด 29 มี.ค. 51


    Chapter 7  ความจริงที่น่าเวทนา





    ม่าย..................





    ฟึ่บ  วืด........





    “ตาย...ตายแน่ งานนี้”เทรวิสปากสั่นระรัว...หัวใจเสียววาบ...ท้องไส้เบาโหยงปั่นป่วน ราวกับถูกกระชากลงมา…



    ลาก่อนพ่อ... ลาก่อนชีวิต...  ผมตายแน่........





    โป๊ก!





    โอ๊ย



    เสียงแห่งความทรมานทรกรรม.... เมื่อหัวสวยๆดันเสนอหน้าไปทักทายเข้ากับพื้นแข็งๆซะโครมใหญ่... จะอะไรซะอีกนอกจากสวนมะกรูดที่งอกงามดีบนหัวเจ้าคนแหกปาก!



    เชือกขาดหรือ??



    ความคิดเอะใจอะไรบางอย่างก็เริ่มทำให้เทรวิสเผยอเปลือกตาขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ



    แล้วสภาพภายนอกเริ่มทยอยเข้าสู่หัวสมอง... เตียงสี่เสาที่คุ้นเคย... คอลเลคชั่นดาบกับโล่เด่นหรา...



    “เฮ้ย! เวร! ดันกลับมาอยู่ พระราชวังบ้านี่อีก มันอะไรกันวะเนี่ย?”เจ้าคนเหรอหรายังงงเป็นไก่ตาแตก แล้วพื้นที่ที่ร่างเท่ห์ๆได้ลงไปคลุกคลีตีโมงด้วยก็เป็นคำตอบที่น่าอับอายขายหน้ากับตัวเองสุดๆ



    ฝันร้ายกลิ้งตกเตียง!



    กรรม รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น มันจะดูเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกัน ถ้าหากไม่ใช่ว่าน้ำหูน้ำตา กับสีหน้ากลัวตายสุดชีวิตที่มันปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลานั้นมันจะน่าเวทนาสุดแสน หนำซ้ำพอตกลงมายังมีหน้ามาคิดอีกว่า เชือกขาด! อยากด่าตัวเองจริงๆ ว่าไม่ใช่เพราะเชื้อโง่ก็คงเป็นเพราะเชื้อบ้า



    เทรวิสทำเสียงเข็ดเขี้ยวในลำคอ มองรอบห้องเดิมอีกครั้ง แต่ก็เห็นจะไม่มีอะไรสะดุดตา..สะดุดบาทามากไปกว่า มาดเก๊กเท่ห์น่าหมั่นไส้ของเจ้าชายต้นเรื่อง...มันยิ่งทำให้เส้นอารมณ์บ่จอยพุ่งจี๊ด  



    ก็เรามันหล่อกว่า เท่ห์กว่า ต้องมากลายเป็นเจ้าชายขี้เก๊กไปซะนี่... ซวยฉิบ!



    แล้วนี่เราจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนานเท่าไหร่กัน



    ต่อให้เอาสาวมาล่อ เอาล้อมาลาก เขาก็ไม่ยอมงอมืองอเท้าอยู่ที่นี่แน่  ให้ตายสิ!



    แล้วเสียงนายแธชเชอร์จากความฝันที่ดังก้องในสมองก็ผุดขึ้น



    ‘ถ้ารากฐานยังไม่แข็งแรง ขึ้นไปอยู่บนหลังคา ดีกว่าขึ้นไปสู่อำนาจแห่งผู้ปกครอง หากแกตกลงมา มันเจ็บน้อยกว่ากัน…’



    หลังคา........



    พระราชวัง....หลังคา.....ทางเข้าออก........อืม.............



    เปาะ!



    เสียงดีดนิ้วเปาะ สีหน้าชื่นมื่น นัยน์ตาคู่เขียวเริ่มฉายประกายระริก รอยยิ้มเหยียดบางๆที่มุมปาก



    “ขอบคุณมาก พ่อ  ที่อุตส่าห์ตามมาสวดถึงในฝัน”เสียงเปรยขึ้นอย่างอารมณ์ดี “วันนี้ผมจะขอเป็นศิษย์เอกนายแธชเชอร์ซักวัน ”  





    ++++++++++++++++++++++





    “เจ้าสองคน... ออกไป! ข้าต้องการความเป็นส่วนตัวภายในห้องนี้ เจ้าไปคอยคุ้มกันอย่าให้ใครก็ตามลุกล้ำเข้ามา นอกจากท่านแม่นมออเดรีย ที่จะมาถึงในไม่ช้า”คำสั่งเด็ดขาดขององครักษ์แห่งรัชทายาทองค์สำคัญ กล่าวกับนายทหารยามสองนายที่รักษาการหน้าประตูห้องบรรทม



    “ขอรับ ท่านเซอร์”อาวุธหอกปลายแหลมถูกดึงเข้ากระทบกับเกราะเหล็กเงิน อย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะโค้งตัวแล้วเดินไปประจำการอยู่ช่องประตูหน้า



    นัยน์ตาคู่เข้มมองไล่หลังไปจนลับตา...เหลียวซ้าย แลขวาอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจดีแล้วว่า จะไม่มีใครอยู่บริเวณนี้อีกนอกจากเขา...คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น



    เบือนสายตามาจับจ้องประตูบานสูงใหญ่...



    หลังประตู...หลังประตูบานที่คุ้นเคยบานนั้น...



    เรื่องวุ่นวายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขากำลังจะเปิดมันออกมาแล้วแบกรับมันไว้...เพื่ออะไร?    



    มันเพื่ออะไรกัน…



    คำถามที่ก้องในใจของนายทหารตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา



    เพื่อเจ้าชายที่เขาหวังว่าคงจะเปลี่ยนเป็นเจ้าชายผู้มีเกียรติภาคภูมิสมกับตำแหน่งกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตงั้นรึ?



