ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO) LOST IN TIME (4KIM: KAI CHEN XIUMIN SUHO ft. EXO)

    ลำดับตอนที่ #15 : CHAPTER XIV

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 58



    CHAPTER XIV









                     “น่าเสียใจนะ แต่ก็ช่างมันเถอะ” จงอินพูดขึ้นในขณะที่ยกแก้วกาแฟร้อนในมือขึ้นจิบ เขายักไหล่ตามสไตล์ ซึ่งนั่นก็ทำให้จงแดดีใจอยู่ไม่น้อย ขณะนี้ทั้งสี่คนกำลังอยู่บนโต๊ะอาหารเช้า ที่บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยอาหารฝีมือคุณพ่อบ้านเช่นเดิม


                    “ค่อยยังชั่วที่นายไม่โกรธ ฉันเองก็ค่อนข้างคิดมากกับมัน” จงแดหัวเราะออกมาเบาๆ เพื่อระบายความกังวล


                    ในบรรดาคิมทั้งสี่คน จงอินเป็นเพื่อนที่จงแดรู้สึกสนิทใจที่สุด อาจด้วยเพราะไลฟ์สไตล์ที่ใกล้เคียงกัน ทำให้เขาไม่รู้สึกเกร็งกับจงอิน มากเท่ากับที่เขาเกรงใจจุนมยอนและมินซอก เรียกว่าจงอินเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดคนแรกในชีวิตก็ได้ละมั้ง


                    “เฮ้ย คิดมากน่า นายทำดีที่สุดแล้วเพื่อน ในอนาคตมันก็คงต้องมีเรื่องผิดหวังแบบนี้เข้ามาอีก นายไม่ต้องกังวลไปหรอกจงแด” จงอินพูดด้วยรอยยิ้ม เขายื่นแก้วกาแฟมาชนกับขอบแก้วของจงแดเบาๆแล้วขยิบตาด้วยความขี้เล่น


                    “ขอบใจนะ ฉันจะพยายามหาวิธีเปิดกระเป๋าให้ได้ มันน่าจะมีวิธีอื่นที่จะเปิดมันโดยไม่ต้องใช้รหัส” จงแดเม้มริมฝีปากครุ่นคิด วันนี้เขาตื่นเช้าเป็นพิเศษ เพราะวันนี้จงแดเริ่มปฐมนิเทศน์เป็นนักศึกษาวันแรก เนื่องจากเป็นหลักสูตรผู้ใหญ่ ตารางเรียนของพวกเขาจึงจัดขึ้นในวันเสาร์อาทิตย์ และช่วงเย็นเป็นส่วนใหญ่


                    “ตั้งใจเรียนไปเหอะน่า เอาเกรดเอมาให้พี่ภูมิใจด้วยนะน้อง” จงอินหัวเราะ ก่อนจะใช้ศอกถองเข้าที่ต้นแขนจงแดเป็นการเอ่ยแซว


                    “นายรอดูได้เลย ฉันจะกวาดเกรดเอมาอวด” จงแดยักคิ้ว ทุกคนบนโต๊ะหัวเราะ ซึ่งนั่นทำให้บรรยากาศบนโต๊ะดีขึ้นมาในพริบตา


                    “ขี้โม้จริงๆเลยนะคนอะไร” มินซอกบนพลางส่ายหน้าด้วยความขัน


                    “มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกเลยนะจงแด ไม่รู้ว่าคุณจะรู้หรือเปล่า ว่าตอนจบมหาลัยผมได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง” จุนมยอนยิ้มในขณะที่จิ้มไส้กรอกเข้าไปในปากและยักคิ้วด้วยความภาคภูมิใจ


                    “ว้าว แบบนี้รอดแล้วเรา มีติวเตอร์แล้ว” จงแดหัวเราะแล้วยักไหล่ ทั้งสี่คนหัวเราะให้กัน ก่อนที่เสียงโทรศัพท์จุนมยอนจะดังขึ้นเสียก่อน


                    “ไม่ทราบเบอร์..แปลกนะ ใครกัน” จุนมยอนขมวดคิ้วมองผู้โทรเข้าที่โชว์อยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจหากแต่เขาก็กดรับสาย 

