ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Destiny เส้นทางรัก...สองหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #2 : พินัยกรรม

    • อัปเดตล่าสุด 10 เม.ย. 49



    พินัยกรรม

                หลังจากนำกระดูกของพ่อไปลอยอังคารที่ทะเลพร้อมกับของคุณลุงคิม  ความรู้สึกเหงาก็เกิดขึ้นในใจ... ภายในสองวันนี้ ฉันจำเป็นจะต้องปิดประตูห้องนอนทุกครั้งที่มาถึงบ้าน แล้วหมกตัวอยู่ในนั่นเป็นชั่วโมงๆ

                    ฉันรู้ดีว่าการร้องไห้อาจช่วยได้เพียงแค่ให้อารมณ์สามารถผ่านช่วงเวลาของความเจ็บไปได้ แต่ทว่าฉันก็ไม่สามารถห้ามไม่ให้มันไหลออกมาได้ทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ ฉันจะต้องกลับบ้านมาพร้อมกับคนขับรถคนใหม่ ซึ่งป้าดาวเป็นคนจัดการให้... กลับมาบ้านด้วยหัวใจที่เหงา...

                    ก๊อก ก๊อก ก๊อก... ประตูห้องนอนฉันถูกเคาะด้วยมือของใครบางคน

                    "คุณหนูคะ... คุณหนู... มีคนมาหาคะ"

                    ฉันลุกขึ้นจากเตียง แล้วสวมรองเท้าหัวกระต่ายสีขาว ก่อนที่จะเปิดประตูไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ฉันก้าวเท้าที่อ่อนล้าไปข้างหน้า...ทำไมฉันไม่ตายไปพร้อมกับพ่อนะ...ทำไมต้องให้ฉันมารับรู้ส่วนที่เหลือด้วยความเจ็บปวด!

                    ถ้ากระโดดลงไปจากบันไดนี้ ฉันจะตายไหมนะ...

                    ฉันมองไปข้างล่างจากบันได ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนพื้นบ้านของฉัน... ผู้ชายคนนั้นเงยหน้ามองฉันด้วยความสงสัย ก่อนจะโปรยยิ้มให้กับฉัน ผู้ชายคนนี้อายุราวๆสามสิบ

                    "หนูคือ คริสตัลใช่มั้ย?"

                    ฉันผายมือให้ผู้ชายแปลกหน้านั่งลงบนเก้าอี้รับแขก... อาการมึนเกิดขึ้นมาในหัวฉันอีกครั้ง

                    "ค่ะ หนูคริสตัลตัวจริง ไม่ใช่ตัวปลอมหรอกคะ"

                    "ฮะๆ...อืม ฉันชื่อโรมนะ"

                    นี้ฉันไม่ได้กะจะให้เขาหัวเราะกับสิ่งที่ฉันพูดออกไปหรอกนะ ที่ฉันพูดออกไปแบบนั้นเพราะฉันกำลังรู้สึกหงุดหงิดและสับสน อีกทั้งรำคาญนิดๆ

                    "มีอะไรเหรอคะ..."

                    ฉันจิกสายตาไปที่เสื้อสูทสีเทาของเขา... ผู้ชายคนนี้ท่าทางมีความสันโดษ

                    "อืม...พินัยกรรมครับ ผมเป็นคนรักษาพินัยกรรมคุณพ่อของหนูน่ะ"

                    เขาพูด...ฉันประหลาดใจกับคำว่า 'พินัยกรรม' นิดหน่อย

                    "เริ่มเลยสิคะ?"

