คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : CHAPTER V
จุนมยอนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานในออฟฟิศของเขา หากแต่เอกสารที่กองตรงหน้าไม่ได้ทำให้ความสนใจของเขาละไปจากเรื่องวุ่นวายที่ตีรวนกันอยู่ในสมองได้
มือขาวนั้นเคาะปากการาคาแพงของเขาลงกับโต๊ะอย่างรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ จุนมยอนไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกนี้มาจากอะไรกันแน่ สรุปแล้วเขาควรรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
จุนมยอนไม่แน่ใจนักว่าเขาควรไปที่บ้านหลังนั้นหรือไม่ ใจหนึ่งเขาเองก็อยากจะรู้ถึงอดีตของเขา หากแต่อีกใจหนึ่งก็รังแต่จะบอกว่าอดีตคือสิ่งที่หลับใหล และเราไม่ควรไปปลุกมันให้ตื่นขึ้นมาสร้างความวุ่นวาย
จุนมยอนเติบโตในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หากแต่โชคดีเหลือเกินที่ ชเว ซีวอน ได้เข้าไปทำกิจกรรมของบริษัทของเขาที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในวันนั้น ซีวอนรู้สึกถูกชะตากับเด็กชายที่ชื่อจุนมยอนเหลือเกิน และเริ่มเล็งว่าเขาควรมีทายาทไว้สืบสกุลสักคน ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถมีลูกกับภรรยาได้
ตั้งแต่วันนั้นมา ชีวิตของจุนมยอนก็เหมือนกับได้เกิดใหม่ จากเด็กกำพร้าไร้ที่พึ่ง กลับกลายเป็นความหวังใหม่ของตระกูลชเว... เขาทำได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับผลการเรียนและผลงานทางธุรกิจที่ชเว ซีวอนได้สอนและสืบทอด คิมคอร์ปจึงได้เป็นกิจการที่เติบโตมายาวนาน และส่งผลให้คิม จุนมยอนเป็น 1 ใน 50 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลของเกาหลีจนได้
จุนมยอนทำได้ดีกว่าที่ซีวอนคาดหวังไว้...มากเหลือเกิน
และในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ จุนมยอนจึงไม่แน่ใจว่าเขาจะกลับไปฟื้นฝอยหาตะเข็บไปเพื่ออะไร หากในอดีตของเขามีข้อพลาดมากกว่าข้อเสียล่ะ? หากเป็นเช่นนั้นจุนมยอนคงไม่ยินดีที่จะมองตัวเองในแง่ร้ายเช่นนั้นแน่
“เป็นอะไรไปคะท่าน ทำไมดูเครียดจังเลย”
สิ้นเสียงของเลขาสาว จุนมยอนจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่เพิ่งเดินเข้ามา ก่อนจะมองนาฬิกาที่บอกว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว
“ผมคิดอะไรอยู่นิดหน่อย ทำไมคุณยังไม่กลับบ้านอีกยูริ นี่ก็ดึกมากแล้ว” จุนมยอนเอ่ยถาม
“ท่านเองก็ยังไม่กลับนี่คะ” ยูริยักไหล่พลางเดินเข้ามาปิดแฟ้มเอกสารให้กับผู้เป็นเจ้านายเสียหมด
“ผมแค่มีงานต้องทำ” จุนมยอนพูด
