คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : CHAPTER XIII
“เก็บของ แล้วก็เตรียมตัวให้เรียบร้อยนะ สุดสัปดาห์หน้าพี่จะมารับ” จงอินพูดขึ้นหลังจากที่ปิดประตูท้ายรถแล้วหันมาสบตากับคยองซู
“อื้อครับ เดินทางกลับดีๆนะครับพี่จงอิน ถ้าตอนไหนพี่จงอินว่าง
โทรมาหาคยองบ้างนะครับ” คยองซูยกยิ้ม
ก่อนที่จะเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าพี่เขา
แล้วจัดผ้าพันคอสีเขียวเข้มของจงอินให้เข้าที่เข้าทาง
“ไม่ว่างแล้วโทรได้ไหม” จงอินส่งยิ้มขี้เล่นให้กับเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าตัว
“ได้ครับ เอาเป็นว่าถ้าคิดถึงให้โทรมานะ” คยองซูยกยิ้ม
จงอินค่อนข้างมั่นใจว่าแก้มที่แดงเรื่อนั้นไม่ได้เป็นเพราะอากาศหนาวอย่างแน่นอน
แต่เป็นเพราะบทสนทนาของทั้งสองคนต่างหาก
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็.. ดูแลตัวเองดีๆนะครับ -- อย่าป่วย
อย่าทำให้ตัวเองไม่สบาย” จงอินยิ้มแล้วกระซิบเสียงแผ่ว
ยกมือขึ้นลูบผมเด็กน้อยตรงหน้าอย่างเบามือ
คยองซูยิ้มร่าแล้วพยักหน้ารับอย่างเงียบๆ ก่อนที่จงอินจะโบกมือให้น้องเขาทีหนึ่ง
และเดินถอยหลังมาขึ้นรถจนได้
“น่าอิจฉาจังนะ มาเที่ยวต่างจังหวัดแค่สองวัน กลับมาได้แฟนเด็กซะงั้น
แถมยังน่ารักมากด้วย” มินซอกเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้มทันทีที่จงอินหย่อนตัวลงมานั่งที่เบาะข้างคนขับ
วันนี้จงแดเป็นคนอาสาขับรถกลับ ด้วยเหตุผลว่าอยากจะฝึกขับรถ
เพราะจงแดกำลังคิดจะซื้อรถไว้ใช้สักคันหนึ่ง
“ไม่เอาหน่า ไอ้จงแดก็น่ารักนะ ถ้าย้อนเวลาได้จะแย่งมันมาเป็นเมียซะเลย
ฮ่าๆ” จงอินหัวเราะ
ก่อนจะแกล้งยื่นตัวไปหยิกแก้มจงแดเพื่อแหย่อีกคน
“เฮ้ยย พอเลย ขนลุก” จงแดยกมือขึ้นมาปัดมือของจงอินออกไป
พร้อมกับเอี้ยวตัวหนี แต่จงอินก็ยังคงแกล้งจงแดต่อไป
ทุกคนในรถกำลังหัวเราะไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งดีมากที่พวกเขาทำอย่างนั้น
ไม่มีใครรู้หรอกว่า
รอยยิ้มเหล่านี้ของพวกเขาจะหายไปวันไหน
ทางที่ดีคือยิ้มทุกครั้งที่มีโอกาสคงดีกว่า...
