คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : CHAPTER XI
เช้าวันรุ่งขึ้น คิมทั้งสี่คนก็แพ็คข้าวของลงกระเป๋า และออกเดินทางกันตั้งแต่เช้าตรู่ เนื่องจากไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาขนาดไหนในการค้นหาคำตอบ พวกเขาจึงเตรียมเสื้อผ้าไปเผื่อว่าจะได้นอนค้างคืนด้วย
“ผมใส่ข้อมูลลงใน GPS นำทางในรถยนต์แล้วนะ จากการคำนวณแล้ว เราน่าจะถึงประมาณเที่ยง หรือไม่ก็บ่าย” จุนมยอนอธิบายพลางชี้ตัวเลขที่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอเล็กๆ ด้านหน้าคอนโซลรถยนต์อย่างรู้งาน
“ขับรถยาวเลย ถ้านายไม่ไหวก็เปลี่ยนให้ฉันขับแล้วกันนะจงอิน” จงแดพูดขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปตบบ่าของจงอินที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งคนขับ จุนมยอนนั่งข้างๆกับจงอิน และมีจงแดกับมินซอกนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง
“ผมก็ด้วย ถ้าคุณเมื่อยหรือง่วงก็บอกได้เลยนะ ผมจะเปลี่ยนไปขับให้” จุนมยอนพยักหน้าเห็นด้วย
“ได้เลย ไว้ยังไงผมจะเปลี่ยนให้ขับแล้วกัน” จงอินตอบพลางยิ้มให้ทั้งสองคน ด้านมินซอกเอง ถึงจะขับรถไม่เป็น แต่ก็เป็นฝ่ายเสบียงที่ดี คอยยื่นกาแฟและขนมให้กับจงอินตั้งแต่ล้อหมุน
“ตื่นเต้นมั้ยจงอิน นายกำลังจะได้คำตอบของนายแล้วนะ” มินซอกเอ่ยถามขึ้นพลางยกยิ้ม ในขณะที่เขายื่นลูกอมรสมะนาวส่งให้กับจงแด
“ตื่นเต้นสิ มากด้วย บอกตรงๆว่าผมเองก็ไม่ได้แน่ใจเท่าไหร่หรอกนะ ว่าคำตอบของเราจะอยู่ที่นั่น” จงอินยิ้มแหย พลางลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อเขาตอบคำถามของมินซอก
“แต่ฉันมั่นใจมากนะ นายเองก็ควรมั่นใจเหมือนกัน” จงแดพูด ก่อนจะโยนลูกอมรสมะนาวเข้าปากอย่างสบายใจ
“ผมเองก็ค่อนข้างมั่นใจนะ ว่าคำตอบของนายต้องอยู่ที่นั่นแน่ มันจะดูเหมือนอะไรได้อีกล่ะ ถ้าไม่ใช่พิกัดอย่างที่จงแดว่า” จุนมยอนสมทบความเห็นของจงแดร่วมด้วย
“ไม่รู้สิ มันอาจจะใช่ ผมแค่กลัวว่ามันอาจจะเคยอยู่ตรงนั้น...แต่ตอนนี้ไม่ จากรูปพวกนั้นสิ ดูเหมือนทุกอย่างจะผ่านมานานมากแล้ว มันอาจไม่เหลือร่องรอยอะไรเลยก็ได้” จงอินพูด ตอนนี้คิ้วของเขาขมวดมากกว่าเดิม เมื่อได้ระบายความในใจที่แสนหนักอึ้งของเขาออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่เจอกุญแจทองดอกนั้น
“แต่ผมมั่นใจว่ามันยังอยู่ ผมคิดว่า ‘พวกเราในอดีต’ ต่างก็ฉลาดมากพอจะทิ้งหลักฐานไว้เพื่อรอให้เรามาพบมัน” มินซอกพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มที่
และด้วยเหตุผลนั้น มันทำให้จงอินคลายความกังวลลงไปมากโข เพราะในบรรดาคิมทั้งสี่ มินซอกเป็นเพียงคนเดียวที่กลัวอดีตมากกว่าทุกคน แต่ในวันนี้มินซอกดูเข้มแข็งและมั่นใจ การที่มินซอกแสดงออกแบบนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกว่าทุกอย่างง่ายดายขึ้นมาก
