ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Open diary (YURI)

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 เวอร์บีน่า

    • อัปเดตล่าสุด 18 มี.ค. 56


     Chapter 4 เวอร์บีน่า

     

    ร่างบางนั่งมองรูปที่ยังวาดไม่เสร็จบนผืนผ้าแคนวาส ผมสีน้ำตาลประกายแดงถูกมวยไว้เพราะความยาวของมันสร้างความรำคาญให้เธอยามที่ต้องตวัดพู่กันวาดภาพ จีรภัทรมองรูปสลับกับถาดสีในมือพลางคิ้วขมวด ขวดสีที่เธอต้องการนอนกลิ้งอยู่บนพื้น แต่มันไม่น่าตกใจเท่ากับสีที่จะทำให้ภาพนี้เสร็จสมบูรณ์หมดลง ไม่เหลือเลยสักขวด!!!

    “จี รูปนี้ใครออเดอร์มาเหรอ” เมื่อเพื่อนซี้เดินเข้ามาดูรูปทางด้านหลัง เจ้าตัวก็วางถาดสีและพู่กันลง ไม่มีอารมณ์จะวาดต่อแล้ว ขืนทำให้พอเสร็จๆไปก็ไม่ดีต่อลูกค้าที่อุดหนุนภาพของเธออยู่เป็นประจำ

    “คุณบดินทร์ เจ้าของรีสอร์ทแถวระยองน่ะ แล้วพีชมีอะไรหรือเปล่า” ปกติเวลาเธอหมกตัวอยู่ในห้องเพื่อวาดภาพ พิรดาจะไม่เข้ามาหรือเรียกหาเธอ เพราะต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าไม่ควรรบกวนขณะอีกคนกำลังบรรจงวาดพู่กันเพื่องานศิลปะที่พวกเธอรัก แต่ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะยืนมองอยู่นานจนหาจังหวะทักขึ้นมาได้

    “พีชว่าจะไปซื้ออุปกรณ์ใหม่น่ะ ดูเหมือนจีก็กำลังต้องการสีเพิ่ม สีนี้ใช่มั้ย” พิรดาก้มลงไปเก็บขวดสีเปล่าที่เพื่อนรักเตะมันกลิ้งมาใกล้ๆกับปลายเท้าเธอ เพราะหงุดหงิดที่ไม่สามารถวาดภาพต่อไปได้

    “จริงเหรอ! เยี่ยมที่สุด! จีขอสักสามขวดเลยนะ แต่ว่าที่ห้องพีชมีสีเขียวเหลือบ้างมั้ย” แววตาจีรภัทรดูมีความหวังขึ้นมา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าภาพล่าสุดที่เพื่อนลงมือวาดใช้เฉดสีเขียวเป็นหลัก

    “พีชเสียใจจริงๆนะที่ทำให้จีต้องผิดหวัง เพราะพีชใช้มันหมดแล้วเหมือนกัน แหะๆ” พิรดาเกาหัวแกร๊กๆ ก่อนจะตบไหล่เพื่อนเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ เมื่อจีรนันท์ทำหน้าเหมือนกับว่าชีวิตนี้จบสิ้นแล้ว

    “เฮ้อ...หมดกัน ไปนอนดีกว่า” มือเรียวเอื้อมมือไปปล่อยผมที่มวยเอาไว้ ผมยาวสลวยมีน้ำหนักตกลงมาคลอเคลียข้างแก้มใส พิรดาอดขำไม่ได้เมื่อนึกถึงรูปลักษณ์ของจีรนันท์ตอนนี้กับเมื่อสมัยที่ยังเรียนมหาลัยอยู่ ตอนนั้นไว้ผมสั้นแต่ปล่อยให้ชี้ฟูรอบทิศ ใส่แว่นกรอบเบ้อเร่อ แถมยังชอบใส่เสื้อผ้าไม่รีด ตัวตลกประจำคณะที่ทั้งอาจารย์และรุ่นพี่ต่างเอ็นดูกับความเป๋อเปิ่น

