คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter2 เด็กหลง
“เอ่อ... คุณสุนิศาคะ” จีรภัทรเอ่ยเสียงเบาอย่างเกรงใจเมื่อเห็นสุนิศาเอาแต่กุมขมับแล้วส่ายหัวไปมาไม่ยอมหยุด
“คะ” น้ำเสียงไม่พอใจทำเอาหมอดูสาวหน้าเจื่อน พลางคิดในใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี
“เปล่าค่ะ” เมื่อเห็นท่าทางหงอๆของแม่หมอดู ซึ่งสุนิศาคิดว่าคนตรงหน้าน่าจะเป็นคนที่มีความมั่นใจมากกว่านี้ด้วยซ้ำ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
“มีอะไรจะพูด ก็พูดมาสิคะ” จีรภัทรสะดุ้งก่อนจะหัวเราะแฮะๆให้สุนิศา
“หิวมั้ยคะ”แต่ก่อนที่สุนิศาจะได้เอ่ยปากปฏิเสธ เสียงจ๊อกๆก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ทำเอาเธอถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ส่วนเจ้าของเสียงท้องร้องนั้นวิ่งหน้าแดงเข้าไปในครัวเสียแล้ว โถ! แม่หมอดูน้อย หิวซะจนท้องประท้วงเลย ฮิๆ
ภายในห้องครัว
“พีช” จีรภัทรเดินเข้าไปกอดพิรดาก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่าง ทำเอาคนที่คอยฟังถึงกลับขำออกมา ก็แหมอยู่ดีๆเดินมากอดกันก็นึกว่าจะอ้อนอะไร ที่แท้ซ่อนหน้าแดงๆเนี่ยเอง ‘ท้องจีร้องต่อหน้าพี่นิอ่ะ’ พิรดามองหน้าเพื่อนที่ดูจะอายมากจนแทบอยากจะร้องไห้ ก็จีรภัทรชื่นชมสุนิศาตั้งแต่เรียนมหาลัยแล้วนี่ วันไหนที่เลิกเรียนเร็วก็จะต้องลากเธอไปนั่งรอสุนิศาเลิกเรียนที่หน้าคณะบริหารธุรกิจบ่อยๆ
“เอ้า!” พิรดาตักข้าวผัดกุ้งที่พึ่งทำเสร็จใหม่ๆใส่จานสองใบก่อนจะยื่นให้จีรภัทร
“ห๊อม หอม” กลิ่นอาหารทำเอาคนที่หิวอยู่แล้วยิ่งหิวเข้าไปใหญ่ แต่ก็นึกได้ว่าสุนิศายังไม่ได้ทานอะไรเลยนอกจากน้ำชาและขนมเค้กเมื่อตอนเย็น
“พีช ข้าวผัดยังเหลือมั้ยอ่ะ” จีรภัทรชะเง้อมองดูกระทะที่ว่างเปล่า ก่อนจะมองจานข้าวผัดที่ถืออยู่ทั้งสองจาน
“จานหนึ่งของจี ส่วนอีกจานของคุณสุนิศา เดี๋ยวพีชทำใหม่ก็ได้” ได้ยินพิรดาบอก จีรภัทรก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แต่ก่อนที่จีรภัทรจะเดินออกจากห้องครัวไป ก็ถูกพิรดาร้องถามมาเสียก่อน
“คุณญารินยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
“อืม ทำไงดีอ่ะพีช ท่าทางพี่นิจะเป็นห่วงเพื่อนมากด้วย” จีรภัทรตอบหงอยๆกลับ พิรดาพยักหน้ารับรู้หลังจากปิดเตาแก็สเรียบร้อยเธอจึงเดินออกจากห้องครัวพร้อมจีรภัทร