“พวกเราเหมือนจะปักใจเชื่อกันไปแล้วนะ ว่าที่เรากำลังตามหาอยู่ นั่นคือชาติก่อน” จุนมยอนพูดขึ้นพร้อมทั้งยกยิ้มบางๆ
“มันลงล็อคมากที่สุดแล้วเท่าที่เราจะคิดได้ อยู่ที่ว่าคำตอบจะใช่หรือไม่ ซึ่งผมคิดว่าเราจะได้คำตอบในเร็วๆนี้นี่ล่ะ” จงแดพูดขึ้นพลางยักไหล่ เขาเอนตัวลงนอนราบกับเบาะแล้วพิงศีรษะลงบนตักนุ่มๆของมินซอก
เมื่อสิ้นประโยคนั้น คิมทั้งสี่ต่างก็จมเข้าไปในห้วงความคิดของตัวเอง บรรยากาศเงียบสงบนั้นเกิดขึ้นโดยที่ทุกคนไม่รู้ตัว ความเงียบนั้นมากพอจะทำให้ได้ยินเสียงเพลงคลอจากคลื่นวิทยุท้องถิ่นนั้นแทรกซึมเข้าไปในหัวของทุกคนอย่างช้าๆ แต่ทว่าไม่ได้มีความอึดอัดหรือไม่สบายใจ ตรงกันข้าม ทุกคนกลับรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะลงตัวอย่างที่จงแดพูดไว้จริงๆ...
อากาศหนาวเย็นภายนอกรถ กับบรรยากาศอบอุ่นกำลังดีภายในรถนั้น ทำให้จงแด จุนมยอน และมินซอกเข้าสู่ห้วงนิทรากันไปอย่างช้าๆ และแน่นอนว่าจงอินไม่ได้เปลี่ยนมือขับรถกับใครอีกเลยตลอดการเดินทาง..
------------
“แน่ใจเหรอว่าเป็นที่นี่” มินซอกถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจนัก เมื่อสุดท้ายแล้วพวกเขาได้มาอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งดูแล้วไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย และต่างจากธนาคารหมายเลข 18/8 อย่างเห็นได้ชัด กล่าวได้ง่ายว่า ที่นี่ดูธรรมดาเกินไปที่จะมีความลับยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่
พวกเขาทั้งสี่คนมาถึงช้ากว่ากำหนดการที่คาดไว้ร่วมสามชั่วโมงทีเดียว เพราะมัวแต่แวะข้างทางราวกับมาเที่ยวพักผ่อน แต่จนท้ายสุดแล้วพวกเขาก็มาถึงที่หมายจนได้
“ตำแหน่ง GPS บอกว่ามันคือที่นี่ ผมเองก็ไม่แน่ใจนะ ว่าเราจะได้อะไรจากบ้านหลังนี้” จงอินตอบ ในขณะเดียวกันก็มองหาความเป็นไปได้ว่ามีเปอร์เซ็นมากแค่ไหนที่เขาจะไม่กลับบ้านมือเปล่า
“คงไม่รู้จนกว่าจะลองเข้าไปดู นายลองไปกดออดดูดิ ดูซิว่าจะมีคนอยู่บ้านรึเปล่า” จงแดชี้ให้จงอินดูที่อินเตอร์คอมที่อยู่หน้าประตูบ้าน จงอินมองมาอย่างไม่แน่ใจนัก หากแต่จุนมยอนก็พยักหน้ากลับไป “คุณต้องไปกดนะ นี่เป็นที่ของคุณนี่นา”
“อ..อืม” จงอินพยักหน้าก่อนจะกลืนน้ำลายลงไปในลำคอที่เริ่มจะตีบตัน เขาเดินเข้าไปกดปุ่มรูปกริ่งสีแดงที่เครื่องอินเตอร์คอมนั้น รออยู่เพียงอึดใจหนึ่งก็มีคนเดินมาเปิดประตู
และทันใดนั้น...หัวใจของจงอินก็เต้นรัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“น..นาย…” เสียงแหบพร่านั้นเล็ดลอดออกมาจากคอของจงอินด้วยความงุนงง เมื่อเด็กหนุ่มตากลมโตคนเดียวกับในรูปที่จงอินถืออยู่ เป็นคนเปิดประตูออกมาต้อนรับพวกเขา คิมทั้งสี่คนอ้าปากค้างด้วยความฉงน เพราะไม่คิดว่าจะได้พบคำตอบในทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกด้วยซ้ำ