“แต่ท่านไม่ได้เซ็นเอกสารฉบับไหนเพิ่มเลยนี่คะ ตั้งแต่ออกไปธุระข้างนอกเมื่อตอนเย็น” ยูริแย้งกลับด้วยรอยยิ้ม เพราะหล่อนฉลาดแบบนี้แหละ เขาถึงได้จ้างหล่อนมาเป็นเลขา
“ก็ใช่...เรื่องพวกนี้มันกวนใจผม” จุนมยอนกลอกตาก่อนจะเอนหลังกับโซฟาแล้วถอนใจเสียเฮือกใหญ่ “ต้องการคำปรึกษาไหมคะท่าน?” ยูริยิ้มถามในขณะที่เก็บแฟ้มเอกสารเหล่านั้นเข้าไปในตู้แล้วปิดมันจนเรียบร้อย
“ก็...ถ้าคุณเป็นผม คุณจะตามหาอดีตของตัวเองไหม ควรรู้ไหมว่าตัวเองเป็นลูกใคร เกิดที่ไหน เป็นใครมาก่อน?” จุนมยอนรุกถามทันที ยูริหัวเราะ...เขาก็เป็นแบบนี้ทุกทีเวลาที่มีเรื่องคิดมาก
“ถามว่าท่านอยากรู้ไหมดีกว่าค่ะ เพราะถ้าท่านต้องการจะรู้ ไม่ว่าฉันจะแนะนำยังไง ก็คงห้ามไม่ได้” ยูริยักไหล่อีกครั้ง ท่าทางนั้นไม่เคยทำให้จุนมยอนรำคาญใจ ตราบใดที่หล่อนยังคงเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้เขาได้เสมอมา
“ไอ้อยากมันก็อยากอยู่หรอก แต่ยูริ.. หากว่าพ่อแม่ของฉันเป็นโจรล่ะ หากว่าฉันเป็นเด็กที่มีพ่อแม่เป็นอาชญากร หรืออะไรที่แย่กว่านั้น...แล้วฉันจะทำยังไง?” จุนมยอนกัดริมฝีปาก หากแต่นั่นทำให้ยูริยิ่งหัวเราะออกมาในความคิดเด็กๆนั้น “โธ่ ท่านคะ...อดีตก็คืออดีต และท่านเองก็ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย อย่าลืมสิคะว่าท่านไปโผล่ที่หน้าศูนย์ฯเด็กกำพร้านั้น ตอนอายุได้เพียงแปดเดือนเท่านั้นเอง เด็กที่เพิ่งเกิดมาน่ะ ไม่มีความผิดหรอกค่ะท่าน เด็กน้อยก็เปรียบเป็นสีขาว หากเขาจะเปื้อน ก็คงเป็นเพราะเขาทำตัวเองให้เปื้อนฝุ่นเอง” ยูริให้คำแนะนำด้วยรอยยิ้ม มันเป็นอีกครั้งที่คำแนะนำนั้นทำให้เขาได้สบายใจ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมดในครั้งนี้
“ภาพลักษณ์ของฉันจะตกต่ำลงไปไหม หากทุกอย่างมันออกมาแย่” จุนมยอนยังถามต่อไป
“งั้นก็ดีเสียอีกนี่คะ ท่านจะได้ตกลงอันดับลงไปเสียบ้าง ติดอันดับโผนั้นมาก็นานหลายปีแล้ว” ยูริหัวเราะขำ
หากแต่เธอก็พูดต่อไป “ขอฉันเล่าอะไรให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้สิ ตามสบายเลย ผมอยู่ฟังได้ทั้งคืนแหละ” จุนมยอนพยักหน้าตอบรับเธอเสียเป็นการใหญ่ ยูริยิ้มขึ้นมาเมื่อเป็นอีกครั้งที่คนเป็นนายได้แสดงท่าทางสบายอกสบายใจเมื่ออยู่กับเธอ แม้ต่อหน้าพนักงานคนอื่นจุนมยอนจะเป็นผู้บริหารที่ฉลาด หากแต่ยูริสัมผัสได้ว่าความเป็นเด็กเล็กๆภายใต้ภาระหนักหน่วงของเขานั้นช่างน่ารักน่าชัง
