ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไอหมอกเหนือสมุทร : ป๋อจ้าน

    ลำดับตอนที่ #1 : ละอองไอที่ 1 คุณหมอไอหมอก

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ค. 64


    ไอหมอกเหนือสมุทร

    ละอองไอที่ 1 คุณหมอไอหมอก

     

    ***

    เสื้อกาวน์สีขาวสะอาดถูกถอดมาถือเอาไว้ ขาเรียวยาวก้าวเดินอย่างไม่เร่งรีบนัก แม้ว่าการช่วยชีวิตคนไข้เคสล่าสุดจะกินพลังงานของคุณหมอหนุ่มพอสมควรก็ตาม

    ความเหนื่อยล้าฉายชัดใบหน้าเรียว แต่จะโทษใครไม่ได้เพราะตัวเขาเองที่ควบเวลาทำงานตั้งแต่เมื่อคืนก่อนจนถึงตอนนี้ ไม่แปลกที่พลังงานชีวิตแทบจะกลายเป็นศูนย์

    "อ้าวไอ ยังไม่กลับอีกเหรอ" ทันทีที่ก้าวเข้ามายังห้องพักก็เจอเข้ากับเพื่อนสนิทอย่างรุ่งอรุณ หรือหมออุ่นของใครหลาย ๆ คนนั่นเอง

    ไอหมอกไม่ตอบคำถามเพื่อนสนิทที่ยึดเก้าอี้ตัวเองไปนั่ง แต่เลือกจะทิ้งกายอันอ่อนล้าลงกับเก้าอี้ข้าง ๆ แทน

    “เพิ่งเสร็จน่ะ” มือเรียวนวดขมับเบา ๆ อ้าปากหาวจนหมดมาดคุณหมอหนุ่มขวัญใจคนไข้

    รุ่งอรุณลากเสียงยาวรับรู้ “หนักล่ะสิ ถึงได้หมดสภาพขนาดนี้” ทั้งเปิดขวดน้ำเย็นเสียบหลอดยื่นให้ 

    “อือ ก็พอตัวอยู่ นี่อุ่น นายรู้จักทัพฟ้า ภัครวัฒิโยธินไหม” ไอหมอกแนบหน้าไปกับโต๊ะ ทั้งตัวแทบจะไหลลองไปกองกับพื้นอยู่แล้ว เดือดร้อนถึงรุ่งอรุณต้องคว้าเพื่อนตัวบางเอาไว้

    คนที่ตาใกล้จะปิดรอมร่อไม่ได้สนใจว่าเพื่อนอยากรู้หรือเปล่า ไอหมอกแค่อยากบอกให้รู้ว่าเคสที่ทำให้พลังงานชีวิตเขาแทบเหลือศูนย์คือใคร

    “อือ ก็พอเห็นผ่าน ๆ ตามาบ้าง ทำไมเหรอ” รุ่งอรุณถามอย่างเอาใจใส่ ก่อนจะเลิกคิ้วเมื่อไอหมอกยกยิ้มเหนื่อยล้าออกมา

    “อย่าบอกนะว่า..”

    “ช่ายยย นั่นแหละเคสล่าสุดของฉันเอง ฮ้าว เหนื่อยจัง” ไอหมอกกระดกน้ำเข้าปากอีกครั้ง พลางหาวออกมาติด ๆ กันจนนัยน์ตากลมคลอไปด้วยน้ำใส

    “งั้นเหรอ นายจำผิดหรือเปล่าไอหมอก” รุ่งอรุณปรายตามองไอหมอกเล็กน้อย เอ่ยถามย้ำให้แน่ใจอีกครั้ง

    “แน่ใจนะ ว่าใช่ลูกชายคนเดียวของคุณพิสุทธิ์ ภัครวัฒิโยธินคนนั้นน่ะ” ทั้งคาดหวังให้ไอหมอกส่ายหน้าปฏิเสธ คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะจำผิดซึ่งมันแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะเขารู้ดีว่าไอหมอกมีความจำดีแค่ไหน

    และเมื่อไอหมอกพยักหน้ารับ ความคิดบางอย่างวิ่งผ่านใบหน้าจนดูเย็นชาขึ้นมาแวบหนึ่ง

    “ทำไมล่ะ เกิดอะไรขึ้น” เสียงทุ้มดูเย็นชาขึ้นเล็กน้อย แต่คนง่วงที่แทบกลายสภาพหลอมรวมกับเก้าอี้ก็ไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น

    คุณหมอเจ้าของไข้ถอนหายใจแผ่วเบาเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ “เด็กนั่นคงพยายามจะฆ่าตัวตายละมั้ง”

    ไอหมอกไหวไหล่ ขณะที่คนฟังรู้สึกเกินคาดกว่าสิ่งที่แอบคิดเอาไว้ รุ่งอรุณอดคิดไม่ได้ว่าอย่างทัพฟ้า ภัครวัฒิโยธินเนี่ยนะคิดฆ่าตัวตาย โอกาสเป็นไปได้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย หรือบางทีอาจจะมีอะไรมากกว่านั้นที่เขาไม่รู้ หรืออาจจะรู้แต่แสร้งลืมไปแล้วก็เป็นได้

    “อือ มาด้วยรอยกรีดยาวที่ข้อมือซ้าย แผลลึกพอควรเลย อาการหนักใช้ได้อยู่ แต่ดีหน่อยที่พามาทันเวลา ฮ้าว.."

    "..."

    "อืมม ไม่งั้นพรุ่งนี้ข่าวหน้าหนึ่งไม่พ้น พาดหัวข่าว ลูกชายคนเดียวของนักการเมืองใหญ่ใจบุญ ฆ่าตัวตายปริศนาแน่นอน เผลอ ๆ อาจโดนใส่สีตีไข่ไปอีกเยอะ ...ฉันไม่ไหวแล้วอะ” 

    ไอหมอกทำหน้าเหยเกเมื่อบอกเล่าสิ่งที่เขาเจอมาให้รุ่งอรุณฟัง ความสงสัยยังคงมีอยู่เต็มอก แต่ความง่วงก็ดึงรั้งให้สมองเริ่มทำงานช้าลง

    “...แต่ก็อย่างว่าละนะ ไม่มีชีวิตใครสมบูรณ์แบบหรอก ข้างนอกอาจจะมีพร้อม แต่ใครจะไปรู้ว่าหัวใจเขาอาจจะกำลังเจ็บปวดอยู่ก็ได้ ฮ้าวว"

    ไอหมอกยกยิ้มเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากหาวจนน้ำตาไหล ความง่วงกำลังเกาะกินเขาอย่างหนักจนทำให้หลงลืมเรื่องบางอย่างที่สำคัญก่อนหน้านี้ไปจนหมด เขาง่วงเกินกว่าจะอธิบายความสงสัยบางอย่างให้เพื่อนสนิทฟัง

    ความสงสัยที่ว่าทำไมใต้ร่มผ้าของเด็กคนนี้ถึงมีรอยกัด ทำไมข้อเท้าถึงมีรอยบาดของเชือก และทำไมช่องทางด้านหลังถึงมีร่องรอยการฉีกขาดแบบนั้น

    ยังไม่ทันที่ไอหมอกจะลุกหมุนกายออกจากห้องไปหาที่งีบหลับ รุ่งอรุณกลับพูดบางอย่างออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

    “ฉันว่านายรีบรักษาเขาให้หาย แล้วปล่อยกลับบ้านไปเถอะ เรื่องอื่นอย่าไปสนใจเลย” น้ำเสียงราบเรียบชวนฟังเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง

    คนฟังเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย "นั่นคนนะไม่ใช่แมว รักษาแล้วปล่อยไปน่ะ อย่างน้อย ๆ ฉันก็ควรติดตามอาการเขาหน่อย เผื่อว่าเขาต้องการการช่วยเหลือ เราจะได้ช่วยเขาได้ทันไง" ไอหมอกว่าขำ ๆ แต่ดูเหมือนเพื่อนสนิทจะไม่ขำด้วย แต่เขาคิดอย่างนี้จริง ๆ หากร่องรอยที่เกิดขึ้นไม่ใช่สิ่งที่เด็กคนนั้นเต็มใจ เขาก็ควรช่วยเหลือให้ถึงที่สุด

    “อ้าว แล้วถ้าไม่ปล่อยไป นายจะทำไง เด็กนั่นใช่คนที่เราควรเข้าไปยุ่งด้วยหรือเปล่า หืม คุณหมอไอหมอก” รุ่งอรุณมองหน้าเพื่อนสนิทแล้วนึกหน่ายใจ เขารู้ดีว่าไอหมอกดื้อแค่ไหน ถ้าสิ่งที่นั้นเจ้าตัวมั่นใจว่าถูกต้องก็จะสู้จนถึงที่สุด และนี่คือสิ่งที่เขากำลังเป็นห่วง

    “นี่ไอหมอก ฉันว่านะ เรารู้แค่สิ่งที่เขาอยากให้เรารู้ก็พอไหม นายก็รู้นี่ว่าพ่อของเด็กคนนี้เป็นใคร ฉันไม่อยากให้นายเดือดร้อน”

    รุ่งอรุณจับต้นแขนเรียวเอาไว้แน่น มองสบตาไอหมอกนิ่งงันเพื่อให้รู้ว่าเรื่องนี้เขาจริงจังแค่ไหน

    มันไม่สำคัญว่านักการเมืองคนนั้นบริจาคเงินมากเท่าไหร่ แค่เพราะเขาคือเสี่ยพิสุทธิ์ ภัครวัฒิโยธิน รุ่งอรุณก็ไม่อยากให้ไอหมอกเข้าไปยุ่งด้วยแล้ว

    "ฉันรู้น่า อีกอย่างฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย จะกลัวไปทำไม จริงไหม" ไอหมอกรู้ดีว่าเพื่อนเป็นห่วง และแม้ว่าเขาไม่มีเวลามากพอให้มาสนใจคนอื่น แต่คนมีชื่อเสียงอย่างเสี่ยพิสุทธิ์ มีหรือที่จะไม่มีใครรู้จัก ทั้งอีกฝ่ายยังมีน้องชายคือเสี่ยพิศักดิ์ ภัครวัฒิโยธินที่กำลังจะลงเล่นการเมืองตามหลังพี่ชายมาติด ๆ นี่อีก

    ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีเคยมีข่าวลือว่าเสี่ยพิศักดิ์คนนี้คือผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในโลกสีเทา ดังนั้นการหลีกเลี่ยงที่จะเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ได้จะเป็นผลดีกับตัวเองมากกว่า

    ...แต่ด้วยอาชีพของเขา การปฏิเสธให้การช่วยเหลือคนที่กำลังเดือดร้อนไม่ใช่สิ่งที่พึงกระทำ และไม่ว่าคนไข้เป็นใครมาจากไหน หน้าที่ของเขาคือให้การรักษาอย่างสุดความสามารถอย่างเท่าเทียม

    "ฉันกลัวว่าไอ้เด็กนั่นจะทำให้นายเดือดร้อนน่ะสิ นี่ไอหมอก…" รุ่งอรุณอยากเอ่ยเตือนไอหมอกให้มากกว่านี้ แต่เมื่อหันกลับมาเขาก็พบว่าคุณหมอหนุ่มหลับคาเก้าอี้ไปแล้ว

    "ให้มันได้อย่างนี้สิ นายนี่มันดื้อจริง ๆ” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่มุมปากกลับยกยิ้มน้อย ๆ รุ่งอรุณช้อนตัวเพื่อนสนิทขึ้นอุ้มวางนอนราบไปกับเก้าอี้ตัวยาวที่มีเบาะหนานุ่มรองอยู่ ทั้งดึงผ้าห่มมาห่มให้จนถึงอก

    แววตาอ่อนโยนทอดมองไอหมอกด้วยความรู้สึกบางอย่าง นิ้วโป้งไล้วนกรอบหน้าเนียนของคนหลับแผ่วเบาพลางยกยิ้มมองอีกฝ่ายด้วยความลุ่มหลงที่ยามปกติไม่เคยหลุดรอดออกมาสักครั้ง

    “คนพวกนั้นอาจจะมีอำนาจล้นมือ แต่ฉันจะปกป้องนายเอง ไอหมอก ฉันสัญญา”

    รุ่งอรุณไม่มีทางรู้เลยว่าการรักษาคำสัญญานี้จะทำให้คนที่ตัวเองรักเจ็บปวดมากแค่ไหนในภายหลัง

     

    แม้ว่านี่จะเป็นเวลาใกล้รุ่งสางเต็มที  แต่ห้องทำงานของหน่วยปฏิบัติการพิเศษแบลคไลออน (Black Lion) ยังคงเปิดไฟสว่างโร่

    คนหนึ่งนั่งอยู่หลังเครื่องคอมฯ ตัวเก่ง ขณะที่อีกคนกำลังนั่งอ่านเอกสารด้วยสีหน้าราบเรียบอยู่ข้างกัน เอกสารที่มีตราประทับแดงเด่นระบุไว้ว่าลับสุดยอดมากมายวางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะจนแทบหาที่ว่างไม่เจอ ทว่าคนที่ถือมันอยู่ในมือกลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก 

    เนื้อหาภายในเป็นแค่ข้อมูลเก่า ไม่ได้มีนัยสำคัญใด ๆ เพิ่มขึ้นมา

    บางครั้งพวกเขายังอดคิดไม่ได้ว่าหน่วยงานหลายแห่งให้ความสำคัญในขั้นตอนยิบย่อยที่ไม่มีความจำเป็นพวกนี้มากเกินไป จนทำให้การทำงานใหญ่บางครั้งก็ล่าช้า ไม่ก็ผิดพลาดไปเสียเยอะ

    “เหนือ ถ้ามึงเป็นพวกมันจะขนของพวกนี้ผ่านทางไหน ระหว่างทางนี้ที่อ้อมไกลหน่อย มึงต้องเสียทั้งเวลา ทั้งเงินเพิ่ม แต่โอกาสรอดจากสายตาตำรวจสูงมาก"

    เคนจิหนุ่มญี่ปุ่นใช้ปากกาลากไล่แผนที่ให้เหนือสมุทรดูเส้นทางเดินเรือที่ต้องอ้อมน่านน้ำประเทศหนึ่ง แล้วลากปลายปากกามายังจุดถ่ายเทของตามที่รับแจ้งมา

    “...กับทางนี้ ที่มึงไม่ต้องอ้อมโลกไกลขนาดนั้น แถมยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกหลายล้าน แต่ก็เสี่ยงที่จะโดนรวบ เพราะตรงนี้มีด่านอยู่ ตรงนี้ก็ด้วย เรียกได้ว่าตรวจกันเข้มข้นมาก ซึ่งของเยอะขนาดนั้นโอกาสดับมีมากกว่ารอด" อีกทางดูแล้วใกล้กว่า ทั้งใช้เวลาในการเดินเรือประมาณสามสี่วันก็สามารถไปถึงจุดหมายได้

