ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO) LOST IN TIME (4KIM: KAI CHEN XIUMIN SUHO ft. EXO)

    ลำดับตอนที่ #19 : CHAPTER XVIII

    • อัปเดตล่าสุด 20 ม.ค. 59



    CHAPTER XVIII










    “พี่ว่าเขาชื่ออะไรนะจุนมยอน?”

     


    จงแดถามขึ้น หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด คำถามไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก เพราะจงแดกำลังเคี้ยวแซนด์วิชแฮมไก่เอาไว้เต็มปาก


    พวกเขาทั้งสี่คน รวมถึงแบคฮยอน(เป็นห้าคน) ได้นัดกันที่ร้าน Subway หน้าสถานีซังซู เนื่องจากจงแดและแบคฮยอนนัดกันออกมาทำรายงาน และเห็นป้ายโปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 ของทางร้าน


    (“ไอ้พวกตะกละเอ๊ย” จงอินมองจงแดกับแบคฮยอนขำๆ เมื่อพวกนั้นสั่งแซนด์วิชมากินคนละสองชิ้น และพูดคุยกันว่าจะสั่งมาเพิ่มอีกคนละสองชิ้นด้วย)



     

    “ปาร์ค ชานยอล ในนามบัตรมันเขียนไว้แบบนี้” จุนมยอนวางนามบัตรลงบนโต๊ะ แล้วชี้ให้ทุกคนเห็นชื่อที่อยู่บนนามบัตรใบเล็ก มินซอกหยิบขึ้นมาดูแล้วถามต่อ “แน่ใจนะ ว่านายไม่ได้รู้จักเขามาก่อน” มินซอกถามซ้ำ


    “ด้วยความสัตย์จริง ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆนะ นี่พวกนายคิดว่าฉันความจำสั้นหรือไง” จุนมยอนกำชับ โดยที่ไม่แน่ใจนักว่าที่เขาพูดก่อนหน้านี้มันไม่น่าเชื่อหรือยังไงกันนะ ทุกคนถึงได้ถามซ้ำกันอยู่เรื่อย


    “แล้วเขารู้ได้ไงนะ ว่าพี่คือซูโฮคนนั้น” จงแดถาม


    “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” จุนมยอนว่าพลางยักไหล่


    “ฉันว่าเขาไม่ควรรู้เรื่องนี้นะ เพราะพวกเราเองก็เพิ่งจะรู้กันเมื่อไม่กี่วันก่อนเอง เรื่องพวกนี้น่ะ” มินซอกพูดขึ้นหลังจากที่หยิบนามบัตรใบเล็กนั้นขึ้นไปดู พลางทำสีหน้าครุ่นคิด


    “หรือไม่ เขาเองคงรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว รู้ก่อนที่พวกนายจะรู้ด้วย” แบคฮยอนพูดขึ้นแทรกกลางวงสนทนาหลังจากที่กินอยู่เงียบๆมานาน ซึ่งนั่นก็ทำให้จงอินขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ ความเงียบเกิดขึ้นในอึดใจหนึ่ง ระหว่างที่จงอินยกแก้วโค้กขึ้นมาดูด


    “หมายความว่าไงน่ะ” จงแดถามอย่างไม่เข้าใจนัก


    “ฉันคิดว่าเขาน่าจะรู้เรื่องนี้มาก่อน รู้อะไรไหม ทำไมพวกนายไม่เคยสงสัยเลยล่ะ ว่าใครที่เป็นคนส่งจดหมายพวกนั้นมาให้พวกนายทุกคน ถ้าไม่มีใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ที่รู้เรื่องอยู่ก่อนแล้ว” แบคฮยอนชี้แจง ในขณะเดียวกับที่เคี้ยวแซนด์วิชเข้าไปคำใหญ่จนซอสมะเขือเทศเลอะที่มุมปาก


    (“ขอบคุณครับพี่มินซอก” แบคฮยอนยิ้มให้มินซอกที่ส่งทิชชู่ให้แบคฮยอนเช็ดปาก)


     

                    “นั่นสินะ ทำไมเราไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย” จงอินขยับตัวเลื่อนเข้ามาใกล้อย่างสนอกสนใจ


                    “หมายความว่า หมอนั่นเป็นคนส่งจดหมายให้พวกเรางั้นเหรอ?” มินซอกถามอย่างไม่แน่ใจนัก


    “เราคงทำได้แค่สันนิษฐานเท่านั้น ใครจะรู้ ว่าเป็นเขาจริงๆหรือเปล่า” จุนมยอนว่าพลางยักไหล่ซ้ำอีก เป็นบุคลิกที่เขาเรียนรู้จากจงอินและจงแด ปกติเขาไม่วางตัวแบบนี้เท่าไหร่นัก


    “แล้วทำไมไม่ไปถามให้รู้เลยล่ะ” เป็นอีกครั้งที่แบคฮยอนถามแทรกขึ้นมาอีก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นอะไรที่ทั้งสี่คิมนั้นคิดไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ


    “ถามยังไง” จงอินขมวดคิ้วถาม ราวกับแบคฮยอนเสียสติไปแล้ว “จุนมยอนเพิ่งจะบอกก่อนหน้านี้ว่าเขาไม่รู้จักปาร์ค ชานยอล เรานี่เราจะไปถามเขาได้จากไหน” จงอินถามต่อ


