ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO) LOST IN TIME (4KIM: KAI CHEN XIUMIN SUHO ft. EXO)

    ลำดับตอนที่ #18 : CHAPTER XVII

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 59



    CHAPTER XVII










    จุนมยอนยกกาแฟหอมกรุ่นขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย ละเลียดความหอมหวานนั้นอย่างช้าๆ ในมือมีหนังสือที่ค่อนข้างเป็นวิชาการ หากแต่เนื้อหากลับน่าสนใจเกินจะวางลงได้ ราวกับว่าหนังสือวิทยาศาสตร์นี้คือนิยายขายดีอย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่คนทั่วโลกชอบอ่านอย่างไรก็อย่างนั้น ทั้งๆที่ภายในมีเนื้อหาวิชาการที่ยากเกินกว่าจะอ่านแค่เพียงผิวเผิน แต่จุนมยอนก็ยังคงกวาดสายตาผ่านตัวอักษรไปเรื่อยๆ


    อาจเป็นเพราะว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหล่านี้อยู่...เขาเลยสนใจมันมากเป็นพิเศษ

     

     

     

     

    กรณีศึกษาในหนังสือเล่มนี้ เกือบทุกคนเป็นเหมือนอย่างเขาและที่คิมทั้งสามพบเจอ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่ระลึกได้ถึงภพชาติก่อน หากแต่ต่างกันออกไปกับพวกเขาทั้งสี่ เพราะกรณีการทดลองในหนังสือ จะใช้การสะกดจิตให้หลับไปเพื่อทำการระลึกชาติ


    พวกเขาแตกต่างจากกรณีเหล่านั้น เพราะว่าพวกเขาไม่ต้องใช้การสะกดจิต แต่เป็นการระลึกได้จากร่องรอยที่พวกเขาเองได้ทิ้งเอาไว้

    แต่ก็น่าสนใจมากทีเดียว จุนมยอนได้รับรู้ว่ามีชาติก่อนอยู่จริง เพราะมีผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์และเหตุการณ์ต่างๆที่รองรับกับเหตุผลเหล่านั้น...

     


     

    จุนมยอนยกมือกุมขมับเมื่อเขาอ่านไปได้เพียงแค่หนึ่งส่วนสี่ของเล่ม ด้วยความที่เขาจริงจังกับการอ่านมากเกินไป จึงทำให้ดวงตาเริ่มพร่ามัว เมื่อเขาจับจ้องตัวหนังสือเล็กๆยิบย่อยเหล่านั้นมาร่วมสามชั่วโมงแล้ว เมื่อรู้อย่างนั้น จุนมยอนจึงคั่นหน้ากระดาษไว้ ก่อนจะปิดหนังสือวางไว้บนโต๊ะ แล้วหันไปสั่งกาแฟแก้วใหม่กับบริกร หมายใจว่าจะพักสายตาซักเล็กน้อยแล้วค่อยอ่านต่อก็คงไม่มีปัญหาอะไร


    “ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งไหม?” ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาถามอย่างสุภาพ แล้วชี้ที่เก้าอี้ที่อยู่ข้างๆกับจุนมยอน


    “ไม่มีคนนั่งครับ เชิญนั่งได้เลย” จุนมยอนยกยิ้มตอบกลับ ก่อนลอบจะประเมินอีกฝ่ายด้วยสายตา


    ชายรูปร่างสูงโปร่งพร้อมด้วยใบหน้าหล่อเหลา ที่จุนมยอนบอกได้เลย ว่าเขาคงเป็นต้นเหตุที่ผู้หญิงในละแวกนี้ต่างก็หันมามองอย่างสนอกสนใจและซุบซิบกันอย่างเปิดเผย ด้วยความสูงที่น่าอิจฉานั้น ทำให้จุนมยอนอดรู้สึกไม่ได้ว่ารอยยิ้มที่มุมปาก กับท่าทางสุขุมเหล่านั้น ช่างเหมาะสมกับคนตรงหน้าเสียจริงๆ


    จุนมยอนไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่พบว่าเขาหันไปสั่งเครื่องดื่มกับบริกรที่มาส่งกาแฟของเขาที่โต๊ะเท่านั้น


    “ผมขอดับเบิ้ลช็อตเอสเพรสโซ่ ไม่ใส่น้ำตาล แต่ขอเป็นบราวน์ชูก้าแบบซองแทนนะครับ” จุนมยอนอดทึ่งในใจไม่ได้ที่แม้แต่กาแฟที่ชายหนุ่มสั่ง ก็ตอบโจทย์กับบุคลิคของเขาได้เป็นอย่างดี


     

     

    “หนังสือเล่มนี้มันถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงต้นศตวรรษที่สิบเก้า น่าแปลกใจนะครับ ที่คนยังหนุ่มยังแน่นแบบคุณ อ่านหนังสือเก่าๆแบบนี้” ชายหนุ่มมองปกหนังสือที่จุนมยอนปิดวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะชักชวนคุยแทนการสวัสดี ซึ่งบทสนทนานั้นค่อนข้างน่าแปลกใจทีเดียว


    “คุณเองก็ยังหนุ่มยังแน่น แต่กลับรู้ดีว่ามันเป็นหนังสือของช่วงต้นศตวรรษที่สิบเก้า แบบนั้นก็น่าแปลกใจนะครับ” จุนมยอนถามกลับพร้อมรอยยิ้ม

    “ไม่รู้ว่าเพราะเป็นโชคชะตาหรือเปล่า แต่ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฏีที่คุณกำลังอ่านอยู่ ศตวรรษที่สิบเก้าเป็นยุคที่ล้ำเลิศ ผมทุ่มเทศึกษาเรื่องพวกนี้มาพอดูเชียวครับ” จุนมยอนฉงนใจ เขาพยักหน้าเพียงเล็กน้อย เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกประหลาดใจ


    “คุณไม่ใช่คนที่อ่านพวกดวงราศี หรือเชื่อเรื่องโชคชะตาสินะครับ” ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นต่อไป ในขณะเดียวกับที่หันไปรับกาแฟจากบริกรมายกดื่ม ถึงแม้เขาจะสั่งบราวน์ชูก้าแบบซองมาด้วย แต่จุนมยอนไม่เห็นว่าเขาจะปรุงมันเพิ่มลงไปในแก้วกาแฟใบนั้น


    “ไม่ครับ ปกติผมเชื่อแต่สมองตัวเอง” จุนมยอนตอบตามจริงพลางยักไหล่ เขาเริ่มประเมินชายคนนี้อีกหน ซึ่งเขาเองก็คงรู้สึกว่าจุนมยอนกำลังทำแบบนั้น


    “เบาใจเถอะครับ ผมไม่ใช่พวกมิจฉาชีพ และไม่คิดจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม เขายื่นนามบัตรมาให้กับจุนมยอน ก่อนจะยื่นมือมาทำความรู้จักกับจุนมยอนอย่างเป็นมิตร แต่จุนมยอนไม่ทันได้อ่านชื่อของเขา เมื่ออีกคนกลับพูดขึ้นมาอีกครั้ง


    “ผมเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยครับ ดูแลบริหารห้องวิจัยที่อยู่ภายใต้การดูแลของมหาวิทยาลัยโซล” ชายคนนั้นเสริมพร้อมรอยยิ้ม


    “งานวิจัยเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ?” จุนมยอนถามอย่างสนใจ


    “เกี่ยวกับอาการชนิดหนึ่งครับ” ชายคนนั้นตอบพร้อมยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง


    “โรคใหม่เหรอครับ” จุนมยอนถามอีกครั้ง




    ทันทีที่คำถามจบลง สายตาของชายคนนั้นส่องประกายซุกซน ก่อนจะตอบคำถามของจุนมยอนให้เบาใจว่า....