“เขา..นั่นเขายังอยู่จริงๆ หรือว่าเขาเป็นเหมือนเรา” จงแดที่ดูเหมือนจะตั้งสติได้คนแรก เอ่ยถามออกมาเบาๆ ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มคนนั้นขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก
“พวกคุณเป็นใครกันครับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม พลางมองไปที่ทั้งสี่คนอย่างงุนงง
“นาย.. ไม่รู้จักฉันเหรอ” จงอินถาม ซึ่งเป็นคำถามที่งี่เง่ามากที่เขาคิดออก เพราะคำตอบมันเห็นได้ชัดอยู่แล้วจากสีหน้าของเด็กคนนั้น
“เอ่อ ผม...ผมไม่รู้ครับ ผมคิดว่าเราไม่เคยพบกันนะครับ” เด็กคนนั้นตอบกลับ พร้อมกับดวงตาที่กลอกไปมามองเขาทั้งสี่คนอย่างสับสนงุนงง
“เอ้อ ใช่สิ ฉันเองก็ว่างั้น เราคงไม่เคยพบกันหรอก” จงแดเดินเข้าไปประชิดจงอิน ก่อนจะยักไหล่อย่างกวนประสาท
“หมายความว่าอะไรครับ?” เด็กคนนั้นถาม
“ไอ้นี่ รูปนายใช่มั้ย” จงแดคว้ารูปถ่ายใบเล็กที่อยู่ในมือจงอิน แล้วยื่นให้เด็กหนุ่ม เด็กคนนั้นมองรูปถ่ายในมืออย่างช้าๆ ก่อนจะส่ายหน้าตอบกลับ
“เปล่าครับ นี่ไม่ใช่รูปผม” เด็กหนุ่มพูดขึ้นพลางส่ายหน้า
“แต่ดูยังไงก็เป็นนายชัดๆ” จงอินพูดขึ้น หลังจากที่ใบ้กินมาหลายนาที
“ครับ เขาดูเหมือนผมมาก ผมได้ยินแบบนั้นมาบ่อยพอสมควร” เด็กชายตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และไม่มีแววสับสนงุนงงบนใบหน้าอีกแล้ว
“หมายความว่ายังไงเหรอครับ ที่ว่าได้ยินมาบ่อย?” มินซอกถามกลับอย่างสนใจ
“ผมเกรงว่าเรื่องมันอาจจะยาวกว่าที่คุณคิด ซึ่งคุณมาถูกที่แล้วครับ เชิญเข้ามาในบ้านก่อนเถอะครับ ข้างนอกนี่หนาวอย่างกับอะไรดี” เด็กชายเปิดประตูรั้วให้กว้างขึ้น และเดินนำทุกคนเข้าในบ้านในที่สุด ซึ่งทุกคนต่างก็ยินดีที่เป็นเช่นนั้น เพราะเห็นพ้องต้องกันว่าข้างนอกนี่หนาวมากเกินไป
---------
เมื่อทั้งสี่คนเข้ามาในบ้าน เด็กหนุ่มก็เชิญให้ทุกคนเดินไปนั่งที่โซฟา บรรยากาศภายในบ้านอบอุ่นและสบาย เป็นบ้านที่ดูน่ารักและเรียบร้อยผิดกับสภาพภายนอกที่ดูค่อนข้างจะเก่า
“ผมชื่อ โด คยองซู ครับ” เด็กหนุ่มพูดขึ้นมาหลังจากที่หายไปหลังบ้านนานร่วมสิบนาที เขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับถ้วยชาหอมกรุ่น ก่อนที่ทั้งหมดจะถูกวางตรงหน้าพวกเขา พร้อมกับคำตอบแรกที่ทำให้ทุกคนหายสงสัย
“ผมไม่ใช่คนที่คุณตามหาหรอกครับ คนที่คุณตามหาน่ะ ชื่อ ฮัน คังอู ครับ ท่านเป็นคุณตาของผม” คยองซูพูดต่อ
“แล้วคุณตาของนาย เขา... เอ่อ…” จงอินเอ่ยถาม ยังรู้สึกงุนงงกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
“ท่านเสียไปแล้วครับ ก่อนที่ผมจะเกิด” คยองซูตอบคำถามของจงอิน ดวงตาคู่โตหยุดมองที่ใบหน้าคมนั้นนิ่งนาน จนทำให้จงอินรู้สึกอึดอัด
“พวกคุณ หน้าคล้ายกันมากเลยนะครับ” มินซอกพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ ในขณะที่ยกถ้วยช้าขึ้นจิบอย่างช้าๆ