    “นี่พวกนายมีเรื่องให้คิดเยอะจนมองข้ามเรื่องเล็กๆไปหมดแล้วสินะ” แบคฮยอนหัวเราะอย่างทึ่งๆ เขาขยำทิ้งห่อแซนด์วิชที่กินหมดแล้วทิ้งไป ก่อนจะคว้าเอานามบัตรใบเล็กในมือมินซอกมาวางตรงกลางโต๊ะให้ทุกคนเห็น


    “ถ้ามองตรงนี้ พวกนายจะเห็นว่ามีที่อยู่ด้วยนะ” แบคฮยอนชี้ที่มุมด้านขวาล่างของนามบัตร หลังจากนั้นทุกคนจึงได้เห็นที่อยู่เล็กๆ ที่ไม่มีใครมองเห็นมันมาก่อนหน้านี้



    สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์จิตภาพพิเศษ อาคารหมายเลข 12 มหาวิทยาลัยการแพทย์โซล



    สี่คิมอ้าปากค้าง แบคฮยอนหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเริ่มต้นแกะห่อแซนด์วิชอีกชิ้นขึ้นงับ


    “มองรายละเอียดปลีกย่อยกันหน่อยนะครับ พ่อแม่พี่น้องที่เคารพรักทั้งหลาย” แบคฮยอนทำท่าโค้ง ราวกับจะขอบคุณที่ทุกคนรับฟัง  


    “นายมันตัวนำโชคของพวกเราจริงๆ แบคฮยอน มาเป็นเมียฉันเถอะ” จงอินคว้าคอแบคฮยอนเข้ามาหอมแก้มเสียฟอดใหญ่ ทั้งสี่คิมหัวเราะเมื่อแบคฮยอนหัวเราะโวยวาย ก่อนที่บรรยากาศตึงเครียดจะเริ่มผ่อนคลายลงไปบ้าง


    งั้นวันพรุ่งนี้ฉันจะไปหาเขาที่สถาบันวิจัย มีใครจะไปกับฉันมั้ย” จุนมยอนเอ่ยถามความสมัครใจ ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนไม่มีใครอยากพลาดเหตุการณ์สำคัญแบบนี้


    “ฉันอยากไป แต่พรุ่งนี้ลาหยุดไม่ได้ซะด้วยสิ” มินซอกพูดขึ้นอย่างเสียดาย


    “น่าเสียดายจัง ผมเองรับจ๊อบตรวจสินค้างานประมูลไว้ด้วยครับพี่จุนมยอน ผมคงไปด้วยไม่ได้” แบคฮยอนบ่นออกมาอย่างเสียดายเช่นกัน


    “ผมกับจงอินว่างนะพี่ เราจะไปกับพี่ด้วย” จงแดพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความหวัง


    “ผมอาจจะพาคยองซูไปด้วย ถ้าน้องอยากไปน่ะนะ ยังไงผมจะบอกพี่อีกที” จงอินเสริม จุนมยอนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง งั้นวันพรุ่งนี้เราจะไปมหาวิทยาลัยโซลกัน”

     

     



     

    เช้าวันรุ่งขึ้น จุนมยอน จงแด จงอิน และคยองซูก็เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยโซลกันตั้งแต่เช้า ชื่อเสียงของจุนมยอนช่วยให้พวกเขาสามารถเข้าไปพบกับอธิการบดีของมหาวิทยาลัยโซลจนได้ 

    ถึงแม้จะไม่ทราบว่าท่านอธิการบดีรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะเดินทางมา หากแต่ในที่สุดพวกเขาก็ได้ยืนรออยู่ที่โถงทางเดินที่กว้างหน้าห้องรับรองของท่านอธิการบดีเรียบร้อยแล้ว


    จงอินกับคยองซูเดินจับมือชี้ชวนกันเดินดูภาพวาดมีชื่อที่แขวนประดับอยู่โดยรอบโถงทางเดินนั้น จุนมยอนกำลังอธิบายให้จงแดฟังถึงรายละเอียดคร่าวๆของหนังสือที่เขาพบมันที่พิพิธภัณฑ์ห้องสมุด จนกระทั่งศาสตราจารย์ คิม ซูโร เชิญพวกเขาเข้าไปในห้องทำงานของตน

     

    "สวัสดีครับคุณจุนมยอน...ผมขอแสดงความยินดีกับโครงการชิ้นล่าสุดของคุณด้วยนะครับ ผมไม่ได้ไปงานแถลงข่าววันนั้น เพราะผมบังเอิญติดสัมมนาที่แคนาดา ต้องขอโทษด้วยจริงๆ"


    "ไม่เป็นไรหรอกครับอาจารย์...ก็แค่งานแถลงข่าวเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ" จุนมยอนเอ่ยด้วยเสียงสุภาพ เหตุเพราะอาจารย์ท่านนี้สูงอายุกว่าเขา และยังเป็นผู้สนับสนุนงานของเขาในหลายๆด้านเสียด้วย


    “ต้องขอโทษที่มาโดยไม่ได้แจ้งก่อนครับ ว่าแต่...อาจารย์รู้ได้ยังไงครับ ว่าผมจะมาที่นี่” จุนมยอนถามต่อด้วยน้ำเสียงสุภาพ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตนเข้ามาก้าวก่าย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าซูโรเองก็ไม่ได้คิดว่าตนทำเช่นนั้น