    “คุณคงแปลกใจ แต่โรคที่ผมกำลังวิจัยคือโรคในหนังสือที่คุณกำลังอ่าน พวกอาการ เดจาวู หรือเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับความทรงจำและช่วงเวลา โดยที่ตัวตนในปัจจุบันของคุณไม่สามารถอธิบายได้” เขาอธิบายอย่างช้าๆ ให้จุนมยอนได้ทำความเข้าใจ


    “ผมเคยอ่านเจอในหนังสือ ว่าอาการเดจาวู คืออาการที่สมองส่งภาพเหตุการณ์ที่จะเกิดล่วงหน้าน่ะครับ” จุนมยอนต่อประเด็นกับอีกคนได้ไม่ยากนัก เพราะนี่เป็นเรื่องที่เขาสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว


    “ตรงกันข้ามครับ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากความทรงจำต่างหาก” ใบหน้าหล่อยกยิ้มเพียงบางๆ ต่างจากจุนมยอนที่ตอนนี้ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่เข้าใจนัก


    “แต่เหตุการณ์ที่เราไม่เคยทำมาก่อน มันจะเป็นความทรงจำได้ยังไง?” จุนมยอนเอ่ยถาม


    “นั่นแหละครับคือคำถามของมัน เป็นเหตุผลที่เราต้องทำการศึกษามันให้ลึกซึ้ง” ชายคนนั้นกล่าวพลางยิ้ม ซึ่งนั้นไม่ได้คลายข้อสงสัยให้กับจุนมยอนได้เลยแม้แต่น้อย


    “คุณสอนด้วยรึเปล่าครับ เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้” จุนมยอนถามต่อเมื่อชายคนนั้นไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่ยกกาแฟขึ้นจิบเงียบๆ


    “ผมไม่ได้สอนมันหรอกครับ แต่ก็มีเข้าเลกเชอร์เวลาที่มหาวิทยาลัยอื่นที่เมืองนอกส่งบัตรเชิญมาบ้างเท่านั้น ว่าแต่คุณเถอะครับ...คุณบอกว่าไม่เชื่อเรื่องโชคชะตา ไม่เชื่อเรื่องชาติก่อน แล้วทำไมถึงสนใจอ่านหนังสือเกี่ยวกับมันล่ะ” ชายคนนั้นอธิบายก่อนจะถามต่อ ซึ่งนั้นทำเอาจุนมยอนอึกอักไปเล็กน้อย ก่อนจะหาเหตุผลที่ดีพอจะตอบกลับ


    “ผมมีความผูกพันกับประวัติศาสตร์ในยุคก่อนๆน่ะครับ ผมสนใจผู้คน และชีวิตที่อยู่ในยุคนั้น” จุนมยอนตอบไปอย่างนั้น ความจริงแล้วแต่ก่อน ตัวเขาเองไม่ได้ปักใจเชื่อเรื่องชาติปางก่อนมากมายนัก แต่เหตุการณ์ปัจจุบันทำให้เขาต้องตั้งคำถาม


    “ตอบได้ดีนะครับ ผมรู้สึกปลื้มมากเลยในฐานะอาจารย์ที่สอนเกี่ยวกับเรื่องนี้” ใบหน้าหล่อยกยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ จุนมยอนจึงได้ถามต่อไป “ทำไมคนเราถึงสนใจเรื่องชาติปางก่อนครับ ผมหมายถึง...ทำไมคุณเองถึงได้ทุ่มเทความสนใจให้กับเรื่องนี้?”


    “ก็ตอนที่คนเรามองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ แล้วไม่เคยพอใจกับสิ่งที่เขียนบอกบนนั้น” ชายคนนั้นกล่าวตอบอย่างสุขุม


    “ผมไม่เข้าใจครับ” จุนมยอนเอียงคอ พลางครุ่นคิดถึงความหมายที่อีกคนอาจแฝงไว้ในถ้อยคำ