“พ่อแม่ฉันเป็นเกษตรกร บ้านของเราเคยเป็นหนี้ก้อนโตจากการที่พ่อไปเล่นการพนันเอาไว้ เราพากันหนีเจ้าหนี้กันอยู่หลายปี จนกระทั่งฉันตัดสินใจหนีออกจากบ้านในวันหนึ่ง” ยูริเล่าถึงอดีตของตัวเองให้จุนมยอนได้ฟัง นับเป็นครั้งแรกที่จุนมยอนได้รู้ ว่าชีวิตของเธอเป็นแบบไหน และเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้สวยงามเหมือนหน้าตาของเธอเลย
“แล้วยังไงต่อ หนีออกมาแล้วคุณไปอยู่ที่ไหนล่ะ” จุนมยอนเร่งเร้า
“ฉันตัดสินใจไปสมัครทำงานร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วขออาศัยในร้านของเขาตอนกลางคืน มันแย่มากค่ะท่าน ในร้านนั้นหนูวิ่งกันให้วุ่นเลยในตอนกลางคืน แต่มันดีเหลือเกินที่ฉันไม่เคยต้องเสียเงินค่าที่พักหรือค่าอาหาร ฉันเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำในช่วงสามหรือสี่เดือนแรก และไม่ได้ติดต่อที่บ้านเลย ถึงแม้จะรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนก็ตามเถอะ”
ยูริดูหม่นหมองลงไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้ รอยยิ้มนั้นเจื่อนลงเล็กน้อย จนทำให้จุนมยอนคิดไปเองว่าเธอคงจะรู้สึกผิดกับครอบครัวของเธอมาก
“ฉันเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ภายในระยะเวลาหกเดือน ตั้งใจว่าจะส่งให้พ่อแม่ไปใช้หนี้ซะ แต่...ลูกสาวเจ้าของร้านเธอสอบติดโรงเรียนเลขานุการ และทำให้ฉันรู้สึกอิจฉาเธอมากเหลือเกินค่ะท่าน เงินก้อนนั้นที่ตั้งใจเอาไปไถ่หนี้ให้พ่อแม่ ฉันก็กลับทรยศความตั้งใจนั้น แล้วเอาไปลงเรียนเลขานุการเช่นกันกับเธอ” ยูริพูดก่อนจะถอนหายใจ “เป็นสองครั้งแล้วที่ฉันเลือกตัวเองมากกว่าครอบครัว ฉันหวาดกลัวค่ะท่าน ฉันเลยทอดทิ้งพ่อแม่ ฉันไม่ได้สนใจเลยว่าน้องชายอีกสองคนของฉันจะอยู่อย่างไร ฉันเลือกที่จะหนีออกมา ก้าวไปข้างหน้าแทนที่จะไปจมปลักกับความผิดที่ฉันไม่ได้เป็นคนก่อ”
“ท่านคงจะเห็นแล้วว่า ฉันเป็นลูกอกตัญญู ทอดทิ้งครอบครัวแล้วหนีเอาตัวรอด พวกญาติพี่น้องก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ฉันใช้เวลาห้าปีเพื่อฟังผู้คนนินทาว่าฉันเป็นลูกที่แย่ และเห็นแก่ตัว แต่ท่านรู้ไหมคะ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดเมื่อฉันเรียนจบ และมาเข้าทำงานที่นี่” ยูริเริ่มมีรอยยิ้มอีกครั้งเมื่อเธอเล่ามาถึงตอนนี้ จุนมยอนเองก็เช่นกัน เขามองเห็นโอกาสในเรื่องเล่านี้ จากความเศร้าของเธอในต้นเรื่อง มันจบลงเมื่อเธอยิ้มแย้ม
"ฉันได้เครดิตหลังจากทำงานที่นี่ได้เพียงสามเดือน ฉันขอสินเชื่อจากธนาคารเพื่อไปปลดหนี้ให้กับที่บ้าน คุณซีวอน คุณพ่อของท่านเองก็ช่วยเหลือฉันมากมายเหลือเกินค่ะ หลังจากนั้น...ทุกอย่างที่เคยแย่ก็ดีขึ้นมาก ฉันกลายเป็นลูกที่ดีที่สุดที่พ่อแม่คนไหนอยากได้ นั่นเพียงแค่ดิฉันวางแผน และลงมือทำ ฉันมีอดีตที่แย่...แต่มันขาวสะอาดเพราะฉันมีโอกาสแก้ไข
เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านไม่มีอะไรต้องกังวลกับอดีตหรอกค่ะ คนเราจะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับความสำเร็จ และก็คงเห็นได้ชัด ว่าท่านเลยผ่านจุดนั้นมามากแล้ว” ยูริยิ้มให้จุนมยอนอย่างอ่อนโยน...จุนมยอนเงียบไปอึดใจหนึ่ง หากแต่ในความเงียบนั้น เขากลับมีรอยยิ้ม
“ผมเป็นคนที่ประสบความสำเร็จใช่มั้ย?” จุนมยอนถามขึ้นเบาๆในขณะที่ในหัวกำลังเรียบเรียงสิ่งที่ยูริต้องการสื่อ
“จากโพลล์ของโคเรียเนชั่นเจ็ดปีซ้อน ก็น่าจะถือว่าสำเร็จแล้วนะคะท่าน ถ้าไม่คิดมากว่าต้องอยู่ในอันดับสิบปีขึ้นไป” ยูริแซวติดตลก ทำเอาจุนมยอนหัวเราะขึ้นมาเมื่อเธอยกยอเขาแบบนั้น จุนมยอนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะกล่าวกับยูริในที่สุด
“ผมอนุญาตให้คุณลาหยุดหนึ่งอาทิตย์ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ กลับไปอยู่กับครอบครัว ดูแลท่านให้ดีๆนะครับคุณยูริ งานต่างๆก็ฝากคุณจีซุกเอาไว้แทนก็ได้ ไม่ต้องห่วงผมนะ” จุนมยอนยิ้มให้เธอ
“เกรงว่าไม่มีอะไรจะต้องห่วงแล้วมั้งคะ ท่านผู้ทรงอิทธิพลอันดับเก้าของเกาหลีใต้”
แหม...พอเธอพูดประโยคนั้นจบ จุนมยอนล่ะอยากจะแจกโบนัสให้เธอล่วงหน้าให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยจริงๆ...
“เอาล่ะ ตอนนี้ที่เราพอจะเชื่อมโยงได้ก็คือ พวกเราทั้งหมดเติบโตในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า จากต่างที่ คนละจังหวัด และ...เราทุกคนแท็กชื่อสีเหลืองคล้องไว้ที่ข้อมือเท่านั้น”
มินซอกทำการสรุปข้อความจากการที่ทุกคนใช้เวลาพูดคุยกันในห้องนั่งเล่นที่กำลังจุดเตาผิงอย่างอบอุ่น จงแดและจงอินอยู่ในชุดลำลองสบายๆ ต่างจากมินซอกที่ใส่ชุดนอนแล้ว จุนมยอนยังคงอยู่ในชุดสูท เขายังไม่ได้ย้ายเข้ามาที่นี่ ซึ่งมินซอกเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเขาจะย้ายเข้ามาหรือไม่
“ที่นอกเหนือจากนั้นแล้วเรายังนามสกุลคิม เหมือนกันหมดด้วยนะครับ” จงอินพูดเสริมขึ้นมาเมื่อเขาเขียนอะไรยุกยิกลงในสมุดบันทึกเล่มเล็กๆในมือเล่มนั้น
“คุณว่าเป็นไปได้ไหมที่ว่าเราทั้งหมดจะเป็นพี่น้องกัน” จงแดถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก ซึ่งนั่นก็ทำเอาจุนมยอนส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “ค่อนข้างยากถ้าจะสรุปอย่างนั้น เราดูไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลยนะถ้าประเมินด้วยสายตา” จุนมยอนชี้แจงอย่างสุภาพ