    ใช่! ความหวังลมๆแล้งๆบัดซบ.. เขาต้องเสี่ยง... เสี่ยงเพื่อบทเรียนราคาแพงสำหรับผู้ครองบัลลังก์ในคราหน้า  แม้จะต้องแลกมาด้วยชีวิตใครบางคนที่เป็นเพียงตัวประกอบฉากก็ตาม...แต่ก็เถอะ ถึงต้องแลก...แม้แต่ชีวิตตัวเอง เขาก็ยอม หากบัลลังก์อันทรงเกียรติ์ จะได้ผลัดสู่กษัตริย์ที่เปี่ยมคุณธรรม



    สิ้นความคิด มือหนาก็ผลักบานประตูออกช้าๆ...ร่างสูงใหญ่ค่อยๆสาวเท้าเข้าไป... หากแต่... ภายในห้องนั้นกลับร้างไร้บุรุษใด!



    หัวคิ้วหนาขมวดลงเป็นปม นัยน์ตาคู่เข้มหรี่ลง กวาดมองสภาพภายในห้องที่กระจัดกระจายไปด้วยข้าวของที่ล้มระเนระนาด... ดอกไม้สวยๆถูกโยนทิ้งเกลื่อนพื้น เหลือเพียงโถแจกันจากทั่วทุกมุมห้องวางข้างเตาผิง



    เจ้าเด็กหนุ่มตัวแสบนั่น...



    หาเรื่อง!



    ร่างทั่งร่างกลับหลังหันทันที พร้อมกับเร่งฝีเท้าไปที่ประตู หวังจะนำข่าวไปบอกท่านแม่นม หากแต่กับมีเสียงหนึ่งที่ทำให้ต้องหยุดชะงัก





    ขลุกๆขลักๆ





    เสียงเพียงเล็กน้อยที่ดังมาจากเหนือหัวของคนเป็นองครักษ์... รอยยิ้มเหยียดบางๆฉายขึ้นบนมุมปาก



    “เจ้า ลงมาได้แล้ว”เสียงเคร่งๆติดคำสั่ง ของชายในชุดเกราะ ที่บัดนี้ค่อยๆเดินเข้ามาภายในห้อง



    “............”ความเงียบคือคำตอบ



    “ข้ารอได้เสมอ หากเจ้าจะอยากเชยชมทัศนียภาพอยู่บนนั้น”เซอร์ชาลมานกล่าวเปรย ก่อนว่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่เน้นจังหวะ เพื่อกดดันเจ้าหนุ่มบนหลังคา “ทางออกมีสองทางสำหรับผู้ที่อยู่บนหลังคา...”



    คำทิ้งช่วงที่ทำให้คนข้างบน เริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน



    “ ทางที่หนึ่ง......กลับเข้ามาทางที่ออกไป...”



    อันนี้ไม่เวิร์ค  ตัดทิ้งๆ



    “ส่วนทางที่สอง โดดลงหน้าผาไปซะ แล้วเจ้าจะไปสบาย...”



    เออ ขอบคุณมาก~



    แล้วเทรวิสก็ต้องถอนหายใจยาว เหลียวซ้ายแลขวา....ช่างห่างไกลความเป็นจริงเหลือเกิน ทางเลือกที่ว่านั่นมันมีอยู่แค่สองทางอย่างที่บอกจริงๆ และตอนนี้เขาก็กำลังติดแหง็กอยู่บนยอดเสานี่



    ส่วนบุคคลผู้มาเยือนกำลังวัดใจกับใจล้วนๆ กับเจ้าหนุ่มมากเรื่อง ถ้าให้เทียบกันแล้ว อารมณ์ของเซอร์ชาลมานคงจะเย็นลงเรื่อยๆ  ผิดกับเทรวิสที่รู้สึกงุ่นง่านหงุดหงิด จนรอไม่ไหวที่จะนั่งนิ่งๆ



    เป็นไงเป็นกันยังไงเขาก็ต้องหาทางเลือกที่สามให้ได้



    ปิ๊ง! ไอเดียกระฉูด



    เทรวิสยกมือมาตบดังป้าบด้วยความสะใจ... แต่มันกับเป็นเรื่อง...



    เหวอ!



    โครม ครืดๆๆ



    ความโง่ที่กำลังจะพาลงนรก... มีอย่างที่ไหน มาปิ๊งไอเดียหาที่ตายไวกว่าเดิม แค่ลำพังการทรงตัวก็ลำบากอยู่แล้ว ไหนจะความเมื่อยล้าที่เข้ากัดกิน ดันปล่อยมือซะงั้น



    “อ้าก.........ช่วยด้วย.....” เสียงโวยร้องลั่น ขณะที่ลำตัวครูดกับแผ่นกระเบื้องจนเกิดเสียง มือหนาพยายามยึดทุกอย่างไว้แต่มันกับไม่มีอะไรดีขึ้นเลย



    แควก



    โอ พระเจ้า  เสื้อนอกช่วยชีวิต... เจ้าชุดที่เขาว่ามันร้อนนักหนากับไปเกี่ยวเข้ากับบางอย่างเอาวินาทีสุดท้าย ร่างทั้งร่างห้อยโตงเตง เคว้งคว้างกลางอากาศ ลงมาอยู่ตรงหน้าบานหน้าต่างบานเดียวกับสายตาของเซอร์ชาลมานพอดิบพอดี



    แล้วสายตาสองคู่ก็ได้ประสานกันเต็มๆ



    คู่หนึ่งนั้นนิ่งเรียบแต่น่าเกรงขาม อีกคู่หนึ่งนั้นกร้าวขึ้นมาถนัด ราวกับว่าคับแค้นมาแต่ชาติปางก่อน  



    เห็นแล้วมันไม่ถูกชะตาเอาซะเลย ให้ตาย!



    “อยากจะให้ช่วย?”น้ำเสียงแกมหยันว่า สายตาคู่น้ำตาลเข้มกวาดไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า....



