ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO) LOST IN TIME (4KIM: KAI CHEN XIUMIN SUHO ft. EXO)

    ลำดับตอนที่ #17 : CHAPTER XVI

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 59



    CHAPTER XVI













    “สรุปคือ...นายเป็นลูกชายเขาสินะ” จงอินพูดขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่เมื่อคืนจงแดผ่านช่วงเวลาหนักหน่วงจนพวกเขาไม่สามารถพูดคุยกันต่อได้ ซึ่งตอนนี้จงแดเองก็ดูเหมือนยังช็อคอยู่ แต่ก็ดูมีสติพอที่จะพูดคุยกันได้รู้เรื่องมากขึ้นกว่าเมื่อวาน

    “อืม เห็นกันแล้วว่าใช่” จงแดพยักหน้าพร้อมทั้งยักไหล่ ใบหน้าดูซูบโทรมและมีร่องรอยของความเศร้าหมอง อย่างที่คิมทั้งสามคนไม่เคยเห็นมาก่อน

    “มิน่าล่ะ เขาถึงได้ฝากเงินไว้ให้คุณตั้งมากมาย” จุนมยอนพูดเสริม พร้อมทั้งดันแก้วกาแฟกรุ่นร้อนไปตรงหน้าจงแด “ดื่มนี่ซะหน่อย คุณดูแย่มากเลย”

    “ขอบใจที่ชมนะ” จงแดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยกแก้วกาแฟนั้นขึ้นจิบ รู้ดีว่าวันนี้ตัวเองไม่ปกติเสียเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยจะหลับเลย


    “แต่มันแปลกนะ อย่างที่เรารู้กัน ว่าผมคือซูโฮ จากชื่อบนเปียโนบนห้องของผมนั่น และจากที่คุณกึนยองบอกมา คุณไคที่คุณเฉินพูดถึงในคลิปก็คือจงอิน เพราะงั้นซิ่วหมิน ก็น่าจะเป็นมินซอก ผมแปลกใจว่าในเมื่อเราเป็นรุ่นลูก แต่ทำไมเราถึงหน้าเหมือนพวกเขานัก” จุนมยอนตั้งข้อสงสัย ซึ่งนั่นก็สะกิดใจให้ทุกคนเริ่มขบคิด

    “นั่นสินะ ถึงเขาเป็นพ่อผม เราก็ไม่น่าจะเหมือนกันขนาดนี้ และเราไม่ควรมี ลายนิ้วมือเดียวกัน ด้วย” จงแดพูดและใช้ความคิด

    “แต่ที่ผมติดใจก็คือ มันคือการทดลองอะไรนะ ที่ทำให้พวกเขาต้องหนีตายกันอย่างนี้” มินซอกพูดด้วยท่าทางชวนหดหู่ ทั้งสามคนที่ได้ฟังเองก็เช่นกัน ราวกับเห็นจุดจบของตัวเองอยู่ต่อหน้าต่อตา เหมือนกับได้รู้ว่าตัวเองจะตายยังไง

    “มันแปลกจริงๆ ผมว่าเรื่องนี้มันซับซ้อนมากกว่าที่เราเข้าใจ ถึงจะได้คำตอบแต่ก็ยังมีอะไรค้างคาอยู่ดี” จงอินพูดพลางยักไหล่ จงแดพยักหน้าอย่างครุ่นคิด บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้าวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก เพราะมีหลายเรื่องที่ยังค้างคา พร้อมทั้งปริศนาข้อใหม่ที่เฉินทิ้งไว้ให้แก้

    “ปริศนาข้อต่อไป ก็คือปริศนาที่พ่อฉันทิ้งไว้สินะ หาสถานที่ ที่แสงสว่างไม่อาจลอดผ่านได้” จงแดเอ่ยถามด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาควรต้องนอนมากกว่านี้ เพราะตอนนี้คิดอะไรไม่ออกเลยซักอย่าง

    “เราควรจะเริ่มตรงไหน?” มินซอกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก

    “ตอนนี้ผมคิดอะไรไม่ออกเลย” จุนมยอนตอบพร้อมทั้งถอนหายใจ


    “เฮ้อ ผมว่าตอนนี้ไม่มีใครคิดอะไรออกหรอก เรื่องมันเพิ่งเกิดขึ้น เรายังมองอะไรได้ไม่ชัดเจนเท่าไหร่” จงอินพูดพร้อมทั้งจิ้มไส้กรอกเข้าปาก แล้วเคี้ยวมันด้วยท่าทางที่ปล่อยวางมากขึ้น

    “งั้นเราคงต้องปล่อยมันไว้ก่อน เราอาจจะต้องฟังคลิปนั้นซ้ำอีกหลายรอบ ผมว่าอาจจะได้เบาะแสอะไรมากขึ้น” จุมมยอนพูดเสริม พร้อมทั้งถอนหายใจอย่างหนัก

    “แค่ต้องรอจนกว่าอะไรมันจะชัดเจนขึ้นกว่านี้” จงแดเอ่ยสรุป ที่พวกเขาทำได้ตอนนี้ก็แค่รอเท่านั้น


    “งั้นตอนนี้เราก็ใช้ชีวิตกันตามปกติกันเถอะ เรายังต้องทำงาน ต้องเรียน ต้องใช้ชีวิต และตอนนี้ก็ต้องกินเยอะๆด้วย” จงอินไม่พูดเปล่า เขาหยิบขนมปังเนยแจกจ่ายให้ทุกคนเพิ่มอีกคนละอัน แม้ว่าจานแต่ละคนจะยังไม่พร่องลงไปเลยซักนิด

    “จริงของจงอิน วันนี้ผมมีประชุมนอกสถานที่ ลูกค้านัดที่แถวๆมยองดง ผมอาจจะต้องรีบทานหน่อย” จุนมยอนพูดขึ้น ในขณะที่ยกยิ้มแล้วรับขนมปังเนยที่จงอินวางไว้ขึ้นมากัด

    “วันนี้ฉันจะไปรับคยองซูที่กวางจู อาทิตย์หน้าคยองซูเปิดเรียนภาคปกติแล้ว อ่า...ฉันยังไม่ได้ขอบคุณทุกคนเลยที่ยอมให้คยองซูมาอยู่ด้วย” จงอินพูดพลางยิ้ม เขาพยักหน้าแล้วมองไปที่ทุกคนด้วยสายตาที่รู้สึกขอบคุณ

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า จากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถ้าเราแยกนายสองคนออกจากกัน ฉันคงรู้สึกผิดน่าดู” จงแดยิ้มตอบกลับ ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    “อ่า...งั้นก็เหลือแต่ผมสินะที่ยังไม่มีคู่” จุนมยอนพูดแหย่

    “คุณมีพวกเราทุกคนแล้วนี่ครับ อยากได้คนไหนก็ชี้นิ้วเรียกเอา” มินซอกแหวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะกลับคืนมาสู่วงสนทนาได้อย่างดีทีเดียว



    “ผมดีใจนะที่เราได้มาเจอกัน” จุนมยอนพูดพร้อมยกยิ้ม ดูจริงจังแต่กลับอบอุ่น และเรียกรอยยิ้มให้กับทุกคนได้ไม่ยาก “ผมไม่เคยมีเพื่อนที่สนิทจริงๆเลยซักคน เพราะมัวแต่มุทะลุจะให้ตัวเองเป็นที่หนึ่ง ให้ตัวเองเป็นคนเก่ง พอจะให้พ่อยอมรับ ผมไม่คิดเลยว่าวันนึงเพื่อนจะสำคัญกับชีวิตผมขนาดนี้” จุนมยอนพูดต่อ

    “นั่นซึ้งมาก” จงอินหัวเราะในคอแล้วยื่นมือไปบีบที่บ่าของจุนมยอนเบาๆ จุนมยอนยิ้มเขินแต่ก็ดูพอใจทีเดียว

    “งั้นเรามาพูดแบบเป็นกันเองกันเถอะ” จงแดชักชวนด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ตอนนี้เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนี่นา”