    “สวัสดีครับ ผมจุนมยอนพูดครับ” จุนมยอนปรายตามองนาฬิกาแขวนแล้วพบว่านี่เป็นเวลาเจ็ดโมงนิดๆ และมันเช้าเกินไปที่ควรจะมีใครโทรมาเพื่อคุยเรื่องงาน


    “สวัสดีครับ ฮัลโหล? อ้าว..วางไปแล้ว” จุนมยอนมองที่หน้าจออย่างแปลกใจ เมื่อพบว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับ และจู่ๆสายนั้นก็ตัดไปเฉยๆ


    “ลองโทรกลับดูสิครับ สายอาจจะหลุดก็ได้” มินซอกแนะนำ และจุนมยอนเองก็ทำตามเช่นนั้นด้วย


    “ติดต่อไม่ได้ครับ เหมือนจะปิดเครื่องไปแล้ว ช่วงนี้มีเบอร์แบบนี้โทรมาบ่อยๆ พอรับสายก็ไม่เคยพูดอะไร แปลกมากเลย”  จุนมยอนที่พยายามกดโทรกลับอยู่สองสามครั้ง ก็ได้ยินแต่เสียงสัญญาณให้ฝากข้อความเอาไว้เท่านั้น จึงบ่นพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจ


    “พวกก่อกวนหรือเปล่า น่ากลัวจัง” มินซอกวางส้อมที่เมื่อครู่เพิ่งหั่นเบค่อนเอาไว้ และมองจุนมยอนด้วยหน้าตากังวล


    “แปลกนะ เพิ่งโทรมา แล้วก็ปิดเครื่องเลยงั้นเหรอ อาจจะเป็นพวกก่อกวนอย่างที่มินซอกว่าก็ได้นะ” จงอินมองอย่างไม่เข้าใจนัก


    “อาจจะอยู่ในที่ไม่มีสัญญาณหรือเปล่า โทรมาติดแต่พูดกันไม่ได้ยิน” จงแดพูดขึ้นมาด้วยเพราะว่ามองโลกในแง่ดีแตกต่างจากคนอื่น


    “ไม่หรอก ทุกครั้งที่กดรับสายจะมีเสียงเหมือนโทรทัศน์ดังลอดมาจากปลายสาย แต่ไม่มีคนพูดน่ะ ช่างมันเถอะครับ ไม่น่าจะมีอะไร” จุนมยอนวางสมาร์ทโฟนในมือลงกับโต๊ะ ก่อนจะหยิบส้อมขึ้นมาตักไข่ดาวที่เขาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆเอาไว้เข้าปาก แล้วเคี้ยวด้วยท่าทางไม่ใส่ใจนัก


    “คราวหน้าถ้าโทรมาอีกก็อย่ารับเลยครับ น่ากลัวนะ” มินซอกที่ดูจะกังวลเกินเหตุออกแรงเตือนจุนมยอนทันที ซึ่งดูจากท่าทางของจุนมยอนแล้ว เขาไม่ได้กังวลอะไรมากมายนักเกี่ยวกับปัญหานี้


    “ความจริงก็ไม่น่าจะมีอะไรหรอกครับ แต่โอเคครับ ถ้าคราวหน้าโทรมาอีก ผมจะไม่รับสายแล้วกัน” จุนมยอนตกปากรับคำ ก่อนจะชักชวนให้ทุกคนเปลี่ยนหัวข้อไปคุยเกี่ยวกับชีวิตมหาลัยของเขาอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ทำให้บรรยากาศกลับมาเป็นปรกติได้ในเวลาไม่นาน ทุกคนมีเสียงหัวเราะและลืมเรื่องโทรศัพท์นิรนามนั้นไปเสียสนิท...

     





     

     

    จงแดมาถึงโถงประชุมที่จัดงานปฐมนิเทศน์นักศึกษาก่อนเวลาพอสมควร ผู้คนที่มาร่วมงานมีประปรายและดูมีอายุมากกว่าจงแดอยู่หลายคน และพวกนั้นกำลังจับกลุ่มคุยกันอยู่ด้วยหน้าตาที่เคร่งเครียดกันพอสมควร


    จงแดตัดสินใจจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้ยาวที่ตั้งอยู่ด้านหน้าอาคารเพื่อรอเวลาเริ่มงาน เขามองบรรยากาศของมหาวิทยาลัยไปรอบๆ และไม่นานนักก็มีชายหนุ่มหน้าตาน่ารักคนหนึ่งเดินเข้ามานั่งอีกฝั่งของเก้าอี้ยาว และส่งเสียงทักทายจงแดด้วยอารมณ์ดี


