คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ละอองไอที่ 2 เขาคือเหนือสมุทร
ไอหมอกเหนือสมุทร
ละอองไอที่ 2 เขาคือเหนือสมุทร
***
หลังจากทำภารกิจเสร็จเรียบร้อย ทุกคนในหน่วยปฏิบัติการพิเศษแบลคไลออนจะสลายหายไปราวกับเงา แยกตัวไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่ยังคงระเบียบวินัยรักษาและเพิ่มศักยภาพของร่างกายเอาไว้อยู่เสมอ
ห้องฟิตเนสชั้นบนสุดของบ้านพักกลางป่าใหญ่ ลู่วิ่งถูกจับจองด้วยเจ้าของร่างสูงใหญ่กำยำ เหนือสมุทรใช้เวลาช่วงเช้ามืดหมดไปกับการออกกำลังกาย หยาดเหงื่อมากมายไหล่ท่วมร่างท่อนบนจนเสื้อยืดเปียกชุ่ม
“หัวหน้านี่สุดยอดจริง ๆ เลย ทั้งที่มืดขนาดนั้นยังเก็บรายละเอียดได้มากขนาดนี้” เคนจิมองแบบร่างในมืออย่างนึกทึ่งในความละเอียดรอบคอบของคนขีดเขียน ตามคำกล่าวที่ว่าถ้ารู้เขารู้เรา ไม่ว่ารบกี่ครั้งความสำเร็จย่อมเป็นของเราเสมอ
เส้นดินสอร่างแบบออกมาราวกับสถาปนิกมากฝีมือ เส้นทางหลักและเส้นทางลัด ทั้งการจัดวางเวรยามกำลังคนเฝ้าระวัง ไปจนถึงจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่ถูกเก็บเอาไว้ในโกดังท่าเรือถูกร่างลงบนกระดาษอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้กระทั่งกล้องวงจรปิดกี่ตัว เหนือสมุทรเก็บรายละเอียดมาครบถ้วนราวกับตัวเองเป็นผู้ออกแบบสิ่งก่อสร้างนั้นด้วยสองมือ
“เพราะนายมัวแต่เล่นไร้สาระอยู่นี่ไง” เหนือสมุทรพูดโดยไม่มีอาการเหนื่อยหอบสักนิด เขาชินแล้วกับการใช้แรงเยอะแบบนี้ สภาวะร่างกายของเขาจัดว่าเกินขีดจำกัดที่คนทั่วไปจะทำได้
“ผมมีหัวหน้าอยู่ทั้งคนแล้วนี่ เอาน่า เดี๋ยวคืนนี้จะแฮคเข้าระบบรักษาความปลอดภัยที่นั่นดู เผื่อได้ข้อมูลอย่างอื่นเพิ่มเติมมาบ้าง” เคนจิว่าอย่างอารมณ์ดี
ก่อนหน้านี้หลังจากกลับมาถึงที่พัก เขาก็นอนไม่หลับเลยจัดการแฮกข้อมูลเข้าไปดูประวัติเจ้าของเรือเล่น ๆ แต่ก็ไม่พบอะไรน่าสนใจ มีแค่ข้อมูลเก่าที่พวกเขามีอยู่แล้ว
“แล้วเมื่อคืนได้อะไรมาบ้าง” เหนือสมุทรราวกับอ่านความคิดเคนจิออก หยุดลู่วิ่งแล้วมายกเวทใกล้ ๆ หนุ่มญี่ปุ่นแทน
“ก็เหมือนเดิม ดูเผิน ๆ คนพวกนี้เหมือนไม่เกี่ยวข้อง’ ไรกันสักนิด แต่ฉันว่าครั้งนี้มันมีกลิ่นตุ ๆ อยู่ว่ะ หัวหน้าดูนี่” เคนจิเลื่อนแลปทอปให้เหนือสมุทรดูภาพชายหนุ่มอายุสามสิบต้น ๆ
“นี่คือราฟาเอล อาดอร์ฟ เจ้าของเรือเจ้าปัญหาลำนี้ เขาเป็นลูกชายของเจ้าพ่อมาเฟียแถวยุโรป เฟเรเดล อาดอร์ฟ ทั้งเคยมีประวัติถูกจับกุมเรื่องค้ามนุษย์มาแล้วครั้งหนึ่ง”
ภาพผู้ชายอีกคนที่ไม่ต่างจากคนแรกมากนัก สีหน้าแสดงออกถึงความนิ่งสงบเยือกเย็นชวนให้หวาดหวั่นราวกับมีอสรพิษจดจ้องอยู่
“พ่อเขาน่ะไม่เท่าไหร่หรอก วางมือไปนานแล้วแต่ผู้ชายคนนี้ ราฟาเอลเขากลับยืนอยู่คนละด้านกับคนเป็นพ่อน่ะสิ มีแหล่งข่าวระบุว่าเขาต่อต้านพ่อตัวเองอย่างหนักเรื่องที่จะวางมือจากวงการนี้ จนกระทั่งเฟเรเดลต้องจบชีวิตลงด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว”
ชายใบหน้าคมเข้มในชุดสูทสีครีม มือหนึ่งถือคอกเทล อีกมือโอบเอวสาวสวยในชุดว่ายน้ำเอาไว้
เหนือสมุทรมองรอยยิ้มมุมปากที่กดลึก จดจ้องแววตาที่ซ่อนอยู่หลังแว่นตาสีชา กลิ่นอายความเจ้าเล่ห์โอบล้อมชวนให้รู้สึกหวาดหวั่น
“ข้อมูลเก่านี่ ไม่มีอะไรใหม่บ้างรึไง อดหลับอดนอนทั้งทีน่ะ”
“แรงมากครับคุณหัวหน้า เมื่อกี้แค่เกริ่นนำเอง นี่ต่างหากที่น่าสนใจ...” คราวนี้หน้าจอเปลี่ยนเป็นภาพถ่ายรูปหมู่ในที่ปิดแห่งหนึ่ง และในบรรดาคนเกือบสิบคนในนั้น มีสองคนในตระกูลภัครวัฒิโยธินรวมอยู่ด้วย
“นั่นไม่พอ ราฟาเอลเคยมีภรรยาอยู่ในประเทศนี้ด้วย ดูนี่สิ...” หญิงสาวผมยาวหยักศก ผิวสองสี ใบหน้าหวานโผล่ขึ้นมา
“แต่ฉันว่านี่คงเป็นแค่ภรรยาในนามเท่านั้น เพราะดูเหมือนเธอจะได้ค่าจ้างจากราฟาเอลไปเยอะพอสมควร แต่น่าเสียดายที่เมื่อเกือบสามปีก่อน พวกเขาหย่ากันแล้ว และผู้หญิงคนนี้ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ราฟาเอลเองก็ไม่ได้ติดต่อเธออีกเลย”
คราวนี้เป็นหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีของหญิงสาวเรียงตัวขึ้นมา เหนือสมุทรไล่สายตามองข้อมูลเหล่านั้นด้วยความพอใจในการทำงานของเคนจิ
ภาพหญิงสาวยิ้มด้วยรอยยิ้มกว้างทว่าแววตากลับว่างเปล่า
ผู้หญิงคนนี้หน้าคุ้น ๆ นี่คือสิ่งที่เหนือสมุทรคิด
