ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~+Ch@BuLa+~ : เมืองศักดิ์สิทธิ์แดนมนุษย์

    ลำดับตอนที่ #2 : < ตอนที่ 1 > อุเบกัส (100)

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 50


                    “ที่นี่ที่นะไหนกันนะ” เด็กหนุ่มผมสีดำสั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นกลัว เมื่อดวงตาสีดำสนิทของเขามองไปเห็นประตูบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า นั่นไม่ใช่ประตูธรรมดา เสาค้ำประตูนั้นสูงราวๆ 5 เมตร อีกทั้งลายแกะสลักที่อยู่บนบานประตูทั้ง 2 ข้างช่างดูไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย
                    ประตูนั้นค่อยๆแง้มออกทีละนิดๆ…..มันเปิดออกได้เพียงเล็กน้อยก่อนที่จะหยุดการเคลื่อนไหว ดวงตาสีน้ำเงินเข้มปรากฏขึ้นหลังบานประตูนั้น เด็กหนุ่มมองเห็นแต่เพียงดวงตาข้างนั้นจริงๆ เพราะสิ่งอื่นที่อยู่ในประตูบานนั้นนอกจากดวงตาข้างนั้นถูกซ่อนเร้นไว้ในความมืดมิด
                    “มานี่สิ คาส” เสียงโหยหวนของหญิงสาวร้องเรียกชื่อเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ขาของผู้ที่เป็นเจ้าของชื่อแข็งราวกับหิน คาสพยายามที่จะขยับตัวถอยหนี แต่ทว่าขาทั้ง 2 ข้างของเขากลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง
                    “ม่ายๆๆๆๆๆๆๆ” มือสีดำยาวพุ่งตรงมาจากด้านในบานประตู มันจับร่างของคาสไว้และค่อยๆดึงเขาให้เข้าไปใกล้ประตูนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ บัดนี้เด็กหนุ่มมองเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในบานประตูได้อย่างชัดเจน มันคือร่างของหญิงสาวผมยาวสีฟ้าอ่อน ดวงตาสีน้ำเงินเข้ม สวมชุดกระโปรงยาวสีดำสนิท ร่างของหญิงสาวนั้นโชกไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลต่างๆบนร่างกายของเธอ 
                    “ม่ายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” คาสตะโกนร้องออกมาขณะที่ถูกดึงเข้าไปภายในบานประตูนั้น
                    “คาส…คาส…คาส!!!!!!!!!” เสียงของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้น ทว่าเสียงนี้ต่างจากเสียงที่เรียกเขาเมื่อครู่ คาสค่อยๆลืมตาของเขาขึ้นทีละน้อย ภาพตรงหน้าที่เขามองเห็นเป็นเด็กสาวผมสียาวสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งรอยยิ้มบนใบหน้าเธอดูเจ้าเล่ห์พิกล
                    “นี่เฟรย์ หรือ เฟรย่า กันเนี่ย” คาสถาม พลางใช้มือทั้ง 2 ข้างของเขาขยี้ตาสีดำคู่งามของเขา
                    “ถ้าบอกว่า เฟรย่าจะเชื่อไหมล่ะ” เด็กสาวถาม
                    “ม่ายอะ ถ้าเป็นเฟรย่าต้องพกหนังสือมาด้วยแล้ว และอีกอย่างนะเฟรย่าก็คงไม่ถือดาบหรอกนะ” คาสพิจารณาอยู่นานก่อนที่ตอบกลับ แล้วเป็นอย่างที่เขาคิดไว้เด็กสาวตรงหน้าคือ เฟรย์ พี่สาวฝาแฝดต่างขั้วของเฟรย่า