    “เอ๋? ยังไง?” มินซอกถามอย่างแปลกใจ

    “ก็ตอนนี้มีแค่ฉันกับจงอินที่พูดกันแบบเป็นกันเองเพราะสนิทกันที่สุด แต่ตอนนี้เราทุกคนสนิทกัน เพราะงั้น มาพูดแบบเป็นกันเองกันเถอะ” จงแดพูดต่อไปพร้อมทั้งหันไปพยักหน้าให้กับจงอินที่เข้าใจความหมายนี้

    “จากแท็กป้ายชื่อที่มีวันเกิดติดไว้ จุนมยอนอายุมากที่สุดในกลุ่มเรา เราจะเรียกคุณว่าพี่ ตกลงมั้ย” จงอินช่วยพูดเสริมอีกแรงหนึ่ง

    “ไม่เคยมีพี่น้องเลย แต่ก็ดีเหมือนกันนะ ขอบใจพวกนายมาก อย่างนี้ใช่มั้ย” จุนมยอนยกยิ้มอย่างขัดเขิน ตั้งแต่เกิดมา มีน้อยครั้งที่เขาจะได้พูดแบบเป็นกันเองกับคนอื่นแบบนี้

    “แบบนั้นแหละพี่ชาย” จงอินหัวเราะอย่างมีความสุข

    “แต่มินซอกก็ยังเป็นมินซอกของฉันนะ ฉันไม่ถือคติเมียเพื่อนเหมือนเมียเรา” จงแดแกล้งหลิ่วตาใส่จงอิน ซึ่งนั่นก็ทำให้คิมทั้งสี่หัวเราะร่า



    บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดีขึ้นมาก ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะยังคงเป็นปริศนา แต่ ณ บัดนี้ไม่มีใครที่กังวลใจ พวกเขายังมีกันและกัน หัวเราะร่วมกัน และมันดีจริงๆที่เด็กกำพร้าทุกคนได้มาหัวเราะร่วมกันในวันนี้ ถึงแม้ว่าการตามหาอดีตยังเป็นข้อข้องใจ แต่พวกเขาไม่กลัวที่จะค้นหามัน

    เพราะไม่ว่ามันแย่แค่ไหน พวกเขาก็มั่นใจว่า วันรุ่งขึ้นยังมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่แสนอบอุ่นคอยมอบให้กันเสมอ และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป...

     

     

     

    **********




     

     

    จุนมยอนกำลังนั่งอยู่ที่เบาะหลังเมอร์ซิเดส เบนซ์ สีบรอนซ์เงินคันหรู เหม่อมองออกนอกหน้าต่างและขบคิดถึงเรื่องต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาเงียบจนควอน ยูริ อดแปลกใจไม่ได้ จนต้องส่งเสียงทักออกไป

    “ท่านคะ อีกสิบห้านาทีเราจะถึงกันแล้วนะคะ ฉันว่าท่านควรเช็คพวกเอกสารซักหน่อย” ยูริพูดขึ้น ดึงสติของจุนมยอนให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง

    “อ่า เอาสิ มีอะไรบ้าง” จุนมยอนหันมายิ้มบางๆให้กับยูริ ที่ตอนนี้เตรียมเอกสารสูจิบัตรเอาไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว

    “ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะท่าน แค่ลองดูสูจิบัตรพวกนี้ซักหน่อย ดิฉันว่ามันแปลกทีเดียว” ยูริพูดพร้อมทั้งยื่นใบสูจิบัตรการประชุมมาให้จุนมยอน

    “แปลกตรงไหนเหรอครับ คุณยูริ?” จุนมยอนยกคิ้วแล้วมองบนสูจิบัตรในมือ

    “ตรงที่สถานที่จัดงานไม่ใช่โรงแรมเหมือนทุกครั้ง และไม่มีชื่อตำแหน่งใต้ผู้เรียนเชิญ ซึ่งปกติแล้วควรจะมีค่ะท่าน” ยูริชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติ ซึ่งจุนมยอนเองก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน


    “นั่นสินะ มิสเตอร์...ซี วาย ปาร์ค จากเอสกรุ๊ป จะว่าไป...เอสกรุ๊ปนี่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไรนะ?” จุนมยอนถาม

    “จากที่ดิฉันตรวจสอบพบมา เอสกรุ๊ปเป็นบริษัทนายทุน ผลิตสื่อการศึกษาสำหรับเด็กค่ะท่าน แต่ก็เจาะกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีความสนใจด้านนี้เป็นพิเศษด้วย เป็นเจ้าของช่อง National Geographic ของเกาหลี และครอบคลุมสื่ออื่นๆในประเภทนี้ทั้งหมด” ยูริอธิบายอย่างละเอียด จุนมยอนรับฟังพร้อมทั้งพยักหน้าตอบรับ


    “ทั้งๆที่ครอบคลุมธุรกิจวงกว้างขนาดนี้ ทำไมเราถึงไม่เคยรู้จักนะ ทั้งๆที่เราก็ทำธุรกิจสื่อเหมือนกันแท้ๆ” จุนมยอนถามอย่างแปลกใจ

    “ส่วนมากเอสกรุ๊ปจะเป็นผู้ดูแลด้านเงินทุนแก่บริษัทเล็กๆมากกว่าค่ะท่าน ไม่ได้ออกตัวอย่างเป็นทางการมากนัก เป็นบริษัทที่อยู่เงียบๆมาตลอดจริงๆ ทำตัวเหมือนกับพวกองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร แต่ก็มีรายได้มหาศาลจากค่าลิขสิทธิ์” ยูริตอบพลางยิ้ม ก่อนจะพูดเสริมว่า “ดิฉันว่าบริษัทน่าสนใจมากเลย”

    “แล้วเขาต้องการอะไรจากเรานะ ทั้งๆที่ปกติแล้วไม่เคยติดต่อกันมาก่อนแท้ๆ” จุนมยอนเอียงคอแล้วครุ่นคิด

    “อาจต้องการซื้อช่วงเวลาจากทางช่องของเราก็ได้นะคะท่าน ตอนดิฉันโทรติดต่อกลับ เขาก็ค่อนข้างแปลกนิดหน่อย บอกว่าให้รายละเอียดอะไรมากไม่ได้ แค่เรียนเชิญท่านเป็นพิเศษ เพื่อให้มาฟังแคมเปญพิเศษของเอสกรุ๊ปที่จะเสนอกับท่าน แถมยังมีค่าเสียเวลาให้ท่านเยอะมากพอที่จะไม่ต้องทำงานไปทั้งสัปดาห์ด้วย” ยูริหัวเราะออกมาเล็กน้อย เมื่อจุนมยอนหัวขวับมาเพราะคำว่า ไม่ต้องทำงานทั้งสัปดาห์

    “รวยขนาดนั้นเชียวเหรอ” จุนมยอนอดแปลกใจไม่ได้

    “ซื้อเวลาสองชั่วโมงจากท่านได้ ก็ถือว่าเงินหนาทีเดียวล่ะค่ะ” ยูริยิ้มแย้ม “ถึงแล้วค่ะท่าน เราลงไปเตรียมตัวกันเถอะ”

    ยูริเอ่ยชักชวนเมื่อมาถึงสถานที่ๆนัดเอาไว้ มันไม่ใช่โรงแรมหรูเหมือนทุกครั้งที่จุนมยอนถูกรับเชิญทุกครั้ง แต่กลับเป็นอาคารหลังกลางสองชั้น ที่ดูจากสภาพภายนอกแล้ว น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี


    “ที่นี่ที่ไหนกันน่ะ” จุนมยอนกลัดกระดุมชุดสูทหรูแล้วมองไปที่อาคารแห่งนี้อย่างทึ่งๆ