“ถ้าฉันจำไม่ผิด ราฟาเอลคนนี้ใช่คนเดียวกันกับที่เราถล่มรังเขาเมื่อสี่ปีก่อนหรือเปล่า” เหนือสมุทรเอ่ยถามขึ้นมา ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นมาเป็นฉาก
เมื่อสี่ปีก่อนหลังจบหลักสูตรของหน่วย ภารกิจแรกที่ได้รับนั่นคือการทลายรังค้ามนุษย์ของนายทุนแห่งหนึ่ง ซึ่งภารกิจในครั้งนั้นทำให้ใครหลายคนได้ผลประโยชน์ไม่น้อย และใครอีกหลายคนก็เสียผลประโยชน์หลายล้านดอลลาร์เช่นเดียวกัน
เหนือสมุทรเองได้รับการยอมรับจากองค์กรทางด้านความสามารถที่แทบจะไร้ที่ติจากภารกิจนี้ จนก้าวกระโดดได้เป็นหัวหน้าสังกัดย่อย มีทีมเป็นของตัวเอง
“พูดอีกก็ถูกอีกนั่นแหละ ตอนนั้นหัวหน้าสุดยอดมาก ๆ ผมละนับถือโคตร ๆ อะ ทั้งที่เพิ่งจบการฝึกมาแต่กลับนำทีมเข้าบุกทำลายรังของพวกมันจนแตกยับได้ขนาดนั้น หึ ผมว่านะ"
"..."
"...ถ้าเขาจะมาคิดบัญชีคืนก็คงไม่แปลกหรอก แต่ก็นั่นแหละ ถ้าพวกมันหาเราเจออ่านะ” เคนจิไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ขณะที่เหนือสมุทรไร้ความสนใจโดยสิ้นเชิง มือกร้านจากการฝึกซ้อมใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กซับเหงื่อออกจากหน้า แล้วเปลี่ยนไปเล่นเครื่องเล่นอย่างอื่นแทน
“ทำชั่ว เบียดเบียนชีวิตคนอื่น ตีสองหน้าแสร้งเป็นนักบุญแล้วมาหวังให้ได้เข้าสวรรค์ มันจะเป็นไปได้ยังไง” เสียงทุ้มว่าขึ้นมา
เคนจิหันไปมองเห็นลอนกล้ามแขนขึ้นเรียงตัวสวยบอกถึงความแข็งแกร่งของร่างกาย ทำเอาหนุ่มญี่ปุ่นถึงกับต้องแอบใช้มือบีบ ๆ จับ ๆ ต้นแขนตัวเองดู
รูปร่างเคนจิเองสูงไล่เลี่ยกับเหนือสมุทร ความแข็งแรงไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน
เคนจิถนัดการต่อสู้ระยะประชิด ขณะที่เหนือสมุทรถนัดการต่อสู้ทุกรูปแบบ สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามใจนึกให้เข้ากับสภาพการณ์ตรงหน้าได้อย่างไร้ที่ติ และแน่นอนว่าผลลัพธ์เหล่านี้ต้องแลกมากับการฝึกหนักเจียนตาย
เคนจิเองมีความสามารถเป็นเลิศด้านไอทีเหนือคนอื่น ทำให้มักได้รับมอบหมายให้สืบค้นหาหรือเจาะข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นและสำคัญมากกว่าการออกไปเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามตรง ๆ
ชายหนุ่มรู้ดีแก่ใจว่าเหนือสมุทรเป็นคนเปิดทางให้เขาได้เข้ามารับบทบาทสำคัญตรงนี้ โดยให้เหตุผลว่าทุกคนมีความสำคัญกับทีมเหมือนกันหมด แค่ให้ใช้ความสามารถที่มีแสดงศักยภาพให้เป็นประโยชน์มากที่สุดก็พอ
ค่ำนี้เป็นคืนเดือนมืดเหมาะแก่การแวะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าอีกครั้ง
เหนือสมุทรกับเคนจิลอบเข้าโกดังขนาดใหญ่ทางด้านหลัง ใช้ความมืดอำพรางตัวเองได้อย่างแนบเนียน ไม่นานก็มาโผล่บนเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่จอดเทียบท่าเมื่อหลายวันก่อน
เรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ เรือของราฟาเอล อาดอร์ฟ
ตู้คอนเทนเนอร์วางเรียงรายหลายร้อยตู้ เงามืดที่ทาบทับลงพื้นของพวกมันทำให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น หากมองดูผิวเผินที่คือการขนส่งทั่วไป แต่ถัดเข้าไปข้างใน พวกเขาก็พบว่ามีการวางเวรยามแน่นหนามากกว่าคืนก่อนหน้านี้ และได้ยินเสียงร้องไห้แผ่ว ๆ แว่วมาตามลมด้วย
เหนือสมุทรให้สัญญาณมือบอกให้เคนจิแยกไปทางตัวเรือ ส่วนตัวเองก็แยกไปอีกทาง และได้มาเจอเข้ากับกลุ่มคนที่กำลังขนสินค้าลงจากเรืออย่างเร่งรีบ เงียบเชียบ และแน่นอนว่าแว่นตาที่เขาสวมอยู่ได้บันทึกภาพและเสียงทั้งหมดเอาไว้แล้ว
“เร่งมือหน่อย” สำเนียงภาษาไม่คุ้นหูทำให้เหนือสมุทรต้องเร้นกายเข้ามุมมืด เขาเห็นชายหนุ่มในชุดลำลองดูภูมิฐานใส่แว่นตากรอบสีทอง มือหนึ่งคีบซิการ์ อีกมือล้วงกระเป๋า ข้าง ๆ กันเป็นบอดี้การ์ดอีกสี่ห้าคน
“นายครับ มีคนแฮกเข้าระบบรักษาความปลอดภัยของเราครับ” แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีคนวิ่งกระหืดหอบเข้ามาหาและรายงานสิ่งที่ทำให้อากาศตรงนั้นลดฮวบลงอย่างรวดเร็ว
ราฟาเอลขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ได้ยินนัก หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงชักปืนยิงแสกหน้าคนที่ทำงานผิดพลาดไปแล้ว แต่เพราะบทเรียนในครั้งนั้นทำให้เขานิ่งสุขุมขึ้น
“รู้ที่มาหรือเปล่า หรือว่าเป็นคนของทางการ”
“ไม่น่าใช่คนของทางการครับ ผมแกะรอยกลับแล้วไม่เจอ แต่...”