    “อ๊า... เตียงแสนรักของจี หมอนแสนนุ่มของจี ผ้าห่มแสนอุ่นของจี” เมื่อทิ้งตัวลงบนเตียงนอน จีรภัทรก็กลายร่างเป็นเด็กน้อยซุกหน้ากับหมอนใบใหญ่อย่างน่าเอ็นดู น่าแปลกที่ใครบางคนในกรอปรูปเป็นคนทำให้จีรภัทรเปลี่ยนแปลงตนเองได้ขนาดนี้ ทั้งที่เจ้าตัวก็รู้ว่าไม่มีวันที่รุ่นพี่สุดเพอร์เฟคจะหันมามอง

    “แล้วอยากได้อะไรเพิ่มหรือเปล่า พีชไม่อยากไปๆมาๆหลายรอบ” ร่างสูงของพิรดาเดินไปยื้อผ้าห่มเพื่อนสาวให้อีกฝ่ายหันมาสนใจเธอมากกว่าเตียงนอน

    “เอาๆๆๆ เยลลี่รสส้ม เอาสิบแพ๊คเลย” จีรภัทรพูดอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงเยลลี่รสโปรด แต่พิรดากลับส่ายหัว อายุก็ตั้งยี่สิบสามแล้ว ยังชอบอะไรเหมือนเด็กอยู่นั่นแหละ แต่เธอก็เข้าใจความชอบแบบห้ามใจไม่อยู่เป็นอย่างดี

    “งั้นพีชไปแล้วนะ วันนี้ถ้าจะเปิดร้านก็ให้วินกันฟางมาอยู่เป็นเพื่อนล่ะกัน”คนที่นอนอยู่บนเตียงพยักหน้ารับ เมื่อนึกถึงวินเด็กหนุ่มวัยรุ่นอายุสิบเก้าไว้ผมยาวระต้นคอเป็นทรงเกาหลีสุดฮิต แถมยังย้อมผมเป็นสีบอนด์เขียวสะดุดตาอีกต่างหาก นิสัยยียวน แต่ก็จริงใจ ส่วนฟาง เด็กสาวมหาลัยปีสาม อายุมากกว่าวินแค่ปีเดียว เป็นคนร่างเริง ปากร้ายนิดหน่อย แต่ก็ใจดีต่างกับคำพูดลิบลับ แต่ถ้าให้ทั้งสองคนมาอยู่เป็นเพื่อนคงไม่พ้นต้องห้ามทัพตลอดเวลา อยู่ใกล้กันเมื่อไหร่ทะเลาะกันทุกที

    เมื่อเสียงรถวิ่งออกจากบ้านไปได้สักพัก ใครบางคนก็รัวเคาะประตูเสียงดังจนจีรภัทรทนหมกตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ไหว ต้องลุกลงมาเปิดประตูให้

    “พี่จี! พี่พีชออกไปยังคะ” น้ำเสียงเจื้อยแจ้วของสาวผมยาวสีดำขลับตรงหน้าทำให้จีรภัทรโกรธไม่ลง เธอรู้ว่าเด็กสาวคนนี้คิดอย่างไรกับพิรดา แม้เพื่อนรักจะรู้แต่ก็ไม่ได้ให้ความหวังอะไร เด็กสาวก็คงไม่ได้หวังว่าจะได้รับอะไรเป็นการตอบแทนหรอกมั้ง ถึงไม่เคยแสดงอาการน้อยอกน้อยใจให้เห็นเลยสักครั้ง

    “ออกไปได้สักพักแล้ว ฟางไม่ได้ยินเสียรถเหรอ”

    “ฟางอาบน้ำอยู่นี่นา อุตส่าห์ใส่น้ำหอมกลิ่นใหม่มา พี่จีว่าหอมมั้ย แล้วพี่พีชจะชอบมั้ย” ร่างบางขยับเข้ามาใกล้ในระยะประชิดจนได้กลิ่นน้ำหอมของดอกไม้ผสมผลไม้ เหมาะกับบุคลิกร่าเริงและมีความอ่อนหวานในตัว