                    ฉันไม่เข้าใจว่าเขากำลังรออะไร หากการจะพูดประโยคต่อไปมันช่างลำบาก ทำไมเขาจะต้องมาทนนั่งอธิบายให้ฉันฟังด้วยล่ะ คุณพ่อคะ เห็นไหม...พอคุณพ่อจากไป หนูก็ต้องรับสิ่งนี้ สิ่งที่หนูไม่อยากได้

                    "ต้องรอครับ... รอก่อน... รอคุณนายพิมพ์ภาดาก่อนนะครับ"

                    "ใคร? คะ"

                    ถ้าฉันจะบอกว่าผู้ชายคนนี้มาผิดบ้านหรือเปล่า ฉันจะคิดผิดหรือเปล่านะ อันที่จริงฉันไม่อยากจะคิดอะไรให้ปวดหัวมากกว่านี้หรอกนะ แต่ว่าผู้หญิงที่ชื่อพิมพ์ภาดาเป็นใครกัน?

                    ฉันมองเขาด้วยใบหน้าที่งงงัน... จากนั้นฉันก็ต้องตกใจอย่างสุดขีด เมื่อเขาพูดประโยคต่อมา

                    "คุณย่าของน้องคริสตัลไงครับ"

                    เฮือก... ฉันหายใจเข้าได้ไม่เต็มปอดนัก ก็คุณพ่อเคยบอกกับฉันว่าคุณปู่และคุณย่าเสียชีวิตตั้งแต่ฉันยังไม่ได้เกิดยังไงล่ะ แล้วทำไมจู่ๆ จะมารอรับฟังพินัยกรรมได้ที่ไหนกัน

                    "โกหก!! คุณย่าเสียไปตั้งแต่หนูยังไม่เกิดเลยนะ!!"

                    ฉันทนไม่ได้... พ่อจะโกหกฉันไปทำไม ฉันว่าผู้ชายคนนี้เข้าบ้านผิดแหงๆ ใช่ว่าโลกกลมๆใหญ่ๆใบนี้จะมีผู้หญิงที่ชื่อคริสตัลคนเดียวเสียหรอกนะ

                    เขาตกใจกับท่าทีของฉัน จึงชะงักไปเล็กน้อย...

                    "ยัง... คุณนายพิมพ์ภาดายังไม่เสียสักหน่อยนะครับ แต่คุณปู่ของคุณเสียแล้ว เสียเมื่อตอนปลายปีที่แล้ว"

                    "เข้าบ้านผิดหรือเปล่าคะ"

                    สีหน้านั่นทำเหมือนคิดหนัก... แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม

                    "ไม่หรอกครับ"

                    จังหวะที่ฉันจะพูดต่อ... เสียงจากหน้าบ้านก็ดังขึ้น

                    ปริ้น ปริ้น

                    เสียงบีบแตรหน้าบ้านดังเข้ามาถึงภายในห้องรับแขก มันเป็นการบีบแตรที่รัว เสียงนี้ทำให้น้ำตาฉันรื้นออกมาอย่างบังคับไม่ได้... ภาพรถคว่ำฉายในหัวฉันเหมือนภาพยนตร์

                    รถเบนซ์คันสีดำจอดเทียบท่าหน้าบ้านฉัน จากนั้นคนขับรถก็เปิดประตูด้านหลัง เผยให้เห็นบุคคลที่ทำให้ฉันหายใจไม่เป็นจังหวะ  หัวใจฉันแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม...

                    หญิงชราวัยราวๆห้าสิบก้าวเท้าลงจากรถคันนั้น ใบหน้าของเธอฉายแสงแห่งชัยชนะ ผมสีขาวถูกรวบมัดให้เข้ากันอย่างสง่า ริมฝีปากแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีแดงฉาด...

                    "นั้นล่ะ...คุณย่า!"

                    ทนายโรม(ฉันไม่รู้ว่าอาชีพของเขาเรียกยังไง)ชี้ไปข้างหน้าด้วยความตื่นเต้น... ผู้ชายคนนี้สติดีหรือเปล่านะ ไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึกสับสนของฉันเลยสักนิดสินะ... ฉันมึนในหัวไปหมด ทั้งสิ่งเก่าๆ ความทรงจำในหัวสมอง พยายามค้นหาผู้หญิงผู้ซึ่งเป็นย่าของฉัน!