    “เราทุกคนอาจเคยมีความรู้สึกว่า สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนั้น ไม่ได้เหมาะสมกับเราเลย นั่นเป็นเพราะอะไรล่ะ...เพราะร่างกายเคยรู้ว่าเราเหมาะกับที่ไหน เคยอยู่ที่ไหนแล้วมีความสุข แต่ในตอนนั้นเราไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่ร่างกายกลับจดจำได้ดี นั่นคือเรื่องของการเดินทางของเวลา ซึ่งมันลึกซึ้งอย่างมาก” ชายคนนั้นค่อยๆอธิบายอย่างช้าๆ แม้ว่าจุนมยอนจะฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เขาก็พยายามเรียบเรียงข้อมูลต่างๆที่ได้รับอย่างเป็นระบบ


    “การเดินทางของเวลาเหรอครับ?” จุนมยอนถามย้ำ


    “ใช่ครับ เวลาก็เดินทางเหมือนกัน มันเปลี่ยนจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ไม่ต้องอะไร ขนาดประเทศต่างๆ เวลายังต่างกันไปหลายชั่วโมง” ชายร่างสูงพยักหน้าก่อนจะอธิบายต่อ


    “ผมเองก็เบื่อกับการใช้ชีวิตตามเวลาที่แตกต่างกันครับ ผมเคยกินอาหารเช้าตอนมื้อค่ำอยู่หลายครั้งเลยหลังจากกลับมาจากต่างประเทศ มันแย่เอามากๆ” จุนมยอนพูดอย่างเห็นด้วย เขายกเครื่องดื่มของตัวเองขึ้นมาจิบ รสขมเฝื่อน ประกอบกับบทสนทนาทำให้จุนมยอนรู้สึกตื่นตัว


    “คุณกำลังเข้าใจผิดนะครับ ความจริงแล้วเวลาไม่ได้แตกต่างกัน แต่เวลาเดินทางในมิติที่ต่างกัน คนเราต่างมองเวลากันผิดๆ  -- เวลาเป็นมิติที่เต็มไปด้วยอานุภาคพลังงาน...สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด แต่ละคน อะตอมแต่ละตัว ผ่านมิตินี้แตกต่างกันออกไป วันหนึ่งผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่า จักรวาลอยู่ในห้วงเวลา ไม่ใช่เวลาอยู่ในห้วงจักรวาล”


    จุนมยอนไม่ได้เจอคนน่าสนใจจนเขายอมร่วมสนทนาด้วยอย่างสนิทใจอย่างนี้มานานแล้ว เขาฟังอย่างตั้งใจ ถึงแม้ว่าความหมายของมันจะกำกวมจนทำให้จุนมยอนไม่สามารถเข้าใจได้ปรุโปร่ง อาจเป็นเพราะผู้ชายคนนี้วิจัยมาเยอะเกินไปจนไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดที่เข้าใจได้อย่างง่ายๆ หากแต่จุนมยอนไม่ได้ขัดข้อง เขายังคงฟังและทำความเข้าใจด้วยตัวเอง เมื่อชายคนนั้นเริ่มพูดต่อไป...


    “เราเคยเชื่อกันว่าโลกแบน และดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเรา คนส่วนมากพอใจจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น -- วันหนึ่งเราจะเข้าใจว่า เวลานั้นเคลื่อนที่ไป มันหมุนเหมือนที่โลกหมุน และไม่เคยหยุดขยายตัวออกไป” ชายคนนั้นอธิบายต่อ จุนมยอนได้แต่พยักหน้าเพื่อรับฟัง แต่ความคิดยังประมวลผลตามไปอย่างช้าๆ


    “เมื่อเรายอมกลับมาพิจารณาทฤษฏีต่างๆที่ตั้งกันขึ้นมา เราจะเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ของระยะเวลาและความเป็นจริงของชีวิตแต่ละชีวิต” ชายคนนั้นพูดต่อ ตอนนี้เขาไม่ได้ยิ้มอีกแล้ว แต่กลับมีท่าทางสุขุมและแสดงสีหน้าอย่างที่จุนมยอนบอกไม่ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่


    “คุณสอนเรื่องพวกนี้เหรอครับ?” จุนมยอนถาม ขยับถอยออกมานิดหนึ่ง เมื่อรู้ตัวว่ายื่นหน้าเข้าไปใกล้มากเกินไป