**************
วันจันทร์ที่แสนน่าเบื่อกลับมาอีกครั้ง
จุนมยอนและมินซอกบ่นอุบที่ต้องกลับไปทำงานในวันรุ่งขึ้น ด้วยร่างกายที่ปวดเมื่อยจากการเดินทางไกล
แต่กลับเป็นวันที่น่าตื่นเต้นสำหรับคิมจงแด
เมื่อเขามาที่มหาวิทยาลัยฮันกุกเพื่อทำการลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรผู้ใหญ่
โดยที่มีจงอินมาส่งเขามาลงทะเบียนด้วย
“ดีนะที่มีนายมาด้วย ไม่อย่างนั้นฉันคงทำอะไรไม่ถูกแน่” จงแดยิ้มให้จงอินแล้วตบบ่าเบาๆเพื่อเป็นการขอบคุณ
“ไม่เป็นไรน่า ฉันเองก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว มาส่งนายก็น่าสนุกดี
ได้มองสาวด้วย” จงอินยิ้มที่มุมปากเพื่อบ่งบอกให้รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในใจของเขา
“เฮ้ ฉันจะจำคำนี้ไปฟ้องคยองซู ทันที่ที่เจอน้องเขาเลย สาบานได้” จงแดยิ้มแหย่ ขณะที่เดินไปที่ตู้กดน้ำ
แล้วเลือกน้ำอัดลมสองกระป๋องส่งให้จงอิน
“เฮ้ย แค่มองน่า เปล่าคิดอะไรซักหน่อย -- ว่าแต่
คนมาสมัครเรียนเยอะเหมือนกันนะ อายุมากกว่านายก็มี” จงอินหันไปมองคนที่เดินเข้ามาในห้องลงทะเบียนและสังเกตุว่ามีหลายคนที่ดูมีอายุมากกว่าจงแดเยอะ
ตั้งแต่อายุยี่สิบปลายๆ จนกระทั่งสี่สิบหรือห้าสิบปี
“ฉันเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่ก็ดีนี่ จะได้ไม่เป็นคนแก่คนเดียวในห้องไง”
จงแดพูดอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่แกะกระป๋องน้ำอัดลม
แล้วยื่นไปชนกระป๋องที่อยู่ในมือจงอินแรงๆทีหนึ่ง
“เอ้าชน ดื่มฉลองให้กับชีวิตนักศึกษาของ คิม จงแด หน่อยเร็ว”
“เออ ยินดีด้วยครับน้องจงแด มีไรปรึกษาพี่ได้นะ” จงอินพูดแหย่
ก่อนที่ทั้งสองจะยกกระป๋องขึ้นดื่มด้วยความกระหาย
“แล้วนี่จะทำอะไรกันต่อดี” จงอินถามหลังจากที่มองจงแดยกหลังมือขึ้นปาดเพื่อเช็ดปาก
“ก็คงกลับไปหารหัสเปิดกระเป๋าที่บ้าน คิดออกไหมล่ะว่ารหัสนั่นจะไปอยู่ที่ไหนได้
นอกจากที่นั่น” จงแดยักไหล่
ก่อนจะเดินนำจงอินให้ออกมาจากห้องลงทะเบียน
จงแดเหวี่ยงกระป๋องน้ำอัดลมในมือลงไปในถังขยะที่ใกล้ที่สุด
ก่อนจะเห็นว่าจงอินก็ทำเหมือนกัน
“ไม่รู้นะ มันอาจจะมีที่อื่นให้หา เพียงแต่เราคิดไม่ถึง ดูอย่างฉันสิยังไปถึงกวางจูได้”
จงอินตอบกลับ
“แต่นายก็รู้ข้อมูลที่อยู่คยองซูมาจากที่บ้านถูกไหม
ฉันว่าต้องอยู่ที่นั่นแน่นอน หรือไม่ก็ต้องเป็นในตู้เซฟที่ธนาคาร 18”
“มันก็ใช่ -- งั้นเริ่มจากที่บ้านก่อน ถ้ายังไม่เจอ
เราค่อยไปที่เซฟธนาคารกัน” จงอินพยักหน้าแล้วทวนข้อสรุปกับจงแดอีกครั้ง