    “กลิ่นนี้เหมาะกับฟางดีนะ พี่ไม่รู้หรอกว่าพีชชอบหรือเปล่า แต่พี่ชอบหอมดี” พอได้กลิ่นน้ำหอม ในหัวก็พาลนึกถึงใครบางคนที่มักจะได้กลิ่นหอมลอยมาเวลาแกล้งเดินผ่าน แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยรู้เลย

    “กลิ่นMiss Charmingล่ะ ถ้าพี่จีเป็นพี่พีชก็คงดีเนอะ ฟางรักตายเลยพูดแบบนี้”

    “นี่รักแต่พีชเหรอเนี่ย ลำเอียงนี่นา”

    “โอ๋ๆๆๆ มามะ เดี๋ยวน้องสาวคนนี้จะหอมปลอบใจสักฟอด” ร่างบางของเด็กสาวที่มีส่วนสูงมากกว่าจีรภัทรเกือบสิบเซนติเมตรถลาเข้ามากอดคนเตี้ยกว่าเสียแน่น แต่ก่อนที่ปลายจมูกโด่งรั้นจะกดลงบนผิวแก้ม ใครบางคนก็พูดขึ้นมาเสียงก่อน

    “เอ่อ... ตรงนี้มันจะไม่ประเจิดประเจ้อไปเหรอคะ” น้ำเสียงหวานของผู้มาเยือนอีกรายทำเอาใจจีรภัทรหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม สุนิศามาได้อย่างไรกัน แถมสถานการณ์ก็ชวนเข้าใจผิดอย่างน่ากลัว

    “นั่นสิ อีกอย่างน้ำหอมใหม่ของเธอน่ะ เหม็นจะตาย” น้ำเสียงทุ้มของหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเอ่ยขึ้น เขายกมือขึ้นบีบปลายจมูกโด่งของตนเองเหมือนจะบอกว่าน้ำหอมกลิ่นนี้มันเหม็นสุดๆ

    “อ๊ายย นายลมบูดทำไมพูดแบบนี้ฮะ” ฟางเกิดอาการปรี๊ดแตกเมื่อถูกว่าเรื่องน้ำหอมที่อุตส่าห์บรรจงเลือกซื้อมา

    “นี่ เธอเรียกดีๆหน่อยนะ ฉันชื่อวิน ไม่ใช่ลมบูด เข้าใจใหม่ซะยัยฟางเน่า” ชื่อก็ออกจะเท่ ทำไมยัยนี้ชอบเรียกแบบนี้อยู่เรื่อย

    “หน้าตาแบบนี้อ่ะนะ แค่ลมบูดก็พอแล้ว แล้วฉันชื่อฟาง ไม่ใช่ฟางเน่าย่ะ” ขืนเรียกแบบนี้ในที่สาธารณะ แม่จะข่วนให้หน้าคมนั่นลายเป็นทางเลย

    “แบบเธอน่ะ ก็ไม่ต่างกันหรอก”

    “หยุดๆๆๆๆๆ พอแล้ว ถ้ายังไม่เลิกเดี๋ยวไล่ตีทั้งคู่เลย”เมื่อเห็นว่าน้องทั้งสองคนเริ่มทะเลาะกัน จีรภัทรจึงต้องห้ามให้หยุด ไม่อย่างนั้น หน้าคมของวินคงมีแผลเป็นรอยยาวด้วยน้ำมือของฟางเป็นแน่ ยิ่งมือไวอยู่ด้วย

    “อย่างพี่จีเนี่ยนะ ไม่กลัวหรอก” ทั้งคู่ประสานเสียงหัวเราะกันจนดังลั่น ทำเอาใครอีกคนหลุดขำออกมาด้วย ก็นะใครจะไปกลัวกันล่ะ ดูท่าทางจะขี้กลัวซะด้วย แค่เด็กสองคนนี้ตะโกนใส่ก็คงวิ่งหนีแล้วมั้ง สุนิศาได้แค่คิด ขืนพูดออกไปแม่หมอคนเก่งอาจงอนจนไม่ยอมฟังเรื่องที่เธอตั้งใจมาไหว้วานก็เป็นได้