    “นายว่าพวกคนแก่ที่เวลาเจอหน้ากันแล้วพูดแต่เรื่องหุ้นนี่น่าเบื่อไหม ฉันว่าแทนที่จะพูดเรื่องหุ้น เขาน่าจะนัดกันไปตีกอล์ฟ ดำน้ำ ดูปะการังอะไรพวกนี้ ดูสิ หน้าเหี่ยวกันหมดยังจะคุยเรื่องเครียดๆ ไม่น่าดึงดูดเลย” ชายหนุ่มเอ่ยทักพร้อมด้วยทำหน้าตาดูขี้เล่น ทำเอาจงแดอดยกยิ้มไม่ได้ เพราะเขาเองก็คิดแบบเดียวกันกับที่ชายหนุ่มขี้เล่นคนนั้นพูดขึ้นมาไม่มีผิด


                    “ยิ่งแก่ยิ่งกลัวความเสี่ยง ได้ยินผ่านๆว่าเมื่อคืนดาวน์โจนส์ร่วงลงมา 7 จุด ก็คงต้องกระเทือนกันหน่อยล่ะ” จงแดหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยื่นมือไปทำความรู้จัก “ผม คิม จงแด ครับ” ยกยิ้มกว้างขึ้นเมื่อชายหนุ่มยื่นมือกลับมาเขย่า “ผมชื่อแบคฮยอนนะ บยอนแบคฮยอน นี่คุณมาเรียนตรีใบที่สองเหรอ” แบคฮยอนถามด้วยรอยยิ้ม


                    “อ่อ เปล่าครับ ผมจบศึกษาผู้ใหญ่มา แล้วไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยต่อ ตอนนี้ได้โอกาสก็เลยมาเรียนน่ะ” จงแดตอบด้วยความจริงใจ ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังเลย


                    “ดีแล้วล่ะครับ มีความฝันก็ต้องทำให้เป็นจริง อยากทำแล้วไม่ได้ทำ ตายไปก็เสียดายแย่” แบคฮยอนพยักหน้าส่งกลับมายิ้มๆ แล้วมองจงแดด้วยความชื่นชม


                    “แปลว่านี่ปริญญาตรีใบที่สองของคุณเหรอครับ” จงแดถามอย่างสนใจ


                    “ความจริงแล้ว นี่เป็นใบที่สามครับ พวกลุงๆตรงนั้นก็มีกันสองสามใบแล้วล่ะ แต่ก็มีหลายคนนะที่เพิ่งมาลงเรียนใบแรกเหมือนกับคุณน่ะ” แบคฮยอนชี้นิ้วไปที่พวกลุงแก่ๆที่พวกเขาเพิ่งจะนินทากันไปเมื่อครู่ ก่อนจะหันกลับมามองจงแดอย่างเป็นมิตร สายตานั้นทำให้จงแดรู้สึกสนิทสนมอย่างรวดเร็ว


                    “น่าสนใจนะ ก่อนนี้คุณเรียนอะไรมาก่อนครับ” จงแดเอ่ยถามเพราะรู้สึกว่าแบคฮยอนดูเป็นคนฉลาด และยังมีเซ้นส์ในการเข้าสังคมที่ดีมาก


                    “ผมเป็นนักวิชาการประวัติศาสตร์ครับ ก่อนหน้านี้เลยเรียนประวัติศาสตร์กับโบราณคดีมา เคยเป็นนักโบราณคดีช่วงหนึ่งครับ แต่ตอนนี้เบนเข็มมาเป็นนักวิจัยโบราณวัตถุ ทำงานกับม.ฮันกุกนี่แหละ ความจริงปริญญาตรีใบแรกผมจบวารสารศาสตร์นะ แต่ดันไปตกหลุมรักอะไรพวกนี้ ตอนที่ได้ปรู๊ฟงานแม็กกาซีนประวัติศาสตร์ เลยรู้ตัวว่าชอบอะไรพวกนี้มาตั้งแต่นั้น” แบคฮยอนหัวเราะเบาๆ ในขณะที่เล่าเรื่องชีวิตที่ผ่านมาให้จงแดได้ฟัง