ทั้งคู่พยักหน้าให้กันแล้วจงอินก็ขับรถพาจงแดกลับไปที่บ้าน
“เฮ้ยจงแด พอดีพ่อบุญธรรมฉันโทรมาตามให้ไปช่วยดูคลาสด่วนน่ะ โทษทีนะ
วันนี้คงไม่ได้อยู่ช่วย”
จงอินเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับคิ้วขมวดเมื่อเขากดวางโทรศัพท์
จงแดที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นชุดลำลองกางเกงขาสั้นลงมา
ก็พบว่าจงอินดูเคร่งเครียดเพราะโทรศัพท์ที่เขาเพิ่งวางหูไป
“เป็นอะไรรึเปล่า ทำไมดูเครียดๆ” จงแดถามด้วยความเป็นห่วง
เมื่อเห็นว่าเพื่อนเริ่มเก็บของลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไรหรอก แค่เขาโทรมาบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย
ฉันก็ว่าจะไปดูก่อนว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า วันนี้อาจจะนอนค้างที่โน่นนะ --
ขอโทษจริงๆ ตอนแรกว่าจะอยู่ช่วยค้นรหัสแท้ๆ” จงอินเงยหน้าขึ้นมองจงแดที่เริ่มมีสีหน้ากังวล
และเอ่ยขอโทษที่เขาไม่ได้ช่วยจงแดในวันนี้
“เฮ้ย ไม่เป็นไร รีบไปเหอะ ถ้าพ่อนายเป็นหนักก็พาไปหาหมอซะนะ
มีอะไรให้ช่วยก็โทรมาบอกล่ะเพื่อน” จงแดยกมือขึ้นตบบ่าจงอินและบีบเบาๆเพื่อจะบอกว่าเขาเป็นห่วง
“อืม ขอบใจมาก ถ้าเกิดว่าฉันจะค้างที่โน่นแล้วจะโทรบอกนะ ไปก่อนนะเพื่อน ขอพระเจ้าอวยพร” จงอินยกมือขึ้นโบกลาก่อนที่จะเดินออกมาจากบ้านแล้วขับรถออกไปอย่างรีบร้อน
พระเจ้างั้นเหรอ...
จงแดเดินไปที่กรอบประตูแล้วมองรถเก๋งสีบรอนซ์เทาของจงอินขับออกไปจนลับสายตา
ก่อนที่จะหันกลับเข้ามาในบ้าน และเริ่มต้นค้นหารหัสที่จะนำไปปลดล๊อคกระเป๋าใบนั้น
ซึ่งสาบานได้
จงแดพยายามสอดส่ายสายตาหาเป็นร้อยๆครั้งนับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่
จนบางครั้งเขาก็คิดไปเอง ว่าต่อให้ทุบผนังหาก็คงไม่พบ เพราะเขาจะพบมันก็ต่อเมื่อ ‘ถึงเวลา’ ที่ต้องรู้เท่านั้น
แล้วเมื่อไหร่ละ..
จงแดคิดในใจ หวังว่าพระเจ้าคงมีคำตอบให้กับเรื่องนี้นะ
**************
จงแดใช้เวลาตลอดทั้งวันเพื่อค้นหาข้อมูลบางอย่างที่จะบ่งชี้ได้ว่าเขาควรเสี่ยงทายกับอะไร
จงแดค้นหาบนตู้เสื้อผ้า แม้แต่ค้นหาในม้วนถุงเท้าเหมือนที่จงอินเคยบอก
เขาตรวจดูแม้กระทั่งรอยพับบนหน้ากระดาษ สงสัยทุกอย่างแม้กระทั่งในสมุดที่ว่างเปล่า
-- แต่ไม่มีอะไรเลย… นี่คือคำตอบเดียวที่จงแดค้นพบในหลายชั่วโมงที่ผ่านไป
งี่เง่า…
จงแดรู้สึกได้ถึงคำๆนี้ ที่เอาแต่วนเวียนอยู่ในหัวมาตลอดทั้งบ่าย
จงแดเหวี่ยงกล่องกระดาษที่มีแต่ของกระจุกกระจิก อย่างเช่น จุกไม้ก๊อกที่ปิดขวดไวน์
หรือไม่ก็เข็มกลัดที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์อะไรซักอย่าง