    “พี่จะฟ้องแม่พวกเธอ” เมื่อรู้ว่ายังไงก็คงไม่มีทางสู้ทั้งคู่ไหวด้วยตัวคนเดียว จีรภัทรเลยใช้วิธีอ้างผู้ใหญ่ในบ้านซะเลย ยังไงบ้านสองคนนี้ผู้เป็นแม่ก็มีอำนาจมากที่สุด

    “ใช้ไม้นี้พวกเราก็ไม่กลัวหรอก ฮ่าๆๆๆๆ”เพราะถึงแม่จะเอ็นดูพี่จีของพวกเขามาก แต่ก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ไปทำความเดือดร้อนอะไรให้ตั้งหนักใจ นอกเสียจากกวนใจรุ่นพี่สาวศิลป์จอมเปิ่นไปวันๆ เมื่อเห็นว่ายังไงก็สู้ไม่ไหวจีรภัทรจึงส่งสายตาขอร้องไปยังสุนิศา

    “ฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะคะ เพราะในความคิดของฉันแม่หมอไม่มีความน่ายำเกรงเลยสักนิดเดียว” คนพูดยิ้มออกมาเสมือนว่านั่นเป็นคำพูดให้กำลังใจ แต่แทนที่จีรภัทรจะรู้สึกแย่กลับกลายเป็นว่าหน้าร้อนวูบขึ้นมาเสียอย่างนั้น จะเพราะอะไรล่ะถ้าไม่ใช่รอยยิ้มที่เพิ่งได้รับจากอดีตรุ่นพี่มหาลัยที่เธอแอบมองมาตลอด

    “ไม่เป็นไรค่ะ จีไม่โกรธคุณสุนิศาหรอก เข้าบ้านกันก่อนแล้วกันนะคะ” จีรภัทรเดินนำทุกคนเข้ามานั่งตรงโต๊ะมุมหนึ่งของบ้าน เพราะอยู่ใกล้กับหน้าต่างจึงมองออกไปเห็นพุ่มดอกไม้สีสดนานาพันธุ์ ทุกดอกทุกสีสันต่างชูช่ออวดความงามของมันให้แขกผู้มาเยือนได้ชื่นชม

    “ดอกไม้สวยจังเลย แม่หมอเป็นคนปลูกเองหรือเปล่าคะ” สุนิศาอดถามไม่ได้ สวยขนาดนี้คงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี

    “เปล่าหรอกค่ะ พีชเป็นคนปลูก จีแทบจะไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย”

    “ดอกนั้นน่ารักดีนะคะ”

    “ไหนคะ” เพราะมุมที่ตนเองยืนอยู่มองเห็นไม่ชัด จีรภัทรเลยต้องขยับเข้าไปใกล้สุนิศามากขึ้น แต่ก็เก้ๆกังๆกลัวไปโดนอีกคนเข้า

    สาวมาดนักธุรกิจเห็นแบบนั้นก็อดขัดใจไม่ได้ แค่ขยับเข้ามาใกล้นิดหน่อยทำเป็นกลัว ทีเมื่อกี้กอดกันอยู่หน้าบ้านกับเด็กสาวผมยาวคนนั้นไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย มือเรียวเอื้อมไปโอบไหล่อีกคนให้เข้ามาใกล้กับจุดที่ตัวเองยืนอยู่ อีกมือก็ชี้ให้ดูว่าดอกไม้ที่เธอสนใจอยู่ตรงไหน

    แย่แล้ว มันใกล้เกินไปแล้วนะคะพี่นิได้แค่คิดเท่านั้น ในความเป็นจริงจีรภัทรได้แต่ยืนหน้าแดงพลางเพ่งมองดูดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆซึ่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้สีสดสีอื่นๆ เหมือนพีชจะเคยบอกตอนที่พวกเธอช่วยกันปลูก ชื่ออะไรน้า? ทั้งที่เห็นอยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก

    “เวอร์บีน่าค่ะ ดอกนั้นน่ะ พี่จีไม่รู้จริงๆเหรอ พี่พีชน่าจะบอกอยู่นะ” ฟางนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่รองด้วยเบาะนุ่ม

    “ไปไหว้คุณป้าเดือนที่แล้ว ดอกไม้นี่ขึ้นอยู่ข้างๆ สีเดียวกันเลย” วินพูดขึ้นบ้าง คุณป้าที่เขาพูดถึงหมายถึงแม่ของจีรภัทรนั่นเอง พี่สาวที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กๆกับเขาอย่างจีรภัทรไม่ค่อยสนใจดอกไม้สักเท่าไหร่ ถึงจะเป็นดอกไม้ที่แม่ของเธอชื่นชอบ เจ้าตัวก็จำได้แต่ลักษณะของมันเท่านั้นแหละ ไม่รู้หรอกว่ามันชื่ออะไร

    “เวอร์บีน่าเหรอ ชื่อเพราะดีเนอะ ความหมายคงดีเหมือนชื่อล่ะมั้ง” สายตาเพลิดเพลินยามมองดูดอกไม้ของสุนิศา ทำให้จีรภัทรแอบอิจฉาเจ้าดอกเวอร์บีน่าเหลือเกิน ทั้งที่มันเป็นแค่ดอกไม้ พูดก็ไม่ได้ แต่สุนิศาก็ยังมองมันอย่างชื่นชม

    “แต่คุณสุนิศาก็ยังอุตส่าห์มองเห็นอีกนะคะ ทั้งที่ดอกไม้อื่นๆก็เด่นขนาดนั้น”

    “ดอกนั่นต่างหากที่เด่นออกมาจากดอกไม้อื่นๆน่ะ แม่หมอไม่เห็นเหรอคะว่ามันสะดุดตาตั้งแต่แรกเลย” ใช่! เธอมองเห็นมันอยู่ท่ามกลางดอกไม้สีสดสีอื่นตั้งแต่ต้น ทั้งที่ดอกไม้รอบๆดอกใหญ่กว่า แต่เธอกลับมองเห็นมันชัดเจนกว่าดอกอื่นๆ คิดแล้วก็ทำให้นึกถึงใครบางคนที่เหมือนกับดอกไม้นั่น ต่อให้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็ยังเด่นสะดุดตาอยู่ดี

    “ไม่เลยค่ะ แต่มันคงดีใจแน่ๆ ที่คุณสุนิศามองเห็นมัน ทั้งที่คนอื่นมองไม่เห็น” ถ้าเป็นเธอเองก็คงดีใจที่สุนิศามองเห็น แต่คนที่ไม่โดดเด่นแบบเธอนะ สุนิศาคงจำไม่ได้หรอก

    “วันนี้ที่ฉันมาที่นี่ เพราะได้ยินจากคนรู้จักมาว่า แม่หมอเป็นศิลปินวาดภาพด้วย ฉันได้เห็นรูปที่แม่หมอวาดแล้ว สวยมากๆเลย ฉันเลยอยากได้บ้างน่ะค่ะ” ถึงแม้สุนิศาจะส่งยิ้มมาให้ แต่จีรภัทรกลับรู้สึกหนักใจ

    “ฉันไม่มีรูปที่วาดไว้แล้วนะคะ คงต้องวาดใหม่ แล้วคุณสุนิศาอยากได้รูปแบบไหนล่ะคะ” หวังว่าจะเป็นรูปทิวทัศน์อะไรประมาณนั้นนะ

    “ภาพเหมือนของฉันเองค่ะ เอาขนาดเท่าตัวจริงเลย” สุนิศาบอกอย่างตื่นเต้น

    “ขอปฏิเสธค่ะ จีคงรับงานนี้ไม่ได้หรอกค่ะ เสียใจด้วยนะคะ” ทันทีที่จีรภัทรได้ยิน เธอก็ปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดมากเลย การวาดภาพเหมือนของสุนิศาน่ะไม่ยากหรอก แต่เธอมีความจำเป็นที่ไม่สามารถวาดได้จริงๆ