    ในวงการธุรกิจขนส่งแล้วยิ่งระยะเวลาน้อยมากเท่าไร ค่าใช้จ่ายก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น และมักเป็นทางเลือกที่นักเดินเรือขนส่งทั่วไปเลือกใช้กัน นอกเสียจากว่าสิ่งที่ต้องขนส่งนั้นไม่ปกติจึงต้องอ้อมไปไกลขนาดนั้น

    ชายหนุ่มร่างกำยำผิวสีแทนผู้มีส่วนสูงเกือบสองเมตรมองตามปลายปากกาเคนจิ ทั้งวิเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ก่อนหน้ารวมเข้ากับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับมา ปลายนิ้วเรียวยาวราวลำเทียนเคาะลงบนแผนที่แทบจะทันที "ทางนี้"

    เหนือสมุทรแทบไม่ต้องหยุดคิดให้เสียเวลา เขาคิดแค่ว่าในบางครั้งการยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นก็มักให้ผลตอบแทนสูงตามเช่นกัน

    “แต่ทางนี้มีเจ้าหน้าที่ตรวจเข้มงวดมากนะเว้ย พวกมันจะยอมเสี่ยงเหรอวะ" เคนจิมองตามนิ้วเรียวยาวของคนที่เป็นทั้งหัวหน้าและเพื่อนสนิทอย่างนึกสงสัย

    “มันก็ใช่ แต่แกไม่เคยได้ยินหรือไง ยิ่งเสี่ยงยิ่งปลอดภัย และผลตอบแทนก็ยิ่งคุ้มค่าน่ะ” เสียงทุ้มเรียบนิ่งว่า

    “และอีกอย่างพวกมันจะไปกลัวอะไร ถ้ามีคนในอนุมัติให้ผ่านไปได้ง่าย ๆ” เหนือสมุทรปรายหางตามองเคนจิด้วยแววตาที่หนุ่มญี่ปุ่นอยากจะลุกขึ้นมาซัดหมัดใส่หน้าสักที แต่ก็ทำได้แค่คิด

    คนตรงหน้าเขาคนนี้ไม่ได้มีดีแค่หน้าตาที่หล่อเหลาคมคาย แต่ร่างกายก็มีประสิทธิภาพดีเยี่ยม รวมทั้งสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งมั่นคงอย่างยากที่จะหาใครมาเทียบได้ จึงไม่แปลกเลยที่ชายหนุ่มจะก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นหัวหน้าหน่วยด้วยวัยแค่ยี่สิบเก้าปีแบบนี้

    “มองหน้าฉันแบบนั้นทำไม” เหนือสมุทรส่ายหน้ามองเคนจิที่ไล่สายตามองตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วทำเสียงจุ๊ปากเบา ๆ อย่างกวนอวัยวะเบื้องล่างให้กระตุกยิก ๆ

    “อีกอย่างแกบอกเองไม่ใช่เหรอ ผ่านทางนี้สะดวกกว่าเยอะ ประหยัดทั้งเงินทั้งเวลาน่ะ เป็นฉันก็คงไม่อยากเสียเวลาหรือเสียเงินเพิ่มหรอก” เพราะทุกบาททุกสตางค์ในการทำธุรกิจต้องเสียไปอย่างคุ้มค่าเท่านั้น

    เหนือสมุทรมองเคนจิอีกครั้ง เขาเห็นลูกน้องในสังกัดควบตำแหน่งเพื่อนสนิทเผยสีหน้าตกใจอย่างเสแสร้งพลางใช้อุปกรณ์ที่อยู่ในมือตรวจสอบอะไรบางอย่างผ่านสัญญาณดาวเทียมเพื่อยืนยันตำแหน่งของเรือเจ้าปัญหาลำนั้น

    ไม่แปลกที่เทคโนโลยีอันทันสมัยจะถูกนำมาใช้ราวกับมันเป็นเรื่องปกติ เพราะหลาย ๆ ภารกิจของพวกเขา ความผิดพลาดต้องมีค่าเท่ากับศูนย์ อย่างเช่นงานล่าสุด การคุ้มกันประธานาธิบดีของประเทศทางยุโรปที่มีค่าหัวสิบหลักในวงการมืด เพื่อให้การเดินทางไปร่วมการประชุมระดับโลกในอีกซีกโลกหนึ่งให้เป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถส่งกลับทำเนียบขาวได้อย่างปลอดภัย

    "หมายความว่าคนคนนั้นต้องตำแหน่งใหญ่มากสินะ ถึงจัดการอะไร ๆ ได้ง่ายดายแบบนี้น่ะ” ถ้อยคำเหมือนนึกเกรงใจ แต่น้ำเสียงและสีหน้าสื่อไปทางเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง

    “ก็คงพอตัว” เหนือสมุทรมองอุปกรณ์ในมือด้วยสีหน้านิ่งเรียบเหมือนเคย เขาล็อกสัญญาณดาวเทียมระบุพิกัดเรือขนส่งขนาดใหญ่เอาไว้ พลางนึกวางแผนจู่โจมรวดเร็วในหัว

    เคนจิเบ้ปาก พยักหน้าเข้าใจ “ถ้าตามรายงานที่แจ้งมา ของครั้งนี้เป็นล็อตใหญ่ คงมีคนคุ้มกันแน่นหนาพอสมควร ถ้าแบ็คไม่ใหญ่จริง ฉันว่ารอดยากว่ะ”

    มือขาวที่ค่อนไปทางหยาบควงปากกาในมือไปมาอย่างใช้ความคิด ทั้งนึกสงสัยว่าใครที่อยู่เบื้องหลังการขนของผิดกฎหมายล็อตใหญ่ครั้งนี้กันแน่ เพราะถ้าไม่มีอำนาจมากพอ โอกาสตายมากกว่ารอด ที่สำคัญพวกมันรอดสายตาพวกเรามาได้ยังไง

    คิดอีกทีเราทำงานตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมาเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็ให้กลุ่มคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงจัดการไป ไม่ได้มีการก้าวก่ายงานกันแม้แต่นิดเดียว นั่นหมายความว่าคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงต้องมีบางจุดที่บกพร่องไปแน่นอน

    “ตำแหน่งใหญ่หรือเปล่าไม่รู้แต่คิดว่าใต้โต๊ะคงหนาไม่เบา และมีบางอย่างที่ฉันนึกสงสัยเหมือนกับแก” เหนือสมุทรสบตาเคนจินิ่ง 

    “พวกมันรอดสายตาเรามาได้ยังไง” ใบหน้าคมคายแสยะยิ้มเหี้ยม ก่อนจะพูดสิ่งที่ทำให้เคนจิแสยะยิ้มออกมาบ้าง

    สีหน้าของคนทั้งคู่เผยแววตาเยือกเย็นออกมา แววตาของคนที่ผ่านด่านการฝึกอย่างหนักและรอดตายมาแล้ว 

    แววตาที่ใครต่างก็ขนานนาม มัจจุราชในเงามืด

    “เฮ้อออ บางครั้งฉันว่าการทำงานให้ไหลเป็นขั้นตอนอาจจะช้าเกินไป ยิ่งคนนั่งโต๊ะพวกนั้นด้วยแล้วก็เอาแต่สนใจเรื่องราวไร้สาระ พอมีปัญหาเกิดขึ้นก็โยนให้คนอื่นรับผิดชอบ กลายสภาพตัวเองให้เป็นคนพิการตลอดหูหนวกตาบอด ไร้ประโยชน์และน่ารังเกียจจริง ๆ ให้ตายเถอะ” ถ้อยคำสบถบ่นเอ่ยออกมาลอย ๆ เคนจิวิจารณ์การทำงานของคนบางกลุ่มอย่างไม่ไว้หน้าคนที่ถูกพาดพิงถึง