“ผมรู้ครับ ใครๆก็พูดกันทั้งนั้น ผมได้ยินแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ” คยองซูพูดพลางยกยิ้ม ทันใดนั้นทั้งห้องดูสดใสขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัวนัก รอยยิ้มของเด็กหนุ่มนั้นอ่อนหวานและทำให้ทุกคนรู้สึกอบอุ่นขึ้นได้จริงๆ
“เหมือนกลับชาติมาเกิด” จงอินกระซิบ น้ำเสียงเขาคล้ายกับเสียงละเมอเสียมากกว่า คยองซูตวัดสายตากลับไปพร้อมทั้งยกยิ้มน้อยๆ ส่งให้เขา
“อื้อครับ ประโยคนั้นก็ได้ยินมาบ่อยเหมือนกัน” คยองซูตอบด้วยรอยยิ้ม
“............................................” คิมทั้งสี่คนเงียบไปในอึดใจ คำตอบแรกที่ได้รับนั้น ไม่ใช่อะไรเลยนอกจากสิ่งที่พวกเขาปักใจเชื่อ กลับชาติมาเกิด เหตุผลเดียวที่ทำให้พวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่
“โอย.. เสียมารยาทจัง นี่พวกเรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนะ” จงแดที่ดึงสติกลับมาได้เร็วที่สุด พูดขึ้นทำลายความเงียบนั้นให้รู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น
“ผมชื่อจงแดนะ ไอ้ดำที่นั่งข้างนายนั่นคือจงอิน นี่มินซอกแฟนผม และคนนี้คุณจุนมยอนผู้ร่ำรวยและโด่งดัง” จงแดพูดต่อพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างตามแบบของเขา
“อะไรของคุณน่ะจงแด พูดเว่อร์มากไปแล้ว” จุนมยอนหันมาแหวใส่ เมื่อจงแดยกยอเขามากไปจนอาจดูไม่ดี
“ไม่เว่อร์ไปหรอกครับ ผมรู้จักคุณเพราะเห็นจากในข่าวธุรกิจน่ะครับ เหมือนกับที่คุณจงแดพูดเลยล่ะ” คยองซูพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานเหมือนเคย ก่อนที่เขาจะพูดต่อ
“แต่ผมค่อนข้างแปลกใจนะครับ ว่าทำไมพวกคุณถึงได้มาที่นี่ แถมยังมาหาคนที่ตายไปแล้วตั้งหลายปีอีกต่างหาก”
“เอ้อ...ก็…” จงอินพยายามจะเรียบเรียงคำตอบที่ฟังดูเข้าท่ามากที่สุด
หากแต่ยังไม่ทันได้ตอบ เสียงทักทายที่มาจากประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้นเสียก่อน
“คยองซู หม่าม๊ากลับมาแล้วจ้า เพื่อนมาเที่ยวบ้านเหรอลูก อ๊ะ--”
ตุบ!
ทันทีที่คุณแม่ของคยองซูเดินพ้นกรอบประตูบ้านเข้ามาเห็นพวกเขาทั้งสี่ ถุงพลาสติกในมือของเจ้าหล่อนก็หล่นตุบลงบนพื้น ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตกใจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าเห็นผีกลางวันแสกๆ
“น...นั่น… คุณไค”
“คุณรู้จักผมมาก่อน ใช่มั้ยครับ” จงอินถามขึ้น ในขณะที่ทั้งหมดกำลังนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกของบ้าน หลังจากที่คิมทั้งสี่ได้อธิบายกับเจ้าหล่อนให้เธอเข้าใจว่าเขาคือ คิม จงอิน ไม่ใช่ใครที่เธอรู้จักหรือคิดว่าเป็น ในที่สุด มุน กึนยอง ก็หายตกใจ และเริ่มเข้าใจในที่สุดว่าตนเองไม่ได้เห็นผี
“ถ้าคุณหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ -- ใช่ค่ะ ฉันรู้จักคุณมาก่อน” กึนยองตอบพร้อมทั้งพยักหน้าตอบรับ