    “ทำไมล่ะคะ คุณไม่ถนัดวาดรูปเหมือนเหรอคะ แต่คนรู้จักของฉันเขาบอกว่าคุณวาดได้สวยมาก” แม้ตัวสุนิศาเองจะยังไม่ได้เห็นภาพฝีมือของแม่หมอสาวคนนี้กับตาตัวเอง แต่เธอก็เชื่อคนรู้จักของเธอ เพราะเขาชอบงานศิลปะมาก และเขาก็ดูงานศิลปะเก่งด้วยเช่นกัน

    “จีไม่สามารถรับงานนี้ได้จริงๆค่ะ” ไม่ว่ายังไงเธอก็รับงานนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องปฏิเสธเท่านั้น จีรภัทรคิด

    “ตอนนี้มีรูปอื่นที่ต้องวาดเหรอคะ”

    “ค่ะ ตอนนี้จีมีออร์เดอร์จากลูกค้าหลายราย คงจะไม่สามารถรับงานเพิ่มได้ไปเกือบสองปี” ถึงแม้อีกฝ่ายจะถามมาด้วยน้ำเสียงผิดหวังเด่นชัด แต่ก็ไม่ทำให้จีรภัทรใจอ่อนได้ เธอถึงต้องโกหกทั้งที่วคามจริง งานล่าสุดที่รับมาอีกไม่นานก็คงจะเสร็จ

    “นานขนาดนั้นเลยเหรอ....” ริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูพึมพำ ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจในเหตุผลของอีกฝ่าย

    “แต่ถ้าคุณสุนิศาอยากได้ภาพวาดเหมือนล่ะก็จีแนะนำคนวาดให้ได้นะคะ สนใจมั้ยคะ”

    “ใครคะ” ถึงจะตั้งใจมาให้แม่หมอเป็นคนวาด แต่ถ้าเป็นคนแนะนำให้ก็คงจะฝีมือดีเป็นแน่

    “พีชค่ะ เพื่อนจีเขาฝีมือดีกว่าจีมากเลยนะคะ แล้วตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้รับงานใหม่ด้วย ไม่ใช่ผลงานไม่ดีนะคะ แต่เจ้าตัวเขาเลือกรับงานน่ะค่ะ ถ้าคุณสุนิศายังอยากได้ภาพอยู่ จีจะบอกพีชให้”จีรภัทรยิ้มให้

    “แล้วคุณพีชเขาจะยอมรับงานนี้หรือคะ หรือบางที่ฉันควรจะตัดใจซะดีกว่า”

    “แต่ว่าทำไมอยู่ๆถึงอยากได้ภาพเหมือนล่ะคะ” งานอดิเรกของสุนิศาคงไม่ใช่การสะสมงานศิลปะเป็นแน่ เหตุผลที่ต้องการภาพเหมือนของตัวเองเป็นเพราะอะไรกัน

    “พูดเองแล้วก็ยังไงไม่รู้ ตอนเรียนอยู่มหาลัยน่ะค่ะ มีรุ่นน้องคณะศิลปกรรมศาสตร์คนหนึ่งวาดภาพขนาดเท่าตัวจริงของฉัน แล้วภาพนั้นก็ได้รับรางวัลชนะเลิศด้วย ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อ แต่เพื่อนก็ชวนฉันไปดูรูปด้วยตาตัวเอง มันสวยมากๆเลยล่ะค่ะ ฉันไม่ได้ชมตัวเองนะคะ หมายถึงภาพรูปนั่นต่างหาก มันทำให้ฉันมีความสุขแล้วก็มีกำลังใจ เวลามองเห็นตัวเองยิ้มได้แบบนั้นน่ะ”

    “แล้วไม่ลองขอให้รุ่นน้องคนนั้นวาดให้ล่ะครับ”หลังจากที่เงียบฟังอยู่นานวินก็ออกความคิดเห็นบ้าง ถ้าชอบฝีมือของรุ่นน้องคนนั้นมาก แล้วทำไมไม่ไปขอร้องให้เจ้าตัวเขาวาดให้กันล่ะ