                    “งั้นเหรอครับ ชีวิตคุณฟังดูน่าสนุก เป็นนักวิจัยโบราณวัตถุ งานคุณต้องทำอะไรบ้างครับ” จงแดถามต่อ



                    “ก็ศึกษาเกี่ยวกับของเก่าๆ พวกกลไกต่างๆ ที่ต้องถอดรหัส อย่างเช่น ถอดรหัสเครื่องอีนิกม่า ถอดรหัสลิขิต ถอดรหัสคอมพิวเตอร์เก่าๆ อย่างพวกลูกกุญแจโบราณที่ซับซ้อนนี่ก็มีเหมือนกัน แล้วก็พวกเซฟที่ลูกหลานเปิดไม่ได้ครับ ผมทำออกมาเป็นรายงานวิชาการแล้วส่งให้ม.ฮันกุก ถ้างานที่เกี่ยวกับเงินๆทองๆ ก็รับเป็นจ๊อบแต่ไม่เอาลงงานวิจัย” แบคฮยอนอธิบายด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจในงานที่ทำอย่างมาก หากแต่จงแดเมื่อฟังก็รู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก

     


                    โชคชะตา...มันต้องเป็นโชคชะตาแน่ๆ

                   


                    “คุณดูล้นๆนะ เป็นไรรึเปล่าจงแด” แบคฮยอนหยุดพูดก่อนจะหันมองมองจงแดที่ตอนนี้ เริ่มหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความตื่นเต้น


                    “ฮ่าๆๆๆๆ ปกติผมไม่เชื่อในพระเจ้านะ แต่ต้องขอบคุณที่เขาส่งคุณมา!” จงแดจับไหล่แบคฮยอนแล้วเขย่ามันด้วยความตื่นเต้น ทำเอาแบคฮยอนงุนงงไปชั่วขณะ


    “เดี๋ยวนะ คุณหมายความว่าไง?” แบคฮยอนถาม


                    “ผมมีงานชิ้นใหญ่ให้คุณช่วย ต้องเป็นคุณเท่านั้นด้วยนะ ผมยอมจ่ายไม่อั้นถ้าคุณทำได้เลย” จงแดยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี นั่นยิ่งทำให้แบคฮยอนงงหนักเข้าไปอีก


                    “ผมต้องทำอะไร?” แบคฮยอนถาม ก่อนที่จงแดจะตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ไปกับผมเย็นนี้สิ แล้วคุณจะรู้ว่าความลับที่คุณจะรู้ต่อจากนี้ มันจะเปลี่ยนโลกเราได้”


                    แบคฮยอนมองรอยยิ้มนั้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอ หากเป็นอย่างที่จงแดว่า เขาก็หวังว่าพระเจ้าจะไม่พาเรื่องวุ่นๆเข้ามาในชีวิตของเขาหรอกนะ...

     

     

                   

                    “เห? ใครล่ะนั่น?” จงอินถามขึ้นพร้อมทั้งยกคิ้วมองด้วยความแปลกใจ มินซอกและจุนมยอนมองผู้มาใหม่ที่จงแดพามาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน


                    “เพื่อนฉันเอง เป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันน่ะ มานั่งนี่สิ มาทักทายครอบครัวฉันหน่อย” จงแดพูดพลางยิ้ม


    “สวัสดีครับ ผมแบคฮยอนครับ จงแดเล่าเรื่องพวกคุณให้ผมฟังมาบ้างแล้ว ดีใจมากเลยที่ได้มาที่นี่” แบคฮยอนโค้งทักทายทุกคน และเริ่มพูดคุยทำความสนิทสนมตามสไตล์ของเขา


    “นี่จงอินครูสอนเต้นคนดัง นี่จุนมยอนคงดังแบบดังจริงๆที่ฉันเล่าให้ฟัง และนี่มินซอก แฟนฉันเอง” จงแดค่อยๆแนะนำตัวทีละคน ซึ่งแบคฮยอนเองก็ยื่นมือไปทักทายทำความรู้จักทีละคนตามที่จงแดแนะนำด้วย