    “ทางฝ่ายรักษาความปลอดภัยเห็นรถคุณแล้วจำได้ครับ จึงโทรสายตรงเข้ามาที่ออฟฟิศผมเพื่อแจ้งว่าคุณเข้ามา”


    “อ้อ เข้าใจแล้วครับ ผมเองก็ผิดที่ไม่ได้แจ้งก่อนว่าจะมา ยังไงฝากขอโทษขอโพยไปยังฝ่ายรักษาความปลอดภัยด้วยนะครับ” จุนมยอนพยักหน้าแล้วจึงยกยิ้มฝากฝังกับซูโรไว้ ซึ่งเขาเองก็หัวเราะเบาๆอย่างขบขัน แล้วพูดต่อไปอย่างอารมณ์ดี


    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ให้เขาได้มีเรื่องตื่นเต้นบ้างก็ดี ทุกวันนี้เห็นเอาแต่นั่งหาวแล้วดูกล้องวงจรปิดอย่างเดียว น่าเบื่อจะตายชัก” ซูโรว่า ก่อนที่เลขาจะเข้ามาเสิร์ฟกาแฟให้พวกเขาที่โต๊ะ 

     


    "ว่าแต่วันนี้มาถึงที่นี่ มีอะไรอย่างนั้นเหรอครับ?" ซูโรถามต่อ


    "เอ่อ...คือเมื่อวันก่อน ผมบังเอิญได้คุยกับอาจารย์ท่านหนึ่งน่ะครับ ทราบมาว่าเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนี้ เลยมาตามหา พอดีว่าหลังจากนั้นผมรู้สึกสนใจเรื่องที่เขากำลังวิจัยอยู่ เลยอยากจะถกประเด็นกับเขาอีกซักเล็กน้อย อาจารย์พอจะรู้จักอาจารย์ ปาร์ค ชานยอล ไหมครับ นี่เป็นนามบัตรของเขาครับ"


    จุนมยอนยื่นนามบัตรไปให้คนตรงหน้า  ก่อนจะต้องแปลกใจเมื่อซูโรทำหน้างุนงงเล็กน้อย และเขาเองก็ส่ายหน้าแทบจะในทันทีที่กวาดตามองดูนามบัตร


    "ปาร์ค ชานยอลงั้นเหรอ เอ...อาจารย์ชื่อนี้ผมไม่เคยได้ยินเลยนะครับ” ซูโรว่า สายตายังจ้องที่นามบัตรราวกับจะดูให้แน่ใจว่ามีตัวอักษรไหนที่ตกหล่นจนทำให้ชื่อผิดหรือไม่


    “เอ๋ แต่เขาบอกกับผมเองนะครับ ว่าเขาคุมห้องแล็ปของที่นี่อยู่” จุนมยอนขมวดคิ้วมอง จงอินและจงแดหันมองกันเลิ่กลั่ก อย่างไม่เข้าใจเหตุการณ์


    “ผมเกรงว่าน่าจะเป็นการแอบอ้างมากกว่าครับ ผมมั่นใจเหลือเกินว่าที่มหาวิทยาลัยของเราไม่มีอาจารย์ชื่อนี้ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะครับที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย" ซูโรกล่าวแสดงความเสียใจเมื่อได้มองชื่อในนามบัตรที่จุนมยอนยื่นให้ ไม่มีอาจารย์ท่านไหนเลยที่มีชื่อตรงกับในนามบัตร


    “โชคดีที่เราได้พบกันก่อน ไม่อย่างนั้นคุณก็คงไปเจอแต่ตึกร้างไร้ประโยชน์แน่ๆ” ซูโรถอนใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ


    “ตอนนี้ตึกนั้นยังอยู่เหรอครับ? ถ้ามันยังอยู่ เราขอไปดูได้ไหม?” จงอินโพล่งถามขึ้น ซูโรค่อนข้างแปลกใจที่พวกเขายังยืนยันที่จะไป ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะบอกว่ามันเป็นตึกร้างก็ตามที หากแต่ซูโรก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพียงแต่พยักหน้าแล้วตอบกลับเท่านั้น


    “แผนกวิจัยที่อยู่ในนามบัตรนี้มีอยู่จริงครับ เพียงแต่ถูกยุบมาหลายสิบปีแล้ว ถ้าหากพวกคุณต้องการ คุณสามารถไปเยี่ยมดูที่ศูนย์วิจัยนั้นได้ครับ แต่ผมเกรงว่าจะเสียเวลาเปล่า เพราะไม่มีใครทำงานที่นั่นอีกแล้ว” 

    ซูโรพูดต่อก่อนที่จะหันกลับไปค้นเอกสารที่อยู่ในตู้ด้านหลัง ก่อนที่จะใช้เวลาไม่นานนัก เขาก็หยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งซึ่งคล้ายกับแผนที่ออกมาแผ่วางบนโต๊ะ