    ภาพบาดตานี้คงจะไม่เกิดขึ้นแน่ หากเด็กหนุ่มคนนี้เป็นลูกตาสีตาสา ปลูกหญ้าเลี้ยงค ว ายธรรมดา แต่คนตรงหน้านี้....มองยังไงๆก็เจ้าชายอุลริคคนที่เขาเคยรู้จักชัดๆ..  ทั้งชีวิตไม่เคยคิดที่จะได้เห็นเจ้าชายในสภาพ เนื้อตัวดำเป็นแมงเหนี่ยง ห้อยต่องแต่งกลางอากาศน่าอนาถขนาดนี้



    ไม่ทันไร ก็ทำลายภาพลักษณ์ที่สั่งสมไว้ไปหนึ่ง....   ถ้าต่อไปเรื่อยๆ.....คงหมด…หมดแบบกู่ไม่กลับ



    หลุดจากความคิด สายตาอันเย็นเยียบก็ตวัดมาสบกับนัยน์ตาคู่เขียวมรกตอีกครั้ง



    “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนไม่ช่วยตน แล้วใครที่ไหนจะมาช่วย...”ถ้อยความชัดเจนส่งไปถึงคนที่รอความช่วยเหลือ ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงเย็นเฉียบ และแผ่วเบา หากแต่คำแต่ละคำยังได้ยินแจ่มชัด “ชีวิตที่เหลือไม่ได้มีไว้เพื่อชำระดอกเบี้ย ฉะนั้นจงอย่าเอาชีวิตไปติดหนี้ใคร...”



    นัยน์ตาคู่เข้มของคนกล่าวว่างเปล่า... คำแต่ละคำที่เปล่งนั้นช่างไม่มีความรู้สึก...ไม่เหลือแม้แต่ประกายแววตาที่เคยสบกับเขาก่อนหน้านี้



    “ท่าน...มัน...”เทรวิสกัดฟันกรอด มือก็ยึดเหนี่ยวผ้าที่เริ่มขาดวิ่นลงทุกที ไม่นึกว่าคนตรงหน้าจะแล้งน้ำใจขนาดนี้



    เทรวิสตัดสินใจเหวี่ยงตัวเพื่อให้ได้ระยะ...แววตาคู่เขียวฉายความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น... ความรู้สึกกลัวถูกกลืนกินจากคำที่สั่งตัวเองอยู่ในใจว่า  เขาต้องทำได้!



    วินาทีที่มือปล่อยออกสู่อากาศ ความรู้สึกล่องลอยราวกับเหยี่ยวที่กำลังร่อนกลางเวหาแวบเข้ามาภายในจิตใจ แต่เพียงชั่วพริบตา ภาพที่ทำให้หัวใจแทบขาดดิ้น...ระยะห่างเพียงน้อยนิด แต่มันช่างยาวนานนัก...



    หมับ



    มือหนาเกาะขอบหน้าต่างได้ทันเวลา พร้อมกับสีหน้าที่ทั้งตื่นเต้น ดีใจ และหนักใจในเวลาเดียวกัน....



    เวร แล้วเราจะดึงตัวเองขึ้นไปยังไงละทีเนี้ย



    เวลาดำเนินไปราวสองนาที หนุ่มน้อยเจ้าเก่าก็ยังห้อยต่องแต่งเหมือนเดิม หากแต่ย้ายสถานที่เล็กน้อย...เทรวิสไม่คิดที่จะปริปากใดๆขึ้นมาอีก ความกลัวบัดนี้ก็ไม่ได้เหลืออยู่ซักนิด มันจะคงเหลืออยู่แต่ความรุ่มร้อน หงุดหงิด และความเคืองแค้น...แค้นเจ้าคนเลือดเย็น



    คนที่เดินเข้ามามองเขาด้วยใบหน้านิ่งเฉย นัยน์ตาคู่น้ำตาลเข้มนั้นหลุบลงมองร่างเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างเพียงเอื้อมมือ ก่อนจะลอบถอนหายใจ พร้อมกับยื่นมือส่งไปให้ “เอาล่ะ ส่งมือมา เจ้าต้องฝึกให้มากกว่านี้”



    เทรวิสประสานตาแน่นิ่ง ประกายสายตากร้าว ความคิดอีกครึ่งเริ่มแบ่งแยกระหว่าง ชีวิตหรือศักดิ์ศรี  แล้วมันคุ้มหรือที่จะไปติดหนี้เจ้าคนเลือดเย็นคนนี้.....ไม่มีทาง



    คิดอีกอย่าง แต่มือมันกลับคว้าหมับ เล่นเอาคนยื่นมือรับมาต้องรีบดึงขึ้น พร้อมกับประกายความงุนงงบางๆ นึกไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่มันจะทำขัดกับแววตาที่ฉายกร้าวอยู่ขนาดนี้



    “ขอบคุณ แต่ผมไม่คิดว่านี่เป็นหนี้บุญคุณหรอกนะ”เทรวิสบอกปัด ขัดคอไว้ก่อน พลางยกมือเสยผมยุ่งๆให้เข้าที่ แล้วถอดเสื้อที่ขาดกระรุ่งกระริ่งแล้วเขี่ยมันไปให้พ้นหูพ้นตา



    คนฟังหัวเราะในลำคอ ก่อนจะว่าเรื่องที่เขาควรได้บอกไปตั้งนานแล้ว “เจ้าน่าจะรู้แล้วใช่มั้ย ว่าที่เจ้าเป็นอยู่นี่คือใคร”คนพูดไม่รอคำตอบ “เจ้าชายอุลริค เดรโก อัลเทรดาน รัชทายาทองค์สำคัญแห่งเคดาส... สิ่งเหล่านี่จะหล่อหลอมเจ้า...ลับคมเจ้า...ตราบจนผู้เป็นเจ้าของจะส่งดาบเล่มดีนี้คืนสู่ผืนแผ่นดินสามัญชน”



    ตัวตายตัวแทนรึ?