                    "ฉันเหนื่อย... ขอพักก่อนได้ไหม..."

                    "เอ่อ  ต้องอยู่ทุกคนนะครับ"

                    "อืม คะ"

                    สักพักหนึ่ง คุณนายพิมพ์ภาดาหรือย่าลับๆของฉันก็ปรากฏตัว เธอนั่งอยู่ตรงข้ามกับฉัน คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด... เธอยิ้มให้ฉันอย่างเจ้าเล่ห์ (จริงๆนะ) ก่อนจะหัวเราะในลำคอเบาๆ

                    ฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่หากเธอเป็นย่าของฉันจริงๆ ทำไมพ่อต้องปิดบังด้วย แล้วนั้นอะไรอีก สายตาที่ดูเกลียดชังฉัน ทำไมต้องมองแบบนั้นด้วยล่ะ ไม่เข้าใจ... งานศพของพ่อฉันก็ไม่ไป ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

                    "เอาล่ะ... จะเริ่มแล้วนะครับ!"

                    เสียงทุ่มๆต่ำๆของทนายโรม ทำให้ฉันละสายตาจากการมองผู้หญิงตรงหน้าได้

                    "...คะ..."

                    หญิงชราตอบ ส่วนฉันได้แต่พยักหน้า หงึกๆ

                    งง... ฉันงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหลือเกิน มันยังไงกันนะนี้

                    "ในฐานะที่ผมเป็นคนเปิดพินัยกรรมนี้  โดยมีพยานผู้รับมรดกทั้งสองคน ตามที่นายสายลม ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของพินัยกรรมนี้ได้เตรียมมอบมรดกให้แก่นางพิมพ์ภาดาและนางสาวไพลินภายในพินัยกรรม มรดกที่จะโอนมีดังนี้..."

                    เขากระแอ้มแล้วกลืนน้ำลายก้อนเล็กๆลงคอ... แล้วเปิดปากพูดต่อ

                    "นางพิมพ์ภาดาจะได้รับเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในธนาคารจำนวนสามร้อยล้านบาท อีกทั้งบ้านพร้อมที่ดินของหลังนี้... ส่วนนางสาวไพลินจะได้รับการเลี้ยงดูจากนางพิมพ์ภาดา(ฉันชะงักไป ในใจสั่นๆ) จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะซึ่งในตอนนี้อายุของเธอ เอ่อ...สิบเจ็ดปี หลังจากบรรลุนิติภาวะแล้ว มรดกที่ยังคงเหลือในตู้เซฟจะต้องตกเป็นของเธอเพียงแต่ผู้เดียวเท่านั้น..."

                    เขาพูดจบแล้ว... ร่างกายฉันสั่นเทา... ภาพใบหน้าโหดร้ายของย่าพิมพ์ภาดาลอยอยู่ในหัวมากมาย

                    "ฉันอยู่ที่นี้ได้ค่ะ! บ้านหลังนี้!"

                    "โอะ... เป็นอะไรจ้ะ"

                    ว่าที่คุณย่าของฉัน ยิ้มอวดฟันสีเหลืองอ่อนๆ มันจะเกินไปแล้วนะ

                    "คือ...ต้องทำตามความประสงค์ของคุณท่านทั้งหมดครับ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าผิดกฎหมาย อีกทั้งถึงคุณหนูคริสตัลจะอยู่ที่ไหนก็ตาม... ที่นี้ก็ยังจะของคุณย่าพิมพ์ภาดาอยู่ดีล่ะครับ"

                    "แต่ว่า..."