    หน่วยปฏิบัติการพิเศษแบลคไลออนไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานใด พวกเขาเลยไม่สนใจว่าคำพูดเหล่านี้จะไปตกใส่หัวใครหรือหน่วยงานไหน เพราะทุกคนที่อยู่ในหน่วยนี้มักตัดสินกันด้วยการกระทำมากกว่าคำพูด ฉะนั้นการพูดโดยไม่ลงมือทำก็ไม่นับว่ามีเกียรติแต่อย่างใด

    “หึ ไปกันเถอะ ไปดูสักหน่อยว่ายิ่งใหญ่จริงหรือเปล่า" เหนือสมุทรวางเอกสารลงแล้วเดินออกจากห้องไป

    เคนจิคว้าหยิบเอกสารนั้นขึ้นมาอ่านเพื่อความแน่ใจอีกที แม้ว่าข้อมูลเหล่านี้จะมาถึงมือพวกเขาช้าไปมาโข ข้อความบางอย่างในเอกสารนั้นทำให้หนุ่มญี่ปุ่นต้องเบ้ปากใส่กระดาษทันทีที่อ่านจบ

    “พิสุทธิ์ ภัครวัฒิโยธินน่ะเหรอ อืม ก็ว่าทำไมรอดสายตาตำรวจมาได้” เคนจิโคลงหัวไปมาเล็กน้อยอย่างนึกสนุก

    “แต่คราวนี้หัวหน้าลงมือเองนี่น่า ว้า~~ แย่จัง คงถึงคราวฉิบหายแล้วจริง ๆ สินะ” หลังพูดจบ รอยยิ้มขี้เล่นเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มเย็นแทบจะทันที

    ณ ท่าเรือใหญ่แถบชานเมืองอันเงียบสงัด ร่างสมส่วนภายใต้ชุดสีดำรัดกุมสองร่างกำลังย่างกรายเข้าสู่โกดังเก็บของ ของท่าเรือนี้อย่างเงียบงันราวกับเงา

    ร่องรอยต่าง ๆ ถูกเก็บไว้เป็นหลักฐาน เส้นทางเข้าออกถูกบันทึกและจดจำ รวมทั้งการประเมินช่องทางหลบหลีกเอาไว้เหมือนอย่างเคย เพราะทุกครั้งที่จบภารกิจ สมาชิกของหน่วยจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย และปล่อยหน้าที่ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาจัดเก็บส่วนที่เหลือเอง

    นั่นถือเป็นการได้หน้าโดยที่ไม่ต้องลงแรงหรือใช้สมองใด ๆ จึงไม่แปลกใจที่สมาชิกในหน่วยจะมองไม่เห็นหัวของคนในเครื่องแบบพวกนั้น

     

    “อืมมม” เสียงครางเครือด้วยความเมื่อยขบจากร่างสูงโปร่งบนเตียงสำรองเรียกสายตาหมออุ่นให้หันไปมอง

    รุ่งอรุณเห็นเพื่อนสนิทอย่างไอหมอกพาตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยอาการงัวเงีย รู้ดีว่าการอดหลับอดนอนนาน ๆ นอนแค่นี้คงไม่พอหรือที่เรียกว่าเหนื่อยสะสม เพียงแต่ดีกว่าไม่ได้นอนเลย

    “ตื่นแล้วเหรอ นอนต่ออีกหน่อยไหม”

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยกลับไปนอนที่ห้องเอา อืมมม กี่โมงแล้ว” ไอหมอกแม้ยังคงง่วงงุน แต่กลับส่ายหน้าปฏิเสธ ทุกอย่างกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะนอนดึกแค่ไหน แต่พอถึงเวลาตื่น เขาก็จะตื่นทันที

    “จะแปดโมงแล้ว นายไปล้างหน้าล้างตาก่อนสิ ฉันซื้อโจ๊กมาให้น่ะ” รุ่งอรุณพยักหน้าไปทางโต๊ะกระจกเนื้อดีที่มีถุงโจ๊กกับน้ำเต้าหู้วางอยู่ ทั้งยังใจดีหยิบผ้าเช็ดตัวส่งให้ไอหมอกแล้วดันหลังอีกฝ่ายเข้าห้องน้ำให้ไปจัดการธุระส่วนตัว

    รุ่งอรุณมาก่อนเวลาทำงานมากโข ทว่ามันก็คุ้มค่าเมื่อได้เห็นไอหมอกทานของที่ตัวเองซื้อมาให้หมดเกลี้ยงด้วยความหิวโหยแบบนี้

    “ค่อย ๆ กินสิ” หมออุ่นใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากให้เพื่อนสนิทด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย

    “แค่ก ๆ ก็ฉันหิวนี่ ตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่มีอะไรลงท้องเลย พยาธิในลำไส้ฉันร้องไห้แล้วมั้ง” ไอหมอกสำลักเล็กน้อยพลางว่าติดตลก แม้รุ่งอรุณจะเข้าใจเรื่องนี้ดีแต่ก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดี และนึกเสียใจที่ตัวเองไม่สามารถบังคับหรือดูแลไอหมอกให้ดีกว่านี้ได้

    “นายควรพักบ้าง”

    “ฉันรู้ เมื่อวานก็กะว่าเลิกงานแล้วจะไปหาปรางสักหน่อย แต่มาเจอเคสเด็กนั่นเข้าซะก่อน แพลนเลยต้องพับเก็บหมด” ไอหมอกว่าพลางซับน้ำเต้าหู้ที่ตัวเองสำลักออกมา ยิ่งได้ฟังเหตุผล รุ่งอรุณก็ยิ่งไม่ชอบใจ แต่ก็เป็นความจริงที่ว่าด้วยภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เรื่องบางเรื่องมันยากที่จะเลี่ยงจริง ๆ

    “ยังไงนายก็ควรดูแลตัวเองให้มากกว่านี้นะไอหมอก เกิดป่วยหรือเป็นอะไรขึ้นมาจะทำไง” น้ำเสียงจริงจัง ทั้งมือใหญ่วางลงบนไหล่บางของไอหมอกแล้วบีบเบา ๆ

    “ฉันมีนายกับปรางแล้วไง พวกนายดูแลฉันดีกว่าแม่ฉันอีกตอนนี้” ไอหมอกว่าพลางยิ้มกว้างเมื่อเห็นเพื่อนสนิททำเสียงดุใส่ตัวเอง

    ด้วยรู้ดีอยู่แก่ใจว่ารุ่งอรุณเตือนเพราะรักและเป็นห่วงจากใจจริง ไอหมอกเลยไม่เคยนึกโกรธ หรือรำคาญใจสักนิด กลับรู้สึกดีซะมากกว่า

    “ยังจะทำเป็นเล่นอีก นายดูผอมกว่าเมื่อก่อนอีกนะ เมื่อคืนฉันอุ้มนายไปนอน ยังคิดว่าอุ้มเด็กห้าขวบอยู่เลย”

    ได้ยินมาถึงตรงนี้ คุณหมอหนุ่มถึงกับเกาแก้มแก้เขิน "...อ่า ขอบใจนะ แต่คราวหลังนายปลุกฉันก็ได้ ไม่ก็ปล่อยให้ฉันหลับคาโต๊ะไปแบบนั้นแหละ”