    ความคิดที่เทรวิสแค่นหัวเราะ รอยยิ้มฉายขึ้นบนมุมปาก “ท่องมานานรึยังท่าน ถ้อยคำของท่านมันคงเลิศหรู หากได้กล่าวกับคนที่เห็นคุณค่ามันมากกว่านี้ ไม่ใช่ผม... ผมจะไม่ยอมให้ใครมากำหนดชีวิต เพื่อไปเป็นดาบของใคร”นัยน์ตาคู่เขียวฉายแววรู้ทัน “แล้วผมก็ไม่คิดว่าดาบเล่มนั้นจะได้เข้าสู่กรรมวิธีด้วยซ้ำ เพราะมันคงพินาศไปซะก่อน คำว่าหน้าที่ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะทำให้มันเป็นดาบได้ เพียงเท่านี้มันจะเป็นดาบดีได้อย่างไรกันท่าน  ผมคนหนึ่งที่ไม่คิดจะเข้าไปติดบ่วงของความเสแสร้งนี้เป็นอันขาด”



    เซอร์ชาลมานมองเด็กหนุ่มอย่างนึกชมในใจ หากแต่สีหน้าของเขาไม่ได้เปลี่ยนไปซักนิด มันยังคงเย็นชาดังเดิม



    “ดูตัวเองสิ บัดนี้เจ้าคือใคร?”คำถามถูกส่งไป ซึ่งคนฟังมองดูตนเองก่อนกล่าวหนักแน่น



    “เทรวิส บาร์เลอร์ฟอน บุตรแธชเชอร์ ช่างมุงหลังคา แห่งเคดาส”



    “แล้วเจ้ามีอำนาจอะไร? เทรวิส บาร์เลอร์ฟอน บุตรแธชเชอร์ ช่างมุงหลังคา แห่งเคดาส”ผู้สูงวัยกว่าย้อนถาม แต่ทำเอาคนอ่อนกว่าจนต่อคำตอบ ก่อนเซอร์ชาลมานจะเสริมทับ



    “ผู้มีอำนาจเท่านั้นที่มีสิทธิ์เลือก แล้วมันจะเหลือทางเลือกไว้ให้ไพร่อย่างเจ้าเลือกซักกี่ทางกัน”



    “ผมจะเลือกทางเดินของผม ทางที่ผู้มีอำนาจไม่ได้เลือกไว้ให้ผม”เทรวิสตอบกลับ ก่อนเหยียดรอยยิ้มมุมปาก แล้วว่า “หรือหากท่านเจ้าชายจะทรงยัดเยียดตำแหน่งให้ผมด้วยจิตเมตตา  อันนี้เห็นทีผมต้องน้อมรับพระทัยอันดีงาม ด้วยความตื้นตันใจอย่างหาที่สุดมิได้”



    ร่างสูงโค้งตัวน้อยๆ“ที่มีเจ้าชายผู้ไร้ศักดิ์ ไร้ศรี ในการเป็นเจ้าชาย มอบยศถานี้แลกกับความสนุก! ผมว่าท่านน่าจะลองไปเร่ขายในเมืองดู คงได้ราคาดีไม่เบา  หรือว่าเอาใกล้ๆในสภานี่ก็น่าสนอยู่นา... ลำพังยังไม่ได้ติดประกาศขายก็อยากได้กันจนตัวสั่นแล้วนี่ท่าน”



    เทรวิสว่าไปหัวเราะไป ยามนี้เด็กหนุ่มกวนประสาท กล่าววาจาที่ฟังแล้วไม่รื่นหูเอาซะเลย สายตาที่วาววับ ยิ่งฉายประกายชัดเมื่อเห็นท่าทีของคนฟังที่ตวัดสายตามามองด้วยอารมณ์เย็นเยียบ ทำให้ต้องแย็บเข้าไปอีก



    “แต่ก็เอาเถอะ คงไม่แปลก หากท่านจะคิดว่าไพร่จะเป็นเจ้าชายได้ดีกว่า”



    “เจ้า!”เซอร์ชาลมานโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงกร้าว ก่อนจะกล่าวด้วยวาจาที่เหื้ยมเกรียม “เจ้าอย่านึกว่าวิธีนี้จะใช้ได้ผล กับดักมันวางล่อเอาไว้ทุกที่ ทางเลือกของเจ้ามันน้อยนัก หากฉลาดพอที่จะเดิน เจ้าก็ต้องเลือกทางที่มันสูญเสียน้อยที่สุด อย่างน้อยที่ข้าจะเสนอให้  คนใกล้ชิดเจ้าก็ปลอดภัย... น่าสนใช่มั้ย?  เทรวิส บาเลอร์ฟอน~”



    “ท่านจะทำอะไร”น้ำเสียงเกรี้ยวกราด รอดไรฟันของเทรวิส พร้อมกับหมัดที่เกร็งขึ้น นัยน์ตาคู่เขียววาวโรจขึ้น คุด้วยโทสะ ร่างทั้งร่างควบคุมไม่อยู่ รู้อย่างเดียวว่าบุคคลตรงหน้านี้มันสัตว์ร้ายชัดๆ ร้ายซะจนอยากตะบันหน้าให้หงายลงไปภายในหมัดเดียว





    “พ่อเจ้า...แก่เกินไปสำหรับแผ่นดินที่จะต้องแบกเอาไว้แล้ว หากไร้ค่า ก็คงต้องตัดส่วนเกินนี้ออกไป”วาจาที่เรียบเฉยราวกับเป็นเรื่องธรรมดา ส่งให้ร่างทั่งร่างของคนเป็นลูกสั่นเทิ้มด้วยอารมณ์โกรธ โผทั่งร่างเพื่อเข้าปะทะด้วยสติที่ขาดสะบั้น





    ฟึ่บ





    เพียงชั่วพริบตาดาบเล่มยาวถูกยกขึ้นจี้ลำคอขาว หยุดการเคลื่อนไหวของคนเส้นอารมณ์ขาด... นัยน์ตาคู่เข้มสบกับคู่ที่กรุ่นด้วยโทสะ ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยนั้นเย็นเยียบราวกับกำลังยิ้มเยาะ สายตาที่บ่งบอกถึงผู้เหนือกว่าฉายประกายแห่งความน่าเกรงขาม



    นัยน์ตาคู่เขียวที่ประสานอยู่นั้นวาวโรจน์ ราวกับจะปลิดชีพคนตรงหน้านี้ได้ โดยไม่เกรงกลัว... ความเงียบโรยตัวลงยาวนาน...มันเป็นเวลาที่รู้สึกยาวนาน แม้ว่าจะผ่านไปไม่กี่นาที... ได้ยินแม้แต่เสียงลมพัดชายผ้า...เสียงพลิกหน้าหนังสือ.... และแม้แต่เสียงลมหายใจของบุรุษสองนาย....