“ช่วยเล่าให้พวกเราฟังหน่อยได้มั้ยครับ ว่าคุณพบจงอินได้ยังไง” จงแดถาม ซึ่งเธอเองก็พยักหน้า เงียบไปพักหนึ่งราวกับพยายามจะเรียบเรียงเรื่องราวในหัว ก่อนจะพูดออกมาเพื่อทำลายความเงียบที่แสนอึดอัด
“ -- คุณคงจะจำไม่ได้ แต่เราพบกันค่อนข้างบ่อยในช่วงหนึ่ง” กึนยองเริ่มพูด ดวงตาเธอหรุบต่ำ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลราวกับเล่านิทาน
“คุณกับพ่อ เป็นคนรักกัน ฉันรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ฉันอายุได้เพียง 7 ขวบเท่านั้น” กึนยองเงยหน้าขึ้นมาสบตากับจงอินช้าๆ ก่อนจะพบว่าจงอินเบิกตากว้าง และอ้าปากค้างราวกับไม่เชื่อหู
“ค..คนรักกัน งั้นเหรอ” จงอินกระซิบเสียงแผ่ว คยองซูเองก็ดูเหมือนจะช็อคพอดู เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่ของเขากำลังบอก
“ใช่ค่ะ แต่ฉันไม่ได้รังเกียจที่พ่อของตัวเองเป็นพวกลักเพศหรอกนะคะ กลับกัน ตอนนั้นฉันเองก็ชอบคุณมาก และคิดว่าเราเป็นครอบครัวได้ดีกว่าตอนที่แม่อยู่กับฉันเสียอีก” กึนยองพูดต่อ เธอยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพูดถึงตรงนี้
“พ่อกับแม่แต่งงานกันเพราะถูกคลุมถุงชน แม่เป็นผู้หญิงไฟแรง ชอบทำงานและเข้าสังคมมากกว่าจะมานั่งเลี้ยงลูก เธอมีผู้ชายเข้ามาเกี่ยวพันเยอะมาก ทั้งสองคนไม่ได้รักกัน -- เพราะแม่รู้มาตั้งแต่ต้นว่าพ่อรักกับคุณอยู่ก่อนแล้ว… แต่พวกท่านจำเป็นต้องแต่งงานกันเพราะเหตุผลเรื่องธุรกิจ ที่พวกท่านมีฉันออกมาได้ เพราะคุณปู่ของฉันรับไม่ได้ที่พ่อเป็นพวกลักเพศ -- ท่านบอกว่าขายขี้หน้าน่ะค่ะ เลยอยากให้พ่อกับแม่มีลูกเพื่อกลบข่าวลือเรื่องที่พ่อเป็นเกย์” กึนยองยกยิ้ม เธอหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดต่อ
“พ่อพาฉันหนีออกมาจากบ้านคุณปู่มาอยู่ที่นี่ เพราะสุดท้ายแล้วพ่อก็ทนแม่ไม่ไหว ตอนนั้นแม่มีผู้ชายคนใหม่แล้ว เลยไม่ได้สนใจฉันมากนักหรอกค่ะ ฉันเองที่ตอนนั้นต้องมารู้ว่าพ่อเป็นเกย์ก็ค่อนข้างสับสนอยู่เหมือนกัน แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อฉัน และก็ต้องยอมรับนะคะ ว่าเขาทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ได้สมบูรณ์มากๆ ฉันถึงได้ยอมรับกับตัวเองว่า นี่คือเรื่องที่ดีที่สุดแล้วที่เราหนีออกมาอยู่กันสองคน ไม่มีแม่ที่ไม่สนใจฉัน ไม่มีคุณปู่ที่คอยเอาแต่ดุด่าและทำร้ายพ่อเป็นประจำ -- และในตอนนั้น จู่ๆคุณก็โผล่มา” กึนยองตวัดสายตาขึ้นมามองจงอินเมื่อพูดถึงประโยคนั้น
“หลังจากที่เราย้ายมาที่บ้านหลังนี้ได้ไม่นาน พ่อก็แนะนำให้ฉันรู้จักกับคุณ ถึงพ่อไม่ได้บอกแต่ฉันก็รู้ว่าพวกคุณรักกันมานานมาก คุณย้ายเข้ามาอยู่กับเราในช่วงเวลาสั้นๆ ถ้าฉันจำไม่ผิดก็คงประมาณ 6-7 เดือนมั้งคะ จนกระทั่งคุณมาบอกเราว่าคุณต้องไปทำงานไกลบ้าน คุณก็หายไปจากเราตั้งแต่วันนั้น...”