                    ฉันพยายามจะเถียงต่อไป... อะไรกันนี้ ทำไมต้องกดดันให้ฉันยอมรับข้อเสนอที่ฉันไม่ได้อยากรับสักนิด

    คุณพ่อเห็นไหมค่ะ...ท่านพญายมเห็นไหมคะ ท่านบันดาลสิ่งโหดร้ายแบบนี้ให้ฉันอย่างนี้เหรอคะ

                    อา...พูดไม่ออกเลยแฮะ

                    "โชคดีนะครับ... ผมจะต้องไปแล้ว เรื่องการโอนทรัพย์สินต่างๆจะเสร็จภายในสามสี่วันนี้ล่ะครับ ทางที่ดีคุณสองคนควรจะตกลงกันว่าจะไปอยู่ที่ไหนล่ะกันนะครับ"

                    "โฮะๆๆ...ได้เลยค่ะ"

                    ฉันแทบทนไม่ได้กับพฤติกรรมของคุณย่าหรือผู้เป็นแม่ของพ่อฉันได้เลย  เธอดูเหมือนแสร้งใจดี รอยยิ้มที่แสนจะทรมานใจฉันนั้นกำลังแทงเข้าไปข้างในเนื้อของฉัน

                    ทนายโรมเดินจากไปในเวลาไม่ช้า... ป้าดาวเดินสวนกลับเข้ามาด้านหน้าประตูแล้วหายลับกลับไปภายในห้องครัวเงียบๆ...

                    ฉันอยากจะร้องไห้... แต่มันกลับไหลไม่ออกเลย ถึงแม้จะคิดเรื่องของพ่อ มันก็กลับไม่ไหลออกมา ภายในใจของฉันตอนนี้ไม่ได้หวาดกลัวแต่อย่างใด เพียงแต่ฉันเหมือนคนที่หลับใหลแล้วถูกปลุกขึ้นโดยแม่มดใจร้ายอย่างนั้นล่ะ

                    เฮ้อ...เฮ้อ...

                    ฉันรู้ดี ผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นมนุษย์เพศหญิงที่ร้ายกาจแน่ๆ...จากรอยยิ้ม การพูดจา และสายตาที่น่าเกลียดชังฉันอย่างนั้น...ฉันไม่ชอบเลย...

                    "เอาล่ะ... นับจากนี้ไป เธอจะต้องไปอยู่ที่คฤหาสน์ติดทะเลของฉัน!"

                    เสียงสูงจนน่ากลัว... เสียงทำไมสูงอย่างนั้นได้นะ

                    "...ค่ะ?..."

                    "ต่อไปนี้... เธอจะต้องย้ายไปอยู่บ้านฉัน เรียนที่โรงเรียนใหม่ และที่สำคัญ เธอจะต้องได้พบกับสังคมใหม่ของที่นั่น ครอบครัวใหม่ และหลานสุดที่รักของฉัน...หึหึหึ"

                    "ทำไมล่ะคะ ไปอยู่ทำไม ที่นี้...อยู่ไม่ได้เหรอคะ"

                    "อา...ไม่ได้หรอกจ้ะ เพราะเธอกลายเป็นทรัพย์สินชิ้นหนึ่งของฉันไปแล้ว ต้องติดตามฉันไปด้วย"

                    การหัวเราะในลำคอทำให้ฉันหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม

                    ฉันทนไม่ไหวแล้ว... ทุกอย่างโบยบินไปจากฉัน

                    แล้วฉันจะไม่ยอมให้มันโบยบินหนีจากฉันไปอีก ทั้งบ้านที่แม่และพ่อฉันปลูกฝังมันมา ฉันไม่ยอมหรอก...

                    ฉันยอมรับไม่ได้!

                    "คุณย่าค่ะ!!! ทำไมจะต้องบังคับให้หนูไปอยู่ที่นั่นด้วย ถึงแม้คฤหาสน์นั่นจะดีสักเท่าไหร่ก็ตามที... แต่หนูก็ชอบที่นี้มากกว่าหลายๆเท่า... คฤหาสน์ติดทะเลนั้นมันมีดีตรงไหนคะ ถ้าหากหนูต้องไปอยู่กับคุณย่าที่ไม่เคยแม้แต่มางานศพของคุณพ่อเลย หนูยอมตายเสียดีกว่า!"