“ที่เหมือนกันก็น่าจะเป็นที่ส่วนสูงล่ะมั้งครับคุณ” จงแดเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำหน้าทะเล้น “เฮ้ ผมเองก็ไม่ได้เตี้ยนะ” จงอินรีบแว้งทันทีเมื่อจงแดเอ่ยแซวถึงเรื่องส่วนสูง
“แค่ส่วนสูงมันก็บอกยากนะ อืม...งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะขอให้คุณหมอประจำตระกูลของผมทำการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ เราจะได้รู้ไง ว่าแท้จริงแล้วเราเป็นพี่น้องกันรึเปล่า ผมอาจจะต้องขอผมของพวกคุณ หรือไม่ก็ปลายเล็บ” จุนมยอนยื่นข้อเสนอ ซึ่งทุกคนก็ดูจะเห็นด้วย
“ถ้าผลสรุปออกมาแล้วพวกคุณจะทำไง พวกคุณเป็นแฟนกันไม่ใช่เหรอ?” จงอินชี้มือไปทางจงแดและมินซอกซึ่งตอนนี้ก็นั่งอยู่ข้างๆกันบนโซฟายาวที่สามารถแยกนั่งสองฝั่งได้ แต่กลับเลือกที่จะไปเบียดกันอยู่ที่ฝั่งเดียว
“ตอนนี้ยังไม่ใช่ แต่เมื่อก่อนอาจจะใช่ ซึ่งต่อไปก็ไม่แน่นะ” จงแดเอ่ยขึ้นอย่างทะเล้น ทำเอามินซอกต้องยกมือขึ้นฟาดที่หัวไหล่ของคนพูดเองเออเองเบาๆ “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะจงแด!” มินซอกพูดขู่ด้วยใบหน้าแดงจัด
“ซึ่งถ้าผลออกมาว่าเป็นพี่น้องกันจริง ก็คงจะแย่หน่อยล่ะนะจงแด” จุนมยอนพูดในขณะที่พิมพ์ข้อความลงไปใน IPad ของเขาเพื่อเตือนความจำเกี่ยวกับเรื่องตรวจดีเอ็นเอที่พูดกันไปเมื่อครู่
“ผมยังคิดว่าเราไม่ใช่พี่น้องอยู่ดี เพราะในรูปภาพ เราดูเหมือนจะเป็นเพื่อนกันมากกว่า เหมือนกับเป็นเพื่อนร่วมงานอะไรอย่างนั้นน่ะ แต่ยังไงการตรวจพิสูจน์น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนะ” จงอินถอนหายใจในขณะที่พูด
“ตอนนี้ผมเริ่มสงสัยแล้วว่า รูปพวกนั้น เราดูแก่กว่าตอนนี้นะ” จงแดชี้มือไปยังรูปที่พวกเขานำมาวางไว้บนโต๊ะ “เป็นไปได้ไหมที่จะเกี่ยวข้องกับชาติก่อน?” มินซอกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ราวกับไม่เชื่อตัวเองว่าเขาจะพูดอย่างนั้นออกมา
“มันฟังดูบ้านะ แต่บอกตามตรงว่าผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน” จงอินพูดพลางยักไหล่
“ผมเองก็ด้วย” จงแดเสริมอีกเสียง
“มันดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น ผมเองก็ยอมรับว่ามันเป็นเหตุผลบ้าบอข้อเดียวที่ผมคิดออก ผมว่าเราควรจะเริ่มค้นในห้องนอนของพวกเรานะ แล้วตรวจสอบดูว่ามีอะไรพอจะให้ข้อมูลได้บ้าง” จุนมยอนยกมือขึ้นลูบหน้าด้วยความเคร่งเครียด
ในบรรดาทั้งสี่คน จุนมยอนดูเป็นคนที่เคร่งขรึมและเอาการเอางานที่สุดในกลุ่มนี้ มินซอกไม่ค่อยพูดมากนัก นอกจากจะเป็นคนสรุปข้อมูลทั้งหมดที่พวกเขาพูดกัน เขาดูเรียบร้อยและอ่อนโยนและดูเหมือนพวกนักสังคมสงเคราะห์