                    “รู้จักใช้สมองด้วยเหรอเนี่ย…นายอะ” เฟรย์วางดาบลงกับพื้น ก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งลงข้างกับคาส
                    “นี่เฟรย์….เราก็คนนะ จะไม่รู้จักสมองได้ไงล่ะ” คาสตอบอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะใช้หมัดของเขาไปดันหัวของเด็กสาวเบาๆ
                    “เจ็บนะเจ้าบ้า!!!” เฟรย์ร้องออกมา แต่ทว่าสำรับเฟรย์แล้วปฏิกิริยาที่ตอบโต้กลับของเธอนั้นไม่ได้มีเพียงเสียงร้องเท่านั้น หมัดเล็กๆของเด็กสาวชกเข้าเต็มข้างแก้มของคาส จนเด็กหนุ่มถึงขั้นล้มลง
                    “เจ็บนะ..เฟรย์”
                    “สมน้ำหน้า…แกล้งเค้าก่อนนี่”
                    “เออๆ..จำไว้ๆ” คาสบอก มือข้างหนึ่งของเขากุมบริเวณข้างแก้มที่โดนชก
                    “ว่าแต่ เอาดาบมาทำไมในป่าอะ” คาสถาม พลางมองดูดาบที่อยู่ข้างๆตัวของเฟรย์
                    “ก็นายนั่นแหละ” เฟรย์บอก เธอเปลี่ยนมานั่งกอดเข่า
                    “ฉันเหรอ” คาสชี้มืออีกข้างชี้ที่หน้าของตัวเอง
                    “อืม…เล่นหายออกจากบ้านมาเงียบๆ ยัยเฟรย่านะสิเป็นห่วงนายซะเหลือเกิน ฉันเลยออกมาตามให้” เฟรย์อธิบาย
                    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เธอต้องพกดาบมาด้วย หา!!!”
                    “ก็ถ้าเจอสัตว์ร้ายขึ้นมาจะทำไงอะ” เฟรย์ตอบด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียว
                    “นายจะไปเรียนที่ มอดอร์ฟ จริงๆเหรอ” อยู่ดีๆเฟรย์ก็ถามขึ้น คาสสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่เขาจะตั้งสติได้
                    “ก็สิ…โรงเรียนในฝันเลยแหละ..ฉันอุตส่าได้จดหมายเชิญจากโรงเรียนทั้งทีก็ต้องไปสิ” คาสบอก
                    “เห่อ….นายนี่นะ….อ๊ะ” เฟรย์ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้แก่คาส
     
    เรียน ท่านผู้ปกครอง ของ มิสลอเนซิส
                    ขอกล่าวคำว่าสวัสดีอีกครั้งนะครับ มิสเตอร์ลอเนซิส เราเคยพบกันแล้วเมื่อปีก่อน กระผม ศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ส ฟรานซิส อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียน มอดอร์ฟ ครั้งก่อนเราส่งจดหมายมาเชิญ มิสเตอร์เบอร์ลินัส ที่อยู่ในความดูแลของคุณให้มาเรียนที่มอดอร์ฟ การที่ผมส่งจดหมายมาครั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าผมจะติดสิทธิ์ มิสเตอร์เบอร์ลินัส นะครับ เพียงแค่ว่า ฝ่ายคัดสรรและสรรหานักเรียนของโรงเรียนเราแจ้งเข้ามาว่า มีเด็กที่มีความสามารถพอที่จะศึกษาในโรงเรียนของเราอีก 2 คนที่อาศัยอยู่ที่บ้านของคุณ ใช่แล้วครับลูกสาวฝาแฝดของคุณ กระผมรับรองได้ครับว่าจะดูแลพวกเธอเป็นอย่างดีครับ ถ้าคุณจะส่งเด็กทั้ง 2 คนมาเรียนนะครับ ให้เขามาพร้อมกับ มิสเตอร์เบอร์ลินัส ได้เลยนะครับ