“แต่อะไร”
“แต่สัญญาณล่าสุดของมันที่พบคือบนเรือของเราครับท่าน”
ปึก!
ด้ามปืนสีดำสนิทฟาดลงมาอย่างไม่ออมแรง ชายคนนั้นถึงกับทรุดลงกับพื้น มือกุมจมูกที่เลือดไหลโกรกเอาไว้แน่น หลายคนตรงหน้ากลั้นหายใจนิ่งงันราวกับเห็นมัจจุราชพิโรธ
ราฟาเอลกำลังโกรธจัด
“ไอ้พวกนั้นทำงานกันยังไงวะ ไหนว่าเคลียร์ทางสะดวกแล้วไง” ชายหนุ่มสบถกัดฟันกรอด ก่อนหน้าจะจอดเทียบท่าเรือที่นี่ เขาได้มีการตกลงกับกลุ่มคนบางกลุ่มเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะสินค้ารอบนี้มีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ เขาจะให้มันผิดพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“ปิดทางออกทุกทาง หาไอ้หนูสกปรกพวกนั้นให้เจอ แล้วฆ่ามันทิ้งซะ” ทิ้งเสียงเยียบเย็นเอาไว้แล้วหมุนกายจากไป
เหนือสมุทรเห็นท่าไม่ดีเลยส่งสัญญาณหาเคนจิ แต่กลายเป็นว่าลูกน้องของตัวเองไม่ตอบรับกลับมา เขาสังหรณ์ใจว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเคนจิแน่นอน จึงเก็บตัวอย่างสินค้าที่พวกมันขนเอาไว้ในกระเป๋าแล้วเร้นกายไปหาเพื่อนสนิททันที
ใต้ท้องเรือเป็นพื้นที่กว้างขนาดใหญ่ เคนจิเห็นห้องห้องหนึ่งมีการตรวจเวรยามอย่างรัดกุมไม่ต่างจากข้างนอก
ทั้งยิ่งเข้าใกล้ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้แว่วออกมา แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้มากไปกว่านี้ ก็มีใครบางคนโผล่มาขวางทางเอาไว้
เกิดการปะทะกันด้วยกำลังเกิดขึ้น เคนจิรู้สึกได้ว่ากระบวนการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามมีชั้นเชิง ทั้งยังคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด แต่เขาคงยืดเวลาให้กับความสงสัยของตัวเองนานไปกว่านี้ไม่ได้ พวกมันรู้ตัวแล้ว และลำพังเขากับเหนือสมุทรแค่สองคน คงไม่อาจต้านกำลังคนมากมายขนาดนี้ได้แน่นอน
ขณะที่กำลังหาทางหนีทีไล่ มีดคมกริบก็กางออก แสงสะท้อนสีเงินพุ่งเข้าหาตัวเองทำให้หนุ่มญี่ปุ่นคิดว่าซวยแล้ว ทั้งรู้สึกได้ว่าการต่อสู้ดุดันขึ้นมาราวกับอีกฝ่ายหวังให้เขาจบลงที่ความตายเท่านั้น
“เห้ย!” เคนจิร้องออกมา เขาเบี่ยงตัวหลบปลายมีดที่ส่งออกมาไปด้านข้าง ล็อกแขนกำยำข้างนั้นเอาไว้แล้วใช้ศอกสับลงบนเต็มแรงบนท่อนแขนหนา อีกฝ่ายเสียหลักเล็กน้อย เขาไม่รอให้ฝ่ายนั้นมีเวลาตั้งตัวเลยรุดหน้าเข้าหา ไม่ใช่เพื่อเอาชนะแต่เพื่อเปิดช่องหนีให้กับตัวเอง
ความสงสัยถูกวางเอาไว้ก่อน การรักษาชีวิตคือสิ่งสำคัญ เขาเลยรุกหน้าอย่างไม่มีหยุด ทว่าอีกฝ่ายก็สามารถหลบได้แทบทุกกระบวนท่า
“เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ” เคนจิเอ่ยถามกึ่งหยอกล้อ เขาทันเห็นอีกฝ่ายชะงักไปนิด และเป็นฝ่ายถอยหลังออกห่างจากเคนจิแทน แน่นอนว่าเคนจิไม่คิดจะปล่อย ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาณแจ้งเตือนจากเหนือสมุทรสั่นเตือนขึ้นมาก่อน
เราต้องไปแล้ว ถอยก่อน
“ครับ ผมกำลังออกไป”
อีกฝ่ายไม่โต้ตอบเคนจิเหมือนอย่างเคยแต่กลับส่งไม้ต่อให้กับลูกน้อง ส่วนตัวเองเร้นกายหนีหายไปกับความมืด เคนจิไม่ได้ตั้งใจจะไล่ตามไปอยู่แล้ว แต่เขาก็เสียเวลาอยู่ราวสิบห้านาทีกว่าจะสามารถทลายด่านลูกน้องพวกมันหนีออกมาได้ หลังจากขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือก็กลายเป็นเงาเร้นหายไปกับความมืดเช่นเดียวกัน
“หวังว่านายยังรอฉันอยู่นะเหนือสมุทร เห้อ เสียเวลาจริง ๆ ให้ตายสิ” หนุ่มญี่ปุ่นบ่นออกมาเล็กน้อย เพราะหากส่งสัญญาณแล้วเราจะมีเวลารอกันแค่สิบนาทีเท่านั้น ก่อนจะแยกย้ายสลายตัวเพื่อป้องกันการสูญเสียที่เกินความจำเป็น
เหนือสมุทรโยนถุงใสที่ข้างในบรรจุผงสีขาวสะอาดลงบนโต๊ะ เขาตรวจเช็กข้อมูลที่บันทึกได้อีกครั้ง ขณะที่เคนจิยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่หาย จดจ้องอยู่กับแลปทอปของตัวเอง