    “มหาวิทยาลัยเรามีเนื้อที่กว่า 400 ไร่ ศูนย์วิจัยของคุณนั้นอยู่ห่างจากที่นี่ไปค่อนข้างไกลพอสมควรเลยครับ ผมจะทำตำแหน่งที่พวกคุณต้องไปเอาไว้ให้ แต่ผมเกรงว่าจะให้ใครไปส่งไม่ได้ เพราะเราเกณฑ์พนักงานไปช่วยจัดงานที่หอประชุมใหญ่จนหมด” ซูโรพูดขึ้น พร้อมทั้งหยิบเอาปากกาสีแดงมาวงตรงตำแหน่งที่พวกเขาต้องไป


    “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่นี้ก็มากพอแล้วครับอาจารย์ พวกผมจะไปกันเองครับ ไม่ต้องให้ใครไปส่งหรอก” จุนมยอนพูดพร้อมทั้งยิ้มด้วยความรู้สึกขอบคุณ


    “ยินดีที่ได้พบนะครับคุณจุนมยอนและทุกคนด้วย แต่ผมเกรงว่าจะต้องรีบไปวางแผนกับพวกผู้ช่วยเรื่องงานประชุมซักหน่อย ถ้าติดขัดอะไรโทรเข้ามาหาผมได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ” ซูโรพูดพร้อมทั้งยื่นมือมาจับกับจุนมยอน และก้มหัวลาทุกคน ก่อนที่ทั้งหมดจะบอกลากัน และซูโรก็เดินออกจากห้องไปก่อน

     



    “น่าแปลกจังนะครับ ทำไมคนนั้นถึงต้องโกหกว่าทำงานที่นี่ด้วย” คยองซูพูดขึ้นทันทีที่ซูโรเดินออกจากห้องไป


    “นั่นสินะ แต่ก็ยังโชคดีที่เราได้แผนที่มา อาจจะมีอะไรอยู่ที่นั่นก็ได้ เราน่าจะลองไปดูกัน” จงอินแนะนำ


    “พูดตรงๆ ฉันไม่ค่อยเชื่อว่าที่นั่นจะมีอะไร เพราะมันอาจเป็นแค่เรื่องโกหกทั้งหมดก็ได้ ไอ้หมอนั่นอาจจะแค่บังเอิญใส่ชื่อตึกนั่นไปเรื่อย” จงแดพูดพร้อมทั้งถอนหายใจหนัก รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่พวกตนมาเสียเที่ยว


    “แต่ฉันว่าไปลองดูซักหน่อยก็คงไม่เสียหาย ไหนๆก็มากันแล้วนี่นา” จุนมยอนหันไปขอความเห็นกับทุกคน ซึ่งทั้งหมดก็พยักหน้ากับมาราวกับจะบอกว่าเห็นด้วย


    “งั้นออกเดินทางกันเถอะ อยากจะรู้แล้วสิ ว่าที่นั่นจะมีอะไร” จงแดชักชวน ซึ่งหลังจากสิ้นประโยคนั้น ทุกคนก็ออกเดินทางไปตามแผนที่ๆซูโรให้ไว้ทันที

     



     

    *********

     

     

     




    “อ้อ ใช่ครับ ที่นี่แหละ ตึกวิจัยที่คุณตามหา”


    สิ้นเสียงของพนักงานรักษาความปลอดภัย จุนมยอนก็ต้องอ้าปากค้าง เดจาวู...เหมือนเขาเคยเห็นตึกนี้ที่ไหนมาก่อน ภาพต่างๆ ค่อยๆชัดขึ้นในความทรงจำของจุนมยอนอย่างช้าๆ หากแต่เลือนรางมาก จนทำให้จุนมยอนคิดว่าเขาชักจะเพ้อเจ้อมากไปเสียแล้ว


    ความเก่าของมันทำให้จุนมยอนต้องนิ่งค้างอยู่นานทีเดียว ตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่ตามผนังกำแพง ย้อมสีขาวของตัวอาคารจนเป็นสีเขียวครึ้ม พงหญ้าขึ้นรกอย่างไม่มีใครสนใจจะตัดหรือดูแล ความใหญ่โตของอาคารนั้นทำให้จุนมยอนทราบว่าที่นี่เคยเป็นศูนย์วิจัยชั้นหนึ่งในสมัยนั้นอย่างแน่นอน

     


    พนักงานรักษาความปลอดภัยมองพวกเขาอย่างไตร่ตรอง ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหันไปถามจงแดว่า


    “พวกคุณเป็นนักข่าวหรือไงครับ?”


    “เปล่าครับ...ผมแค่บังเอิญต้องการพบคนที่ให้นามบัตรผมเมื่อวานนี้เท่านั้น เขาบอกว่าเขาทำงานอยู่ที่นี่” จุนมยอนชิงตอบ ก่อนที่จงแดจะได้อธิบายอะไร


    “โอ้ย...ตึกนี้มันปิดไปหลายสิบปีแล้วครับคุณ! ไม่มีใครทำงานอยู่ที่นี่นานแล้วล่ะ” เขาหัวเราะกับสิ่งที่จุนมยอนเพิ่งพูดออกมา


    “แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าพวกผมเป็นนักข่าวล่ะครับ?” จงอินหันไปถามอย่างสนอกสนใจ


    “เพราะคดีใหญ่ของมันเมื่อคราวนั้นน่ะสิ อ้อ...แต่ผมคิดว่าตอนนั้นคุณยังไม่เกิดหรอกนะ เพราะสมัยนั้นผมยังอายุเพียงแค่ 21 ปีเท่านั้นเอง” ชายแก่ในชุดยามตัวโคร่งที่ใหญ่กว่าตัวเขาประมาณสองไซส์ ยกนิ้วขึ้นนับก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดไปชั่ววินาทีหนึ่ง