                    สำหรับเด็กๆทั้ง 3 คนนะ พวกเธอต้องมาถึงโรงเรียนก่อนวันจันทร์หน้า เพื่อมาลงทะเบียนรายงานตัว ข้าวของสัมภาระนั้นนะไม่ต้องเอาอะไรมามาก เพราะส่วนใหญ่ทางโรงเรียนนั้นจัดให้เกือบทั้งหมด ขอให้โชคดีกับการเดินทางนะ
    เอ็ดเวิร์ส ฟรานซิส
     
                    “ว่าไงล่ะ…คาส” เฟรย์จ้องมองสีหน้าของคาสที่เปลี่ยนไป
                    “พวกเธอได้ไปเรียนที่นั่นด้วยเหรอ” คาสถามอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
                    “อ๊ะ…แน่นอน” เธอตอบอย่างมันใจ
                    “ยุ่งแน่ๆ…งานนี้” คาสบ่นกับตัวเองเบาๆ แต่ทว่าคนข้างๆก็ได้ยิน
                    “ว่าอะไรนะ คาส” เฟรย์ถาม
                    “เปล่าๆ ไม่มีไร” คาสรีบลุกขึ้นและเดินกลับออกจากป่าแห่งนั้นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเฟรย์นั้น เธอเก็บดาบลงในฝัก และลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินตามคาสไป
                   
                    เมื่อกลับถึงบ้านคาสต้องพบกับเรื่องประหลาดใจอีกครั้ง ไม่ใช่เฟรย์เหวี่ยงดาบใส่เขาหรอกนะ แต่เป็นคุณลุงกับคุณป้า (พ่อแม่ของเฟรย์ กับ เฟรย่า) นั้นกลับมาจากการเดินทางเร็วกว่ากำหนดหลายเดือนมากๆ คาสรีบวิ่งเข้าไปทักทาย โดยมีเฟรย์ตามเขาเข้าไปติด
                    “พี่เฟรย์ ทำไมไปนานอะ” ขณะที่ทั้ง 4 คนสนทนากันอยู่นั้นอีกเสียงหนึ่งได้ดังขึ้น พร้อมกับเด็กสาวที่หน้าตาเหมือนกับเฟรย์ปรากฏตัวขึ้น ในมือข้างหนึ่งของเธอถือหนังสือเล่มหนา ส่วนมืออีกข้างขยี้ตาเหมือนคนที่เพิ่งตื่นทั่วไป
                    “พ่อ!!! แม่!!!” เฟรย่าตะโกนด้วยความตกใจ เธอรีบวิ่งเข้าไปกอดคนทั้ง 2 ไว้
                    “ยังไม่เปลี่ยนเลยนะเฟรย่า…ลูกนะ” ทั้ง 2 บอก พลางมองเด็กสาวตัวน้อยอย่างเอ็นดู
                    “ก็หนูคิดถึงพ่อกับแม่นี่ค่ะ” เธอบอก น้ำตาแห่งความปิติยินดีได้ไหลซึมออกมาจากดวงตาคู่เล็กๆของเธอ
                    “เฟรย่า ลูกอายุ 17 แล้วนะ” คนเป็นพ่อบอก พลางใช้มือลูบไล้ตามเรือนผมของเธอ
                    คาสเมื่อเห็น พ่อ แม่ ลูก อยู่ด้วยกันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก พ่อ แม่ ของเขาจากไปจากอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน คุณลุง คุณป้า บอกว่า พ่อของเขาเป็นอัศวินของอาณาจักร เรอไวอัส แห่งนี้ ส่วนแม่ของเขานั้น เป็นจอมเวทย์ที่อุทิศพลังของเธอเพียงเพื่อการรักษาเท่านั้น ทั้งคู่ประสบอุบัติเหตุระหว่างทางที่เดินทางกลับมาจากนครมอดอร์ฟ
                    คาสเดินขึ้นไปชั้น 2 ก่อนที่จะเลี้ยวซ้ายและเปิดประตูห้องของเขา ก่อนที่เขาจะหมกตัวอยู่ในนั้นทั้งวัน ในห้องของเด็กหนุ่มนั้น ถูกจัดไว้อย่างเรียบง่าย มีเพียงเตียงนอนไม้ ตู้หนังสือ ตู้เสื้อผ้า และ โต๊ะเขียนหนังสือเท่านั้น ห้องของเขาเต็มไปด้วยกองหนังสือ จึงไม่แปลกเลยที่เฟรย่าจะแอบเข้ามาในห้องของเขาและหยิบหนังสือติดไม้ติดมือไปสักเล่ม 2 เล่ม