    “ว้าว แฟนน่ารักซะด้วย อะไรกันเนี่ยจงแด นายมีแฟนแล้วก็ไม่บอกฉันก่อน นี่ฉันอุตส่าห์ใจง่ายตามนายมาถึงบ้านเลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ” แบคฮยอนเอ่ยแซวด้วยเสียงหัวเราะครื้นเครง ทั้งสี่คนหัวเราะไปกับมุกตลกและท่าทางที่แบคฮยอนแสดงออกได้อย่างง่ายดาย แบคฮยอนเป็นคนคุยสนุกที่สุดที่จงแดเคยรู้จักมา จงแดทำความสนิทสนมกับเขาได้อย่างรวดเร็ว เพราะพวกเขาพูดคุยกันถูกคอเป็นอย่างมาก และแน่นอนว่าเขาเป็นกุญแจดอกหนึ่งที่จงแดมั่นใจว่าจะช่วยไขปริศนาของกระเป๋าใบนั้นได้


                    “แล้วไหนล่ะจงแด งานที่จะให้ฉันช่วย”


    แบคฮยอนเอ่ยถามขึ้น เมื่อทั้งสี่คนพาเขามานั่งที่โต๊ะรับแขกพร้อมด้วยขนมและน้ำครบชุด คิมทั้งสามคนเริ่มรู้สึกว่าแบคฮยอนค่อนข้างเข้าถึงง่าย และไม่ถือตัว เป็นคนที่หากว่าต้องการจะให้ความสนิทสนมนั้นก็คงตัดสินใจได้ไม่ยากเลย


                    “งานเหรอ? หมายความว่าไงน่ะจงแด” จุนมยอนถามอย่างไม่เข้าใจนัก


                    “แบคฮยอนเป็นนักวิจัยพวกของเก่าๆ ผมเลยคิดว่าเขาคงช่วยเราเรื่องกระเป๋าใบนั้นได้” จงแดพูดพลางยิ้มกว้าง อดไม่ได้ที่จะมองแบคฮยอนอย่างภูมิใจ


                    “ว้าว เยี่ยมไปเลย! แบบนี้เขาก็ช่วยเปิดกระเป๋าให้เราได้สิ” จงอินเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้น เขาวางหนังสือลงบนโต๊ะเสียงดัง ราวกับว่าเจอเรื่องน่าสนใจกว่ามาอยู่ตรงหน้าแล้ว


                    “ผมเองก็ไม่แน่ใจนะว่าจะเปิดได้ไหม แต่ถ้าเป็นพวกกลไกสมัยก่อน ผมพอจะดูให้ได้ครับ” แบคฮยอนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ดูน่ารักมากทีเดียว จุนมยอนอดที่จะยกยิ้มไปกับรอยยิ้มสวยของเพื่อนใหม่คนนี้ไม่ได้


                    “งั้นผมจะไปเอากระเป๋าลงมา รอก่อนนะครับ” มินซอกขันอาสา ก่อนที่จะวิ่งแจ้นขึ้นไปที่ห้องของจงแดอย่างเร็ว


                    “คุณเคยทำอะไรพวกนี้มาบ่อยเหรอครับ ฟังดูแล้วงานคุณน่าสนใจมากเลย” จุนมยอนถามด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จากที่ประทับใจในรอยยิ้มอยู่แล้วก็ยิ่งประทับใจในตัวชายหนุ่มตัวเล็กคนนี้มากขึ้นไปอีก


                    “ผมเองรับจ๊อบพวกนี้บ่อยๆน่ะครับ ไม่อยากจะคุยว่าดังพอตัวเหมือนกัน คือก่อนที่ผมจะมาเรียนคณะนี้ ผมเป็นนักโบราณคดีมาก่อน รวมถึงเป็นผู้จัดงานประมูลพวกของโบราณด้วย เลยทำให้ผมเป็นคนมือเบาและมีความรู้ ผมรู้วิธีดูแลรักษา และวิธีเผยความลับของมัน ถ้าพวกคุณอยากจะเข้าถึงอะไรที่โบราณและซับซ้อน แน่นอนว่าคุยถูกคนแล้ว” แบคฮยอนขยิบตาให้อย่างขี้เล่น จงอินหัวเราะออกมาเบาๆ ทั้งทึ่งและหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน


                    “เดี๋ยวจะได้รู้กัน ว่าโม้หรือพูดจริง” จงแดยิ้มพลางหัวเราะขัน เขาเดินออกมาจากครัวพร้อมเป๊ปซี่กระป๋องหนึ่ง เขายกมันขึ้นดื่มแล้วปาดที่หลังมืออย่างลวกๆ