    “ถ้าจากในบัตรเชิญ มันเขียนว่าห้องสมุดประชาชนแห่งชาติโซล ในปี ค.ศ.1938 – 1974 แต่ตอนนี้มันเป็นพิพิธภัณฑ์หนังสือโบราณน่ะค่ะท่าน” ยูริชี้ให้จุนมยอนดูป้ายบอกชื่อสถานที่ ซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ราวกับจะบอกจุนมยอนเป็นนัยๆว่าไม่จำเป็นต้องถามเลย

    “ปี 1974  -- ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง” จุนมยอนพูดกับตัวเองเบาๆ จู่ๆเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ก็ผุดขึ้นมาในหัวของจุนมยอนขึ้นมาเสียอย่างนั้น

    เราถูกบังคับต้องทำการแลกข้อมูล เพื่อที่เกาหลีจะได้ไม่ต้องถูกล่าอาณานิคม จู่ๆเสียงของเฉินก็ดังขึ้นในความคิด ไม่รู้เพราะอะไร แต่จุนมยอนรู้สึกว่าที่นี่มีมนต์ขลัง และรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด


    “นี่มันแปลกจริงๆ” จุนมยอนเอ่ยกระซิบเบาๆกับตัวเอง โดยที่ยูริมัวแต่ยุ่งกับการมองหาทางเข้า เพราะจากที่เห็นประตูทางเข้านั้นถูกปิดไว้

    “ท่านคะ ทางโน้นมีประตูทางเข้าอยู่ เราคงต้องเข้าไปทางนั้นแล้วสอบถามใครซักคน” ยูริชี้ชวนให้จุนมยอนออกเดินไปทางประตูข้าง ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าประตูใหญ่ที่ถูกปิดไว้ แล้วมีราวแขวนป้าย เขียนว่า “ปิดปรับปรุง” อยู่ที่ตรงนั้น

    จุนมยอนและยูริเดินเข้าไปด้านใน อากาศอบอุ่นสบาย เหมาะสมกับเครื่องเรือน และการตกแต่งที่ค่อนข้างเก่าแก่ตามโครงสร้างของตัวตึก ยูริแจ้งจุนมยอนว่าจะเข้าไปติดต่อกับพนักงาน และปล่อยให้จุนมยอนยืนรออยู่ที่โถงรับแขก



    มีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด...



    จุนมยอนมองไปรอบๆ บริเวณโถงรับแขกนั้นแล้วเอาแต่คิดถึงคำนี้ เขาแน่ใจอย่างมากว่าเขาไม่รู้จักที่นี่มาก่อน แต่ไม่ว่าหันมองไปทางไหน ทุกมุมประตูหรือแม้กระทั่งตำแหน่งของห้องบนชั้นสอง จุนมยอนรู้สึกและสัมผัสได้ว่าเขาเคยรู้จักที่นี่ จุนมยอนเดินลัดโถงแล้วขึ้นบันไดที่อยู่ตรงหน้า สองเท้าก้าวไปเองโดยที่เขาไม่แน่ใจนักว่าเขากำลังจะไปไหน 

    จุนมยอนเดินไปทางปีกขวาของอาคาร ตรงสุดทางเดินมีห้องเล็กๆ อยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งปากทางเข้าประตูถูกเขียนเอาไว้ว่า พิพิธภัณฑ์หนังสือโบราณ: หมวดวิทยาศาสตร์ แต่จุนมยอนไม่ได้สนใจป้ายบอกทาง เขาแค่สนใจว่าความรู้สึกกำลังจะบอกอะไรเขาในตอนนี้



    จุนมยอนเดินเข้ามาในห้อง และพบว่ามีชั้นหนังสือมากมายในห้องนี้ ไม่ต่างอะไรจากห้องสมุดทั่วไปที่จุนมยอนเคยรู้จัก หากแต่หนังสือที่อยู่บนชั้นวางเหล่านี้ เป็นหนังสือที่น่าสนใจอย่างมาก