    แอ้ด………





    สายตาสองคู่เบือนไปจับบานประตูพร้อมกันในทันที....



    หญิงอายุราวๆสามสิบปลาย ย่างกรายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในห้อง ผมสีเทาที่ถูกเกล้ามวยไว้ และรูปร่างเจ้าเนื้อที่อวบอิ่มทั้งใบหน้า ทำให้นางดูเป็นหญิงผู้ใจดี และอ่อนโยนนัก



    “หืม...”นัยน์ตาคู่ฟ้าซีดเบิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะแย้มรอยยิ้มให้กับบุคคลตรงหน้า “ฉันมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า ท่านเซอร์ชาลมาน”



    คนถูกถามหันกลับมามองที่เจ้าหนุ่มที่เขาเอาดาบจี้คอเชิงคำตอบ ก่อนนัยน์ตาคู่เขียวจะหันกลับมาสบกันอีกครั้ง.... แม้เลือดจะซึมชื้นลำคอขาวแล้วก็ตาม ก็ยังไม่มีใครอ่อนให้ใคร



    “ท่านเซอร์ชาลมาน.....ฉันก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าท่านชอบรังแกเด็ก”น้ำเสียงทอดถอนใจ พลางเหลือบสายตาไปมองหน้าหนุ่มน้อยเทรวิส ก่อนจะหันกลับมาสบเข้ากับสีหน้านิ่งๆของคนฟัง



    แล้วดาบหนาก็ตวัดเข้าฝัก ไปแต่โดยดี....



    “ข้าคงล้ำเส้นเกินไป....”คำกล่าวจากเซอร์ชาลมาน ก่อนจะมองเทรวิสแล้วว่า “ส่วนเจ้าเด็กนี่ ท่านออเดรียจัดการกับเขาแล้วกัน หน้าที่ข้าในวันนี้คงหมดลงแล้ว”



    แม่นมออเดรีย ยิ้มรับ ก่อนร่างสูงใหญ่องอาจจะเปิดทางให้....แต่คนถูกกล่าวถึง ชักสีหน้าไม่พอใจชัด เหลียวมองไล่แผ่นหลังใหญ่ที่เดินจากไปเพื่อเฝ้าหน้าประตูด้วยสายตาไม่เป็นมิตร



    “ว่าไงพ่อหนุ่ม คุยกันอิท่าไหนล่ะ เล่นเอาได้เลือดเชียว”เสียงอ่อนโยนเรียกอารมณ์กรุ่นๆให้บางลงถนัดตา มือนุ่มจับผ้าขาวขึ้นซับเลือดบนลำคอเทรวิส ก่อนกล่าวเตือน“ระวังคำพูดคำจาไว้หน่อยก็ดี ท่านชาลมานนั่นไม่ได้ร้ายอย่างที่เราคิดหรอก  เขาอยู่คนละขั้วกับพวกเหลี่ยมจัดในสังคมที่เจ้าจะต้องพบเจอเป็นไหนๆ”



    คนฟังปั้นหน้านิ่ว ไม่นึกเชื่อสักเท่าไหร่ “งั้นท่านคงส่งผมไปลุยในนรก แทนที่จะไปเป็นเจ้าชายแล้ว”



    แม่นมหัวเราะ ก่อนว่า“ชีวิตต่อจากนี้ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก เราเองคงไม่อยากจะจบชีวิตไวเกินไปนักหรอกจริงมั้ย...คนที่เราไม่ชอบขี้หน้าตั้งแต่แรกพบ  อาจไม่ใช่ศัตรูในอนาคต  แต่คนที่เราไว้ใจที่สุดนี่แหละ ที่อาจเป็นศัตรูในปัจจุบันของเรา.... ตัดสินจิตใจ ไม่ได้ดูเพียงเสี้ยวนาที แต่มันต้องใช้เวลา....แล้วเราจะรู้ว่าจิตใจคนเรามันซับซ้อนเกินกว่าที่เราเห็นภายนอกนัก”



    “งั้นผมก็ไว้ใจใครไม่ได้ แม่แต่ท่าน”เทรวิสว่า... นัยน์ตาคู่ฟ้าซีดฉายประกายยิ้ม ใบหน้าอ่อนโยนคลี่รอยแย้มบางๆ



    “นั่นก็ขึ้นอยู่กับใจของเราแล้ว...เทรวิส บาเลอร์ฟอน”







    +++++++++++++++++







    ปล่อย!....ไม่เอา!...





    ผมอาบเองได้!






    เสียงแหกปากลั่น ซัดน้ำร้อนในสระกระจายเป็นวงกว้าง......



    “แหม เจ้าชายอย่าดิ้นนักสิเพคะ”พี่สาวกำนัลหน้าตาแฉล่ม ค้อนดวงตาสวยๆมาสบ พลางถูๆแผ่นหลังด้วยสัมผัสที่นิ่มนวล....... สัมผัสที่คนได้รับ ขนลุกซู่



    นึกไปถึงเจ้าชายต้นเรื่อง มันไปก่อคดีอะไรไว้?