                    ฉันยืนขึ้น แล้วตะโกนลั่นใส่หน้าผู้หญิงตรงหน้า...

                    การพูดเหนือหัวผู้ใหญ่ฉันถือว่าเป็นความผิด แต่ว่าตอนนี้มารยาทจะต้องมาทีหลัง... ช่วงเวลานั่นเองฉันถึงได้รู้ว่าน้ำตาฉันไหลออกมาแล้ว... มันไหลหนักหน่วงและเจ็บปวด อา...เจ็บปวดเหลือทน

                    คุณย่าลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมมาด้านฉัน...

                    ตอนนั้นใบหน้าของเธอนั่นน่ากลัวเสียกว่าฆาตกรอีก ริมฝีปากนั่นเหมือนกำลังด่าซุบซิบเบาๆ เนื้อตัวของเธอค่อนข้างจะเกร็งเล็กน้อย แล้วการที่เรียกว่า 'ตบหน้า' ก็เกิดขึ้น...

                    เพียะ!... แรงตบทำให้แก้มซ้ายของฉันหันไปด้านขวามือ ตรงบริเวณนั้นรู้สึกร้อนผ่าว จากนั้นจึงค่อยๆชาลงไปเรื่อยๆ แล้วความชาจึงแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวด...

                    ฮึก...ฮือ...ฉันสะอื้นในใจ

                    ความเงียบปกคลุมระหว่างเธอคนนั่นและฉัน...

                    วินาทีต่อมา...เธอก็เริ่มพูดอีกครั้ง

                    "จำเอาไว้นะ!! ตั้งแต่วินาทีนี้ต่อไป ฉันคือเจ้าของบ้านหลังนี้ และฉันจะไม่ยอมให้แกอยู่บ้านหลังนี้อีกต่อไป เธอคิดว่าเธอเป็นใครหะ บ้านหลังนี้ตกอยู่ในกำมือของฉันแล้ว นังนี้ แกโง่หรือไง หึ!!"

                    วันนี้ฉันจะต้องเจอคำศัพท์แปลกใหม่อีกสักกี่คำนะ... คำว่า 'นังโง่' ทำให้ฉันเหมือนถูกตีแรงๆที่ท้ายทอย

                    พลั่ก!

                    เธอผู้นั่นผลักฉันไปที่เก้าอี้... ฉันไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป ฉันเกลียดที่สุด เกลียดการต้องทำในสิ่งตัวเองไม่สามารถบังคับปรับเปลี่ยนมันได้ ฉันเกลียดความรู้สึกแบบนี้ มันยิ่งกว่าเสียใจ มันยิ่งกว่าความเหงา มันเหมือนกับการถูกให้ปรับเปลี่ยนความทรงจำดีๆ ให้เป็นเรื่องความเลวร้าย ความเลวร้ายที่ไม่รู้จักจบจักสิ้น...วกวนไปวกวนมา

                    "...หนูขอโทษคะ..."

                    ฉันกลัว...ฉันกำลังหวาดกลัวผู้หญิงคนนี้...กำแพงของความอดทนพังทลายเหมือนกับปราสาททรายที่ถูกคลื่นยักษ์ซัดสาด ทุกอย่างที่ทำให้เจ็บปวดถาโถมเข้าหาฉัน มันไม่หยุดนิ่ง...ความโชคร้ายเดินตามฉันอยู่สินะ

                    "...ดีมาก... อีกสองวันฉันจะส่งคนมารับ! ถ้าหากยังขัดขืนหรือคิดจะหนี แกตายแน่ เอาล่ะ... รู้กฎของฉันด้วยล่ะว่าแกจะมาทำใหญ่กว่าฉันครอบครัวของฉันไม่ได้... เมื่อถึงที่นั่นถ้าแกเปิดปากพูดเรื่องไม่ดีแม้แต่นิดเดียว ฉันจะฆ่าแกให้ตายคามือแน่!!"