    รุ่งอรุณมองคุณหมอหนุ่มตรงหน้าอย่างนึกหน่ายใจกับความดื้อตาใส

    “นี่ถ้าปรางมาเจอนายสภาพนี้ เธอต้องคิดว่าฉันใช้งานนายหนักแน่ ๆ” ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ในน้ำเสียงยังคงแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง

    "ไม่หรอกน่า ฉันว่าปรางเข้าใจ" ไอหมอกยังอยากจะเถียง ทว่าเมื่อได้ยินชื่อหญิงสาว ในใจพลันคิดถึงปรางทรายขึ้นมา

    ปรางทราย หญิงสาวที่ตัวเองคบหาดูใจมาได้เกือบสองปี ไอหมอกคิดถึงเสียงบ่นที่เธอมักทำเป็นประจำเมื่อเขาละเลยตัวเองจนดูทรุดโทรม และไอหมอกไม่รู้ตัวเลยว่าการคิดถึงปรางทรายจะทำให้เผลอยิ้มอ่อนโยนออกมามากแค่ไหน นั่นทำเอาใครอีกคนมองมานิ่งงัน

    รุ่งอรุณมองรอยยิ้มนั้นด้วยแววตาเรียบสนิท

    “เข้าใจกับเป็นห่วงมันคนละเรื่องกัน ไม่รู้หรือไงหะ คุณหมอไอ” คราวนี้ไอหมอกถึงกับยิ้มกว้างจนตาหยีแล้วหัวเราะออกมา

    รุ่งอรุณเห็นแบบนั้นก็ได้แต่กลอกตามองบนไปอีกที คุณหมอไอหมอกขวัญใจพี่พยาบาลและคนป่วยน่ะ ไม่ได้ว่าง่ายเหมือนอย่างที่คนอื่นเห็นเลยสักนิด คนคนนี้น่ะดื้อตาใสเป็นที่หนึ่ง

    “ครับ ๆ คุณหมอรุ่งอรุณ กระผมหมอไอหมอก ฤทธิ์พิทักษ์กุล ผู้ชายที่หล่อที่สุดในโรงพยาบาลแห่งนี้เข้าใจแล้วคร้าบบ หลังจากนี้กระผมจะดูแลตัวเองให้ดี ไม่ให้คุณหมอรุ่งอรุณ อินทรไพศาลเป็นห่วงอีกแล้วครับ” ว่าพร้อมทำท่าวันทยหัตถ์ราวกับตัวเองเปลี่ยนเป็นอีกอาชีพหนึ่ง

    แต่เพราะใบหน้าเรียวมน คิ้วเรียวสวย แพขนตายาวเรียงตัวรับกับนัยน์ตากลมโตเป็นประกายที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ทั้งเรียวปากบางสีสด รวมกับรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวละเอียดเพราะแทบไม่ได้เจอแดดเลย และของหนักสุดที่เคยจับก็คงเป็นสเต็ทโตสโคป แล้วอย่างนี้จะไปเป็นพวกเดียวกับชุดสีกากีนั้นได้ยังไง

    รุ่งอรุณอยากจะถอนหายใจใส่หน้าเพื่อนสนิทแรง ๆ สักครั้งจริง ๆ เผื่อว่ามันจะสำเหนียกตัวเองได้บ้าง

    ไอหมอกรู้จักรุ่งอรุณตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย เขาทั้งคู่ใช้ชีวิตเป็นรูมเมทด้วยกันมาตั้งแต่ปีสาม จนกระทั่งเรียนจบออกมา ไอหมอกเพิ่งมารู้ว่าเพื่อนสนิทเป็นหนึ่งในทายาทของเจ้าของโรงพยาบาลที่ทำงานอยู่ในทุกวันนี้

    และเคยแอบคิดว่าคนที่ควรจะอยู่ในบอร์ดบริหารน่าจะมีรุ่งอรุณอยู่ด้วย แต่กลับผิดคาด เมื่อพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ก่อนที่คุณหมอหนุ่มจะบรรลุนิติภาวะ ทำให้หน้าที่การบริหารทั้งหมดตกเป็นของดร.สุรชิต อินทรไพศาลแทน ผู้ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของรุ่งอรุณนั่นเอง

    และสองปีที่แล้วหลังกลับจากงานเลี้ยงวันเกิดเขา ไอหมอกก็ได้รู้จักกับปรางทราย หญิงสาวที่เข้ามาทำให้ชีวิตของเขาไม่จืดชืดเกินไป

    ปรางทรายอายุมากกว่าไอหมอกเกือบห้าปี เธอเปิดร้านขายดอกไม้ตรงหัวมุมถนนทางผ่านมาทำงานของเขา และความอ่อนโยนใจดีของเธอทำให้ไอหมอกตกหลุมรักเข้าอย่างจัง หลังจากนั้นไม่นาน ไอหมอกก็สารภาพความรู้สึกออกไป และช่างโชคดีที่เธอเองก็ตอบรับมันกลับมา

    แม้บางครั้งไอหมอกจะรู้สึกว่าระหว่างเขากับปรางทรายมีม่านบาง ๆ กั้นเอาไว้ แต่รอยยิ้มของเธอก็ทำให้เขาลืมทุกอย่างและตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือสร้างครอบครัวกับเธอ

     

    ไอหมอกเปิดประตูเข้ามายังห้องพักพิเศษ ทันทีที่เปิดเข้ามาก็เจอข้าวของหลายอย่างแตกกระจาย เสียงตะโกนแหบแห้งด่าทออย่างจับคำพูดไม่ได้

    คุณหมอหนุ่มถอนหายใจทิ้งเมื่อเห็นพยาบาลที่เข้ามาก่อนหน้าทำหน้าราวกับจะร้องไห้อยู่รอมร่อ คงเพราะโดนผู้ใหญ่กำชับมาตั้งแต่เมื่อคืนว่าให้ดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด ทำให้ตอนนี้ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้ามเด็กหนุ่มที่กำลังอาละวาดอยู่บนเตียงเลยสักคน

    "เกิดอะไรขึ้นครับ" ไอหมอกถามพยาบาลที่ทำหน้าตื่นตกใจอยู่ใกล้ ๆ

    “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะคุณหมอ พอเขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็อาละวาดอย่างที่เห็นนี่เลย ว้าย ระวังค่ะ! " เธอดึงไอหมอกหลบกล่องกระดาษชำระที่โดนเขวี้ยงมาทางนี้

    “ช่วยกูทำไม! พวกมึงช่วยกูไว้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้กูตายไปให้จบ ๆ วะ!” เด็กหนุ่มตะโกนใส่ไอหมอก ไม่ได้สนใจว่าตอนนี้ตรงผ้าพันแผลมีเลือดไหลซึมออกมาจนชุ่ม

    “หมอมีหน้าที่ช่วยคนไข้ ส่วนคุณที่เป็นคนไข้ก็ควรรักษาตัวให้หาย” ไอหมอกเก็บกล่องกระดาษชำระขึ้นมาเอามันไปวางไว้บนโต๊ะตัวเดิม สองมือล้วงกระเป๋ากางเกง สาวเท้าเข้าหาเด็กหนุ่มอย่างไม่นึกกลัวต่ออำนาจนามสกุลที่ห้อยคอเด็กคนนี้อยู่

    “เตรียมอุปกรณ์ทำแผลด้วยครับ อาจจะต้องเย็บใหม่” พยาบาลรับคำแล้วรีบออกจากห้องไป เหลือไว้แค่ไอหมอกกับพยาบาลอีกคนที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง

    "อย่ามายุ่งกับผม" ทัพฟ้าว่าอย่างนึกขัดใจที่หมอคนนี้ไม่นึกเกรงกลัวตัวเองเหมือนอย่างคนอื่น