“เหนือ แกดูนี่สิ คุ้น ๆ ไหม” เคนจิให้เหนือสมุทรดูคลิปการต่อสู้ของตัวเองกับชายชุดดำคนนั้น แรก ๆ ราวกับกำลังข่มขู่ ขณะที่หลัง ๆ เป็นการต่อสู้เพื่อหวังฆ่า ทุกการโจมตีเน้นจุดตายเป็นหลัก
เหนือสมุทรไล่ดูคลิปที่ล่ะช็อตพลันหน้ามืดลง สิ่งที่เขากำลังจะพูดออกมาเป็นสิ่งที่เขาคิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้
“แรก ๆ นี่เป็นหลักสูตรที่หนึ่ง และอันหลังเป็นการต่อสู้หลักสูตรที่สาม”
“...!!” เคนจิเผยสีหน้าตะลึงออกมา
“จะเป็นไปได้ยังไง” หนุ่มญี่ปุ่นครางเสียงแผ่วออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ หลายความคิดวิ่งผ่านอย่างรวดเร็ว
“ฉันไม่มีทางจำผิดแน่นอน เพราะฉันผ่านหลักสูตรพวกนี้ด้วยคะแนนอันดับหนึ่งของรุ่น นี่ไงหลักฐาน” เหนือสมุทรเปิดชายเสื้อตรงเอวให้เคนจิดู รอยแผลยาวสองนิ้วพาดผ่านเอวสอบ
“ฉันได้มันมาตอนสอบหลักสูตรที่สาม กฎในตอนนั้นคือนายต้องชนะอย่างเดียวเท่านั้น หรือไม่ต้องทำให้อีกฝ่ายสิ้นสภาพการเป็นคู่ต่อสู้ และการฆ่าไม่ถือว่าผิดกฎ”
“แต่พวกมันจะรู้เรื่องหลักสูตรพวกนี้ได้ยังไง ถ้าบอกว่าบังเอิญนี่เอามีดมาปาดคอฉันเถอะ ไม่มีทางแน่นอน”
เหนือสมุทรเองก็คิดแบบนั้น “แล้วได้ข้อมูลอะไรอีกบ้าง”
“ฉันว่าในห้องนั้นน่าจะมีคนอยู่ เพราะฉันได้ยินเสียงร้องไห้ น่าจะมากกว่ายี่สิบคน แถมการตรวจตราก็แน่นหนาไม่ต่างจากข้างนอก แล้วนายล่ะ”
“ครึ่งหลังของตู้คอนเทนเนอร์ทั้งหมดเป็นของผิดกฎหมาย มีเฮโรอีนและอาวุธเถื่อน ฉันเจอพวกมันกำลังจะขนออกจากเรือพอดี แต่พวกมันรู้ตัวซะก่อนว่ามีคนนอกเข้ามาเลยค้างงานเอาไว้ แล้วเอาไปซ่อนไว้แทน ยังไม่ทันได้ขนออกไปนอกโกดัง” เหนือสมุทรว่าจบแล้วเบนสายตามองเคนจิ
“อะไร มองฉันแบบนั้นทำไม ฉันเปล่านะเห้ย”
“ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร” เหนือสมุทรไหวไหล่ “แล้วพวกมันรู้ตัวได้ไง”
“เรื่องนี้ฉันก็สงสัย ต่อให้พวกมันจะพบเจอร่องรอยการแฮคเข้าระบบก็ไม่แปลกเพราะยังไงก็ไม่มีทางแกะรอยมาถึงตัวฉันได้ แต่สามารถระบุได้ว่าสัญญาณฉันสิ้นสุดตรงไหนนี่...” เคนจิหายใจเข้าลึก ๆ คิ้วบางขมวดเกร็ง
“ต้องเป็นคนที่ฉันเคยทำงานให้มาก่อนแน่นอน เพราะโค้ดพวกนี้มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ รวมถึงนายด้วย นับแล้วมีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ”
คราวนี้เกิดความเงียบชวนอึดอัดขึ้นมา การทำใจให้ยอมรับว่าบังเอิญเจอคนที่สามารถล่วงรู้หลักสูตรการฝึกสอนของหน่วยลับ และสามารถใช้มันได้อย่างมืออาชีพ ทั้งยังสามารถหาพิกัดสัญญาณของแฮกเกอร์มือต้น ๆ อย่างเคนจิได้นี่ แสดงว่าต้องเป็นคนที่อยู่ไม่ไกลตัว หรือที่แย่ไปกว่านั้น คนคนนั้นอาจจะแฝงตัวอยู่ในองค์กรก็เป็นได้
“เอ่อ...เป็นไปได้ไหมว่า ในองค์กรเรามีปลาเน่า” เคนจิรู้ว่าเหนือสมุทรศรัทธาในความถูกต้องขององค์กรมากแค่ไหน ดังนั้นคำถามของเขาจึงค่อนข้างเสี่ยงตายมากทีเดียว
เหนือสมุทรปรายตามองเคนจิเขม็งจนหนุ่มญี่ปุ่นต้องลอบกลืนน้ำลาย
หนุ่มญี่ปุ่นไม่ได้สาวความต่อ เคนจิรู้ดีว่าเหนือสมุทรกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อหาเหตุผลให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
เขารู้ว่าสำหรับเหนือสมุทรแล้ว แบลคไลออนไม่ต่างจากบ้าน ทุกคนเป็นเหมือนพี่น้อง และตัวเองเป็นเหมือนหัวหน้าครอบครัวที่ต้องดูแลทีมให้ดีที่สุด การยอมรับว่ามีปลาเน่าในทีมเล็ดลอดผ่านสายตาตัวเองไปได้ ถือเป็นความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย
“เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน อีกสองชั่วโมงเตรียมเข้าประชุม เราจะปิดงานกันในคืนพรุ่งนี้” หลักฐานต่าง ๆ ถูกรวบรวมสรุปเอาไว้ เหลือแค่วางแผนบุกเข้าทำลายเท่านั้น
“แล้วห้องใต้ท้องเรือนั่นล่ะ จะเอาไง”