ที่ดูแล้วน่าจะเป็นของที่ระลึกในงานฉลองครบรอบ ในปี ค.ศ.1978
“เหนื่อยแล้วว่ะ ช่างแม่ง” จงแดมองกล่องกระดาษที่เขาเพิ่งเหวี่ยงทิ้งไป
ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนัก จงแดตัดสินใจลุกขึ้น
แล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง
รู้สึกอ่อนเพลียและพร้อมจะยอมแพ้ได้ทุกเวลาในตอนนี้
จงแดนอนแผ่หลาอยู่บนเตียงท่ามกลาง
ในห้องทึบทึมและมืดสลัว ด้วยเพราะว่าเขาแง้มผ้าม่านเอาไว้เพียงเล็กน้อย
เพื่อให้แดดบ่ายไม่ลอดเข้ามาในห้องมากนัก
จงแดกระพริบตามองเพดาน
ทุกอย่างในสมองตีกันวุ่นเพื่อขบคิดว่ายังมีที่ไหนอีกนะที่เขายังไม่ค้นหา
ยังมีอะไรอีกนะที่เขายังไม่พบมัน เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วเม้มปากแน่นสนิท ใจว้าวุ่นแต่ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้น
รู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาในห้องลั่นเป็นจังหวะดังกึกๆๆ จนน่ารำคาญ
ว่าไงนะ...เสียงนาฬิกางั้นเหรอ
จงแดประหลาดใจที่พบว่าในห้องมีเสียงนาฬิกาดังอยู่ท่ามกลางความเงียบ
หากแต่จงแดกลับจำได้ดี ว่าเขาไม่เคยเห็นนาฬิกาอยู่ที่ตรงไหนภายในห้องเลย
ซึ่งน่าแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะเขาเองได้ยินเสียงมันมาตลอด แต่เขากลับไม่เคยสงสัยเลยว่านาฬิกาเรือนนั้นอยู่ที่ไหน
แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ?
จงแดดีดผึงออกจากเตียงแล้วเงี่ยหูฟัง
เสียงดังคลิกๆนั้นค่อนข้างเบา แต่วันนี้จงแดกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
เขาเดินตามเสียงไปยังตู้ไม้ใบหนึ่ง ขนาดสูงประมาณอกของเขา
ซึ่งในนั้นมีหนังสืออยู่สองสามเล่มที่จงแดเปิดอ่านแล้วไม่เข้าใจ
จงแดค้นหาที่ตู้ใบนี้มาสามสี่หนเห็นจะได้ แต่ไม่เคยนาฬิกา
และแน่นอนว่าไม่เคยเจอเบาะแสอะไรที่เป็นประโยชน์
แต่เสียงดังคลิก
ที่ดังมาจากด้านในตู้ ทำให้จงแดเพิ่งสังเกตุเป็นครั้งแรก ว่าช่องว่างด้านในตู้
ดูไม่ลึกเท่าที่เห็นภายนอก
จงแดหยิบหนังสือออกมาวางกองไว้ตรงพื้นจนหมดจนช่องนั้นว่างเปล่า
เสียงดังคลิกๆดังกว่าเดิมเล็กน้อย แต่จงแดยังมองหานาฬิกาไม่เจอแต่อย่างใด
จงแดเลื่อนมือเข้าไป
ก่อนจะออกแรงกดที่ฝาไม้ด้านในสุดของตู้ ซึ่งเมื่อเขาลองกดดูก็พบว่า..
แผ่นไม้นั้นหลุดออกไป
และเผยให้ช่องที่ด้านหลังอีกช่องหนึ่ง เสียงนาฬิกาดังคลิกๆๆๆกระทบหู
นาทีนั้นเองจงแดก็รู้ว่าหัวใจกำลังเต้นดังตึกตักอย่างรุนแรง แข่งกับเสียงของนาฬิกาเรือนเล็กที่อยู่ในนั้น...