“ทานข้าวก่อนนะคะ” จานข้าวผัดกุ้งที่วางอยู่ตรงหน้าส่งกลิ่นหอมเชิญชวนให้ทานเป็นอย่างยิ่ง แต่สุนิศาไม่อยู่ในอารมณ์อยากอาหารตอนนี้เธอเป็นห่วงญารินมาก มองดูเวลาจากนาฬิกาข้อมือนี่ก็จะสองทุ่มเข้าไปแล้ว สุนิศาได้แต่ถอนหายใจ
“ฉันคงทานไม่ลงหรอก เพื่อนฉันหายไปทั้งคน” สุนิศาเบือนหน้าหนีจากจานข้าว สายตาก็เอาแต่จ้องมองประตูเผื่อว่าญารินจะเดินเข้ามา
“ทานเถอะนะคะ เดี๋ยวฉันจะออกไปดูที่สวนสาธารณะ เพื่อนของคุณอาจจะนั่งเล่นอยู่แถวนั้นก็ได้”พิรดายิ้มให้ก่อนจะเดินขึ้นไปบนห้องเพื่อสวมเสื้อกันหนาว เธอไม่ค่อยถูกกับอากาศเย็นเท่าไหร่ หน้าหนาวทีไรเป็นหวัดทุกที คิดได้ก็หยิบเสื้อกันหน้าอีกตัวออกมาเผื่อคนตัวเล็กที่จะไปตามหา
“จี อย่าลืมแขวนป้ายปิดร้านไว้ตรงหน้าประตูล่ะ วันนี้ลูกค้าไม่เข้าร้านเลย” พิรดาบอกเพื่อนก่อนจะเดินออกจากร้าน
แสงไฟจากหลอดนีออนของเสาไฟฟ้าสว่างไสวไปตามถนนสายเล็ก พิรดากระชับอ้อมกอดที่กอดตัวเองแน่นขึ้น อากาศหนาวขนาดนี้ใครจะอยากออกมาจากบ้านกันเนี่ย แล้วคนตัวเล็กร่างบางอย่างคุณญารินจะไม่หนาวแย่หรือไง แค่คำทำนายทายทักของคนที่เพิ่งเห็นหน้ากันวันแรก ยังเป็นไปได้ขนาดนี้ ถ้าคนที่รู้จักกันมานานบอกว่า เธอจะไม่มีคู่ในชาตินี้
จะไม่ได้เห็นน้ำตาไหลออกมาจากตาคู่โตนั่นเลยหรือ คิดแล้วก็ขำดี
สวนสาธารณะของหมู่บ้านอยู่ไม่ใกล้จากร้านมากนักพิรดาจึงใช้เวลาเดินเพียงครู่เดียวก็มาถึง แต่เพราะสวนสาธารณะไม่ค่อยมีเสาไฟ จึงค่อนข้างมืดทีเดียว แล้วจะหาเจอมั้ยเนี่ย คุณญารินจะอยู่ที่นี่จริงๆเหรอ คำถามแรกแว๊บเข้ามาในสมอง ท่าทางจะเป็นผู้หญิงขี้กลัวไม่น่าจะมานั่งอยู่คนเดียวในสถานที่มืดๆอย่างนี้ เดินหาดูก่อนแล้วกัน พิรดาเดินหาญารินตามม้านั่งในสวนสาธารณะที่พอมีแสงสว่างบ้าง แต่ก็ไม่พบจึงตัดสินใจเดินหาให้ทั่ว
คราวนี้พิรดาเดินเข้าไปดูแม้กระทั่งหลังพุ่มไม้เผื่อว่าจะพบญาริน ตัวเล็กๆถ้าหลังอยู่พุ่มไม้สูงๆหน่อยก็ลอดพ้นสายตาใครๆได้เหมือนกัน แต่ก็เห็นเพียงครอบครัวของสุนัขจรจัดที่ลูกสุนัขเพิ่งเกิดยังไม่ทันได้ลืมตากำลังนอนดูดนมแม่สุนัขอย่างสบายใจ เฮ้อ! ฉันคิดผิดหรือคิดถูกเนี่ยที่มาตามหาผู้หญิงคนนั้นหลังพุ่มไม้ ตรงนี้มันถิ่นเจ้าสี่ขานี่นา พิรดาเอื้อมมือไปลูบแม่สุขนัขและลูกสุนัขอย่างเอ็นดู น่าเสียดายที่เธอไม่ได้เอาขนมปังมาด้วยแม่สุนัขผอมขนาดนี้จะมีน้ำนมให้ลูกสุนัขหรือ