    “ฮ่าๆ ดูหน้าคุณก่อนเถอะครับ แล้วลองนึกถึงพวกนักเรียนของผม ถ้าผมสอนเขาแบบนี้ เขาคงจะหาว่าผมบ้า...มนุษย์เรายังคงหวาดกลัวกับความจริงกันเกินไป เรายังไม่พร้อมกันหรอกครับ...และด้วยความเขลาที่มีพอๆกับบรรพบุรุษของเรา พวกเราได้จัดให้สิ่งที่เราไม่รู้ หรือไม่อยากรับรู้ ให้เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติหรือเรื่องลี้ลับไปเสียอย่างนั้น


    มนุษย์เราก็แปลกนะครับ เป็นเผ่าพันธุ์ที่มีสมอง ชอบค้นคว้าหาความรู้ แต่ดันกลัวที่จะเปิดเผยมันออกมา...เราตอบสนองความหวาดกลัวของตัวเองให้กลายเป็นความเชื่อ คล้ายๆกับพวกกะลาสีแก่ๆที่ไม่ยอมออกเรือ เพราะเชื่อว่าเขาจะตายหากต้องล่องทะเลไปในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต อันความเป็นจริงเขาอาจไม่ตายก็ได้ แต่ก็ยังเชื่อว่าไม่ควรออกเรือละจากฝั่ง เวลาก็เป็นแบบนั้นล่ะ...มันเดินทางไปเสมอ มันไม่เคยหยุด มันไม่เคยทำร้ายอะไรมนุษย์ แต่มนุษย์ก็กลัวมันเหลือเกิน”


    “เพราะในความคิดของมนุษย์เรา เรื่องความเชื่อกับวิทยาศาสตร์มันไปด้วยกันไม่ได้เสียเท่าไหร่นี่ครับ -- อย่างในหนังสือเล่มนั้น คุณคิดจริงๆเหรอครับ ว่าจิตของเราจะยังคง อยู่หลังจากที่ตัวเราตายไปแล้ว” จุนมยอนย้อนกลับไปพูดถึงเนื้อความในหนังสือ เขาถามอย่างเปิดเผย เพราะมั่นใจแล้วว่าชายคนนี้รู้เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างดี


    “สิ่งที่มองไม่เห็นได้ด้วยตา ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริงๆหรอกนะครับ สิ่งที่สะท้อนแสงไม่ได้ก็คือวัตถุโปร่งแสง และในโลกนี้มีสิ่งที่เป็นเช่นนั้นอยู่ไม่น้อยเลย มันยังคงอยู่เสมอ เมื่อมันอยากอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเราพร้อมจะตายจริงๆหรือเปล่า” ชายคนนั้นพูดถึงวิญญาณ จุนมยอนไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก ว่ามันเกี่ยวอะไรกับเรื่องภพชาติที่เขากำลังพูดถึง หากแต่เขาก็ยังคงถามกลับไป


    “แต่คนเราทุกคนต้องตาย ไม่วันใดก็วันหนึ่งนี่ครับ” จุนมยอนพูดต่อ


    “คนเราแต่ละคนเกิดมาก็ต้องตายใช่แล้วล่ะครับคุณ แต่มันขึ้นในแต่ละจังหวะของแต่ละคน  เราไม่ได้แก่ตัวลงเพราะเวลาหรอก...เวลาไม่เคยทำให้ร่างกายเราสึกหรอ แต่เราแก่ลงเนื่องจาก....” ชายคนนั้นหยิบเอาซองน้ำตาลของเขาที่แกะทิ้งไว้ เทออกให้น้ำตาลกรวดกองอยู่บนโต๊ะ แล้วแบ่งออกเป็นสองกอง “เราใช้พลังงานไปในแต่ละวัน และการใช้พลังงานบางส่วนที่เราสร้างขึ้นใหม่” เขาชี้ไปที่กองแรง “นี่คือพลังงานของวันนี้” และชี้ไปที่อีกกอง “ส่วนนี่คือพลังงานของวันพรุ่งนี้ครับ”