    “ผมเป็นหมอ” ไอหมอกว่าเสียงเรียบ

    คราวนี้ทัพฟ้าจ้องหน้าไอหมอกเขม็ง “มึงไม่รู้หรือรึไง ...ว่ากูลูกใคร”

    “ผมไม่จำเป็นต้องรู้นี่” คุณหมอหนุ่มมองเมินสายตาเชือดเฉือนที่มองมา ถอนหายใจทิ้งกับความเอาแต่ใจของคนไข้ตัวเอง

    “นี่คุณ ด้วยหน้าที่ของผมแล้ว ผมต้องรักษาคุณให้หาย หลังจากนั้นผมก็ไม่มีเรื่องให้ยุ่งกับคุณอีก ถ้าเกลียดโรงพยาบาลนักก็รีบรักษาตัวให้หายสิครับ คุณจะได้รีบกลับบ้านไง” ไอหมอกไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาอย่างหวาดระแวงเพราะได้ยินคำว่าบ้าน

    ทัพฟ้าได้ยินแบบนั้นก็ยั้งปากไม่ให้ตะโกนด่าไอหมอกออกมา เพราะสำหรับเขาแล้วบ้านไม่ได้น่าอยู่เลยสักนิด

    "คุณเป็นคนของเขาเหรอ" ทัพฟ้าหรี่ตามองคุณหมอหนุ่มตรงหน้า แม้ไอหมอกจะนึกสงสัยในคำถาม แต่เขาก็เลือกจะปัดมันทิ้งไป เพราะคิดว่าเด็กคนนี้คงกำลังป้องกันตัวเองจากเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ผ่านมาอยู่

    "เปล่า ผมไม่ใช่คนของใคร ผมเป็นหมอ" ไอหมอกมาหยุดอยู่ตรงหน้าทัพฟ้า เขาสูงกว่าเด็กคนนี้เล็กน้อย จากประวัติแล้วเด็กคนนี้เพิ่งจะอายุ 18 และที่น่าเห็นใจนั่นคือ เด็กคนนี้มีประวัติที่ทางครอบครัวแจ้งเอาไว้ว่าทัพฟ้ามีปัญหาด้านสภาวะจิตใจเพราะเคยเจอเหตุการณ์สะเทือนขวัญอย่างหนัก ทำให้เขาควบคุมตัวเองไม่ได้ และก่อนหน้านี้เคยพบจิตแพทย์เพื่อรักษาอาการทางจิตมาแล้วครั้งหนึ่ง

    นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายก็เป็นได้

    สงสาร นี่คือสิ่งที่ไอหมอกคิด ทัพฟ้าคงเจอเรื่องราวหนักหนามาพอสมควร

    เขาจะช่วยอะไรได้บ้างนะ

    "ผมจะเชื่อคุณได้ยังไง"

    "ผมเป็นหมอ" ไอหมอกยังคงยืนยันคำตอบเดิม เขามองสบตาทัพฟ้าที่มองมาอย่างหวาดระแวง

    บางอย่างในนั้นมันฟ้องเด็กหนุ่มว่าไอหมอกไม่ได้โกหกจึงลดอาการเกร็งประหม่าลงเล็กน้อย

    "ผมเชื่อคุณก็ได้” ขณะที่เด็กหนุ่มเอ่ยคำนี้ออกมา พยาบาลสาวตรงมุมห้องเบนสายตาจับจ้องมองเด็กหนุ่มสลับกับไอหมอกเล็กน้อย และเข้ามารายงานอาการให้ไอหมอกฟัง

    อาการของทัพฟ้าดีขึ้นจากเมื่อคืนก่อน แต่ก็ไม่ได้ดีมากเหมือนอย่างที่เห็น ทัพฟ้าที่ยอมวางใจในตัวไอหมอกได้ไม่นาน เจ้าตัวก็ทรุดลงกับพื้นแทบจะทันที ดีที่มีไอหมอกคว้าตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ได้ทัน

    คราวนี้ไอหมอกนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เขาเจอเมื่อคืนก่อน ร่างกายภายใต้ร่มผ้าของเด็กหนุ่มคนนี้มีรอยช้ำหลายจุดแม้ว่ามันจะจางลงบ้างแล้ว ทว่ารอยกัดยังคงเด่นชัด ยิ่งตรงเอวมีรอยช้ำราวกับโดนขย้ำหนัก ๆ ด้วยมือใหญ่อย่างไม่ออมแรง และสิ่งที่ทำให้ไอหมอกรู้สึกสงสารนั่นคือ ร่องรอยของการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่แน่ใจว่าทัพฟ้ายินยอมหรือโดนบังคับ

    สุดท้ายแล้วทัพฟ้าก็หลับใหลลงไปอีกครั้งหลังจากได้รับยาเข้าไป โดยมีพยาบาลสาวคนเดิมเป็นคนเฝ้าไข้ ไอหมอกสันนิษฐานว่าคงเป็นพยาบาลพิเศษที่ทางครอบครัวเด็กหนุ่มว่าจ้างมา โดยที่คนป่วยเองก็คิดว่าเป็นคนของทางโรงพยาบาลเช่นกัน

    ตลอดระยะเวลาที่รักษาตัวอยู่ที่นี่ ทัพฟ้าจะมีไอหมอกแวะเวียนมาหา พูดคุยด้วยเสมอ วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่เขาจะได้คุยกันเพราะผลการรักษาที่ดีขึ้นตามลำดับทำให้ทัพฟ้าสามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว

    "หมอผมมีอะไรจะให้หมอ” ทัพฟ้าในวันนี้แตกต่างจากทัพฟ้าเมื่อหลายวันก่อน ไอหมอกเลิกคิ้วมองเมื่อนกกระเรียนกระดาษสีขาวถูกยื่นมาตรงหน้า

    ไอหมอกรับมันมาถือเอาไว้ เขาไม่เข้าใจความหมายของมันมากนัก แต่สำหรับทัพฟ้าแล้วคงหมายถึงความหวังของการมีชีวิตอยู่สินะ

    "ขอบคุณครับ" คุณหมอหนุ่มยิ้ม รับเจ้านกกระดาษตัวน้อยมาใส่กระเป๋าเสื้อเอาไว้

    ทัพฟ้ายิ้มให้ไอหมอก เป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง ขณะเดียวกันก็ดูเศร้าหมอง "ผมฝากมันไว้ที่หมอแล้วนะครับ ความหวังของผม"

    ทุกอย่างอยู่ภายใต้สายตาของพยาบาลสาวที่อยู่ตรงมุมห้อง

    ไอหมอกคิดว่าทุกอย่างน่าจะผ่านไปได้ด้วยดีแล้ว แต่แล้วตกดึกทัพฟ้ากลับอาละวาดขึ้นมาอีกครั้ง

    “หมอผมกลับไปไม่ได้ ไม่งั้นผมต้องตาย!” ทัพฟ้าจับยึดสองแขนไอหมอกแน่น แววตาที่มองมาดูหวาดกลัวเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลนองหน้า

    “ใจเย็น ๆ ก่อนครับ” คุณหมอหนุ่มพยายามปลอบให้คนไข้ตัวเองใจเย็นลง แต่ดูเหมือนทัพฟ้าจะสติหลุดไปไกลแล้ว

    “ผมกลับไปที่นั่นไม่ได้ได้ยินมั้ยหมอ! พวกมันจะฆ่าผม! พวกมันข่มขืนผม ฮือ พวกมัน ...ผมยังไม่อยากตาย!” ทัพฟ้าตะโกนใส่หน้าไอหมอก เล็บคมทั้งสิบจิกลงบนต้นแขนแทบจะทะลุเสื้อเข้าไปยังผิวเนื้อ