“ไว้วันหลังจะเอาขนมอร่อยๆมาให้นะ” พิรดาพูดก่อนที่จะออกเดินตามหาญารินต่อไป
ณ บ้านไม้หรือตำหนักดูดวง
“อร่อยมั้ยคะ” จีรภัทรยิ้มให้หญิงสาวผมสั้นที่นั่งตักข้าวผัดกุ้งเข้าปากโดยไม่พูดอะไรเลยจนตอนนี้ข้าวผัดเหลือเพียงครึ่งจาน ร่างบางๆอย่างนี้แต่กินเก่งน่าดูแฮะ จีรภัทรคิดในใจ
“อือ” สุนิศาขานรับในลำคอ ตอนนี้เธอไม่สามารถพูดได้ทั้งๆที่มีข้าวผัดอยู่เต็มปาก
“เพิ่มมั้ยคะ” จีรภัทรเลื่อนจานข้าวของตัวเองไปให้สุนิศา เธอยังไม่ได้ตักเข้าปากแม้แต่ช้อนเดียว แต่เธอกินเค้กลองท้องไปแล้วสองชิ้น ก็กลัวคนตรงหน้าจะไม่อิ่มนี่
“เธอไม่หิวแล้วเหรอ” สุนิศาเลิกคิ้วถามหลังจากที่พยายามกลืนข้าวคำโต
“กินเค้กอิ่มแล้วค่ะ” จีรภัทรยิ้มให้อีกครั้ง ในขณะที่เอามือขวาก็แอบเอานิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กันไว้
“งั้นฉันไม่เกรงใจนะ” สุนิศาเลื่อนจานข้าวผัดของจีรภัทรมาตรงหน้าเพราะข้าวผัดในจานของเธอนั่นหมดแล้ว
“เอ่อ..คุณสุนิศาเชื่อเรื่องดวงมั้ยคะ”
“เชื่อสิ ไม่งั้นฉันจะมาดูดวงเหรอ”
“นั่นสินะคะ” จีรภัทรไม่ได้ถามอะไรต่อ สุนิศาจึงนั่งกินข้าวผัดกุ้งแสนอร่อยต่อไปโดยไม่สนใจคนที่นั่งมองหน้าเธออยู่ตลอดเวลาที่เธอเผลอเลยสักนิด ถ้าเพียงเธอหันมาโดยที่จีรภัทรไม่ทันตั้งตัวล่ะก็ คงจะได้เห็นหน้าแดงๆของคนผิวขาวตรงหน้าอีกครั้งแน่ๆ
ลานน้ำพุในสวนสาธารณะ
ซ่าๆๆ เสียงน้ำพุกลางสวนดังไปทั่วสวนสาธารณะอันเงียบสงบ ญารินนั่งถอนหายใจอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ดวงตากลมโตเหม่อมองฟ้าท้องสีกรมท่าที่มีดวงดาวนับล้านประดับประดาเต็มไปหมด แต่เธอไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมความสวยงามของมันในยามนี้หรอก ร่างบางสั่นน้อยๆยามเมื่อสายลมพัดมาปะทะผิวกาย ทำได้เพียงกอดตัวเองด้วยสองมือเท่านั้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อนไปไหน
“เธอมันบ้า ญาริน” เสียงพึมพำหลุดออกมาจากปากแข่งกับเสียงน้ำพุ
“ไม่รู้จักคิด” เธอรู้ดีว่าตัวเองวู่วามแค่ไหนที่วิ่งออกมาโดยไม่เอาอะไรติดตัวมาด้วยเลย โทรศัพท์ก็อยู่ในกระเป๋า เธอไม่สามารถเดินกลับไปยังสำนักดูดวงได้เพราะเซ้นส์เรื่องทิศทางของเธอน่ะ อยู่ในขั้นห่วยเลยน่ะสิ!!!