                    “คุณพ่อ คุณแม่” คาสล้มตัวลงนอนบนเตียง แขนข้างขวาปล่อยทิ้งไว้ข้างลำตัว ส่วนข้างซ้ายนั้นเขายกมันขึ้นมาก่ายหน้าผากเอาไว้ คาสหลับตาลงและพยายามที่จะนึกถึงใบหน้าของบุพการีของเขา แต่จะนึกออกได้อย่างไรกันเล่า เพราะตั้งแต่เขาจำความได้พ่อแม่ของเขาก็สิ้นลมหายใจไปกันหมดแล้ว
                    มรดกตกทอดที่พ่อแม่ของเขาทิ้งไว้ให้นั้นคือ เงินจำนวนหลายล้าน ฟินส์ ที่ถูกเก็บไว้ในธนาคารของเมืองมอร์ดอร์ฟ นอกจากนั้นไม่เหรออะไรเลย เพราะในคืนเดียวกันกับวันที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต บ้านที่เคยใช้เป็นที่พักอาศัยได้ถูกคนร้ายวางเพลิง โชคยังดีที่ในวันนั้นพ่อกับแม่นำเขามาฝากไว้ที่นี่ นั่นเป็นสิ่งที่หลายคนคิด แต่ทว่าในใจของคาสเขากลับคิดไปอีกอย่า “ทำไมฉันไม่ตายไปพร้อมกับบ้านหลังนั้นนะ” ยิ่งนึกถึงหยดน้ำตายิ่งค่อยๆไหลออกมาจากดวงตาสีดำสนิทของเด็กหนุ่มจนเกิดเป็นทางน้ำไหลบนใบหน้า
                    กาลเวลาร่วงเลยผ่านไปเท่าใดแล้วไม่มีใครรู้ แสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาเพื่อให้ความสว่างได้หายไปเปลี่ยนเป็นแสงของจันทราที่ส่องแสงอ่อนๆลงมาแทน ประตูห้องนอนของคาสเปิดออก แสงไฟจากเทียนทั้งนั้นช่วยเพิ่มความสว่างให้แก่ห้องทำให้เด็กหนุ่มมองเห็นใบหน้าของชายผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเขา เทียนทั้ง 19 เล่มนั้นเหมือนถูกปักไว้บนอะไรสักอย่างที่นายลอเนซิสถือมา นอกจากนายลอเนซิสแล้วนางลอเนซิสและลูกๆของเธอค่อยๆเดินตามผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวเข้ามาในห้อง
                    “ฉันขอวางมันบนโต๊ะของเธอได้ไหม” นายลอเนซิสถาม
                    “ได้ครับ” คาสพลักให้ตัวเองขึ้นมาอยู่ในท่านั่ง เขามองตามแสงเทียนนั่นไป
                    “พร้อมรึยังทุกคน” นายลอเนซิสถาม และแล้วคาสต้องแปลกใจในการกระทำของพวกเขา เสียงเพลงวันเกิดดังขึ้นพร้อมกับเสียงอวยพรจากบุคคลทั้ง 4 ที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่เทียนทั้ง 19 เล่มปักไว้นั้นจริงๆแล้วมันคือ ‘เค้ก’ นายลอเนซิสเดินไปเปิดสวิทซ์ไฟภายในห้อง แสงจากหลอดนีออนที่สว่างจ้าทำให้คาสเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของทุกๆคน
                    “ขอบคุณครับ” คาสบอกก่อนที่เขาจะลุกขึ้นและเดินไปนั่งเก้าอี้ที่โต๊ะเขียนหนังสือของเขา คาสหลับตาลงอธิษฐาน เขาเป่าเทียนทั้ง 19 เล่มดับภายในครั้งเดียว เสียงแห่งความปิติยินดีดังขึ้นภายในห้องนอนของเขา พร้อมกับนายลอเนซิสที่เดินเข้ามากอดแสดงความดีใจกับเขา