    “คุณลุงทำงานที่นี่นานแล้วหรือครับ?” คยองซูถามเขาเมื่อชายแก่เงียบไปอยู่ในความคิดของตัวเอง


    “นับตั้งแต่ผมจำความได้เลยล่ะ สมัยตอนที่นี่กำลังรุ่งโรจน์น่ะนะ อืม...พูดถึงตอนนั้นก็คงนานโขอยู่ เพราะตอนนี้ผมอายุ --ไม่บอกดีกว่า ผมจะบอกว่า ผมควรเกษียณไปเมื่อสิบสองปีที่แล้ว แต่คุณคงเห็นว่าผมยังอยู่น่ะนะ”


    เขาหันไปยิ้มให้กับคยองซูอย่างอารมณ์ดี ฟันหลายถี่หลุดล่อนออกไปแล้ว หากแต่เขาก็ยังคงยิ้มอย่างใจดี


    “คุณลุงพอจะรู้จักผู้ชายชื่อนี้มั้ยครับ? เขานี่แหละครับ...เป็นคนที่ให้นามบัตรผมมา”  จุนมยอนยื่นนามบัตรให้เขาดู ก่อนจะพบว่าชายแก่ยกคิ้วขึ้น และครุ่นคิดนานเป็นพิเศษ


    “ผมมั่นใจว่าไม่มีนะ...คุณคงโดนพวกมิจฉาชีพต้มเอาแล้วล่ะครับ” เขาหัวเราะให้จุนมยอน ซึ่งคำตอบนั้นทำให้จุนมยอนหน้าเสีย


    นี่แปลว่าเรื่องเมื่อวานทั้งหมด เขาโดนหลอกทั้งหมดเลยงั้นเหรอ?


    “เอ่อ...แล้วตอนที่มันยังไม่ปิด ใครเป็นผู้อำนวยการตึกนี้เหรอครับ? เห็นคุณบอกว่ามันดังมาก ทำไมมันถึงถูกปิดล่ะ”


    “อ่า...คุณอาจจะตกใจ แต่ทุกคนเรียกเขาว่าท่านเคาท์ปีศาจน่ะ”


    “ทำไมถึงเป็นปีศาจล่ะครับ?” จุนมยอนถาม


    “เพราะเขาเข้มงวดกับการทำงานมาก ไม่ใช่ผู้บริหารที่ใจดีเท่าไหร่หรอกครับ ลับหลังทุกคนก็พากันสาปแช่งกันเสียทั้งนั้น เหมือนทำงานกับหุ่นยนต์ กับปีศาจไร้หัวใจ แต่ผมเองไม่เคยเจอหรอกนะ ผมในตอนนั้นก็เป็นแค่ยามกะดึกเท่านั้นแหละ ไม่มีโอกาสได้เจอเขาหรอก แค่เคยเห็นแบบผ่านๆเท่านั้น” ชายแก่ร่ายเหตุผลยาวเหยียด 


    “และคุณลุงไม่ทราบชื่อของเขาเหรอครับ” จงแดถาม


    “ผมบอกตามตรงนะ ผมเองก็จำไม่ได้แล้วล่ะ เวลาพูดถึงเขา ผมก็เรียกเขาว่าท่าน พอลับหลังเขาผมก็เรียกเขาว่าท่านเคาท์ หรือไม่ก็ปีศาจมาตลอด” ชายแก่ส่ายหน้า แล้วก็ทำหน้าตาราวกับรู้สึกผิดไปเล็กน้อย

     

    “ว่าแต่ เพราะอะไรที่นี่ถึงถูกปิดเหรอครับคุณลุง”  จุนมยอนถามขึ้นมา เมื่อฉุกคิดได้ว่าชายแก่ยังไม่ได้ตอบคำถามนี้ จุนมยอนยังรู้สึกคุ้นกับตึกนี้พิกล และยังคงรู้สึกว่าไม่ควรปล่อยให้บทสนทนานี้ผ่านไปง่ายๆ


    “อ่า...ใช่แล้ว นี่คุณแน่ใจนะว่าไม่ใช่นักข่าว ทำไมถามเยอะเสียจริง” ชายแก่หัวเราะถาม จุนมยอนส่ายหน้าเพื่อแทนคำตอบ ในขณะที่เฝ้ารอคำตอบของชายแก่ด้วย


     “อืม...พวกคุณมานั่งนี่เถอะ เรื่องมันยาวมากนะ ถ้าคุณอยากรู้ ผมจะเล่าให้ฟัง”


    ชายแก่เดินนำมาที่ม้านั่งหินอ่อนซึ่งห่างปปจากอาคารพอสมควร เห็นได้ชัดว่ามันถูกจัดวางเพื่อเป็นที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ของใครก็ตามที่มาที่ตึกนี้ เมื่อทั้งหมดนั่งลง ชายแก่ก็ถอดหมวกของตนออกและยกยิ้มให้ทุกคนเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด แล้วเริ่มเล่าให้พวกเขาได้ฟัง