“เฮ้! นั่นใครน่ะ มาทำอะไรตอนมืดขนาดนี้”แสงไฟสีเหลืองจากกระบอกไฟฉายในมือของใครบางคนส่องมายังร่างเล็กของญาริน คนโดนทักใจชื้นขึ้นมา เธออาจขอร้องเขาให้ช่วยพาไปส่งที่สำนักดูดวงนั่นได้
“ว้าว พี่สาวมาทำอะไรแถวนี้คนเดียวครับ” ชายหนุ่มวัยรุ่นในชุดนักศึกษารุ่มร่ามส่งยิ้มมาให้ ญารินเริ่มรู้สึกไม่ดีเมื่อร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้ เธอพยายามยกมุมปากให้อีกฝ่ายเห็นว่าเธอกำลังยิ้ม โดยที่ไม่แน่ใจเช่นกันว่าที่ทำอยู่นั้นเรียกว่ายิ้มหรือเปล่า สองเท้าของญารินก้าวถอยเมื่อชายหนุ่มก้าวเข้าหา จนเจ้าตัวสังเกตได้
“โอเค ผมจะหยุดเดินแล้ว พี่ไม่ต้องกลัวจนถอยไปไกลขนาดนั้นหรอกครับ เพราะถ้าพี่ถอยอีกสองก้าว พี่จะหงายหลังลงไปในน้ำพุ และอาจเป็นหวัดได้นะครับ” เขาชี้นิ้วไปยังบ่อน้ำพุด้านหลังของญาริน เพื่อให้เธอสังเกตเห็น
“เฮ้ กาย เจอหรือยัง” เสียงเรียกจากบุคคลที่สามทำให้ญารินได้โอกาสออกวิ่ง ถึงแม้รองเท้าส้นสูงสี่นิ้วของเธอจะไม่เป็นใจนัก แต่ด้วยความหวาดกลัวทำให้เธอถอดมันออกแล้วหยิบติดมือพร้อมวิ่งสุดฝีเท้า โดยไม่สนใจเสียงร้องเรียกให้หยุดของชายหนุ่มด้านหลัง
ร่างบางหอบจนตัวโยน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มใบหน้า แก้มมีเลือดสูบฉีดจนแดงทั้งสองข้างตัดกับดวงหน้าขาวใส ญารินหันมองด้านหลัง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตามมา เธอก็ทรุดตัวลงนั่งด้วยความเหนื่อยล้า มือบางยกขึ้นปาดเหงื่อที่กำลังไหลจะเข้าตา ฝ่าเท้าระบมเพราะวิ่งโดยไม่ได้สวมรองเท้า ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าส้นสูงมันไม่คล่องตัวขนาดไหน ทั้งที่รองเท้าคู้นี้มันเป็นคู่โปรดของเธอแท้ๆ แต่กลับอยากจะเขวี้ยงทิ้งเอาเสียดื้อๆ ดวงตาคมมองคาดโทษเจ้ารองเท้าสีส้ม
แซ่กๆ ญารินสะดุ้งเมื่อพุ่มไม้ใกล้ๆเกิดไหวขึ้นมา ดวงตากลมมาดูอย่างหวาดระแวง ในมือกำส้นสูงเอาไว้ป้องกันตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรในตอนนี้เธอประเมินว่ามันคืออันตรายเอาไว้ก่อน ญารินยกส้นสูดขึ้นสุดแขนเตรียมฟาดเต็มแรง เมื่อมองเห็นสีดำๆโผล่ออกมา เธอก็ทุบมันด้วยปลายส้นสูงคู่เก่งอย่างรวดเร็ว
“โอ๊ย” เสียงผู้หญิงร้องด้วยความเจ็บปวด ญารินถึงกับหน้าซีด มองรองเท้าในมือก่อนจะโยนมันทิ้งไปไกลตัว ผู้โชคร้ายออกจากพุ่มไม้มานั่งกุมศีรษะอยู่ไม่ห่างจากเธอ
“คุณคะ เป็นอะไรมากหรือเปล่า ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่นึกว่าจะมีคนโผล่ออกมาจากพุ่มไม้นั่น” มือบางแกะมือที่กุมศีรษะของอีกคนออก
“คุณ!” เมื่อผู้เคราะห์ร้ายเงยหน้าขึ้นมา ญารินก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร ยายทอมคู่รักของแม่หมอดูจีจี้นี่นา