จงแดล้วงมือเข้าไปในช่องนั้นแล้วหยิบเอานาฬิกาเรือนเล็กที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นออกมา
แล้วเริ่มมองหาอะไรซักอย่างที่นาฬิกาเรือนนี้กำลังจะบอกเขา
เสียงนาฬิกานั้นดังคลิกๆก็จริง
แต่ทว่าเข็มนาฬิกานั้นไม่ได้ขยับเหมือนที่จงแดคาดไว้ ราวกับว่านาฬิกานั้นตายไปแล้ว
เพราะเข็มชั่วโมงกับวินาทีนั้นไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด เวลานั้นหยุดที่ 10 โมง 10 นาที
แต่ที่ทำให้จงแดฉงนก็คือ
เพราะอะไรถึงยังมีเสียงฟันเฟืองลั่นดังอยู่เหมือนกับว่านาฬิกานั้นยังไม่ตาย
หรือว่ามีอะไรขัดอยู่ด้านใน
ทำให้เข็มนาฬิกาไม่เดิน…
ทันใดนั้นจงแดก็เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือในห้องของเขา
ปัดเอาทุกอย่างที่กองบนโต๊ะออกไปให้พ้นจากสาย
ก่อนจะเปิดโคมไฟอ่านหนังสือแล้ววางนาฬิกาลงตรงนั้น
และพยายามมองว่าจะเปิดฝาหลังของนาฬิกาออกได้ยังไง
“ไขควง... จะหาจากไหนวะ” จงแดบ่นพึมพำ
รู้สึกว่าปากแห้งผากจนต้องแลบลิ้นเลียมันอย่างลวกๆ เขาตัดสินใจเดินลงไปที่ห้องครัว
แล้วหาอะไรซักอย่างที่พอใช้ได้ จนกระทั่งเขาตัดสินใจหยิบมีดปลายแหลมมาใช้แทนไขควง
ก่อนที่จะวิ่งกลับมาที่ห้อง นั่งลงที่โต๊ะแล้วไขน๊อตออกทีละชิ้น
“...น..นี่มัน” กระซิบก่อนจะกลืนน้ำลาย
เมื่อเขาเปิดฝาหลังนาฬิกาแล้วพบว่ามีกระดาษใบเล็กๆพับอยู่ด้านในนั้น
มันถูกสอดคั่นไว้ระหว่างฟันเพืองและเกลียวเหล็กที่ควบคุมเข็มนาฬิกา
จงแดดึงกระดาษใบนั้นออก และเปิดมันออกด้วยหัวใจที่เต้นระทึก…
กระดาษแผ่นเล็กนั้นมีลายมือที่เขียนเอาไว้หวัดๆ
จงแดแทบกลั้นหายใจเมื่อเขาพบว่าคำตอบของเขาอยู่ในกระดาษใบนี้
‘1010’
เราหยุดเวลาไว้... เพื่อหวังว่าซักวันหนึ่งมันจะเดินต่อ
“เจอจนได้สินะ ไอ้บ้าเอ๊ย ฮ่าๆๆๆๆๆ” จงแดฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
เขาหัวเราะจนแทบขาดใจ ซึ่งถ้าใครมาเห็นตอนนี้คงคิดว่าเขาบ้าแน่ๆ
แต่ใครจะสนใจกันล่ะ
ในเมื่อตอนนี้จงแดรู้สึกราวกับว่าโลกทั้งโลกได้ตกอยู่ในมือเขาแล้วในที่สุด
“สรุปว่าเป็นเลขนี้แน่ๆใช่มั้ย” จุนมยอนถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
ซึ่งไม่น่าแปลกใจนักที่ความเครียดจะก่อตัวในบรรยากาศโดยรอบในตอนนี้
เพราะนี่คือโอกาสสุดท้ายของพวกเขาที่จะได้ลอง ซึ่งจงแดค่อนข้างมั่นใจว่าใช่แน่ แต่ก็ยังอดที่จะมองโลกในแง่ร้ายไม่ได้อยู่ดี
“มันมีสี่หลัก และนี่เป็นเบาะแสเดียวที่ผมเจอในวันนี้
สี่หลักในเวลาที่ใช่และมาในจังหวะเดียวกับที่เราค้นหาอยู่” จงแดเอ่ยเสียงเรียบพลางยักไหล่
ซึ่งเมื่อเขาทำอย่างนั้น จุนมยอนจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ผมเองก็ต้องยอมรับนะ
ว่ามันมีเหตุผลเพียงพอที่จะเป็นเลขนี้” จุนมยอนพูด
“เพราะว่ามันเป็นเลขนี้เลยต่างหากจุนมยอน
ผมมั่นใจมาก” จงแดพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ถ้าคุณมั่นใจก็ดีสิครับ
งั้นเราจะเปิดมันตอนนี้เลยไหม?”