    “ก็อยากอยู่หรอกค่ะ แต่ฉันไม่รู้ว่าจะติดต่อเขายังไงเนี่ยแหละ เพราะตลอดเวลาที่เรียนฉันก็พยายามถามอาจารย์ทุกคนในคณะ แต่ก็ไม่มีอาจารย์ท่านไหนทราบเลยว่าคนวาดเป็นใคร บอกแค่เพียงว่าเป็นรุ่นน้องฉันสองปีเท่านั้นเอง” สุนิศาตอบข้อสงสัยของเด็กหนุ่มซึ่งคงจะยังเรียนมหาลัยอยู่ อย่างน้อยเธอก็อยากจะบอกอะไรแก่คนวาดภาพนั่นด้วยตัวเอง แต่ก็คงไม่มีโอกาส

    “เขาคงไม่อยากให้พี่รู้ก็ได้นะคะว่าเขาเป็นใคร เนอะพี่จี” ฟางหันมาพูดกับจียิ้มๆ

    “อะ...อืม” คำพูดของฟางทำเอาเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่ลำคอ มันก็จริงแหละนะ แต่ที่ไม่อยากให้รู้น่ะเป็นเพราะว่าเธอมันขี้ขลาดเกินไปต่างหากล่ะ

    “ถ้ายังไงก็ฝากแม่หมอถามคุณพีชให้ด้วยแล้วกันนะคะ พอดีฉันมีธุระต้องไปพบลูกค้าต่อ นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว” สุนิศาบอกลาทุกคนก่อนจะออกจากบ้านไป โดยไม่รู้ว่าทิ้งความรู้สึกน่าดีใจปนกับความรู้สึกอึดอัดไว้ให้ใครบางคน

    “พี่จีจะไม่บอกพี่คนสวยนั่นเหรอ” ฟางมองดูพี่สาวนักวาดภาพ เธอยังจำได้อยู่เลย วันที่เธอเห็นภาพนั้นเสร็จสมบูรณ์เป็นครั้งแรก สวยมากจนเธอเผลอมองอยู่นาน และตัวจริงก็สวยอย่างกับก้าวออกมาจากรูปวาดเลย

    “นั่นสิ ถ้าบอกไปเขาอาจจะมานั่งให้พี่วาดรูปเขาทุกวันเลยก็ได้นะ”วินพูดขึ้นหวังจะให้พี่ที่นับถือเสมือนพี่สาวแท้ๆยิ้มออก

    “เราจะไม่คุยกันเรื่องนี้ โอเคนะ วันนี้พี่คงไม่เปิดร้าน ยังไงถ้าจะกลับก็ล็อกประตูบ้านให้พี่ด้วย พี่ขอตัวไปพักก่อนนะวิน ฟาง”

    จีรภัทรเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเอง หน้าต่างที่ห้องมองไปเห็นดอกเวอร์บีน่าได้อย่างชัดเจน เจ้าดอกไม้ดอกน้อยๆที่แสนสวยงาม ทำไมถึงโชคดีจังนะ ทั้งที่เล็กเหมือนกันแต่เธอกลับไม่โดดเด่นอย่างมันเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายที่สุนิศาพบเจอ เธอก็เป็นแค่รุ่นน้องคนหนึ่งที่สุนิศาจำไม่ได้ เธอก็ไม่ได้หวังเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นแล้วนี่นา แต่ทำไมอยู่ๆถึงรู้สึกแย่แบบนี้นะ ทั้งที่บอกกับตัวเองไว้แล้วแท้ๆว่ายังไงก็จะไม่หวังเด็ดขาด อยู่ๆก็เกิดอยากให้เขามองเห็นเราบ้าง บ้าไปแล้วจีรภัทร เฮ้อ! ทั้งหมดมันเป็นเพราะแกเลยนะเวอร์บีน่าดอกน้อย

     