    “อืม...เมื่อสมัยก่อนหน้านี้ซัก ห้าสิบปีได้มั้ง ตอนนั้นผมอายุเพียง 12 ขวบ...ยังเด็กมาก ผมได้มาที่สถาบันแห่งนี้ เอ่อ...เพราะพ่อแม่ทำงานที่นี่น่ะ แนวคิดเรื่องการถอดจิต การพูดเรื่องภพชาติดังขึ้นมาอย่างมากเลยล่ะ บางคนกล่าวว่า มันเป็นคำสอนของพวกลบหลู่ศาสนาคริสต์* หรือไม่ก็พวกที่ต้องการจะสร้างลัทธิใหม่ขึ้นมา แต่อย่างที่คุณเห็นนะ มันดังอย่างมากในชั่วข้ามคืน จนจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยกันใหญ่โตขนาดนี้ ช่วงนั้นถึงกับมีพวกคนเขียนบทมาเก็บข้อมูลเพื่อเอาไปถ่ายหนังกันด้วยซ้ำ”

    (* ศาสนาคริสต์เชื่อว่า คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว ไม่มีการกลับชาติมาเกืดใหม่ ใครทำดีจะได้ขึ้นสววรค์ไปรับใช้พระผู้เป็นเจ้า)

     

    ชายแก่พูดพลางชี้ไปที่ตัวอาคารรอบๆ เพื่อบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของมัน จงแดมองตามแต่ไม่พูดอะไร ทุกคนเงียบเพื่อรอให้ชายแก่พูดต่อ


    “ในตอนนั้นกระแสเรื่องพวกนี้เริ่มถดถอยไปบ้างแล้ว หากแต่สถาบันยังคงได้รับการอนุมัติงบประมาณให้วิจัยได้อยู่ เราเลยยังไม่ปิดตัวลง จนกระทั่งได้มีคดีใหญ่เกิดขึ้นมาดังมากในหมู่นักวิทยาศาสตร์ -- มันดังมากเลยล่ะ เพราะมีข่าวการหายตัวไปของคนไข้ที่เข้ามาวิจัยในสถาบันแห่งนี้ ตอนแรกหายไปหนึ่งคน...ไร้ร่องรอย ไม่มีใครพบเจอ จนกระทั่งหายไปอีกคน และอีกคน ตำรวจเลยมุ่งเน้นไปที่การฆาตกรรม”


    “พวกเขาหายไปได้ยังไงครับ?” จุนมยอนถามขัด ชายแก่ยกหางคิ้วขวาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะกระแอมตอบจุนมยอนไป


     “เอ้อ...ถ้าเราหากุญแจที่หายเจอ แล้วจะเรียกว่ากุญแจหายงั้นหรือพ่อหนุ่ม เชื่อเถอะ จนตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปได้ยังไง” จุนมยอนพยักหน้าตอบรับคำพูดนั้นเพียงเล็กน้อย รู้สึกผิดที่ถามอะไรโง่ๆออกไป และรอกระทั่งชายแก่เริ่มพูดต่อ


    “ต่อมาตำรวจก็สันนิษฐานว่า ปีศาจ... อ่า...หมายถึงท่านผู้อำนวยการน่ะ ฆ่าเด็กๆพวกนั้นด้วยการรักษาที่ผิดวิธี แล้วเขาก็ทำลายหลักฐานเสียจนแนบเนียน ตอนนั้นกระแสเรื่องนี้ดังมาก จนผมเชื่อไปพักหนึ่งด้วยว่าเขาเป็นฆาตกรจริงๆ”


    “แล้วอะไรทำให้คุณเปลี่ยนใจครับ” จงอินถาม


    “เพราะลูกชายของเขาน่ะสิ...ลูกชายของเขาเป็นหนึ่งในคนไข้ที่อยู่ในโครงการวิจัยนี้ด้วย  เขาเอาแต่ร้องไห้และซูบผอมไปหลายเดือนเลยล่ะ ทำให้เราปักใจเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ แล้วก็มาสืบหากันต่อไป

    แต่คุณเชื่อไหม...ตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ คดีปิดไปหลายปีแล้ว แต่เรายังไม่ได้ข้อสรุปอะไรไปจากการหายตัวไปของเด็กพวกนั้นเลย และไม่มีใครจะยอมสืบต่อไปด้วย...ก็มันหลายปีแล้วนี่นะ สุดท้ายท่านเคาท์ก็ขอลาออกไปเมื่อสถาบันนี้ส่อแววจะถูกยุบ -- และแน่นอน...พอท่านลาออกไป ตึกนี้ก็ถูกปิดมาจนวันนี้นี่ล่ะ”


    ชายแก่พูดรัวเร็ว บัดนี้ไม่ได้มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าอีกแล้ว...จุนมยอนจ้องมองสายตาของชายแก่อย่างลืมตัว ความเงียบปกคลุมไปทั่วบริเวณ เมื่อชายแก่หวนระลึกถึงความหลัง


    ก่อนที่คยองซูจะถามขึ้นเพื่อทำลายความเงียบนั้นไปเสีย “มีเด็กกี่คนที่หายไประหว่างงานวิจัยบ้างครับคุณลุง?”