มินซอกเอ่ยถามพลางมองหน้าทั้งจงแดและจุนมยอนอย่างตื่นเต้น
“ความจริงแล้วผมอยากรอให้จงอินอยู่ด้วยตอนที่เราเปิด
แต่ในเมื่อเขาไม่ว่าง.. และเขาเองก็บอกว่าไม่เป็นไรถ้าเราจะเปิดดูก่อน ดังนั้น...”
จุนมยอนลากเสียงยาวอย่างใช้ความคิดอีกครั้งหนึ่ง
เรื่องสำคัญแบบนี้เขาเองไม่อยากจะให้ใครพลาดอะไรไป
“ดังนั้นก็เปิดเลยเถอะ
เรารอมานานเกินไปแล้ว” จงแดพูดขึ้น ในขณะเดียวกับที่ดึงกระเป๋ามาไว้ตรงหน้าตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ผมเองก็ว่างั้น
เรารีบเปิดกันเถอะครับ จะได้รู้ซักทีว่ามีอะไรอยู่ในนั้น”
มินซอกนั่งสั่นขาด้วยความกังวล เมื่อทั้งสองคนเร่งเร้า จุนมยอนเลยยอมตกลงแต่โดยดี
“งั้นก็เปิดเลยเถอะ
ผมเองก็อยากรู้ใจจะขาดแล้ว” จุนมยอนพูด ดังนั้นทั้งสามจึงชะโงกหน้ามามองที่กระเป๋าเป็นตาเดียว
“โอเค
ผมจะไม่ลีลาล่ะนะ”
จงแดเลื่อนนิ้วมือไปที่ตัวล๊อคแล้วเลื่อนรหัสทีละหลักอย่างรวดเร็ว
“1-0-1-0”
กระซิบเพียงเบาๆเพื่อให้ตัวเองตื่นตัว
และทั้งจุนมยอนและมินซอกต่างก็กลืนน้ำลายด้วยความตื่นเต้น
เมื่อจงแดใส่รหัสแล้ว เขาเลื่อนมือไปที่ปุ่มปลดล๊อค
แล้วกดมันอย่างแรง
แต่ทว่า...
มันนิ่งสนิท...
“แบบนี้หมายความว่าไง?”
มินซอกถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“อะไรเนี่ย
มันต้องใช่สิ นี่หมุนเลขไม่ตรงล๊อครึเปล่า”
จงแดพยายามหมุนมันให้เข้าที่อีกครั้งหรือสองครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็เป็นเช่นเดิม
ตัวล๊อคไม่ได้เด้งปลดจากกระเป๋า พวกเขาเสียโอกาสทั้งสามครั้งไปแล้ว
“บ้าฉิบ! มันจะไม่ใช่ได้ยังไง
แล้วไอ้นี่มันเลขอะไรกันวะ!”