    คิดแล้วก็เบี่ยงตัวหนี แต่ก็ไม่พ้น นิ้วเรียวสวยที่คว้าหมับเข้าอีกมือ ก่อนจะไล้ขึ้นไล้ลงชวนขนลุก



    “อย่าทำให้หม่อมชั้นหนักใจนักเลยเพคะ.... นานๆจะได้มีโอกาสที่แม่นมจะอนุญาตให้เราปรนนิบัติเจ้าชายสักทีหนึ่ง”เสียงหญิงสาวสุดแสนยั่วยวน ว่าพลางดึงให้ร่างเข้ามาใกล้กว่าเดิม



    อ้าก!!! ปรนนิบัติอะไรกาน.....



    สาวพวกนี้จริตจกร้านน่ากลัวจริงเชียว....ไอ้ความคิดบ้าๆนั่นมันเป็นจริงขึ้นมา แต่ทำไมมันรับไม่ได้ขนาดนี้นะ หรือสาวพวกนี้คงไม่เหมาะกับหนุ่มขี้อายอย่างเขาละมั้ง



    คิดเองเออเองเสร็จสรรพ ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้นช่วยชีวิต.....



    “พวกเธอทั้งหมดออกไปก่อน พอแค่นี้แหละ”เสียงสวรรค์จากแม่นมออเดรีย กล่าวไล่นางกำนัลทั้งหมดให้ลุกจากไป ด้วยความเสียดาย



    เทรวิสถอนให้ใจฟู่ ก่อนดำบ่อน้ำร้อนลงไป เหมือนทำใจซักระยะ แล้วโผล่ขึ้นมารับสภาพ



    เสียงหัวเราะบางๆด้วยความขันจากแม่นมออเดรีย นัยน์ตาคู่ซีดฉายประกายระริก ฉีกยิ้มถูกใจนัก



    “ชอบมั้ยล่ะ เจ้าชายของหม่อมฉัน” เสียงกลั้วหัวเราะ แต่ทำเอาคนเป็นเจ้าชายหน้าแดงอีกเป็นหนที่สิบ หลังจากผ่านเงื้อมมือสาวๆมา



    “เข้าใจเล่นนะท่าน คราวหลังไม่จับผมโยนลงไปในฮาเร็มซะเลยล่ะ”เทรวิสว่าประชดๆ พลางว่ายไปรอบๆ..... พอไม่มีสาวๆนั่นแล้ว สระน้ำร้อนที่นี่น่าลงแช่ขึ้นจมเลย



    “อืม น่าสน! ไว้คราวหลัง ว่างๆแล้วหม่อมฉันจะหามาเซอร์ไพรส์   เจ้าชายอุลริค เดรโก อัลเทรดาน”



    เฮื้อก  ไว้ใจไม่ได้จริงๆ แม่นมคนนี้.....พอเรียกชื่อเจ้าชายเต็มยศทีไร เขาก็รู้สึกใจคอไม่ดีทุกที



    “สองสามวันนี่ เราต้องรับการอบรมหนักหน่อยล่ะ คงพอจะรับได้นะ”แม่นมว่า ก่อนจะเปรยต่อให้คนฟังต้องมุดลงน้ำไปอีกรอบ “ผ่านจากสองวันนี้ไปก็เป็นหนักมากเราสบายใจได้ ว่าต่อไปเลือดตาแทบกระเด็น แน่นอน”



    “ฉันจะแจงคร่าวๆให้ฟังก่อน”แม่นมว่า พร้อมยกปากกากับสมุดขึ้นมาขีดเส้นใต้ แล้วไล่ตามลำดับ “การปฎิบัติตัวในการรับประทานอาหารร่วมโต๊ะ , การประทับตรา , มารยาท , บุคลิกภาพ , นิสัยพื้นฐาน , บุคคลที่ควรรู้จักและจิปาถะทั่วไป  ส่วนเรื่องอื่นๆเช่นการฝึกดาบ ฝึกม้าพื้นฐานพวกนี้ เซอร์ชาลมานจะเป็นคนจัดการอีกที.....พอโดยรวมเริ่มถูๆไถๆได้แล้ว เราเองก็ต้องเข้าเรียนตามตารางของเจ้าชายอุลริค เช่น ตำรายุทธวิธีการรบ , ภูมิประเทศ ความสำคัญ , การเมือง ราวๆนี้ เราคงทำได้อยู่หรอก ใช่มั้ย”



    นัยน์ตาคู่ฟ้าซีดละจากแผ่นกระดาษตรงหน้า แล้วมองมายังเทรวิส ซึ่งเหลือแต่ฟองอากาศบุ๋งๆ ผุดขึ้นในน้ำ



    “เฮ้  พ่อหนุ่ม  โผล่ขึ้นมา  อย่าทำเป็นสำออยน่า...”  





    หลังจากโผล่ขึ้นมานี่แหละที่เรียกว่าความตายมาเยือน.................




      

    +++++++++++++++++++++++++







    หลังจากเทรวิสได้ตกปากรับคำไปเรียบร้อย ก็ต้องเดินตามน้ำรับบทสุดแสนจะสูงส่งในตำแหน่งเจ้าชายรัชทายาท...  การเข้าคอร์สอบรมครั้งยิ่งใหญ่ก็ได้เริ่มขึ้นอย่างลับๆ โดยแม่นมได้ย้ำแล้วย้ำอีกว่าภายในสามวันนี่ห้ามออกจากห้องบรรทมโดยเด็ดขาด เพราะเธอไม่มั่นใจในความปลอดภัย หรือจะเรียกอีกอย่างก็คือกลัวเขาจะไปปล่อยไก่ให้เหล่าธารกำนัลเอะใจกันซะก่อน



    แน่นอนมันต้องมีเหตุมีผลว่าทำไมเจ้าชายถึงไม่ได้ออกไปพบหน้าพบตาใคร แล้วก็ไอ้เหตุผลนี้แหละที่เล่นเอาเทรวิสปั้นหน้ายาก