                    “ป๊ะ…ไปฉลองกันด้านล่าง” เขาบอก พลางจูงมือของคาสเดินฝ่าเหล่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ที่ประตูไป ที่ชั้นล่างห้องอาหารถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี เค้กก้อนใหญ่ยิ่งกว่าในห้องถูกวางไว้ตรงกลางโต๊ะ อาหารเย็นของวันนี้นั้นมีทั้ง สเต็ก ไก่งวง ฯลฯ
                    “ตัดเค้กสิ” เสียงของเฟรย์ดังมาจากด้านหลังของคาส
                    “พี่เฟรย์ พี่คาสเค้ารู้น่าเรื่องแค่นี้นะ” เฟรย่าหันไปบอกพี่สาวฝาแฝดของเธอ
                    “อ้าวเหรอ” เฟรย์ทำหน้าแปลกใจก่อนที่จะชวนน้องสาวของเธอไปนั่งที่โตีะอาหาร ตอนนี้ทุกคนมาพร้อมกับหมดแล้ว คาสลงมือตัดเค้กก่อนจะส่งมันไปให้ทุกๆคนที่อยู่ในวงอาหารวันนี้ เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่เหลือและเริ่มฉลองงานเลี้ยงวันเกิดของตัวเขาเองกับครอบครัวลอเนซิส
                    งานเลี้ยงอันสุดแสนจะวิเศษได้จบลง หลังจากที่ทุกคนขึ้นไปนอนแล้ว เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปข้างนอกแบบเงียบที่สุดเพื่อที่จะไม่ทำให้ทุกคนตื่น คาสนั้นเมื่อพ้นจากประตูบ้านแล้วเขารีบวิ่งขึ้นไปทางเหนือ เส้นทางที่เขามุ่งหน้าไปนั้นเต็มไปด้วยป่ารกรุงรัง เขาหยุดวิ่งและเปลี่ยนไปเดินอย่างช้าๆเพื่อความปลอดภัย เขาเดินตรงไปเรื่อยๆจนถึงลานแห่งหนึ่งซึ่งมีป้ายหลุมศพอยู่เต็มไปหมด
                    “พ่อครับ....แม่ครับ” เขาพูดออกมา สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาแล้ว เขาคุกเข่าลงตรงนั้นก่อนที่จะก้มลงกราบที่ป้ายหลุมฝังศพของพ่อแม่เขา เขาอยู่ในท่านี้นานพอสมควรก่อนที่จะยกหัวขึ้น มือทั้ง 2 ข้างวางไว้บนหน้าขา
                    “พรุ่งนี้ตอนเย็นผมต้องไปแล้วนะครับ ผมได้เรียนที่มอร์ดอร์ฟครับพ่อ โรงเรียนที่พ่อกับแม่เคยเรียนไงล่ะครับ เค้าส่งจดหมายมาให้ผมเมื่อปีก่อนครับ พ่อครับ แม่ครับ แล้วผมจะกลับมานะครับ ผมอายุ 18 แล้วนะครับ ถ้าพ่อกับแม่อยู่ตอนนี้กับผมก็คงจะดีนะครับ” น้ำตาไหลออกจากดวงตาสีดำของเด็กหนุ่มอีกครั้ง เขาถอดหมวกของเสื้อกันฝนที่สวมหัวของเขาออก ปล่อยให้สายฝนตกกระทบหัวและใบหน้าของเขา
                    “ผมขออนุญาตอยู่ด้วยทั้งคืนนะครับ” เขาบอกพลางใช้มือลูบป้ายหลุดศพของพ่อและแม่ เขากอดป้ายนั้นไว้แน่น น้ำตายังคงไหลไม่หยุด เช่นเดียวกันสายฝนยังคงโปรยปรายและมีทีท่าว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ
                    “อยู่ตรงนี้....เดี๋ยวก็ไม่สบายเอาหรอก” เสียงใสๆของเด็กสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังเขา คาสหันไปมองแม้ว่าเขาจะยังโอบกอดป้ายหินเอาไว้แน่น ‘เฟรย์’ ใบหน้าของเธอที่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทำให้เขาจำได้ในทันที เฟรย์เดินออกจากบ้านมาตามหาเขา เธอสวมชุดนอนสีฟ้าอ่อนแบบที่เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวและกางเกงขายาว ในมือข้างหนึ่งถือร่มที่กางไว้เพื่อกันฝนให้ตัวเธอ