จงแดหัวเสีย เขาขว้างกระเป๋าทิ้งลงกับโต๊ะด้วยความหงุดหงิด
มินซอกพยายามลองเปิดดูด้วยตัวเองดูบ้าง แต่ก็ไม่ได้ผลเช่นกัน จุนมยอนนั่งนิ่งสนิท
ไร้คำพูดและสีหน้านิ่งเฉยเสียจนไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
“นี่แปลว่าเราเสียโอกาสไปแล้วใช่มั้ย”
มินซอกถามด้วยน้ำเสียงที่ปิดความกังวลเอาไว้ไม่มิด
“ใช่แล้ว
เพราะเรามีโอกาสจะเปิดมันแค่สามครั้งเท่านั้น” จุนมยอนพูดขึ้น
เขาดูตึงเครียดกว่าทุกครั้งที่จงแดเคยเห็น
“ผมขอโทษนะทุกคน
ผมมั่นใจมากเลยนะว่ามันต้องใช่... แต่มันก็ไม่ใช่...” จงแดขมวดคิ้วด้วยความเครียด
นี่ถ้าเขาไม่มั่นใจจนเกินเหตุ ถ้าเขาไม่ลองค้นดูอีกซักรอบเผื่อว่าจะเจอรหัสอื่น
พวกเขาก็คงไม่เสียโอกาสนี้ไป
“ไม่เป็นไรหรอกครับจงแด
อย่าโทษตัวเองเลยนะ” มินซอกยื่นมือไปลูบที่ต้นขาของจงแดเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
จุนมยอนถอนหายใจอย่างหนัก แต่น้ำเสียงดูอ่อนลงหลังจากนั้น
“ไม่ต้องโทษตัวเองหรอกครับ
พวกเราเองก็เชื่อเหมือนกันว่าต้องใช่เลขนี้แน่ๆ พวกเราไม่ได้ช่วยคุณหารหัสเลยด้วย
เพราะฉะนั้นถ้าใครจะผิด ก็เป็นพวกเราทุกคนเองแหละครับ ไม่ต้องคิดมากนะ” จุนมยอนยื่นมือมาตบบ่าจงแดเบาๆ
แต่ก็ไม่ได้ทำให้จงแดรู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่นัก
“แล้วเราจะทำยังไงต่อดี”
จงแดถาม คิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่นด้วยความกังวล
“ผมบอกตรงๆว่าตอนนี้ผมเองก็ยังคิดไม่ออก”
จุนมยอนพูดเบาๆพลางถอนลมหายใจ
“ผมเชื่อว่าเดี๋ยวเราก็จะหาทางได้เอง
เรามีคำตอบเมื่อถึงเวลาเสมอ คิดในแง่ดีกันเถอะครับ
นี่อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่เราต้องรู้” มินซอกส่งยิ้มบางๆให้กับคนทั้งสอง ซึ่งแม้ว่าไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
แต่จงแดรู้สึกดีขึ้นมากโขที่มินซอกไม่ถือโทษโกรธเขา
“อืม ขอบคุณนะครับมินซอก”
จงแดยกยิ้มบางๆส่งให้มินซอกเพื่อเป็นการขอบคุณ มินซอกเลื่อนเข้าไปกอดแขนจงแดเอาไว้
และนั่นทำให้จงแดรู้สึกดีมากขึ้นทีเดียว
“งั้นผมว่าวันนี้เราไปพักผ่อนกันเถอะครับ
เลิกคิดถึงเรื่องนี้กันซักคืน แล้วใช้ชีวิตปัจจุบันกันบ้างก็คงดี
เผื่อว่าเมื่อเราอยากย้อนอดีตอีกครั้ง เราอาจจะพร้อมรับมือกับมันมากกว่านี้”
จุนมยอนโบกมือลา ก่อนที่เขาจะยกยิ้มบางๆ แล้วเดินจากไป
จงแดมองหลังของจุนมยอนที่เพิ่งลับสายตาไป
เขารู้ดีว่าจุนมยอนเจ็บปวด แต่เลือกที่จะไม่แสดงออกให้จงแดรู้สึกผิด ซึ่งจงแดเองยังคงรู้สึกผิดหวังที่ทำให้ทุกคนต้องเสียใจ
หากแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้...เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้
เขาอยากจะรับผิดชอบเรื่องนี้..แต่เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะทำได้หรือไม่
“วันนี้หนาวจัง”
มินซอกเปรยออกมาเบาๆ ก่อนจะห่อไหล่แล้วลูบต้นแขนตัวเองเพื่อคลายหนาว
“มานี่มา”
จงแดเลื่อนตัวเข้าไปดึงอีกคนเข้ามากอดไว้
มินซอกตอบรับอ้อมกอดนั้นด้วยการดันตัวเข้าไปซุกในอ้อมอก
ให้อ้อมแขนของจงแดทำหน้านี่เป็นผ้าห่ม
ไฟในเตาผิงที่ลุกโชนและอ้อมกอดที่ทั้งสองคนมีให้กัน ทำให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
จงแดเอาแต่นิ่งเงียบไม่ได้พูดอะไร
จนกระทั่งมินซอกที่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ จึงได้เอ่ยออกมีทำลายความเงียบ
“จงแดครับ
จำที่คุณเฉินบอกได้มั้ย” มินซอกพูดขึ้นมาเบาๆ
“หืม?