    “เสวยยาของหมอหลวงก่อนนะเพคะ องค์ราชินีกำชับนักว่าหม่อมฉันต้องเห็นพระองค์เสวยต่อหน้า”หญิงร่างบางในชุดสีเทาอายุราวสามสิบเศษ จัดแจงให้สาวใช้นำจอกใส่น้ำสีเขียวขุ่นถวายแด่เจ้าชายที่นอนป่วยออดๆแอดๆ “ท่านคงเป็นห่วงเกรงว่าจะเป็นอะไรหนักหนา ทันที่เรื่องถึงหูว่าเจ้าชายล้มป่วยกะทันหัน องค์ราชินีถึงกับจะเสด็จมาด้วยพระองค์เองเลยนะเพคะ”



    “อืม...อือฮึ...อ อ เอ่อ”เทรวิสรับคำไม่ถูก หันไปมองตาแม่นมปริบๆ ก่อนที่จะโดนทำตาดุใส่ แล้วก็ต้องทำท่าไม่มีเรี่ยวแรง ไอ คอกๆแคกๆ



    “ซารีน ฉันเพิ่งจะจัดยาถวายไปไม่นานนี้ หากทานซ้ำซ้อนกันเกรงว่าคงจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกายนัก เธอคงเข้าใจนะ”แม่นมออเดรียกล่าวขึ้น พลางรับถาดยามาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าปกติ “ยานี้เดี๋ยวฉันจะจัดการให้ภายหลัง เวลานี้เจ้าชายคงจะอยากพักผ่อนแล้ว”



    สีหน้าซารีนนั้นเดายาก ก่อนจะคลี่รอยยิ้มบาง แล้วถอนหายใจแบบเสียดาย “เฮ้อ! ยังนี้ก็ช่วยไม่ได้  ฉันนี่ไม่ได้เรื่องเลย องค์ราชินีท่านทรงไม่ไว้ใจใคร สั่งให้ฉันนำยานี้มาให้ นึกไม่ถึงว่าจะมาช้าไป แย่จริงเชียว แล้วฉันจะไปกราบทูลว่าอย่างไรละทีนี้”ว่าแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกรอบ ก่อนจะเหยียดรอยยิ้มมองหน้าคนฟังที่ยิ้มรับ ก่อนกล่าวลา“ยังไงก็ฝากด้วยนะท่านออเดรีย หวังว่าเจ้าชายคงจะตื่นมาเสวยยาจอกนี้...องค์ราชินีจะได้ไม่เสียน้ำใจ”



    “แน่นอน ฉันไม่มีวันลืมเด็ดขาด” น้ำเสียงแปลกหูจากแม่นม เป็นคำตอบที่เทรวิสรู้สึกติดใจว่า มันเป็นเรื่องเดียวกันรึเปล่า เพราะแว้บเดียวที่เขาสังเกตเห็นสายตาของแม่นมที่ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน แล้วก็กับมายิ้มแย้มอ่อนโยนเหมือนเดิม



    ภายใต้ความสงสัยของคนฟังที่นอนขมวดคิ้ว หลังจากกลอกตามองบทสนทนาของคนในพระราชวัง ซึ่งฟังดูแล้วมันก็ทะแม่งๆเหมือนมันมีอะไรมากกว่าเรื่องยานี่ยังไงไม่รู้ แต่ก็ต้องเลือกที่จะหุบปากไว้ก่อนเพราะเขาก็ยังไม่อยากเจอปัญหาตั้งแต่วันแรก



    ผู้มาเยือนหันหลังจากไป.....ทันทีที่ประตูปิดลง เทรวิสก็กระโดดพรวดออกมาโดยไม่ต้องมีใครมาประคอง ก่อนจะบ่นหงุงหงิง



    “จบเรื่องนี้มีหวังผมคงได้รางวัลตุ๊กตาทอง”เทรวิสว่าพลางบิดขี้เกียจ ก่อนจะเอ่ยถามเรื่องที่สงสัย“ซารีน อะไรนั่น เขาเป็นใครกัน ดูแปลกๆยังไงชอบกล”



    คนถูกถามหันมายิ้มก่อนว่า “เธอชื่อ ซารีน โรวา สาวใช้คนสนิทของ ราชินีเรเชล่า หรือเรียกอีกอย่างว่าที่ปรึกษาคนสำคัญก็ว่าได้ และนี่ละหนึ่งคนที่จะประมาทไม่ได้”



    เทรวิสพยักหน้ารับ ทั้งที่ยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไหร่นัก  จากชีวิตที่เคยตะลอนๆตากแดดหัวแดง สังสรรค์ตามประสาชาวบ้าน เปิดใจตรงไปตรงมา มองปุ๊ปก็รู้ไปถึงไหนๆ แต่ที่นี่มันไม่ใช่



    แค่คนตรงหน้าที่เขาว่าใจดี อ่อนโยน และดีที่สุด ตอนนี้เขาก็ชักไม่แน่ใจซะแล้ว







    แล้วนรกก็มาเยือน เมื่อการเข้มงวดกวดขันในเรื่องมารยาท ซึ่งเป็นสิ่งที่เทรวิสแขยงที่สุด เพราะในแต่ละนาทีที่ผ่านไปก็เล่นเอาหูชาไปเป็นแถบ และยังต้องนั่งนิ่งๆตั้งใจฟังอีกด้วย ไม่อย่างนั้นคนที่เขาว่าใจดีนี่แหละจะถือไม้อันเท่าหางกระเบนหวดไม่ยั้ง และไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดแผล แล้วเป็นเจ้าชายไม่ได้ เพราะหล่อนดักคอไว้เรียบร้อยด้วยสมุนไพรที่อวดสรรพคุณไว้ดีเด่นว่า ‘รักษารอยได้เนียนสวยที่สุดในเวลาไม่กี่วินาที  ฉะนั้นจบบทเรียนเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องห่วง’  



    จากบทเรียนที่ได้รับนั้นก็เล่นเอาร้องโอดโอยไปหลายรอบ แผลฟกช้ำก็ขึ้นมาหลายรอย แต่ก็ได้เจ้ายาสีเขียวใบไม้เละๆที่ว่าดีหนักหนามาประคบ  เท่านั้นแหละ ความอัศจรรย์ก็บังเกิด รอยช้ำๆเขียวๆหายวับไปกับตา ราวกับเวทมนต์ ซึ่งก็ไม่ได้มีให้เห็นกันได้ง่ายๆสำหรับชาวบ้านอย่างเขา........  