    “คุณเปรียบชีวิตเราเหมือนการชาร์จแบตเตอร์รี่เหรอครับ?” จุนมยอนถามอย่างสนใจ


    “ใช่แล้วล่ะครับ...ลองคิดตามผมนะ พลังงานเราเคยมีอยู่เต็มเหมือนแบตเตอรี่ และใช้ไปในแต่ละวันอย่างสิ้นเปลือง วันหนึ่งมันก็ถูกใช้จนหมด...แต่เวลาที่จะใช้ชาร์จ มันไม่เพียงพอที่ใช้ในวันต่อไป ร่างกายของเราเลยต้องเอาพลังงานที่เก็บเอาไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ออกมาสำรองจ่ายไปก่อน” เขาปัดน้ำตาลกองแรกหายไป แล้วดึงกองที่สองออกมาครึ่งหนึ่ง


    “คุณหมายถึง คนเราแก่ตัวลงเพราะใช้พลังงานเกินกำลังงั้นหรือครับ?”


    “มากบ้างน้อยบ้าง ใช่แล้วครับ”


    ถ้าตำแหน่งที่เขาพูดขึ้นในตอนแรก ไม่บ่งบอกฐานะของเขาก่อนหน้านี้แล้วล่ะก็ จุนมยอนคงพร้อมจะปักใจเชื่อว่าเขากำลังคุยกับคนสติไม่สมประกอบไร้คนเหลียวแล ที่วนเวียนอยู่ตามเก้าอี้ในบาร์หรือร้านกาแฟ เพื่อหาคนนั่งข้างๆมาฟังเรื่องเพ้อเจ้อของตัวเอง


    หากแต่เรื่องที่เขาคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ กลับออกมาจากปากนักวิจัยสถาบันชื่อดังอย่างนี้ จุนมยอนจึงวางใจที่จะคุยต่อไป...เขาสั่งช็อคโกแลตฟัดจ์ให้ผู้ชายคนนั้น เป็นอันบ่งบอกว่าบทสนทนาของพวกเขานั้นไม่มีทางที่จะหยุดลงง่ายๆ อย่างแน่นอน


    “คุณคิดว่าวิญญาณเกิดข้ามภพข้ามชาติกันได้งั้นเหรอครับ?”


    “วิญญาณหลายดวงทำได้ครับ”


    “ตอนที่ยายของผมยังอยู่ ยายบอกว่าดวงดาวคือวิญญาณที่ได้ขึ้นสวรรค์”


    “งั้นคนขึ้นสวรรค์ก็เยอะแยะเต็มไปหมดเลยสินะครับ” ชายคนนั้นหัวเราะในลำคอแต่ไม่ได้ฟังดูเย้ยหยันในความเชื่อของเขา จุนมยอนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อไป


    “มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกครับ คนเราเกิดมาก็ต้องตายไปมันถูกแล้ว...แต่ช่วงสุดท้ายของชีวิต คนเราจะจดจำสิ่งต่างๆแตกต่างกัน -- คุณคงจำเรื่องที่ผมพูดไว้ก่อนหน้านี้ได้ ถ้าร่างกายที่เราใช้อยู่มีพลังงานไม่เพียงพอ  เราก็จะละจากร่างนั้น ไปหาขุมพลังชีวิตใหม่เพื่อเดินทางต่อ แต่หากจิตวิญญาณยังคงจดจำช่วงชีวิตสุดท้าย วิญญาณก็จะไม่ยอมทิ้งร่างนั้น ถึงแม้ว่าวิญญาณจะออกมาแล้วก็ตาม...