                    “เธอมาทำไมที่นี่…” เสียงของคาสเบาเกินกว่าที่เฟรย์จะได้ยิน เธอเดินเข้าไปหาเขาและให้เขาใช่ร่มร่วมกัน
                    “คิดถึงพวกท่านขนาดนั้นเลยเหรอ” เฟรย์กระซิบถามคาส
                    “อืม...คิดถึงมากเลยด้วย” เขาตอบกลับ พลางใช้มือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของตัวเอง
                    “เข้าไปพักในนั้นดีกว่า อุ่นแล้วก็ปลอดภัยด้วย” เฟรย์บอก พลางชี้ไปยังโบสถ์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่เป็นสง่า ในทีแรกคาสปฏิเสธที่จะเข้าไปเพียงเพราะเขาอยากจะอยู่ใกล้ๆกับพ่อและแม่ แต่สุดท้ายเฟรย์ก็พูดให้เขายอมจนได้
                    “มีใครอยู่ไหมค่ะ” เฟรย์เคาะประตูก่อนที่จะร้องถาม และอีกไม่กี่วินาทีต่อมาประตูบานใหญ่ของโบสถ์ได้เปิดออก
                    “พวกลูกมีกิจอันใดกันรึ” หลวงพ่อถาม พลางหันไปมองหน้าของเฟรย์และคาส สลับกันไปมา
                    “เราขอพักที่นี่ได้ไหมค่ะ...คือว่า เพื่อนหนูคนนี้เขามาเยี่ยมหลุมศพของพ่อกับแม่ แล้วข้างนอกฝนตกหนักเรากลับไปไม่ได้ค่ะ” เธอบอกไปตามตรง บาทหลวงคนนั้นคิดอยู่สักพักก่อนที่จะเปิดประตูให้กว้างเพื่อให้ทั้งคู่เดินเข้ามา
                    “เชิญตามสบายนะ...เตาผิงมีด้านนู้นแนะ” เขาบอกพลางชี้ไปที่สุดมุมห้อง
                    “ขอบคุณค่ะ” เฟรย์บอก พลางดึงคาสเข้ามาข้างในโบสถ์
                    “เธอ...ลูกชายของเบอร์ลินัสใช่ไหม” คาสสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินบาทหลวงคนนั้นเอ่ยชื่อพ่อของเขา
                    “ใช่ครับ” เขาผละออกจากเฟรย์ แล้วหันมาหาบาทหลวงคนนั้น
                    “โอ้~~~~ ช่างดีอะไรเช่นนี้ ฉันชื่อ บีทารุส นะ เรียกว่า บีท ก็ได้” เขาบอก พลางยื่นมือมาเขย่ามือของคาส
                    “หลวงพ่อบีท”
                    “อืม เรียกอย่างนั้นก็ได้ สมัยก่อนแม่เธอก็เรียกฉันอย่างนั้นแหละ” หลวงพ่อบีทบอก พลางปล่อยมือจากมือของคาสและเดินไปยังตู้หนังสือขนาดใหญ่
                    “นี่ไง...รูปของพ่อกับแม่เธอ ฉันเก็บเอาไว้อย่างดีเลยแหละ” บีทส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้คาสดู มันเป็นรูปวาดของนักรบผมสีแดงเพลิงคนหนึ่งที่กำลังเดินจูงอาชาสีขาวบริสุทธิ์ โดยบนหลังของอาชาตนนั้นมีร่างของจอมเวทย์หญิงผู้หนึ่ง ผมสีน้ำตาลเข้มของเธอนั้นช่างเข้ากับใบหน้าที่งดงามของเธอจริงๆ คาสมองดูคำบรรยายภายใต้ภายนั้นและเขาก็ได้พบมัน ชื่อจริงของพ่อกับแม่ของเขา
                    “มหานักรบแห่งมอร์ดอร์ฟ คาสไนท์แมร์ เบอร์ลินัส กับ จอมเวทย์เทวดา อากาช่า ไพร์ด” คาสอ่านออกมา
                    “รูปนั้นวาดขึ้นตั้งแต่พ่อกับแม่ของเธอยังไม่ได้แต่งงานกันนะ” บีทบอก พลางคนหนังสือเล่มอื่นๆ