    ไล้นิ้วเรียวไปตามสันหนังสือที่วางซ้อนทับกันอยู่ จุนมยอนถูกดึงดูดเข้าไปสู่โลกที่ตนไม่เคยรู้จัก อาทิ วิทยาการว่าด้วยหลุมขาว(ปรากฏการณ์อธิบายทิศทางตรงข้ามของหลุมดำ) ข้างๆกันนั้นเป็นเรื่องของสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ห่างไปไม่เท่าไหร่ก็เป็นเรื่องของนอกอวกาศ เอเลี่ยน และเรื่องต่างๆที่จุนมยอนรู้สึกทึ่ง และรู้สึกว่าน่าสนใจเสียทั้งนั้น

    จนกระทั่งสายตาได้ไปสะดุดกับหนังสือเล่มหนึ่ง ด้านหน้าเป็นปกกำมะหยี่สีเขียว ลงรักสีทองเป็นตัวอักษรเรียบหรู ที่เขียนเอาไว้ว่า ทฤษฏีว่าด้วยการกำเนิดในภพใหม่ และปัจจัยการเชื่อมโยงสู่ภพเดิม ชื่อนั้นดึงดูดให้จุนมยอนตัดสินใจหยิบมันออกมาเปิดอ่านได้อย่างง่ายๆ

    เนื้อในกระดาษยังคงดูสะอาดและดูเหมือนใหม่ ราวกับได้รับการดูแลรักษามาอย่างดีทั้งๆที่หนังสือมีอายุมากกว่า 80 ปีแล้ว เมื่อเทียบกับหนังสือละแวกใกล้เคียงบนชั้น ที่ดูเหมือนถูกปะ และได้รับการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์มานับไม่ถ้วน แต่หนังสือเล่มนี้กลับดูแตกต่างออกไป...จุนมยอนรู้สึกแปลกใจเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาพบว่าหนังสือเล่มนี้ถูกพิมพ์ขึ้นครั้งแรกในปี 1976 ซึ่งอายุอานามมันก็มากเสียจนจุนมยอนรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

    “ผู้เขียน SH. KIM” จุนมยอนกระซิบกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะค่อยๆเปิดอ่านคร่าวๆอย่างเบามือ...

     


     

     *********

     

     

     

    “โอท่านคะ อยู่นี่เอง ดิฉันตามหาเสียตั้งนาน” ยูริเดินเข้ามาทักทายด้วยท่าทางโล่งอก ทำเอาจุนมยอนสะดุ้งสุดตัว เพราะบรรยากาศภายในห้องเมื่อครู่นั้นเงียบมาก จุนมยอนปิดหนังสือแล้วมองหน้าควอนยูริด้วยความหงุดหงิดเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงออกจนน่าเกลียด

    “อืม ฉันเดินขึ้นมาโดยไม่ได้บอกเธอก่อน ขอโทษด้วยนะ” จุนมยอนพูด

    “ไม่เป็นไรค่ะท่าน แต่ดิฉันจะมาแจ้งว่าการนัดครั้งนี้คงจะมีอะไรผิดพลาดซักอย่าง” ยูริเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่คล้ายจะไม่ชอบใจ เธออ่านทวนในสูจิบัตรหลายหนก่อนจะขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด

    “อะไรเหรอ เกิดอะไรขึ้น?” จุนมยอนขมวดคิ้วตามอีกคน แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย

    “ก็พนักงานบรรณารักษ์ที่ด้านล่างนั่นน่ะสิคะท่าน เขาบอกว่าคุณปาร์คเดินทางไปประจำการที่สิงคโปร์ได้สามปีแล้ว และไม่มีใครที่รู้เรื่องเกี่ยวกับการนัดประชุมครั้งนี้เลยด้วย” ยูริพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก

    “แล้วโทรติดต่อกลับไปยังคนที่คุยกันทุกครั้งไม่ได้เหรอ?” จุนมยอนถามกลับพร้อมทั้งยกคิ้ว

    “ดิฉันพยายามแล้วค่ะท่าน แต่โทรติดต่อไม่ได้ แจ้งว่าเป็นบริการรับฝากข้อความตลอดเลย” ยูริกัดริมฝีปากแล้วพยายามจะต่อสายโทรศัพท์ตามที่จุนมยอนแนะนำอีกครั้ง