    คราวนี้ไอหมอกต้องตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ถ้านี่คือความจริง เด็กคนนี้จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่เพราะมีอาการป่วยทางจิตที่ระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้เขาต้องหาทางคุยกับอีกฝ่ายเสียก่อน

    “คุณว่าไงนะคุณทัพฟ้า คุณใจเย็น ๆ ก่อนสิ หายใจเข้าลึก ๆ แล้วเรามาคุยกันก่อน โอเคไหม” ไอหมอกจับไหล่ของเด็กหนุ่มไว้แน่น จ้องสบตาที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตานิ่ง หวังให้อีกฝ่ายสงบลง ทว่าทัพฟ้ากลับมองเหม่อออกไปไกล สีหน้าแสดงออกถึงความเจ็บปวด หวาดหวั่น บางครั้งก็เยียบเย็นจนน่ากลัว

    “ผมไม่ผิด พวกมันมาทำผมก่อน เขาจะทิ้งผม ทุกคนจะทิ้งผม! ผมไม่ผิด!”

    ไอหมอกพยายามจับตัวเด็กหนุ่มเอาไว้ พยาบาลเองก็ไม่กล้าเข้าใกล้คนไข้เลยสักนิด คุณหมอหนุ่มได้แต่คิดอย่างเพลียใจว่าทำไมต้องกลัวเด็กคนนี้กันขนาดนั้นด้วย

    “หมอ ผมต้องหนี ผมอยู่ไม่ได้แล้ว ผมต้องหนี” ทัพฟ้าพยายามสลัดไอหมอกให้ออกห่าง แต่คุณหมอหนุ่มก็ยังจับไว้แน่น

    “พวกเขาจะทำร้ายคุณไปทำไม มันไม่มีเหตุผลสักนิด หรือว่า...ร่องรอยตามตัวคุณ”

    เด็กหนุ่มดึงสายตากลับมามองสบตาไอหมอก “...ฮึก ผมขโมยของสำคัญของพวกมันมา ฮือ พวกมันจะฆ่าผม พ่อจะฆ่าผม หมอได้ยินไหม พ่อจะฆ่าผม ปล่อยผม!”

    คราวนี้ทัพฟ้าราวกับเสียสติ พอดีกับที่พยาบาลคนเดิมวิ่งกลับเข้าในห้องพร้อมกับหลอดยาในมือเพื่อให้ทัพฟ้าสงบลง ไอหมอกรับยามาถือเอาไว้ จังหวะที่กดเข็มลงไป สายตาที่เลื่อนมาสบตาเขา ทำให้ไอหมอกรู้สึกในใจวูบโหวงไปชั่วขณะ

    สายตาของคนที่หมดแล้วซึ่งความหวัง

    “คุณหมอคะ เร่งมือเถอะค่ะ” พยาบาลสาวคนเดิมเร่งมือเขาเล็กน้อย แม้ไอหมอกจะรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอยู่บ้าง ทว่าไม่นานทัพฟ้าก็นิ่งสงบลง หลับใหลไปอีกครั้ง

    ไอหมอกยกมือปาดเหงื่อ เกิดอะไรขึ้นนี่คือสิ่งที่เขาคิด เมื่อตอนกลางวันยังดี ๆ อยู่เลย ทำไมตกดึกถึงได้กลายเป็นแบบนี้

    “ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมคนไข้คลุ้มคลั่งแบบนี้” ไอหมอกถามพยาบาลสาวที่เฝ้าไข้ทัพฟ้า เธอทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย

    “ไม่นี่คะ อ้อ ก่อนหน้านี้มีคุณหมออีกคนเข้ามาหาคุณทัพฟ้าค่ะ”

    “คุณหมออีกคน? ใครครับ”

    “หมอรุ่งอรุณค่ะ คุณหมอมาตอนไหนดิฉันไม่ทราบค่ะ ดิฉันลงไปทำธุระด้านล่าง ขึ้นมาก็เจอคุณหมอรุ่งอรุณอยู่ในห้องแล้ว”

    “งั้นเหรอครับ” ไอหมอกไม่คิดว่ารุ่งอรุณจะเป็นสาเหตุให้ทัพฟ้าคลุ้มคลั่งได้ขนาดนี้ มันต้องมีเหตุผลมากกว่านั้น แต่คงต้องรอให้ทัพฟ้าได้สติขึ้นมาก่อน แล้วเขาจะหาเวลาเข้ามาคุยอีกที

     

    วันนี้ไอหมอกเลิกงานตามปกติ ทำให้เขามีเวลาว่างมากพอที่จะขบคิดเรื่องราวของทัพฟ้าไปตลอดทาง แต่แล้วพลันได้ยินเสียงอันคุ้นเคยเอ่ยเรียกเขาเอไว้

    “ไอหมอก”

    คุณหมอหนุ่มรีบหันกลับไปมอง หญิงสาวในชุดเดรสสีครีมอ่อนกำลังโบกมือส่งยิ้มเขา ปรางทรายถือตะกร้าสานผูกโบเอาไว้ ความดีใจกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง ไอหมอกรีบสาวเท้าเข้าหาเธอ

    "ปรางมาได้ไงครับ แล้วนี่…" ไอหมอกมองเห็นกล่องอาหารสองสามกล่องในตะกร้าสาน เขารู้สึกอุ่นในใจ

    “ปรางมาหาไอหมอกไง ได้ข่าวว่ามีคนดื้อโหมทำงานหนักอีกแล้ว” หญิงสาวยู่หน้าเข้าหากัน ทำเอาคนฟังนึกหาข้อแก้ตัวไม่ทัน ทั้งยังคาดโทษเพื่อนตัวดีอย่างรุ่งอรุณเอาไว้ด้วย เพราะคนคนเดียวที่สามารถรายงานพฤติกรรมของเขาให้ปรางทรายได้รู้ก็มีแค่รุ่งอรุณเท่านั้น

    “ผมเปล่าสักหน่อย แล้วนี่ของผมใช่ไหม กำลังหิวอยู่พอดีเลย” ไอหมอกรีบเปลี่ยนเรื่อง หญิงสาวได้ยินแบบนั้นก็ส่งค้อนวงโตให้คุณหมอหนุ่มไปที ไอหมอกได้แต่ยิ้มแหย ทั้งยังรู้สึกผิดต่อปรางทรายมากกว่าเดิมเมื่อคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่แฟนหนุ่มที่ดีเลยสักนิด ซ้ำยังต้องให้หญิงสาวมาเป็นห่วงตัวเองแบบนี้อีก

    ปรางทรายจับจ้องไล่สายตามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยรอยยิ้มบาง ไอหมอกที่เจอสายตาราวกับรู้ทันนี้เข้าไปก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูก อาจจะเพราะเราไม่ค่อยได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเหมือนอย่างคู่รักคนอื่น ทำให้บางครั้งไอหมอกยังรู้สึกขัดเขินอยู่พอสมควร

    และเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาแบบนั้นของปรางทราย เขาจึงรีบรับปากอย่างขันแข็งออกไป “โอเคครับปราง คราวหลังผมจะไม่ทำแบบนี้อีก จะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ด้วย ปรางจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงผมแบบนี้ไง”