จงอินและจงแดมีความคล้ายคลึงกันที่ว่า พวกเขาขี้เล่นและมีอารมณ์ขันแม้จะในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาดูเหมือนจะไม่มีเรื่องให้กังวลใจอะไรมากนัก แต่กลับเป็นผู้เสนอแนะและแสดงความคิดเห็นที่ยอดเยี่ยม
จุนมยอนยกนาฬิกาขึ้นมองแล้วก็ต้องพบว่าเป็นเวลาดึกมากแล้วที่เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่ เขาจึงขอลากลับในที่สุด
“ผมคงต้องไปแล้ว นี่ก็เกือบห้าทุ่ม พรุ่งนี้ผมมีเดินทางไปสิงคโปร์ คงอยู่นั่นซักสองวันนะ” จุนมยอนแจ้งกับทุกคนถึงตารางงานของเขา “เดินทางปลอดภัยนะครับคุณจุนมยอน” มินซอกกล่าวอวยพรด้วยรอยยิ้ม
“แล้วนี่คุณจะย้ายเข้ามาที่นี่เมื่อไหร่ครับ?” จงอินเอ่ยถาม ซึ่งจุนมยอนเองก็ตอบไปในทันที “ก็น่าจะหลังจากกลับจากทำงานที่สิงคโปร์ครับ ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง รบกวนพวกคุณช่วยหาข้อมูลกันไปก่อนนะ แล้วผมจะกลับมาช่วย”
“ได้สิครับ ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราจะช่วยกันหา คุณทำงานเถอะครับ ไม่ต้องคิดอะไรมาก” มินซอกพยักหน้าก่อนจะส่งยิ้มบางเบาให้จุนมยอนได้คลายกังวลใจ จุนมยอนยกยิ้มตอบกลับมินซอกไปด้วยความสบายใจมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
“ผมไม่ได้อยากจะเหลาะแหละนะ แต่ใครหิวบ้าง อยากกินพิซซ่ากันไหม?” จงแดไม่พูดเปล่าหากแต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรสั่งพิซซ่าด้วย จงอินหัวเราะเมื่อเห็นเขาทำอย่างนั้น “เวลาแบบนี้ยังจะหิวอีกนะนายเนี่ย”
“ฉันไม่ชอบใช้สมองมากๆ มันหิวน่ะ นายเอาหน้าไร ฮาวายเอี้ยนดีป่ะ?” จงแดถาม “ขอหน้าชีส แบบเยิ้มๆ” จงอินพูดพลางยกนิ้ว
“อยู่ทานด้วยกันก่อนสิครับคุณจุนมยอน คุณเองก็ยังไม่ได้กินอะไรนี่นา” มินซอกยื่นข้อเสนอ ซึ่งจุนมยอนก็ได้ทราบในที่สุด ว่าตัวเองกำลังหิวขนาดไหน
“อา จริงด้วย... ผมว่าผมน่าจะอยู่ทานพิซซ่าก่อน พวกคุณสั่งเลยสิ เดี๋ยวมื้อนี้ผมเลี้ยงเอง” จุนมยอนถอดโค้ทออกดังเดิมแล้วหย่อนนั่งบนโซฟาอีกครั้งอย่างอ่อนแรง
“เยี่ยม กำลังรอฟังคำนั้นอยู่เลยคุณชาย” จงแดดีดนิ้วดังเปาะ ก่อนที่พวกเขาจะหัวเราะออกมา บรรยากาศตอนนี้ไม่เคร่งเครียดอีกต่อไปแล้ว เหลือเพียงแค่ความอบอุ่นจากมิตรภาพที่ถูกก่อขึ้นอย่างรวดเร็ว และกลิ่นกรุ่นของพิซซ่าแสนอร่อยก็เพียงเท่านั้น
กลับมาต่อแล้วค่ะ ยังไงก็ช่วยคอมเม้นท์หน่อยน้า ว่าดีหรือไม่ดียังไง อ่านเข้าใจยากไปมั้ยคะ
ถ้าผลตอบรับดีคงจะมาต่อตอนหน้าค่ะ
แต่ถ้าไม่มีใครอ่านเลย ก้คงคิดว่าจะปิดเรื่องนี้แล้วไปแต่งฟิครักแทนแล้วอะ 5555555
ยังไงก็ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันน้าาา
ความคิดเห็น