     “ผมจำได้ว่ามีสี่คน ชายสองคน หญิงหนึ่งคน แล้วก็ลูกชายของท่านเคาท์ คนหนึ่งเป็นผู้ชายคนที่ผมสนิทมากๆ...แต่สุดท้ายเขาก็หายไป

    ใช่แล้ว...มีเด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งด้วยนะ แต่คนนั้นผมไม่สนิทด้วย คุณมีเค้าโครงหน้าเหมือนเขาเลย ถ้าเขาไม่ตายผมคิดว่าคุณคงเป็นลูกชายของเขาเสียแล้ว ผมก็ว่าคุณหน้าคุ้นๆเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน...” ชายแก่ชี้หน้าจงแดแล้วยกยิ้มให้ จุนมยอนเห็นจงแดกลืนน้ำลายลงคออย่างใจคอไม่สู้ดีนัก จงแดดูเหมือนจะมีคำถาม หากแต่จู่ๆจงอินกลับถามขึ้นมาเสียก่อน



    “แล้วลูกชายของผู้อำนวยการล่ะครับ คุณลุงไม่สนิทด้วยหรือ?” จงอินถาม เขาเองยังคงแปลกใจตัวเองว่าทำไมต้องสนใจเรื่องนี้นักหนา แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ และยังคงถามต่อไป


     “เพราะเจ้าปีศาจกักตัวลูกชายของเขาไว้ไม่ให้ใครได้เจอเลยล่ะ เขาบอกว่าลูกชายกำลังป่วยหนัก...แต่ผมว่าเขาค่อนข้างจะโรคจิตนะ แบบว่าคนไข้ที่มาที่นี่ก็อาการหนักกันทั้งนั้น เขาก็คงจะแค่หวงลูกเท่านั้นล่ะ” ชายแก่พูดต่อไป


    “งั้นเหรอครับ... งั้นนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ที่นี่ถูกปิดตัวลงสินะ” จุนมยอนถาม


    “ใช่แล้วล่ะ โอ้...ผมคงต้องไปแล้วนะครับ ทิ้งงานไว้นานไปแล้ว  ถ้าคุณสนใจจะเข้าไปดูในตึกก็เชิญเลยนะ แต่ผมคงต้องไปทำงานต่อก่อนล่ะ โดนเรียกตัวแล้ว” จุนมยอนรู้สึกเสียดายและเสียใจเล็กน้อย เมื่อชายแก่ลุกยืนขึ้น สวมหมวกพนักงานรักษาความปลอดภัย แล้วขอตัวเดินออกไปหลังจากได้ยินเสียงวิทยุเรียกตัวเอง

                   


                    “เราจะเข้าไปดูกันมั้ย?” จงอินหันมาถามทุกคน ซึ่งตอนนี้หันไปมองตึกด้านหลังนั้นเป็นตาเดียว


                    “มันน่ากลัวจังครับจงอิน” คยองซูพูดขึ้นอย่างหวาดๆ จงอินเลื่อนมือไปจับมือของอีกคนแล้วบีบมันเบาๆ ราวกับจะปลอบว่าเขาอยู่ตรงนี้


                    “ฉันอยากเข้าไปดู ฉันรู้สึกว่า เดจาวู.. ฉันรู้สึกเหมือนกับเคยมาที่นี่” จุนมยอนพูดเบาๆราวกับเสียงกระซิบ ซึ่งนั่นทำให้จงแดหันกลับไปมองอีกคนแล้วยกคิ้วด้วยความแปลกใจ


                    “พี่รู้อะไรไหม ผมเองก็รู้สึกว่าคุ้นกับที่นี่เหมือนกัน” จงแดเอ่ยขึ้นพร้อมทั้งคิ้วขมวด        


    “ฉันจะเข้าไปดูซักหน่อย พวกนายรอตรงนี้นะ” จุนมยอนจะผุดลุกขึ้น แล้วเริ่มเดินนำไปที่ตึก หากแต่จงแดกลับรั้งแขนเขาเอาไว้


    “โว้วๆ ใจเย็นวัยรุ่น ผมไม่ปล่อยให้พี่เข้าไปคนเดียวหรอกนะ มันอันตราย” จงแดปรามอีกคนให้ใจเย็น ก่อนที่ทั้งจงอินและคยองซูก็เดินเข้ามาสมทบด้วย


    “พวกเราไปด้วยกันหมดนี่แหละ เผื่อมีอะไรจะได้ช่วยกัน” จงอินช่วยสรุป ทั้งหมดพยักหน้าให้กัน ก่อนที่จะพากันเดินเข้าไปในตัวตึกในที่สุด...

     

     

     

    ทั้งสี่คนเดินเปิดประตูเดินเข้าไปในตึกอย่างเชื่องช้า บรรยากาศภายในนั้นมืดและเต็มไปด้วยฝุ่นที่เกาะตามเฟอร์นิเจอร์ต่างๆหนาเป็นปื้น แต่ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูเก่า แต่ไม่มีอะไรที่พังลงไปหรือเสียหาย ข้าวของยังถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แม้กระทั่งอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ และบิกเกอร์ที่วางกองอยู่บนชั้นนั้นก็ยังเต็มไปด้วยของเหลวที่ใช้ในการทดลองอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าทางมหาลัยจัดยามเฝ้าตึกนี้อยู่ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน


    “ในนี้มืดจัง มีใครพกไฟฉายมาบ้างไหม” จงแดเอ่ยถามขึ้นเบาๆ แต่เสียงสะท้อนก้องไปทั้งห้องสี่เหลี่ยม