                    “คาส นายไม่เคยบอกฉันเลยว่าพ่อแม่ของเธอยิ่งใหญ่ขนาดนี้” เฟรย์ที่นั่งอยู่ที่เตาผิงลุกขึ้นมาและแย่งหนังสือในมือของคาสไปดู
                    “คือว่า...เพิ่งรู้วันนี้เหมือนกันนั่นแหละ” เขาตอบ ซึ่งคำตอบนี้ทำให้คนอีกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ตกใจเป็นอย่างมาก
                    “เธอไม่รู้มาก่อนเหรอ....โอ้~~~ เป็นไปได้อย่างไรที่ ลูกชายของ 2 คนดังแห่งศตวรรษไม่รู้จักประวัติของบุพการีของเขาเอง” บีทเดินมาพร้อมกับหนังสือเล่มบางๆสัก 2-3 เล่ม
                    “เอานี่~~~ ไหนๆวันนี้ฝนก็ตกหนัก เธอคงออกไปไม่ได้จนเช้านั่นแหละ ถ้าไม่รังเกียจก็อ่านหนังสือพวกนี้ก็ได้นะ มันบันทึกเรื่องราวที่เกี่ยวกับพ่อกับแม่ของเธอไว้ไม่มากก็น้อยแหละ” เขาบอกพลางเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าเตาผิง
                    “เดี๋ยวครับ..” คาสร้องเรียกทำให้บีทหยุดเดิน “คุณ...รู้จักพ่อกับแม่ผมได้ไง” คาสยังมีข้อสงสัยอยู่เต็มไปหมด
                    “ฉันกับพ่อของเธอนะ ตอนเด็กๆเราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เราจบจากมอร์ดอร์ฟมาด้วยกัน ส่วนแม่ของเธอนั้นนะ ก่อนที่ฉันจะลาออกจากกองทัพมาเป็นบาทหลวงอยู่ที่นี่ เธอ.....” เสียงของบีทขาดหายไป
                    “อะไรเหรอครับ อะไรที่เกี่ยวกับท่านแม่” คาสรอฟังไม่ไหวจึงรีบเดินตรงเข้าไปหาบีทที่นั่งอยู่หน้าเตาผิง
                    “เธอเป็นหัวหน้าของฉัน” บีทพูดต่อ พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินตรงไปยังประตูห้องนอนของเขา
                    “ลองอ่านดูสิ แล้วเธอจะรู้เอง” บีทหันมาบอกก่อนที่เดินเข้าไปในห้องและปิดประตูบานนั้น
                    “นั่งอ่านที่เตาผิงคงจะสบายนะ...ว่าไหม” เฟรย์เดินเข้ามาใกล้ๆเขา ก่อนที่เธอจะเดินนำคาสไปตรงเตาผิง ทั้งคู่นั่งลงที่โซฟาตัวยาวใหญ่ตัวหนึ่ง คาสวางหนังสือลงบนโต๊ะเล็กๆที่อยู่ข้างโซฟา
                    “ถ้าง่วง...นอนก่อนก็ได้นะ” คาสบอก ก่อนทีเขาจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน ทางด้านเฟรย์ที่เหนื่อยมาทั้งวันแล้วไม่อาจจะทนนั่งต่อไป เหมือนร่างกายของเธอจะหยุดทำงานอัตโนมัติ เธอล้มตัวลงศีรษะของเธอวางลงที่ตักของคาส
    *******************
                    แสงแดดอ่อนๆของเช้าวันใหม่ได้ส่องผ่านหน้าต่างโบสถ์ทุกบานเข้ามา เสียงของนกที่ประสานเสียงกันยาวเช้าช่างไพเราะกว่าเสียงใดๆ แสงแดดที่ส่องเข้ามานั้นกระทบที่เปลือกตาของเด็กสาวทำให้เธอตื่นขึ้นมา เมื่อคืนเธอยังนั่งอยู่กับคาส แต่เช้านี้คาสหายไปไหนไม่มีใครรู้ แล้วผ้าห่มผืนนี้มาจากไหนกันล่ะ
                    “อ้อ...พวกลูกๆจะไปเรียนที่มอดอร์ฟรึ” เสียงของหลวงพ่อบีทดังมาจากด้านนอกโบสถ์