“ฉันไปดูเอง ส่วนนาย สืบให้รู้ว่าทำไมพวกมันถึงรู้รหัสของนายได้”
เคนจิอยากจะเอ่ยค้านขอไปด้วย แต่เหนือสมุทรในเวลานี้ไม่ควรเข้าไปขวาง เพราะอีกฝ่ายกำลังตึงเครียดจากข้อสันนิษฐานก่อนหน้านี้ว่ามีปลาเน่าอยู่ในหน่วยจริง ๆ และอาจจะต้องการที่ระบายอารมณ์เล็กน้อยก็เป็นได้
ห้องประชุมเกิดการโต้เถียงกันขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หัวหน้าอาวุโสสังกัดพื้นที่เอเชียรวมห้าคน สามในห้าคนไม่เห็นด้วยที่จะปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด ด้วยให้เหตุผลที่ว่าเราไม่สามารถทำงานเกินหน้าที่ได้ ต้องส่งหลักฐานให้ทางหน่วยงานในประเทศจัดการตามลำดับขั้นตอน
เหนือสมุทรไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ครั้งที่เขาสังกัดอยู่โซนยุโรป เราสามารถจัดการได้เลยตามความเหมาะสม แต่ที่นี่กลับต้องรออนุมัติจากหน่วยงานภายในประเทศนี้ก่อน ก่อนจะลงมือปฏิบัติได้ ซึ่งหน่วยปฏิบัติการพิเศษอย่างเขาไม่เคยขึ้นตรงต่อหน่วยงานใด
ดังนั้นนี่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่และไร้เหตุผลอย่างถึงที่สุด
“เรารอนานขนาดนั้นไม่ได้”
“แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามขั้นตอน คุณจะยึดเอาหลักการปฏิบัติเมื่อครั้งอยู่โซนโน้นมาใช้ที่นี่ไม่ได้นะคุณหัวหน้า และที่นี่คุณต้องฟังพวกผม” เสียงทุ้มต่ำพูดออกมาอย่างวางอำนาจ
เหนือสมุทรเป็นคนมีเหตุผล แต่ตอนนี้เขาค่อนข้างไม่เข้าใจหลักการทำงานแปลกประหลาดนี้ เพราะนอกจากคนพวกนี้จะมีผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้ขัดขวางการทำงานของเขาเลยแม้แต่น้อย
“แล้วถ้าผมบอกว่าไม่ล่ะ” เกิดความเงียบขึ้นกลางที่ประชุม น้ำเสียงราบเรียบแต่ดุดันจริงจังทำให้ใครหลายคนนึกหวาดหวั่น
“ผมว่าเราใจเย็นกันก่อนดีไหม พวกคุณก็เข้าใจดีว่าการรอให้ทุกอย่างผ่านขั้นตอนเหล่านั้นมันใช้เวลานานเกินไป และสิ่งที่เราทำก็เพื่อประโยชน์ของทุกฝ่าย” เสียงทุ้มลึกอีกเสียงเอ่ยขึ้น
เหนือสมุทรขมวดคิ้วเล็กน้อย เคนจิที่แอบฟังอยู่ไม่ไกลกันหันมองหน้าหัวหน้าตัวเองด้วยแววตาเคลือบแคลง
ใคร? และทำไมต้องใช้เครื่องดัดเสียง
และผิดคาดจากที่คิดเอาไว้ว่าจะได้รับเสียงคัดค้าน กลายเป็นเหล่าอาวุโสสังกัดเอเชียยินยอมอย่างไม่ติดขัด ทั้งยังพร้อมให้กำลังสนับสนุนอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าเหตุการณ์ตึงเครียดก่อนหน้านี้พลิกกลับจากหลังเท้าเป็นฝ่ามือในพริบตา เพียงเพราะคำพูดของผู้ชายคนนั้นเพียงคนเดียว
“แต่งานนี้เราจะให้คนของเราไปแทน พวกคุณทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว เชิญพักผ่อนได้ตามสบาย” ในคำพูดนั้นหากฟังดี ๆ จะมีบางคำไม่ถูกต้องอยู่ ทว่าเหนือสมุทรทำแค่เก็บข้อสังเกตนี้เอาไว้ไม่ได้ท้วงออกไป
หลังจากนั้นเป็นการวางแผนเพื่อเข้าทลายรังบนเรือลำนั้น คราวนี้เหนือสมุทรไม่เรียกทีมกลับมาเพราะพวกเขาได้รับผิดชอบในส่วนของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เหล่าผู้อาวุโสสังกัดเอเชียเป็นฝ่ายจัดการเอาเองตามที่ต้องการว่า ให้คนของเราไปแทน
“ขอบคุณ” เสียงทุ้มเยียบเย็นเอ่ยขอบคุณ และหายออกจากการประชุมไปราวกับไม่เคยมีอยู่
เหตุการณ์หลังจากนั้น เมื่อไปถึงเรือเจ้าปัญหาลำดังกล่าว ทุกอย่างราวกับถูกเซ็ทเอาไว้แล้ว และเหมือนเป็นการพาตัวเองเข้าไปติดกับทั้งที่มีการวางแผนอย่างรัดกุม
ใต้ท้องเรือแปรสภาพเป็นที่พักสำหรับลูกเรือ หลักฐานบนเรือที่ตรวจสอบได้กลายเป็นแค่ของเด็กเล่น เมื่อเฮโรอีนนับพันตันกลายสภาพเป็นแป้งมันอย่างหาที่มาที่ไปไม่ได้ อาวุธเถื่อนหายไป เหลือแค่อุปกรณ์ประดับยนต์ที่แยกชิ้นส่วนเพื่อมาส่งให้กับบริษัทชั้นนำในประเทศ