    “คยองเปิดจากมือถือได้นะครับ แต่ของพี่จงแดเองก็เปิดได้เหมือนกัน”


    “เออ จริงด้วยแฮะ” จงแดพูดขันๆ


    คยองซูหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดเปิดไฟฉายในโทรศัพท์ ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ของจงอินและจงแดขึ้นมาเปิดไฟฉายให้ด้วย ซึ่งเมื่อทั้งหมดมีไฟฉายในมือแล้ว จึงเริ่มออกเดินกันอย่างช้าๆ

     



    อาคารมีสี่ชั้น แบ่งออกเป็นสองโซนหลักๆ ซึ่งไม่มีอะไรสะดุดใจทุกคนมากนัก จะมีก็แต่ห้องพักคนไข้เท่านั้นที่ทำให้คยองซูเดินเบียดกับจงอินอย่างหวาดผวา จงแดและจุนมยอนไม่พูดอะไรเลย หากเอาแต่กวาดสายตามองไปทั่วๆ พวกเขาเดินผ่านห้องทดลองต่างๆ โรงอาหาร ห้องพักแพทย์ ห้องพักคนไข้ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ทั้งสี่คนก็พบว่ามันน่ากลัวเกินไปหากคิดจะเข้ามาคนเดียว

     


    “ทางเดินนี้ ดูแปลกๆนะ” จงแดสะดุดกึก ก่อนจะฉายไฟไปทางปีกด้านขวาของตึก ซึ่งจุนมยอนเองก็รู้สึกคุ้นเคยกับเส้นทางนี้อย่างประหลาด


    “มีรอยเท้าเข้ามาที่นี่ ยังใหม่อยู่เลย ที่อื่นไม่เห็นมีเลยนะ” จงอินชี้ให้ทุกคนดูรอยเท้าที่ถูกทิ้งไว้ ซึ่งถึงแม้จะมีฝุ่นจางๆทับอยู่ แต่ก็ไม่หนาเป็นปื้นเท่ากับบริเวณอื่น เป็นหลักฐานอย่างดีว่า เพิ่งเคยมีคนเดินมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี้ อาจจะอาทิตย์ก่อนหน้า หรืออาจเป็นไปได้แม้กระทั่งว่า รอยเท้าจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันมานี้



    “เราเดินเข้าไปดูกันเถอะ” จุนมยอนชักชวน ก่อนที่จะเดินนำทุกคนเข้าไปในทางเดินนั้น

    ทุกย่างก้าวที่เดินเข้าไปดูเหมือนจะเริ่มหนักอึ้ง จุนมยอนหัวใจเต้นตึกตัก รู้สึกกลัว...หากแต่ไม่ยอมถอยหลังกลับ

    คำถามในใจเขามีมากมายเหลือเกินที่จะถอยหลังกลับตอนนี้ได้ มันจะไม่มีวันจบ ถ้าเขาหันหลังกลับไปตอนนี้..


    ทั้งหมดเดินกันมาจนสุดทางเดิน ก็พบห้องหนึ่งอยู่ทางด้านขวามือ มีป้ายเขียนว่า “ห้องผู้อำนวยการ” อยู่ที่หน้าห้องนั้น... และโดยไม่ได้มีการพูดคุยหรือตกลงกันก่อน จุนมยอนก็เปิดประตูเข้าไปในทันที ก่อนที่จะพบว่า...


     

    ข้าวของและอุปกรณ์ภายในห้องยังคงสะอาดและดูเหมือนใหม่ ราวกับว่ามีคนเข้ามาทำความสะอาดในห้องนี้ทุกวัน ทั้งสี่คนอ้าปากค้าง เมื่อมองเข้าไปยังรูปภาพที่แขวนอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานสุดหรู และเห็นว่า...ชายที่หน้าเหมือนจุนมยอนอย่างกับฝาแฝด กำลังส่งยิ้มภายใต้กรอบแว่นหนาส่งมาให้กับทุกคน หากแต่ผมที่ถูกปาดไปด้านข้างเป็นจนมันวาวเรียบแปล้ และเสื้อผ้าสุดเชยภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวนั้น บ่งบอกให้รู้ว่าคนในภาพนั้นเป็นคนละคนกับจุนมยอนคนนี้


                    “นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องมาที่นี่” จงอินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ติดจะสั่นเล็กน้อย ก่อนที่จะยกอะไรบางอย่างบนโต๊ะทำงานขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็น


                    จุนมยอนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อในมือของจงอิน มีป้ายชื่อไม้ ที่เขียนว่า “คิม ซู โฮ” อยู่ตรงนั้น

                   

     

    ทั้งห้องมีแต่ความเงียบ จนกระทั่งจงแดพูดขึ้นมาเพื่อย้ำชัดในสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่แต่ไม่กล้าพูดออกมา



    “จุนมยอน...ที่นี่คือห้องทำงานของพี่” 









    *มาต่อให้แล้วนะค้าาาาา*

    *ช่วงนี้มาช้าหน่อยน้า เริ่มทำงานประจำแล้วค่ะ กลับบ้านมาก็ง่วง ;-; 

    แต่ถ้ามีกำลังใจดีๆ ต้องมีแรงมาต่อแน่เลย เย้ๆๆๆ*







    O W E N TM.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×