“เจอตัวสักที คุณเป็นเด็กหลงทางหรือยังไงกันคะ” พิรดาจับมืออีกคนเอาไว้แน่น ฤทธิ์มากอย่างนี้ ขืนหนีไปอีก เธอคงต้องได้โดนอะไรมากกว่ารองเท้าส้นแหลมนั่นแน่ๆ ดวงตาคมเหลือบมองอาวุธที่คนตัวเล็กใช้ทำร้ายตัวเอง ส้นรองเท้าหักออกมา ตัวเล็กแต่แรงเยอะใช่เล่นเลยนะเนี่ย
“อะไร ฉันแค่มาเดินชมวิวเท่านั้น นี่ก็กำลังจะกลับแล้ว” คนโดนทักโวยวายไม่ยอมรับว่าตัวเองหลงทางจริงๆ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์เธอก็ไม่ยอมเสียฟอร์มให้คนไม่รู้จักรู้หรอกน่า
“เอาเถอะค่ะ กลับกันดีกว่า เพื่อนคุณเป็นห่วงจะแย่แล้ว” ร่างสูงของพิรดาลุกขึ้น แต่เพราะศีรษะถูกฟาดอย่างแรงทำให้ยืนซวนเซอยู่สักพักกว่าจะตั้งหลักได้ พิรดายื่นเสื้อกันหนาวของตนที่เอามาเผื่อให้ญาริน อีกคนรับไปสวมทับอย่างรวดเร็วเพราะอากาศเย็นเหลือเกิน
“ฉันเดินไม่ไหว เท้าฉันระบมไปหมดแล้ว” ญารินชี้ให้คนตัวสูงดูเท้าของเธอที่แดงช้ำ แถมรองเท้าก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะใส่เดินได้แล้ว
พิรดาถอนหายใจก่อนจะหันหลังให้ญารินแล้วย่อตัวลงเพื่อให้คนตัวเล็กสามารถขี่หลังของเธอได้ง่ายขึ้น
“ไม่มีทาง” ญารินรีบฏิเสธ เรื่องอะไรที่เธอจะต้องขี่หลังยายทอมนี่ด้วยล่ะ จะหลอกแต๊ะอั๋งเธอหรือเปล่าก็ไม่รู้
“คุณมีแค่สองทางเลือกค่ะ หนึ่งเดินกลับเอง สองขี่หลังฉัน” ดวงหน้าใสดูลำบากใจก่อนจะตัดสินใจขึ้นขี่หลังอีกคนให้แบกเธอกลับไปหาสุนิศาอย่างเสียไม่ได้
“คุณเชื่อเรื่องดวงเหรอ” พิรดาเอ่ยทำลายความเงียบขึ้น เพราะเธอแบกคนตัวเล็กมาได้สักพักโดยที่อีกคนไม่ยอมพูดอะไรเลย
“เปล่า” เงียบอยู่นานกว่าญารินจะตอบคำถาม
“งั้นคุณกลัวอะไรล่ะคะ” พิรดาถามต่อ
“ให้คบกับผู้หญิงใครจะยอมรับได้กันล่ะ” ทุกคนก็มักจะคิดแบบนั้น แต่ถ้าวันหนึ่งความรักแบบนี้มันเกิดขึ้นมากับตัวคนเหล่านั้นเอง คำตอบแบบนี้จะเปลี่ยนไปไหมนะ
“อืม มันก็คงเป็นเรื่องแปลกสำหรับคุณล่ะมั้ง” พิรดาทอดสายตามองไปยังถนนโล่งตรงหน้า พร้อมกับก้าวเดินไปเรื่อยๆ
“สำหรับคนส่วนใหญ่ในสังคมต่างหากล่ะ”
“การที่คนเรารักกันมันผิดมากเหรอคะ แค่คนคู่นั้นอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงกับผู้ชาย”
“ผิดสิ มันผิดธรรมชาตินี่” ธรรมชาติสร้างให้ผู้หญิงเกิดมาคู่กับผู้ชายไม่ใช่หรือไง ญารินคิดในใจ
“แล้วคุณก็คิดแบบนั้นเหรอคะ”
“แน่นอนสิ ฉันไม่ได้วิปริตผิดเพศนะ” ญารินตอบไปตามที่คิด โดยไม่รู้เลยว่าคำตอบของเธอไม่สะกิดแผลของใครอีกคนเข้าอย่างจัง
“คุณลงตรงนี้แหละ แล้วก็เดินไปเองแล้วกันนะคะ” พิรดาปล่อยญารินลงกับพื้นโดยไม่รีรอ
“อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงแล้วนะ ทำไมฉันถึงต้องเดินต่อเองด้วยล่ะ” ยายทอมนี่เกิดนึกบ้าอะไรขึ้นมา ยารินคิดอย่างโมโห
“เรื่อคำทำนายทายทักน่ะ อย่าเอาไปคิดมากนักดีกว่านะคะ อนาคตไม่มีคำว่าแน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่เพื่อนฉันบอกคุณน่ะ มันก็เป็นเรื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คุณไม่ใช่พวกวิปริตผิดเพศนี่คะ คงไม่มีทางคบกับผู้หญิงได้หรอก” พิรดายักไหล่ให้ ก่อนจะทิ้งอีกคนให้ยืนอึ้งแล้วเดินเข้าบ้านไป