เหล่าเจ้าหน้าที่ที่เข้าร่วมแผนการครั้งนี้คว้าน้ำเหลวอย่างสิ้นท่า ทั้งยังโดนเจ้าของเรือฟ้องร้องกลับข้อหาหมิ่นประมาทและบุกรุก จนต้องออกมาแสดงหลักฐานว่าได้รับการแจ้งเหตุน่าสงสัย รวมทั้งมีหมายศาลเพื่อขอเข้าตรวจค้นอย่างถูกต้องจึงรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด และแน่นอนว่าเรื่องนี้เหนือสมุทรโดนพาดพิงอย่างไม่ต้องสงสัย
“มีคนซ้อนแผนเรา และเป็นคนในอย่างแน่นอน” ไม่ต้องให้เคนจิพูดซ้ำ เหนือสมุทรก็คิดแบบเดียวกัน ใครบางคนได้ทรยศต่อสัตยาบันของตัวเองเสียแล้ว
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ และในตอนนี้เหนือสมุทรกับเคนจิก็อยู่ในช่วงว่างงานอย่างถึงที่สุด
เหนือสมุทรรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้รุ่นพี่ที่เคารพฟัง ไม่สิ อาจจะต้องบอกว่าเพราะเรื่องเหล่านี้ถูกรายงานขึ้นไปต่างหาก รุ่นพี่จึงรับหน้าเป็นฝ่ายติดต่อมาหาเขาเอง
“รุ่นพี่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ผมไม่ทำอะไรวู่วามอยู่แล้ว”
“ก็ดี อีกสองสัปดาห์ฉันจะกลับไป แล้วเดี๋ยวเราค่อยคุยรายละเอียดกัน อ้อ อย่าลืมเปิดอีเมลล่ะ ฉันส่งงานล่าสุดให้แล้ว โชคดีนะไอ้น้อง”
“ครับ แล้วเจอกันครับรุ่นพี่”
เหนือสมุทรมองภาพโฮโลแกรมเสมือนจริงของรุ่นพี่ที่เขานับถือหายลับไป เขารายงานโดยที่ไม่ได้ลงรายละเอียดบางอย่างที่พบเจอมาให้รุ่นพี่ได้รู้ทั้งหมด แม้กระทั่งเรื่องที่เคนจิคุยกับเขาเรื่องผู้ชายชุดดำบนเรือของราฟาเอล อาดอร์ฟ และการถูกแกะโค้ดลับของเคนจิ
สัญชาตญาณกำลังร้องเตือนเขาว่ามีบางอย่างไม่ปกติ และการแพร่งพรายเรื่องราวที่เป็นแค่การคาดเดาออกไปก็เป็นสิ่งไม่ควรทำนัก
“รุ่นพี่ว่ายังไงบ้างหัวหน้า” เคนจิที่กำลังเล่นเกมถล่มมอนส์เตอร์อย่างเมามันเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากลบเส้นทางของสัญญาณโทรศัพท์ออกจากระบบดาวเทียมแล้ว
“มีงานใหม่มา อยู่ในอีเมล” เหนือสมุทรเปิดอีเมลขึ้นมาดู ในกล่องจดหมายเข้า มีเอกสารที่ยังไม่ได้เปิดอ่านอยู่หนึ่งฉบับ และหลังจากเปิดอ่านไม่เกินสิบห้านาทีไวรัสที่ถูกฝังมาจะทำลายมันทิ้งโดยอัตโนมัติ
หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการพิเศษแบลคไลออน (Black Lion) เปิดเอกสารฉบับนั้นขึ้นมาดู สิ่งแรกที่เจอคือรูปภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดกาวน์สีขาวสะอาดที่มอบรอยยิ้มอ่อนโยนให้กับคนที่กำลังมองดูภาพของตัวเอง
“ไอหมอก ฤทธิ์พิทักษ์กุล ศัลยแพทย์หนุ่มอายุ 26 ปี” พร้อมกับประวัติคร่าว ๆ อีกประมาณครึ่งหน้าอีเมล และหน้าถัดมาคือภาพคุณหมอหนุ่มกับหญิงสาวอีกคน
ปรางทราย แก้วกาญจนา หญิงสาวผู้มีผมหยักศกและรอยยิ้มหวานละมุน
“หือ?” เคนจิร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น “แฟนเหรอ ว้า เสียดายจัง คนหล่อมีแฟนอีกคนแล้ว”
ครั้งนี้เหนือสมุทรเลือกที่จะปริ้นเอกสารเหล่านี้เก็บเอาไว้ทั้งที่ไม่เคยทำมาก่อน เคนจิมองตามอย่างไม่เข้าใจ
“นี่คืองานใหม่เหรอหัวหน้า”
“ใช่ รายละเอียดรุ่นพี่จะมาแจ้งอีกที ส่วนตอนนี้ฉันคงต้องแวะไปทักทายคุณหมอสักหน่อย” เหนือสมุทรว่า สายตาคมดุจดจ้องเจ้าของรอยยิ้มหวานเอาไว้ ราวกับต้องการเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด
คนคนนี้ดูเหมือนไร้พิษ ทว่าไม่แน่อาจจะซ่อนหนามแหลมเอาไว้ก็ได้
“หืม อยู่ดี ๆ ก็รู้สึกอยากป่วยซะงั้น” เคนจิเลิกคิ้วมองหัวหน้าตัวเองที่ยังคงจดจ้องคนในภาพไม่ละไปไหน
“แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับอดีตภรรยาของราฟาเอลได้ก็คงไม่ธรรมดาสินะ หน้าตาก็ดูซื่อดี ไม่น่าเลยเนอะหัวหน้า” หนุ่มญี่ปุ่นมองคุณหมอหนุ่มอย่างนึกเสียดาย ว่ากันตามตรงแล้วเคนจิไม่ได้จำกัดรสนิยมของตัวเอง รู้แค่ว่าถูกใจก็พอ ซึ่งเหนือสมุทรเองรู้เรื่องนี้ดี
เหนือสมุทรแสยะยิ้มให้เคนจิ “เห็นซื่อ ๆ แบบนี้ อาจจะเป็นดอกไม้ซ่อนพิษก็ได้” เขาลุกขึ้นยืดกายเล็กน้อย ก่อนจะหายเข้าห้องไป ออกมาพร้อมกุญแจรถ และเป้ใบเล็กอีกหนึ่งใบ