                    "....."

                    ฉันเองไม่เข้าใจกับการเขียนมรดกสืบทอดนี้ของพ่อเลย...เพราะคิดอะไรถลำลึกไปมากกว่านี้ อาการปวดหัวจากรถคว่ำจะยิ่งทวีคูณมากขึ้น  ฉันสับสน สับสน และหาเส้นทางที่ถูกต้องไม่เจอ

                    "อย่ามองฉันด้วยสายตาแบบนั้น อย่ามองฉันด้วยสายตาที่ฉันมองแก!!"

                    ฉันหลบตาทันที  บทเรียนใหม่สำหรับฉันคือยอมรับและอดทนในความผิดของมนุษย์

                    "จะไม่มองอีกแล้วคะ" ฉันกล่าว

                    "พูดง่ายๆอย่างนี้ค่อยรู้เรื่องหน่อย  นึกว่าจะโง่เหมือนแม่แกเสียอีก"

                    อดทน อดทน อดทน...ฉันท่องไว้แล้วกัดฟันแน่น การที่ฉันไม่โง่ มันเกี่ยวกับแม่ฉันตรงไหน ผู้หญิงคนนี้ช่างเป็นคนที่ตีโพยตีพายได้เก่งจริงๆ

                    "...โชคดีนะคะ..."

    อวยพรด้วยความเศร้า... อวยพรเพื่อเร่งให้เธอไปเสียที

    "อวยพรตัวเองจะดีกว่านะยะ นังโง่!!"

    อีกแล้ว คำนั่น คำที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกมีดกรีดเข้าไปในหัวใจ

                    "…."

                    "เอาล่ะ...ฉันไปดีกว่า... อยู่ที่นี้แล้วอารมณ์ยิ่งเสีย"

                    "...."

                    "ถ้าสองวันมา แล้วยังไม่เรียบร้อย แกเป็นลูกเจี๊ยบที่ตายในกำมือฉันแน่!"

                    ผู้หญิงที่ก่อนหน้านี้ถือว่าแปลกหน้าสำหรับฉันกำลังเดินเลี้ยวหันหลังกลับ... เอวของเธอโยกย้ายไปมาราวกับกำลังมีความสุข ประตูบ้านถูกเปิดออกโดยคนขับรถของย่าพิมพ์ภาดา

                    ปัง! ประตูรถถูกปิดลง...กระจกรถที่เปิดอยู่ถูกเลื่อนขึ้นแล้วแทนที่โดยฟิล์มสีดำๆ ฉันมองภาพเบื้องหน้าผ่านหน้าต่างสีใสในห้องนอน รู้สึกความหวาดกลัวยังคงไม่จางหายไปจากใจฉัน แล้วรถก็แล่นเครื่องออกไปจากรั้วบ้าน

                    ฉันไม่เข้าใจเลย เมื่อสักครู่ฉันยังแปลกใจกับคุณย่าคนใหม่อยู่ แต่ทว่าหลังจากชั่วโมงถัดมาฉันจึงได้พบกับคุณย่าคนใหม่ คุณย่าที่ฉันแทบจะต้องเรียกเธอว่า แม่มดใจดำเลยก็ว่าได้... ฉันถอดรองเท้าหัวกระต่ายทิ้งพื้นแล้วทอดตัวลงบนเตียงแสนนุ่มยาวๆนี่ พลางนึกคิดเหตุการณ์น่าเศร้าใจ...น้ำตาเอ่อล้นอีกครั้ง

                    โรงเรียนใหม่ บ้านใหม่ ที่นอนใหม่ และเพื่อนใหม่... อย่างนั้นหรือ...

                    "เฮ้อ...เฮ้อ..."

                    ถอนหายใจออกมา...พร้อมกับร้องไห้

                    ร้องมากเสียจนเจ็บคอและตาข้างซ้ายรู้สึกปวดแปลบๆ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×