                    “มาแล้วครับ นี่ครับคุณแบคฮยอน” มินซอกที่วิ่งลงถึงที่ วางกระเป๋าลงด้วยอาการหอบเล็กน้อย 


                     "ขอดูหน่อยนะครับ" แบคฮยอนรับกระเป๋ามาจากมินซอก เขาดึงกระเป๋าเข้ามาใกล้ แล้วพิจารณามันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ยิ้มออกมาบางๆ


                    “อ่า.. นี่มันน่าสนุกแล้วสิ” แบคฮยอนพูดพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ


                    “หมายความว่าไง?” จงแดเดินอ้อมโต๊ะแล้วมานั่งที่เก้าอี้ว่างบนโต๊ะรับแขก บัดนี้ทุกคนในบ้านมารุมล้อมอยู่ที่กระเป๋าใบเล็ก ด้วยบรรยากาศเหมือนครั้งก่อนไม่มีผิด


    “ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าพวกคุณกำลังตามหาอะไร แต่ตรงนี้...” แบคฮยอนหมุนกระเป๋าแล้วยกขึ้นมาชี้ที่สัญลักษณ์ตรงมุมด้านหนึ่งของกระเป๋าแล้วพูดต่อ “มันเป็นสัญลักษณ์ของพวกนักวิทยาศาสตร์นอกรีต เป็นองค์กรลับของรัฐบาล ประมาณซัก 50-60 ปีก่อน”


    “อะไรนะ?” จงอินเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจนัก “วิทยาศาสตร์นอกรีตเหรอ มันคืออะไร?” เขาถามต่อ


    “เป็นคำที่ใช้เรียกพวกวิทยาศาสตร์เหนือธรรมชาติครับ วิจัยเกี่ยวกับพวกสัตว์ประหลาด เอเลี่ยน ภูติผี หรืออะไรก็ตามแต่ ที่วิทยาศาสตร์จริงๆอธิบายไม่ได้” แบคฮยอนตอบพลางยักไหล่


    "แต่...แล้วทำไมถึงต้องเป็นกระเป๋าขององค์กรนี้ล่ะ?" จงอินถามพร้อมทั้งขมวดคิ้ว 


    "ผมว่าเดี๋ยวเราก็คงจะได้รู้" แบคฮยอนพูด ในขณะที่เขาหยิบกระเป๋าเงินของตัวเองออกมา แล้วดึงถุงเล็กๆในช่องเก็บเหรียญ จนทั้งสี่คิมได้เห็นว่ามีชุดเข็มเล็กๆอยู่สามขนาดภายในถุงเล็กๆนั้น


    “เอ๋? คุณจะใช้เข็มเปิดมันเหรอครับ?” มินซอกถามอย่างสงสัย


    “ใช่ครับคุณมินซอก ทำไมคุณทำเสียงเหมือนว่าผมควรจะทำอย่างอื่น” แบคฮยอนถามพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่เขาจะหยิบเข็มแรกที่ยาวกว่าอันอื่น เสียบเข้าไปเหนือสลักล๊อคของกระเป๋า


    “ผมแค่นึกว่าคุณจะพบร่องรอยของรหัส แล้วเปิดมันน่ะครับ” มินซอกพูด


    “ผมเองก็คิดเหมือนกัน ตอนแรกเข้าใจว่าจะหาลายมือ หรือลองหมุนหาตัวเลขที่ใช้บ่อยที่สุดอะไรอย่างนั้น” จุนมยอนพูด


    อ่า...คืออย่างนี้ครับ เราไม่ได้พยายามสอดรู้สอดเห็นความคิดของเจ้าของวัตถุ เรามีหน้าที่แค่ต้องรู้ให้ได้ว่าข้างในนั้นมีอะไร เราเลยหาทางลัดด้วยการหาวิธีเปิดมันให้เร็วที่สุดแบคฮยอนพูดพลางยิ้ม เขาพลิกกระเป๋าอีกด้านขึ้นด้านบน แล้วเริ่มใช้เข็มเล็กๆยาวๆนั้นสอดเข้าไปอีกหนหนึ่ง


    แต่ผมว่ามันอาจมีประโยชน์ก็ได้ ใครจะรู้ว่าตัวเลขพวกนี้อาจใช้ได้กับอย่างอื่นจุนมยอนพูด