“แต่ดอกไม้น่าเชยชมขนาดนี้ บางทีผมก็รู้สึกว่ามันเร้าใจดีนะ หัวหน้าไม่คิดงั้นเหรอ”
“หึ ไร้สาระ”
เคนจิมองเหนือสมุทรหัวจรดเท้า ไม่บ่อยครั้งนักที่อีกฝ่ายจะออกไปข้างนอกด้วยภาพลักษณ์นี้
เสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัว แต่ค่อนข้างรัดแน่นตรงอก สวมทับด้วยเสื้อโค้ตสีดำ กางเกงผ้าเนื้อดี รองเท้าหนังน้ำตาลเข้ม รวมกับผมที่ยาวปรกหน้า ไรหนวดที่ขึ้นจาง ๆ รับกับใบหน้าหล่อเหลาดูเย็นชาอันตราย แต่ก็ดูดีจนใจเจ็บ จนเขาอดอุทานในใจไม่ได้ว่าหัวหน้าตัวเองหล่อโคตร ๆ
“ว้าว ต้องขนาดนี้เลยรึไง”
เหนือสมุทรไม่ได้สนใจสายตาชื่นชมอย่างไร้สาระของเคนจิ มองเมินสีหน้ากวนส้นเท้านั่นไป
“ว่าแต่คืนนี้ไม่กลับเหรอ” หนุ่มญี่ปุ่นยังคงไม่เลิกกวนหัวหน้าตัวเอง
“คงไม่ คืนนี้ฉันน่าจะป่วย คงต้องพักในเมืองให้หมอช่วยดูอาการหน่อยว่ะ ไปนะ” เหนือสมุทรไหวไหล่เล็กน้อยอย่างไม่ใส่ใจสายตาที่มองมาอย่างรู้ทันของเคนจิ
“อย่าหนักมือมากนักนะหัวหน้า คุณหมอเขาตัวเล็กนิดเดียว ขย้ำหนักไปจะพังคามือเอานะเว้ย ฮ่า ๆๆ”
เหนือสมุทรแสยะยิ้มให้กับถ้อยคำหยอกเย้าไร้สาระของคนในทีมพ่วงตำแหน่งเพื่อนสนิท เขาขับรถออกจากที่พัก มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองที่อยู่ถัดออกไปเกือบร้อยกิโลเมตร เป้าหมายหลักคือแวะทักทายคุณหมอหนุ่มคนนั้น
“ไอหมอกงั้นเหรอ ชื่อน่ารักดีนี่”
วันนี้ช่างเป็นวันที่สุดแสนจะขุ่นมัวของคุณหมอหนุ่ม เขามีนัดกับปรางทรายช่วงบ่าย ทว่าเมื่อถึงเวลากลับเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นอีกแล้ว
คราวนี้คุณหมอนุ่นขอลากะทันหันเพราะคุณแม่เข้าโรงพยาบาล ไอหมอกเลยควบเวลางาน และแน่นอนว่าเขาต้องผิดนัดกับปรางทรายอีกครั้ง
ตอนนี้เป็นเวลาพักของเขา และไอหมอกตั้งใจจะออกมาหาอะไรกินรองท้องก่อนจะลากเวลาทำงานยาวจนถึงพรุ่งนี้เช้า
“อ่า ฝนตกทั้งวันเลยแฮะ แล้วจะไปไงล่ะทีนี้” ไอหมอกในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนรับกับกางเกงสีเบจดูสะอาดตา ยืนพึมพำอยู่คนเดียว เขาขี้เกียจเดินไปเอาร่มที่รถ และคร้านจะวนกลับไปยังห้องพักเพื่อหยิบยืมร่มใครสักคน
“คงไม่ทันเปียกหรอกมั้ง” คุณหมอหนุ่มตั้งท่าออกวิ่ง หวังว่าตัวเองจะทันข้ามถนนตรงสัญญาณไฟให้ข้าม ไม่งั้นการหยุดรอตรงนั้น เขาคงเปียกแน่นอน
แต่ดูเหมือนไอหมอกจะคำนวณเวลาผิดไป ทันทีที่เขารีบก้าวมาถึง สัญญาณไฟก็เปลี่ยนเป็นให้รถวิ่งทันที
ซ่า.. และฝนเองก็เทลงมาอย่างไม่นึกสงสารคุณหมอตัวน้อยเลยสักนิด
ไอหมอกหันซ้ายแลขวาว่าตัวเองหลบฝนตรงไหนได้บ้าง น่าเสียดายที่ไม่มีที่ที่เขาต้องการเลยสักนิด
“หือ?” แต่แล้วจู่ ๆ เม็ดฝนที่เทกระหน่ำลงมาก็หายไปจากตัวเขา เงาดำมืดจากด้านหลังทำให้เขารีบหันกลับไปมอง ทว่าเสียงทุ้มดุดันที่เอ่ยออกมาทำให้ไอหมอกสะดุ้งตกใจ
“นิ่ง ๆ เดี๋ยวก็โดนรถชนหรอก”
“...!” และนี่ก็ทำให้ไอหมอกรู้สึกฉุนขึ้นมานิด ๆ เขาพยายามเบี่ยงตัวหนีออกจากใต้ร่มคันโต แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยินยอม
ไอ้หมอนี่เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย ใครก็ไม่รู้ โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย
“ขอโทษครับ ยังไงก็ช่วยปล่อยแขนผมหน่อย ผมไม่สะดวกที่จะ...”
“ข้ามถนนได้แล้ว”
ยังไม่ทันที่ไอหมอกจะค้านจนจบ แผ่นหลังบางก็ถูกมือใหญ่ดันให้ออกเดินอย่างงง ๆ โดยมีอีกฝ่ายถือร่มกันฝนให้ตลอดทางแต่ดูเหมือนวันนี้จะยังแย่ไม่สุด ฝนตกพื้นถนนลื่นคือเรื่องปกติ ที่ไม่ปกติคงเพราะไอหมอกก้าวเหยียบตรงนั้นพอดี ร่างสูงโปร่งลื่นล้มไปด้านหลัง คิดเอาไว้ว่าคงลงไปนอนหงายท้องอยู่กับพื้นแน่นอน แต่แล้วกลับมีท่อนแขนใครบางคนโอบเอวเขารั้งเข้าหาตัวจนแผ่นหลังแนบไปกับอกหนาของอีกฝ่าย
ไอหมอกตัวแข็งทื่อไปโดยปริยาย...