    “แปลว่าเราโดนหลอกงั้นเหรอ?” จุนมยอนเริ่มเดือดดาลขึ้นมาเล็กน้อย หากแต่ก็ยังรักษามาดเอาไว้ไม่ให้สติหลุดได้อย่างดี

    “ดิฉันไม่แน่ใจค่ะท่าน เพราะประมาณสิบนาทีก่อน มียอดเงินค่าตัวที่ตกลงกันไว้ถูกโอนเข้ามา แต่ไม่มีการจัดประชุม ดิฉันเองก็ไม่เข้าใจ” ยูริดูร้อนรน เธอไม่เคยทำงานพลาดอย่างนี้มาก่อนในชีวิต เพราะฉะนั้นแล้วเหตุการณ์นี้เลยทำให้ควอนยูริดูกังวลมากกว่าปกติ จุนมยอนจึงลอบถอนหายใจเบาๆเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องคิดมาก

    “งั้นเอาเป็นว่าเรากลับบริษัทกันก่อนเถอะ แล้วรอให้เขาเป็นฝ่ายติดต่อมานัดสถานที่พูดคุยกันอีกทีแล้วกัน เขาเองคงไม่อยากให้เงินต้องสูญเปล่าไปหรอกจริงไหม” จุนมยอนปลดกระดุมเสื้อสูทออกแล้วคลายปมเนคไทเพียงเล็กน้อย งานในตอนเช้าของเขาจบแค่เพียงเท่านี้ ไม่มีการประชุม ตารางตอนเช้าก็เป็นอันว่างยาวไปจรดบ่าย



    “ต้องขอโทษด้วยนะคะท่านที่ดิฉันประสานงานได้ไม่ดี เลยทำให้เกิดปัญหา” ควอนยูริทำสีหน้ากังวลแล้วก้มลงขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

    “ไม่เป็นไรหรอกน่าคุณยูริ ดีแล้วล่ะที่คุณทำงานพลาดบ้าง ผมจะได้ไม่รู้สึกผิดมาก ถ้าหากผมให้โบนัสน้อยเกินกว่าที่คุณคาดไว้” จุนมยอนหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเดินนำยูริลงมาที่โถงด้านล่าง เขาถือหนังสือติดมือมาด้วยแล้วเกือบจะเดินพ้นประตูออกไป


    “โอ้ใช่! เกือบลืมไปเลย คุณบรรณารักษ์ครับ ที่พิพิธภัณฑ์นี้สามารถจะยืมหนังสือออกไปได้ไหม?” จุนมยอนเดินย้อนกลับมาที่โต๊ะของพนักงานบรรณารักษ์ที่ดูค่อนข้างจะมีอายุแล้ว ก่อนจะเอ่ยถามเพื่อขอยืมหนังสือที่เขาถือติดมือมาด้วย

    “ความจริงแล้วหนังสือในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้นำออกไปได้ค่ะ แต่เมื่อซักครู่ทางผู้ใหญ่ได้โทรสั่งงานผ่านผู้จัดการ แจ้งว่าคุณจุนมยอนสามารถนำหนังสือเล่มไหนออกไปก็ได้โดยต้องไม่กำหนดวันยืมคืนค่ะ ทางผู้จัดการแจ้งว่าเป็นของที่ระลึก และให้ของกำนัลที่การประชุมผิดพลาด” บรรณารักษ์รุ่นใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก ให้ความรู้สึกเหมือนคุณแม่แสนใจดี ซึ่งทำเอาจุนมยอนฉีกยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อได้ยินอย่างนั้น

    “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ผมต้องลงทะเบียนไหมว่าเอาเล่มไหนออกไป?” จุนมยอนสอบถาม

    “ไม่ต้องลงทะเบียนค่ะ คุณจุนมยอนสามารถนำออกไปได้เลยค่ะ” บรรณารักษ์กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