เรื่องอะไร?” จงแดเอ่ยถาม
“เขาหยุดเวลาไว้
เพื่อว่าวันนึง มันจะเดินต่อ” มินซอกเงยหน้าขึ้นมองอีกคนช้าๆ
จงแดกระพริบตามองอย่างไม่เข้าใจนัก
จนกระทั่งมินซอกได้พูดต่อ “เวลามีหน้าที่ของมัน เราเองก็มีหน้าที่ของเรา
เวลาคือตัวกำหนดว่าจะให้สิ่งใดเกิดขึ้นหรือตายไป แต่สิ่งที่เราทำได้ ก็คือการรอให้มันเกิดขึ้นเท่านั้น”
มินซอกพูดในขณะเดียวกับที่ยกมือขึ้นลูบไปตามสันกรามสวยของอีกคน
“ถึงคุณมุทะลุจะหาคำตอบ
แต่ผมเชื่อนะครับว่า วันนึง..เมื่อถึงเวลา
คำตอบมันจะมาหาเราเอง” มินซอกพูดต่อ แล้วยกยิ้มบางๆให้กับเขา
“ผมกลัวว่านั่นมันจะยาวนานเกินกว่าที่เราจะรอไหว”
จงแดพูดพลางถอนหายใจยาวด้วยความหงุดหงิด”
“คุณเชื่อในโชคชะตามั้ยครับ”
มินซอกถาม
“ผมไม่มีศาสนา”
จงแดตอบพลางส่ายหน้า
“ถึงอย่างนั้น
คุณก็เชื่อมันใช่มั้ย...พรหมลิขิต และโชคชะตาที่พาเรามาเจอกัน” มินซอกยิ้มมองอีกคน
“................................”
จงแดไม่ตอบ หากแต่เขาพยักหน้าแทนคำตอบนั้น
“เพราะฉะนั้นก็อย่าโทษตัวเองเลยนะครับ
ทุกอย่างมีเหตุผลของมันเสมอ เพียงแต่เมื่อเราหาเหตุผลไม่ได้
ก็ให้ทุกอย่างเป็นไปตามแต่โชคชะตาเถอะนะ”
พูดจบมินซอกก็เลื่อนหน้ามาซบที่ลาดไหล่ของจงแดแล้วเริ่มหลับตา จงแดดึงผ้าคลุมผืนบางห่มวางบนไหล่เล็ก
แล้วกระชับอ้อมกอดให้แนบแน่นขึ้น มองเปลวไฟในเตาผิงที่เต้นระบำวิบวับอยู่ในสายตา
ความอึดอัดในหัวใจเบาบางลงไป เมื่อปล่อยให้ทุกอย่างเป็นความผิดของโชคชะตาอย่างที่มินซอกว่าไว้
หลังจากที่ต่อสู้กับความรู้สึกผิดในใจ
จงแดก็เลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่จุนมยอนได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้
จริงอย่างที่จุนมยอนว่า
ลองใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันบ้าง เผื่อว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะเจอประตูสู่กาลเวลา และหวังว่าพวกเขาคงพร้อมที่จะเปิดมัน...
ความคิดเห็น