เหนือสมุทรมองคนที่เดินหน้าตั้งคอแข็งก่อนหน้านี้เสียหลักลื่นล้ม ดีที่เขาคว้าตัวเอาไว้ได้ทัน และเพราะส่วนสูงที่ต่างกันราวสิบเซนติเมตรทำให้ตอนนี้หัวทุยวางอยู่บนอกเขาพอดี
เขามองเห็นนัยน์ตากลมเบิกโพลงค่อย ๆ เงยมองมาอย่างตื่นตระหนกตกใจ ร่างกายสูงโปร่งทว่าบางเบากว่าที่คิด
“...คุณ”
“เดินระวังหน่อยสิ ล้มหัวฟาดพื้นขึ้นมาทำไง หืม?” เหนือสมุทรมองสบตาคนในอ้อมแขน น้ำเสียงทุ้มอ่อนลงจนคนฟังรู้สึกหน้าร้อนจนซับสีอ่อน
ไอหมอกรู้ว่าเขาไม่ควรคิดแบบนี้ แต่ผู้ชายคนนี้หน้าตาดีชะมัด ทำไมเขาไม่หล่อคมเข้มแบบนี้บ้างนะ
“ปล่อยผมได้แล้ว ผม..ผมเดินเองได้” คุณหมอหนุ่มดันกายตัวเองออกจากอ้อมแขนนั้น เขากระแอมไอแก้เขินสองสามครั้งแล้วค่อย ๆ ก้าวเดินต่ออย่างระวังมากขึ้น
เหนือสมุทรมองคนตรงหน้าที่รีบสาวเท้าเดินแล้วนึกอ่อนใจขึ้นมา ไม่เคยเจอเป้าหมายที่ดื้อตาใส ทั้งยังดูพยศคอตั้งตาแข็งใส่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแบบนี้เลย นี่มันสัตว์ตัวน้อยรอวันโดนขย้ำชัด ๆ
กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นอบอวลไปด้วยกลิ่นขนมอบใหม่ทำให้ใจคุณหมออย่างไอหมอกเบิกบานขึ้นมาเล็กน้อย
“มอคค่าแก้วนึงครับ แล้วก็บลูเบอร์รี่ชีสเค้ก 1 ชิ้นด้วยครับ” เสียงหวานใสเอ่ยสั่งเมนูอาหารอย่างคล่องแคล่ว ไอหมอกมองหาที่ว่าง เพราะฝนตกแบบนี้ที่นั่งเลยค่อนข้างจะเต็มเร็ว เนื่องจากร้านนี้ไม่ได้ใหญ่มาก มีโต๊ะแค่สี่โต๊ะเท่านั้น
“เอสเพรสโซแก้วนึงครับ คุณมานั่งกับผมก็ได้”
“แต่...” ไอหมอกกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ทุกที่นั่งเต็มแล้ว เหลือแค่โต๊ะของชายหนุ่มแปลกหน้าเท่านั้น คิ้วเรียวขมวดน้อย ๆ หรือว่าเขาจะเอากลับไปกินที่ห้องพักในโรงพยาบาลดี แต่พอเห็นสายฝนที่กระหน่ำตกลงมาแล้วนั้น ไอหมอกก็ถอนหายใจออกมา ยอมเดินตามชายหนุ่มแปลกหน้าไปแต่โดยดี
ไร้เสียงสนทนาจากเพื่อนร่วมโต๊ะ มีแค่กลิ่นหอมเข้มของกาแฟ และหอมหวานอมเปรี้ยวของบลูเบอร์รี่ชีสเค้กเท่านั้น ทว่าน่าแปลกที่มันไม่ชวนให้รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด
เหนือสมุทรจิบกาแฟพลางอ่านหนังสือที่หยิบติดมือมา ราวกับไม่สนใจคนตรงหน้า คุณหมอหนุ่มเองก็ทานของโปรดไปพร้อมกับไถมือถืออ่านโน่นนี่นั่นไปด้วย
หัวหน้าสุดดุมองใบหน้าเรียวเปลี่ยนสีหน้าไปมากับสิ่งที่เจอในมือถือ ลอบสังเกตและเก็บรายละเอียดคนตรงหน้าให้ได้มากที่สุด
นัยน์ตากลมโตดูสดใสแฝงความเอาแต่ใจ คิ้วเรียวเรียงตัวสวย แพคนตายาวงอน จมูกโด่งเชิดขึ้นแสดงออกถึงความดื้อรั้น เรียวปากบางสีอ่อนที่ค่อย ๆ รับเอาเค้กรสเปรี้ยวอมหวานเข้าปากไม่หยุด บางครั้งเผลอแลบลิ้นสีสดมาไล้เลีย รูปร่างสูงโปร่งกะคร่าว ๆ แล้วไม่เกิน 185 เซนติเมตรแน่นอน ขณะที่เหนือสมุทรเองสูง 196 เซนติเมตร
“มองอะไร มันเสียมารยาทไม่รู้รึไง” เสียงใสเอ่ยถามโดยไม่ได้ละสายตามามองเขาสักนิด
เหนือสมุทรยกยิ้มมุมปาก รู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ยังลอบมองไม่พอใจกลับโดนอีกฝ่ายจับได้เสียแล้ว
“เปล่า แค่คิดว่าคนเป็นหมอนี่เหมือนคุณทุกคนรึเปล่า ทำไมที่ผ่านมาผมถึงไม่เคยเจอหมอแบบคุณกันนะ” ทั้งที่ความเป็นจริงเหนือสมุทรแทบไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย และที่หน่วยจะมีหมอคอยเตรียมพร้อมรออยู่แล้วหากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น
“หมายความว่าไง” คราวนี้แววตากลมมองสบตาเหนือสมุทรอย่างไม่ใคร่พอใจนัก
ราวกับแมวกำลังขู่ฟ่อ ดูนั่นสิ หางฟูฟ่องสะบัดไปมาไม่หยุด เหนือสมุทรคิด
“ก็...น่ารักแบบคุณทุกคนหรือเปล่า”
ความร้อนริ้วหนึ่งวิ่งผ่านหน้าไอหมอกไป ทิ้งไว้แค่รอยซับสีอ่อนบนแก้มทั้งสองข้าง
"บ้า"
***
#ไอหมอกเหนือสมุทร
T : Mairymii
ความคิดเห็น