    “ถ้างั้นก็ฝากขอบคุณมากนะครับ ผมจะอ่านมันอย่างรู้คุณค่าเลย” จุนมยอนยกยิ้ม  ก่อนที่ทั้งเขาและยูริจะบอกลาและเดินทางออกจากพิพิธภัณฑ์ในที่สุด

     

     


    **********


     

     

    หลังจากที่ออกจากพิพิธภัณฑ์ได้ไม่นานนัก จุนมยอนก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากระทันหัน เขาไม่ต้องการที่จะกลับไปที่บริษัททันที แต่ต้องการหาที่ๆเหมาะกับการอ่านหนังสือเล่มนี้เสียมากกว่า

    “รบกวนส่งผมที่ร้านกาแฟร้านประจำของผมที ช่วยทบทวนตารางงานผมอีกทีซิคุณยูริ” จุนมยอนเอ่ยกับคนรถ แล้วหันกลับไปหายูริที่นั่งอยู่กับเขาที่เบาะหลังให้ช่วยเตือนความจำในวันนี้

    “ตารางงานวันนี้ของท่านว่างตั้งแต่ตอนนี้จนถึงห้าโมงครึ่งค่ะ ตอนห้าโมงครึ่งท่านมีนัดทานอาหารกับลูกค้ารายใหม่ของเรา คุณ โอ เซฮุน จากบริษัทโฆษณาอูรีกรุ๊ป” ยูริปลดล๊อคหน้าจอแท็ปเล็ตของเธอ ก่อนจะรายงานให้จุนมยอนทราบถึงตารางงานของเขา

    “อืม...มีแค่นี้ใช่ไหม” จุนมยอนถามย้ำ ซึ่งยูริตอบกลับมาในทันทีว่า “ใช่ค่ะท่าน มีเท่านี้ค่ะ”

    “งั้นถ้าวันนี้ไม่มีเอกสารอะไรที่ต้องเคลียร์ที่บริษัท คุณเลิกงานได้เลยนะครับคุณยูริ ส่วนผมจะเตรียมตัวแล้วไปตามนัดตอนห้าโมงครึ่งเอง” จุนมยอนกล่าวพร้อมทั้งรอยยิ้ม

    “ขอบคุณมากค่ะท่าน ดิฉันคงเข้าไปจัดการอะไรซักเล็กน้อยค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่ให้เลิกงานก่อนเวลา” ยูริโค้งขอบคุณจุนมยอนเพียงเล็กน้อยพร้อมทั้งรอยยิ้ม ก่อนที่รถจะค่อยๆชะลอความเร็วเพื่อจอดเทียบที่หน้าร้านกาแฟร้านโปรดของจุนมยอนอย่างที่ตั้งใจไว้

    “ถ้าอย่างนั้นเจอกันวันพรุ่งนี้นะครับคุณยูริ ขอบคุณที่มาส่งนะครับลุงจินซู” กล่าวลาเลขาคนสวย และคนขับรถรุ่นลุงแสนใจดีเสร็จแล้ว จุนมยอนก็คว้าเอาหนังสือเล่มใหม่ในมือหยิบใส่ลงไปในกระเป๋า แล้วเปิดประตูเดินลงไปจากรถ









    *มาปูเรื่องก่อน บอกเลยว่าเรื่องราวตอนหน้าเข้มข้นมากกก
    เค้าเขียนตอนต่อไปเกือบจะจบตอนแล้วแต่ขอตัดครึ่ง เพราะมันจะยาวมากไปค่ะ*
    *ถ้าเม้นท์กันเยอะๆ พรุ่งนี้เค้าสัญญาว่าจะมาอัพต่อแน่นอน
    เพราะงั้นถ้าทำตัวดีก็จะได้รางวัลกันน้าาาา*
    *ขอบคุณสำหรับเรทติ้งนะคะ ตอนนี้ร้อยเต็มทุกตอน
    ดีใจแรง จะร้องไห้ ขอบคุณมากค่ะ TT*
    *มาเจอกันพรุ่งนี้ถ้ารีดเดอร์เป็นเด็กดีน้า จุ้บๆ*








    O W E N TM.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×