    รหัสพวกนี้มันมีความหมายเสมอแหละครับ ตัวเลขทุกตัวที่เขาเลือกมาเก็บรักษาความลับนั้นสำคัญมาก -- มันอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย บางทีอาจเป็นเพียงแค่วันเกิด ปีเกิด หรือเลขลงท้ายเบอร์โทรศัพท์ มนุษย์เราไม่ได้ต้องการใช้สมองมากมายขนาดนั้น ในการจะจดจำตัวเลขอะไรซักชุดหนึ่ง -- มันแค่ต้องเป็นเลขชุดง่ายๆที่เขาจะจำได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน...แค่นั้นเองน่ะครับ


    แบคฮยอนพูดอธิบาย พร้อมด้วยรอยยิ้มทะเล้นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ในขณะที่พวกเขาได้ยินเสียงดังคลิ๊กดังออกมาจากตัวล๊อคของกระเป๋า แต่ตัวล๊อคยังไม่เปิดออก จงแดเริ่มกลืนน้ำลายลงคอด้วยความตื่นเต้น แม้ว่ามือเขาจะถือกระป๋องเป๊ปซี่อยู่ แต่เขาไม่ได้สนใจจะยกมันขึ้นดื่มอีกแล้ว


    จากทั้งหมดที่พูดมา คุณเหมือนจะพูดว่าแค่ให้เดาอะไรง่ายๆก็รู้แล้ว – ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ทำไมเราไม่ลองเดาดูล่ะจงอินถามด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจตรรกะของนักโบราณคดีอย่างแบคฮยอนมากนัก


    เพราะผมถือว่าความลับมักมีสิ่งสวยงามเสมอ ผมไม่อยากทำลายความลับหรอกครับถ้าไม่จำเป็น และอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผมคิดว่าแบบนั้นมันเสียเวลามากกว่าแบบนี้


    เสียงดังคลิ๊กอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับตัวล๊อคของกระเป๋ากระเด้งออกจากแท่นล๊อค

     



    แบคฮยอนทำสำเร็จ...ด้วยเวลาเพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น

     

     


    เห็นมั้ยครับ เรามีความน่าจะเป็นร่วมพันหรือหมื่นครั้งในการเดา แต่ผมกลับเปิดมันได้ด้วยการใช้เข็มทิ่มเข้าไปให้ถูกจุดเพียงแค่สามครั้ง แบบนี้น่ะ ง่ายกว่ากันเยอะเลยครับแบคฮยอนหมุนกระเป๋ากลับมาตรงหน้าจงแดที่กำลังอ้าปากค้าง


    จงแดวางกระป๋องเป๊ปซี่ลงบนโต๊ะด้วยมืออันสั่นเทา ก่อนที่เขาจะดึงกระเป๋ามาใกล้ขึ้น แล้วเงยหน้าขึ้นมองทุกคนด้วยความรู้สึกสับสน เขารู้สึกพะอีดพะอมอย่างประหลาด


    “เปิดเลยสิจงแด ความจริงอยู่ตรงหน้านายแล้ว” จงอินยกยิ้มบางๆ ให้กับจงแดที่นั่งนิ่งเป็นใบ้กิน


    “โอเค ขอสูดหายใจแป๊ปนะ” จงแดว่า พลางสูดหายใจแล้วพ่นลมออกมาจากปาก ราวกับว่าเขากำลังทำสมาธิไม่ให้ตัวเองสติแตก

     


     

    จงแดเปิดกระเป๋าออก ก่อนจะพบว่ามีคำตอบมากมายอยู่ในกระเป๋าใบนี้...







    *แบคฮยอนมาแล้วจ้า*

    *เหมือนพี่จงแดใกล้จะได้คำตอบ แต่ฟิคยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเลยนะ*

    *เราตั้งใจเขียนเรื่องนี้มากจริงๆนะ ทำการบ้านและหาข้อมูลมาพอสมควร 

    แต่บางเรื่องก็แต่งขึ้นมา เพราะงั้นรบกวนอย่าจริงจังกับพวกข้อมูลวิชาการอะไรมากนะคะ*

    *ตั้งใจมาก แต่ไม่มีคนอ่านเลย โห้ย เซ็ง 5555555* 

    *แต่ไม่เป็นไร เราจะแต่งต่อไปจนจบ*





    O W E N TM.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×