    เวลาดำเนินไปอย่างรวดเร็ว การฝึกฝนอบรมก็เป็นไปได้ถือว่าค่อนข้างดี ในเรื่องความจำในการจำรายละเอียดของบุคคลแต่ละคนนั้น เทรวิสเรียนรู้ได้ว่องไว เพราะเขาเองก็เป็นคนที่จัดสรรคนในระบบความคิดเป็นระเบียบ การจะจำอุปนิสัยคร่าวๆ กับชื่อและตำแหน่งนั้นก็ไม่ยากเกินความสามารถ





    ‘เซอร์ชาลมาน เลอัล ไลเออร’ชื่อหนึ่งที่โผล่ขึ้นมาแล้วเขาอยากจะโละทิ้ง แต่จากเรื่องราวคร่าวๆขององครักษ์คนนี้ ถ้าหากไม่เคยพบเจอกันมาก่อน เขาคงคิดว่าคนนี้เป็นวีรบุรุษแน่ๆ เพราะแม่นมได้เล่าถึงเรื่องต่างๆราวกับนิทานก่อนนอน ซึ่งเขาก็ต้องยอมรับว่า ฟังแล้วเพลินดี ติดอยู่ตรงชื่อตัวละครมันขัดหู





    ต่อมาที่น่าสนใจไม่แพ้กันเห็นจะเป็น ลอร์ดเฮนรี่ โดนาร์ท ซึ่งเป็นบุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นกษัตริย์สละบัลลังก์  เนื่องจากเหตุการณ์เมื่อหลายสิบปีก่อนที่จะมีการผลัดบัลลังก์ ซึ่งแน่นอนว่าตำแหน่งคิงนั้นจะไม่พ้นเขาอย่างแน่นอน แต่วันหนึ่งเมื่อกษัตริย์สิ้นพระชนกะทันหันด้วยยาพิษ ทางสภาเริ่มวิพากษ์วิจารกันอย่างลับๆ ซึ่งทำให้เขายกตำแหน่งนี้ให้กับรัชทายาทอันดับสอง ก็คือ กษัตริย์ลอยเออร์ คนปัจจุบันนี้เอง  ก่อนจะปลดตัวเองลงมาเป็นครูฝึกฝนให้กับเด็กหนุ่ม ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเจ้าชายอุลริคด้วย





    เทรวิสฟังแล้วก็กลืนน้ำลายเอื้อก นี่แสดงว่าเขาต้องไปเรียนกับคนๆนี้ ซึ่งถ้าให้เรียกก็ต้องเรียกว่าเป็นคนหนึ่งที่เขาเคยได้ยินอยู่บ่อยๆในคำเยินยอของชาวบ้าน ที่กล่าวกันหนาหูว่าหากได้คนนี้ขึ้นครองคงจะดีกว่านี้ เพราะท่านเป็นคนมือสะอาด และเก่งกาจมาก และนี่เองทำให้เขาสนใจขึ้นมาไม่น้อย ว่าลอร์ดเฮนรี่ ทำไปเพื่ออะไร?





    เรื่องของคนอื่นๆถูกถ่ายทอดออกมาเท่าที่จะสามารถเล่าได้ จนคนสุดท้าย คนที่เทรวิสสงสัยที่สุด





    เจ้าชายอลุริค เดรโก อัลเทรดาน



    ถึงจะอยากรู้มากซักเพียงใด เรื่องเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เพลิดเพลินเหมือนเรื่องอื่นๆ หนำซ้ำยังต้องเบ้ปากปูเลี่ยนๆอยู่กับมาดที่นึกแล้วให้ไปกระโดดข้ามกำแพงยังง่ายกว่า ในเมื่อคำจำกัดความที่ว่า





           ‘เจ้าชายมาดหยิ่งยโส  โมโหกวาดข้าวของกระจาย  ยิ้มพรายให้กับสตรี  ขี้หลีอันดับหนึ่งในเคดาส’





    นึกแล้วอยากจะบ้าตาย ไอ้นิสัยรับไม่ได้ขนาดนี้ ไม่เข้าใจว่าคนที่นี่ทนอยู่กะมันไปได้ยังไง นี่เขาไม่ต้องสงสัยเลยเกี่ยวกับพวกสาวๆนั่น





    แล้วแม่นมก็แจงรายละเอียดถี่ยิบย่อย ให้เทรวิสกลืนน้ำลายหลายอึก นึกตามไปเป็นฉากๆ  ก่อนจะเล่าไปถึงเรื่องโดยรวมของราชวงศ์ฟรอนติโซ่ ซึ่งกินเวลาจนราตรีสงัด



    “เอ้า จบแล้ว ไปนอนเอาแรง เห็นนั่งหาวหวอดๆอยู่สองสามรอบ ก็นึกว่าจะหลับ ทนดีนี่เรา”แม่นมไล่ให้เทรวิสที่เอนกายข้างเตาพิงให้ลุกขึ้น  



    “อื้อ ผมนอนตรงนี้แหละ ขี้เกียจลุก ง่วง...”ว่าแล้วก็หาวอีกรอบก่อนหลับตาพริ้ม ไม่ตอบรับเหตุการณ์ภายนอกอีกแล้ว



    นัยน์ตาคู่ฟ้าซีดฉายประกายเหนื่อยใจ พลางหยิบผ้าห่มมาคลุมกันหนาวให้เทรวิส ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ





    “โลกแห่งนิทรา ที่เดียวที่ไม่มีใครบังคับเราได้..... เมื่อไหร่ฉันจะมีที่แห่งนั้นบ้างนะ....”







    +++++++++++++++++++++++++













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×