“กรี๊ดดดดดด ยายทอมบ้า ทำไมฉันต้องให้คนอย่างเธอมาสั่งสอนด้วย” เสียงว่าไล่หลังไม่ได้ทำให้พิรดาใส่ใจมากนัก คำพูดที่ก้องอยู่ในหัว ‘วิปริตผิดเพศ’ ยังคงดังกังวานเหมือนวันนั้นไม่มีผิด คำพูดด่าทอพร้อมกับสีหน้าสมเพชเวทนายังคงคิดอยู่ในความทรงจำ ความรู้สึกจุกอกจนแทบอยากจะร้องไห้กลับมาเล่นงานเธออีกครั้ง พวกเขาไม่มีวันเข้าใจหรอก ไม่มีวัน! เหมือนคำตอบของผู้หญิงคนนั้นน่ะแหละ
My Diary
ฉันได้หยิบมันออกมาเป็นครั้งที่สองแล้วสินะ อาจเป็นเพราะมันจะรับฟังคำบ่นของฉันโดยที่ไม่เอาไปบอกใครๆ ฉันจึงเลือกหยิบมันออกมาเขียนอีกครั้ง
To The Moon
สิ่งที่ยังคงอยู่ในใจ(2)
เด็กหลง
วันนี้ฉันโดนทำร้ายด้วยรองเท้าส้นแหลมของผู้หญิงคนหนึ่ง เธอวิ่งหนีออกไปจากร้านเพราะรับไม่ได้กับคำทำนายของหมอดู ที่บอกว่าเธอจะมีเนื้อคู่เป็นผู้หญิง ฉันตามหาเธอจนเจอที่สวนสาธารณะ คิดว่าเธอคงเดินหลงอยู่ที่นั่นแหละ คนออกแบบสวนสาธารณะตรงนั้นชอบเล่นสนุก คนต่างถิ่นเดินไปเดินมามักจะจำทิศทางผิดอยู่เรื่อยเพราะสับสนกับการตกแต่งที่เหมือนกันหมดทุกด้าน ฉันลองถามเธอดูว่าเพราะอะไรเธอถึงรับไม่ได้ คำตอบของเธอก็เหมือนกันคำตอบที่ฉันได้ฟังจนชินชา พวกคนที่พูดประโยคแบบนี้ เขาจะรู้หรือเปล่าว่า คนที่เขาเรียกว่าวิปริตผิดเพศน่ะ ก็มีหัวใจเหมือนกัน เจ็บและร้องไห้เป็น และมันไม่ง่ายเลยที่จะพบเจอคนที่พร้อมที่จะมอบความรักให้แก่กันและกล้าเดินไปด้วยกันอย่างไม่อายใคร
‘ทอม’ เด็กหลงเรียกฉันแบบนั้น เหมือนกันคนทั่วไปที่มองฉันแต่เพียงภายนอกแล้วตีตราเอาเองในความคิดของเขาว่าฉันเป็นทอม ทำไมเขาถึงไม่ลองมองหรือทำความรู้จักฉันสักนิดนะ ฉันไม่ได้อยากแข็งแกร่งหรือสูงลิ่วหรือทำตัวแมนๆฉันก็แค่ไม่สนใจที่จะแต่งตัวให้หวานก็เท่านั้น มันไม่เหมาะกันฉันนักหรอก แต่ฉันก็มีมุมที่เป็นผู้หญิงอยู่บ้างนะ ฉันชอบของหวาน ชอบของน่ารักแล้วก็ชอบทำอาหาร เรื่องงานบ้านงานเรือนฉันก็ทำได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่เพียงเพราะภายนอกไม่ใช่ผู้หญิงแต่งตัวสวย แสนหวาน น่ารักเท่านั้นเอง
วันนี้ความรู้สึกแย่ๆก็กลับมาเล่นงานฉันเหมือนอย่างเคย มันทำให้ฉันนึกถึงเจ้าของสมุดเล่มนี้ หรือบางทีฉันควรเอามันไปทิ้งมากกว่าที่จะเก็บเอาไว้อย่างนี้ เธอบอกกับฉันเสมอว่าช่วยเขียนส่งข่าวคราวไปให้เธอบ้าง จดหมายของเธอขาดหายไปสองปีแล้ว เพราะฉันไม่เคยตอบกลับไปสักฉบับเดียว ได้แต่เพียงเก็บมันเอาไว้ในกล่อง กล่องที่มีแค่ความทรงจำที่ดีๆของเรา เราไม่ได้จากกันเพราะเกลียดกันสักหน่อยนี่นา แต่ฉันก็ไม่มีความกล้าพอที่จะเปิดอ่านมันสักฉบับเดียว ได้แต่เก็บมันเอาไว้ในกล่องเท่านั้น
วันนี้พระจันทร์ดวงโตจะเห็นใจฉันบ้างหรือเปล่านะ
From Peach
ความคิดเห็น