    “แฟนทั้งคนจะไม่ให้ปรางเป็นห่วงได้ยังไงคะ แต่ก็เอาเถอะค่ะ คราวนี้ปรางยกโทษให้ แต่ถ้ามีคราวหน้าอีก ปรางโกรธจริง ๆ ด้วย” หญิงสาวยอมแพ้กับความดื้อตาใสของไอหมอก แต่ก็อดจะพูดขึ้นมาไม่ได้

    “นี่ไอหมอก ปรางรู้ว่าคุณรักอาชีพนี้มากแค่ไหน แต่คุณอย่าลืมสิคะว่าคุณเองก็มีคนที่รักและเป็นห่วงคุณอยู่เหมือนกัน อะไรที่เป็นการพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะคะ ปรางเป็นห่วงคุณ" ปรางทรายพูดเสร็จแล้วจ้องสบตาคนตรงหน้านิ่งงั้นก่อนจะเผยรอยยิ้มหวานออกมา

    ไอหมอกเข้าใจดีว่าหญิงสาวเป็นห่วงตัวเองมากแค่ไหน คำพูดเมื่อกี้ปรางทรายอาจจะแค่บังเอิญพูดมันออกมาด้วยความเป็นห่วงเขาก็ได้

    “เข้าใจแล้วครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้ตัวเองลำบากแน่นอน”

    “ดีค่ะ งั้นเราไปกันเถอะ เดี๋ยวอาหารเย็นหมดซะก่อน” หญิงสาวมองตรงไปยังด้านหลังของไอหมอก ก่อนจะยกยิ้มออกมา แขนเรียวคล้องเข้ากับแขนแฟนหนุ่มแล้วดึงให้ก้าวเดินพร้อมกัน

    สายตามองตามแผ่นหลังบางที่หายลับไปพร้อมกับหญิงสาว หมออุ่นดันกรอบแว่นที่ใส่อยู่เล็กน้อย นึกย้อนไปถึงเรื่องราวก่อนหน้าที่เขาเข้าไปหาทัพฟ้า

    “อย่ายุ่งกับเขา”

    “ทำไมละครับ หวงเหรอ แต่คุณหมอเขาก็น่ารักดีนะ ...พี่อุ่น”

    “เพราะฉันไม่เอาแกไว้แน่ รีบรักษาตัวให้หายดี แล้วไสหัวกลับไปได้แล้ว และอย่ามายุ่งกับพวกเราอีก” รุ่งอรุณจ้องสบตาเรียบนิ่งกับทัพฟ้าที่มองมาด้วยแววตาท้าทาย

    “ช่วยไม่ได้นี่ ในเมื่อพี่ไม่ยอมช่วยผม ผมก็ต้องหาทางอื่น และถ้าผมต้องตายจริง ๆ ...” ทัพฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึก

    “ผมจะเอาคุณหมอไอหมอกไปด้วย”

    รุ่งอรุณกัดฟันกรอด ปัญหาบางอย่างเขาพอรับรู้มาบ้างแต่ไม่ได้สนใจ และไม่คิดว่ามันจะวกกลับมาสร้างปัญหาให้ตัวเองแบบนี้

    “ฟังฉันให้ดี ๆ นะทัพฟ้า ฉันไม่อยากเกี่ยวข้องกับภัครวัฒิโยธินอีก และฉันช่วยอะไรนายไม่ได้ทั้งนั้น ฉันไม่ได้มีอำนาจมากมายขนาดนั้น และที่สำคัญมันเป็นเรื่องของครอบครัวนาย ฉันไม่เกี่ยว”

    รุ่งอรุณว่าเสียงเย็น แต่ทัพฟ้ากลับคิดว่าในเมื่อเขาไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ถ้าจะลองดิ้นรนอีกครั้งก็คงไม่เสียหาย

    “ถ้าพี่ให้ผมเป็นคนของพี่ พวกเขาก็ทำอะไรผมไม่ได้แล้ว ผมเองก็จะเลิกยุ่งกับหมอไอหมอกด้วย” ทัพฟ้าว่าเสียงอ้อนวอน

    “ถ้าผมกลับไป พวกเขาฆ่าผมแน่ ๆ ผมไม่อยากกลับไปอยู่ในนรกแบบนั้นอีก ผมรับไม่ไหวแล้ว” คราวนี้น้ำตาหยดหนึ่งไหลร่วงตามแก้มเนียน

    รุ่งอรุณโน้มตัวลงมาสบตากับเด็กหนุ่มเอาไว้ เขาปาดน้ำตาออกให้ด้วยความอ่อนโยน

    “นั่นเพราะนายรนหาที่เอง อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่านายทำอะไรลงไปนะทัพฟ้า เพราะนายกลัวว่าจะเสียทุกอย่างไป เลยขโมยของพรรค์นั้นออกมาต่อรองกับพวกเขา มันสิ้นคิดมากรู้ไหม” มือหนาบีบไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้แน่น

    “ฉันว่านายเอาไปคืนเขาเถอะ แค่นี้นายก็รอดแล้ว ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อนาย เขาคงไม่ฆ่าลูกตัวเองหรอก”

    “หึหึ ฮ่าฮ่าฮ่า พ่องั้นเหรอ ฮ่าฮ่า ตลกชะมัด” จู่ ๆ ทัพฟ้าก็หัวเราะขึ้นมาราวกับเสียสติ

    “พ่อที่ไหนจะเอาลูกตัวเองแบบนั้นวะ หะ!”

    “...” คิ้วคมขมวดมุ่น

    “หึหึ ฮึก พ่อที่ไหนจะส่งลูกตัวเองให้พวกมันแบบนั้น! พ่อที่ไหนจะทำให้ฉันเป็นแบบนี้!” ทัพฟ้าชูแขนข้างที่พันด้วยผ้าก็อซสีขาวสะอาดให้รุ่งอรุณดู และดูเหมือนสิ่งที่ได้ยินจะทำให้รุ่งอรุณนิ่งค้างไปเหมือนกัน

    “แต่ก็เอาเถอะ ผมจะพยายามด้วยตัวผมเองก็แล้วกัน แต่ผมไม่รับปากนะว่าหลังจากนี้ ชีวิตของเพื่อนพี่จะเป็นยังไง ...ถ้าพี่ช่วยผม ผมรอด เพื่อนพี่ก็รอด แต่ถ้าผมตาย เขาก็ต้องตาย” ทัพฟ้ายกยิ้มน่าเอ็นดูให้รุ่งอรุณ พลางแกะมือที่จับไหล่ตัวเองเอาไว้ออก

    “พี่ไปพักเถอะ ผมเองก็จะพักเหมือนกัน ยังมีเรื่องให้ผมต้องคิดอีกเยอะ ฝันดีครับ” ทัพฟ้าเอนกายลงนอนหันหลังให้กับรุ่งอรุณ หมดหนทางที่จะขอให้พี่ชายต่างสายเลือดช่วย

    รุ่งอรุณกลับออกมาด้วยความรู้สึกยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม ความกังวลฉายชัดในแววตา แม้ว่าเขาจะเตือนไอหมอกไปแล้วว่าอย่ายุ่งกับเรื่องราวของทัพฟ้าให้มากนัก แต่ใช่ว่าอีกฝ่ายจะยอมฟัง ภายใต้รอยยิ้มตาใสคือความดื้อรั้นดันทุรังที่ยากจะรั้งเอาไว้

    รุ่งอรุณกำมือแน่น "สองมือนี้ของฉันจะปกป้องนายได้หรือจริง ๆ หรือเปล่านะ ไอหมอก"

     

    *****

    สเต็ทโตสโคป = Stethoscope/หูฟังหมอ

    #ไอหมอกเหนือสมุทร 

    T: Mairymii 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×