    กลิ่นอาหารบนโต๊ะทำให้จีรภัทรอารมณ์ดีขึ้น วันนี้พิรดาทำกุ้งอบวุ้นเส้น ไก่ผัดเม็ดมะม่วง แกงจืดเต้าหู้ไข่ ไก่ทอดน้ำปลา ของโปรดเธอ ดูเหมือนเพื่อนของเธอจะได้ยินจากจอมกวนของคนนั้นว่าเธออารมณ์ไม่ได้ เลยทำอาหารเอาไว้เต็มโต๊ะเลย

    “อ้าว! จีตื่นแล้วเหรอ พีชกะว่าจะไปเรียกอยู่พอดี” พิรดาพูดพลางวางถ้วยบัวลอยไข่หวานบนโต๊ะ

    “น่ากินจังเลยยยย พีชนี้สุดยอดจริงๆ ถ้าไม่มีพีชนะ จีต้องอดข้าวตายแน่ๆเลย” พูดพลางตักไก่ผัดเม็ดมะม่วงเข้าปาก ก่อนจะตักกับข้าวที่เหลือตาม

    “นี่ๆ ข้าวจ้า อย่าลืมสิเดี๋ยวไม่โตนะ ฮ่าๆๆๆ” จีรภัทรรับจานข้าวมาก่อนจะตักข้าวเข้าปากเสียพูนช้อน ทำอย่างกับเด็กๆไปได้ พิรดาคิด

    “วินกับฟางเล่าให้พีชฟังหรือยัง”

    “อย่าพูดทั้งที่ข้าวเต็มปากอยู่สิ สองคนนั้นเล่าให้ฟังแล้ว พีชรับก็ได้นะ” พิรดาได้แต่ยิ้มกับคำถามของเพื่อน ก่อนจะเตือนไม่ให้พูดขณะมีข้าวอยู่เต็มปาก เธอว่าจากการวาดภาพมาได้สองอาทิตย์กว่าแล้ว และควรจะเริ่มงานใหม่เสียที อุปกรณ์ก็พร้อมหมดแล้วด้วย

    “พูดจริงเหรอ” น่าแปลกใจที่พีชรับงานง่ายขนาดนี้ คิดอะไรอยู่กันนะ

    “อืม แต่ต้องมีข้อตกลงกันก่อนนะ” งานรอบนี้เธอคิดว่าควรทำอะไรสักอย่างกับความรู้สึกของจีรภัทรที่มีต่อสุนิศามาหลายปี คุณน้าก็คงคิดเหมือนกันกับเธอล่ะนะ

    “ข้อตกลงอะไรอ่ะ จะดีเหรอพีช” ฝ่ายนู่นเขาจะคิดยังไงเนี่ยถ้าข้อตกลงมันแปลกๆน่ะ แต่เพื่อนของเธอก็ไม่ได้ชอบความยุ่งยากนัก คงไม่เป็นไรมั้ง

    “เดี๋ยวเรื่องนี้พีชคุยกับคุณสุนิศาเอง จีไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

    “อืม งั้นเอาเป็นว่าตามนี้นะ” ตอนนี้จีรภัทรรู้สึกโล่งใจขึ้น งั้นก็กินให้เต็มที่เลยดีกว่า มีแต่ของอร่อยๆทั้งนั้น พระเจ้าประทานแม่ครัวชั้นยอดมาเพื่อจีสินะคะ

    “อื้อ แต่ว่าก็น่าเสียดายนะ ทั้งที่รูปแรกสวยขนาดนั้น”

    “พีชฝีมือดีกว่าจีตั้งเยอะ รูปที่พีชวาดมันต้องออกมาดูดีอยู่แล้ว”

    “ไม่รู้สินะ ความรู้สึกมันต่างกันนี่นา” คำตอบของเพื่อนรักทำให้จีรภัทรได้แต่คิด เพราะความรู้สึกมันเหมือนเดิมเธอถึงไม่กล้าวาดต่างหากล่ะ เพราะก็ไม่รู้ว่าสุนิศามองภาพที่เธอวาดยังไง รู้สึกหรือเปล่าว่าคนวาดรูปนั้นเขาจะสื่ออะไรออกมา.... แต่ถึงยังไงเธอก็ไม่กล้าอยู่ดีนั่นแหละ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×