    แต่พลังงานอันแรงกล้าที่เรียกว่าความทรงจำจะยังคงอยู่ และแหล่งพลังงานแห่งชีวิตอีกอันจะยังคงไม่แตกสลาย มันจะล่องลอยวนเวียนอยู่ มันจะไม่มีทางไปไหน” บทสนทนาเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จุนมยอนแทบไม่ได้กระพริบตาเลย เมื่อเขากำลังฟังคำอธิบายเหล่านั้น มันเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ก็ยังมีบางอย่างที่เขาข้องใจ


    “แล้วพลังงานอีกอันที่ว่าคืออะไรครับ?” จุนมยอนเอ่ยถาม


    “แหล่งพลังงานนั้น คือ ความรู้สึกไงล่ะครับ คุณต้องจำไว้นะ...ว่ามันไม่เคยไปไหน มันยังคงอยู่เสมอถ้าช่วงชีวิตสุดท้ายของร่างก่อน ถ้าร่างก่อนยังไม่จากไป คุณก็ยังไม่พร้อมจะละจากมัน” ชายร่างสูงพูดพลางหันมามองจ้องจุนมยอนไม่ละสายตา แววตาเขาดูแปลกพิกล และนั่นทำให้ชายคนนั้นเริ่มที่จะน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ


    “ผมไม่เข้าใจครับ” จุนมยอนส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ


    “คุณต้องตามหาเอง ว่าเพราะอะไรคุณถึงเป็นแบบนี้ ร่างกายใหม่นี้มันยังไม่ใช่ของคุณ จนกว่าจิตวิญญาณที่ล่องลอยอยู่จะกลับมาพบเจอร่างนี้ ผมคงอธิบายมากไปไม่ได้กว่านี้แล้วล่ะ...



    ต่อไปนี้เป็นคุณเอง ที่ต้องตามหาคำตอบของมัน  คุณซูโฮ

     



    กริ๊งงงงงงงงงงงง!!!

     




    เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ทำให้จุนมยอนสะดุ้งสุดตัว เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วกดรับในทันที


    “ว่ายังไงครับคุณยูริ?” จุนมยอนหันหน้าหนีไปอีกทางเพื่อที่จะคุยโทรศัพท์กับยูริที่โทรเข้ามา เพื่อเตือนว่าถึงเวลาที่จุนมยอนจะต้องไปเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อที่จะไปดินเนอร์กับลูกค้าตอนเย็นนี้


    “ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ ขอบคุณมากนะที่โทรมาเตือน” จุนมยอนพูดจบก็ร่ำลา ก่อนจะกดตัดสาย เขาเก็บโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋า ก่อนที่จะหันกลับมาหาชายร่างสูงที่พูดคุยกันยังไม่หายข้องใจดีนัก



    แต่ปรากฏว่า เมื่อจุนมยอนหันกลับไปหา...ผู้ชายคนนั้นก็ไม่อยู่เสียแล้ว...



     

    หัวใจของจุนมยอนเริ่มเต้นแรงขึ้น เขาถลันผุดลุกขึ้นก่อนจะมองไปทั่วร้าน แต่ผู้คนที่เดินเข้าออกในร้านกาแฟกลืนความหวังที่เขาจะได้เห็นผู้ชายคนนั้นไปจนสิ้น


    จุนมยอนมองลงไปที่แก้วกาแฟของชายแปลกหน้า เขาก็พบว่ากาแฟเอสเพรโซ่นั้นยังเต็มเปี่ยมที่ขอบถ้วย...ราวกับว่ามันถูกวางเสิร์ฟ และไม่ได้ถูกยกดื่มเลยตั้งแต่ต้น


    จุนมยอนครุ่นคิดถึงประโยคสุดท้ายของชายร่างสูง ก่อนจะตกใจเป็นอย่างมาก มันคงเป็นคำถามที่ย้ำเตือนในหัวใจของจุนมยอนแบบไม่มีวันได้คำตอบ จนกว่าจะได้เจอชายคนนั้นอีกครั้ง และถามให้แน่ใจ




    แล้วชายคนนั้นรู้ได้ยังไงว่าเขาชื่อซูโฮ...








    *วิชาการเกิ้นนนนน พลังหมดแล้วจ้าาาาาาา*

    *ตอนหน้าว่าจะปลดล๊อคตัวละครใหม่ อยากเจอใครเป็นพิเศษมั้ยเอ่ยยย*






    O W E N TM.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×