กึนยองทอดสายตามองจงอิน ราวกับจะขอคำตอบเมื่อเธอเล่ามาถึงตรงนี้ ความเงียบแผ่มาปกคลุมในบรรยากาศ ก่อนที่เธอจะหลับตาลงและพูดต่อด้วยเสียงแผ่วเบา
“ช่วงเวลาสั้นๆนั้น คุณใจดีและอ่อนโยนกับฉันมาก ราวกับว่าฉันมีพ่อสองคนเลยค่ะ มันเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นมาก เพราะแม่กับคุณปู่ไม่เคยสนใจฉันเลย แต่คุณกับพ่อต่างก็ดูแลฉันอย่างดี ทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่ขาดอะไรไปเลยในชีวิต จนกระทั่งคุณหายไปจากพ่อ พอคุณย้ายออกจากบ้านไป คุณเขียนจดหมายส่งกลับมาเพียงแค่สองสามฉบับ -- และห้าเดือนหลังจากนั้น ก็ไม่มีจดหมายจากคุณอีกเลย รวมทั้งจดหมายที่พ่อส่งถึงคุณก็ถูกตีกลับมาด้วย”
“...........................................” จงอินกัดริมฝีปากและหลบสายตา เมื่อกึนยองราวกับจะคาดคั้นให้จงอินตอบคำถาม แต่เขาไม่รู้อะไรเลย สิ่งที่คิดออกในตอนนี้ก็คือถ้อยคำก่นด่าตัวเอง ตามคำบอกเล่าที่กึนยองพูด ตัวเขาเองในอดีตช่างใจร้ายมากจริงๆ
“มันเหมือนกับว่าจู่ๆ คุณก็หายไปจากโลกใบนี้เลย” เมื่อมาถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลรินลงมาที่ข้างแก้มของกึนยองช้าๆ เธอปาดมันออกลวกๆอย่างรีบร้อน
“พวกเราทั้งสองพ่อลูกพยายามทุกวิถีทางที่จะหาว่าคุณอยู่ไหน แต่เราไม่ได้ข่าวคุณจากที่ไหนอีกเลย เราไปตรวจสอบรายชื่อคนเสียชีวิตทุกปีเผื่อว่าจะมีชื่อคุณบ้าง -- แต่ไม่เลย พ่อมั่นใจว่าคุณตายไปแล้วหลังจากที่เราทำอย่างนั้นอยู่ประมาณ 5-6 ปีได้” กึนยองหยุดพูดแล้วปาดน้ำตาออกอีกครั้ง คยองซูส่งกระดาษเช็ดปากให้เธอเพื่อเช็ดน้ำตา เธอจึงมีรอยยิ้มบางๆออกมาอีกครั้งหนึ่ง
“พ่อตายไปหลังจากที่ฉันเข้ามหาวิทยาลัยได้ประมาณสามปี หลังจากนั้นอีกสามปี ฉันก็ได้พบกับพ่อของคยองซู ฉันแต่งงานและมีคยองซูหลังจากนั้น ฉันเชื่อสุดหัวใจเรื่องการกลับชาติมาเกิด เพราะคยองซูเป็นคำตอบของเรื่องนั้น” กึนยองไม่พูดเปล่า เธอยังยกมือขึ้นมาลูบศีรษะเล็กๆ ของคยองซูพร้อมกับยกยิ้มที่แสนอ่อนหวานส่งให้กับคยองซู ก่อนที่จะหันกลับมามองพวกเขาทั้งสี่คนอีกครั้ง -- เธอหันกลับมามองจงอินอีกครั้ง
“ฉันรู้ว่าคงคาดคั้นเอาคำตอบอะไรจากคุณไม่ได้ เพราะฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่เขา -- บางทีคุณอาจเคยเป็น แต่คุณไม่ใช่เขา อย่างน้อยคุณก็ไม่ใช่เขาที่ฉันรู้จัก เพราะฉะนั้นแล้วถ้าคุณกำลังหาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ -- ถ้าหากมีคำตอบเรื่องนี้ให้ฉันล่ะก็ ฉันจะขอบคุณมากเลยค่ะ ที่บอกให้ฉันได้หายสงสัยเสียทีว่าเขาหายไปไหนกันแน่”
กึนยองวางถ้วยชาลงกับโต๊ะ และเดินหายเข้าไปในห้องนอนของเธอเพียงครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมกับกล่องไม้เล็กๆกล่องหนึ่ง -- มันเป็นกล่องไม้ทรงเดียวกับที่จงอินพบบนหลังตู้ มีลักษณะรูกุญแจแบบเดียวกันกับกุญแจทองที่จงอินพบ
“นี่คือจดหมายที่คุณตอบกลับมาสองสามฉบับนั้น และฉบับที่ถูกตีกลับมาทั้งหมด ฉันไม่เคยเปิดอ่านมันหรอกค่ะ เพราะว่าฉันไม่มีกุญแจ พ่อคงรู้อะไรมากกว่าฉันแน่ ฉันยังนึกเสียใจจนถึงทุกวันนี้ว่าทำไมไม่ถามพ่อให้รู้เรื่องเสียก่อนที่ท่านจะเสียไป” กึนยองวางกล่องไม้ลงบนโต๊ะ ก่อนจะเลื่อนมาวางต่อหน้าจงอิน
“หาคำตอบให้เจอนะคะ แล้วกลับมาบอกฉันด้วย กลับมาแก้ไขสิ่งที่คุณเคยทำกับฉันไว้ในอดีต -- ถือว่าฉันขอร้อง” กึนยองจับมือจงอินขึ้นมากุมเอาไว้ มันไม่ได้เป็นการคาดคั้น หากแต่เป็นการร้องขอ จงอินกลืนน้ำลายลงคอแล้วพยักหน้าตอบกลับ
“คุณกึนยองครับ ได้โปรดพาผมไปหาคังอูได้ไหมครับ ผมอยากไปเคารพศพเขาซักหน่อย” จงอินพูดขึ้นหลังจากที่เงียบไปในอึดใจหนึ่ง
“ฉันเชื่อว่าพ่อคงอยากให้คุณไปหาแน่นอนค่ะ คุณจงอิน” กึนยองพยักหน้าตอบกลับพร้อมด้วยรอยยิ้มหวาน ทำให้คิมทั้งสี่และคยองซูถึงกับยกยิ้มตามกันออกมาอย่างช่วยไม่ได้
คำตอบของจงอินนั้นเปิดเผยแล้ว -- คนในรูปไม่ใช่ใครเลยแต่คือคนรักของเขา.. นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้จงอินรู้สึกคิดถึงอย่างที่สุดหัวใจทุกครั้งที่มองรูปถ่ายใบนั้น และมันคงเป็นสาเหตุเดียวกันกับอาการใจเต้นแรงในทุกครั้งที่เขาสบตากับคยองซูด้วย
“ฉันจะพาคุณไปที่หลุมศพในวันพรุ่งนี้นะคะ วันนี้พวกคุณคงต้องค้างที่นี่ เพราะตอนนี้ก็ค่ำแล้ว -- ให้ฉันทำมื้อค่ำเลี้ยงพวกคุณนะคะ ถือว่าเป็นค่าตอบแทนของคำตอบที่ฉันรออยู่” กึนยองยิ้มแล้วเชิญชวนทุกคนให้นอนค้างที่บ้านของเธอ
“คยองซูพาพี่ๆ เขาขึ้นไปที่ห้องนอนแขกหน่อยครับลูก แล้วลงมาช่วยหม่าม๊าทำกับข้าวนะครับ”
กึนยองเอื้อมมือไปลูบผมลูกชายสุดที่รักของเธอก่อนจะสั่งให้คยองซูพาเขาทั้งหมดขึ้นไปเก็บของ ซึ่งคยองซูเองก็ไม่ได้อิดออดแต่ประการใด -- รอยยิ้มสดใสของคยองซูนั้นได้มาจากกึนยองไม่ผิดแน่ๆ
“อื้อครับ งั้นคยองไปช่วยพี่เขาขนของก่อนนะครับหม่าม๊า” คยองซูยิ้มกว้างก่อนจะจูบที่แก้มของกึนยองแล้วเดินนำคิมทั้งสี่ขึ้นไปบนห้องนอนแขกตามที่กึนยองบอกไว้ ทั้งสี่คนต่างก็มีคืนที่แสนอบอุ่นและสบายในบ้านหลังนี้ แน่นอนว่าอาหารค่ำฝีมือแม่ลูกอร่อยมากทีเดียว
ซึ่งถ้าหากว่านี่เป็นโชคชะตาแล้วล่ะก็ คิมจงอินก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาโชคดีเหลือเกินที่ได้มาเจอกันในวันนี้…
ความคิดเห็น