                    “ครับ...ศาสตราจารย์ เอ็ดเวิร์ส เขาส่งจดหมายเชิญมาแล้วนี่ครับ” คราวนี้เป็นเสียงของคาสบ้าง ดูเหมือนทั้ง 2 จะสนทนากันมาได้พักใหญ่แล้ว แม้ว่าตอนนี้เฟรย์ยังอยู่ในสภาพที่งัวเงียอยู่ แต่ทว่าเธอก็ลุกเดินไปที่หน้าต่างเพื่อฟังการสนทนาของทั้ง 2
                    “โอ้~~~...ท่าน เอ็ดเวิร์ส เป็นอาจารย์ใหญ่แล้วเหรอเนี่ย... สงสัยฉันตัดขาดจากโลกภายนอกนานเกินไปซะแล้ว” เมื่อได้ยินชื่อของ ศ.เอ็ดเวิร์สแล้ว หลวงพ่อบีทก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ
                    “ทำไมเหรอครับ... หลวงพ่อรู้จักเขาด้วยเหรอครับ” คาสเลิกคิ้วมองชายตรงหน้าที่ยังยิ้มไม่หยุด
                    “รู้จักสิ... รู้จักดีด้วย” เขาบอก “ตอนที่ฉันเรียนที่นั่นนะ... เขาเป็นอาจารย์สวนวิชาปราชญ์ เขาเป็นปราชญ์ที่เก่งมากเลยแหละ เขาช่วยพ่อของเธอกับฉันตลอดเลย เวลาที่เราเดือดร้อนเราก็จะไปหาท่านเสมอ” เขากล่าวอย่างชื่นชม ซึ่งตอนนี้คาสกำลังจินตนาการถึงปราชญ์วัยชราที่กำลังส่งยิ้มให้เหล่านักเรียน รอยย่นบนใบหน้าปรากฏออกมาเด่นชัดเมื่อเขายิ้ม
                    “เขาคงเป็นคนที่ดีมากสินะครับ” คาสพูดเบาๆ
                    “คงจะเป็นเช่นนั้น...” หลวงพ่อบีทตอบกลับ เขาหันมามองทางหน้าต่างที่เฟรย์ยืนอยู่ “อาหารเช้าคงจะพร้อมแล้ว ไปชวนเพื่อนของลูกมากินด้วยสิ” เขาหันมาบอกกับคาส ก่อนที่จะเดินไปยังบ้านหลังเล็กๆที่สร้างไว้ใกล้ๆกับตัวโบสถ์
                    “ครับ” ขณะที่คาสกำลังจะเปิดประตูเข้าไปนั้น ประตูบานใหญ่ได้เปิดออก เด็กสาวร่างน้อยปรากฏตัวขึ้น เธอมองคาสด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนที่จะเดินผ่านเขาไป
                    “เฟรย์” คาสร้องเรียก เด็กสาวคนนั้นหันกลับมามองเขา
                    “เช้านี้มันหนาวนะ เอาผ้าห่มคลุมตัวไปไหม” เขาบอก
                    “แล้วแต่สิ... เอามาให้ด้วยก็ดีนะ” เธอตอบกลับ ก่อนที่จะเดินตรงไปที่บ้านหลังเดียวกันกับที่หลวงพ่อบีทไป
                    “อะไรของยัยนี่นะ... อารมณ์บูดตั้งแต่เช้าเชียว” คาสหยิบผ้าห่มออกมาจากข้างในโบสถ์มาสัก 2 – 3 ผืนก่อนที่เขาจะเดินออกมา เขาปิดประตูโบสถ์ และ เดินไปยังบ้านหลังนั้น
                    ไม่มีการสนทนาอันใดเกิดขึ้นระหว่างที่พวกเขารับประทานอาหารเช้า ทางด้านคาสนั้น เขาหันไปมองเฟรย์อยู่บ่อยๆ วันนี้เธอเหมือนจะแปลกไปราวกับไม่ใช่เฟรย์คนเดิม ‘ทุกทียัยเฟรย์ก้าวร้าวกว่านี้นี่’ นี่คือความคิดที่อยู่ในหัวของเขา
                    เฟรย์นั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลยว่ามีคนจ้องมองเขาอยู่บ่อยๆ เธอค่อยๆตักข้าวโอ๊ตจากชามตรงหน้าเธออย่างช้าๆ ส่วนหลวงพ่อบีทนั้น เขาก็กำลังกิน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วไปหยิบแก้วใส่น้ำเปล่ามาให้คาสและเฟรย์
                    “คาส... พ่อว่า..ตอนอยู่ที่โรงเรียน เธอไม่ควรใช้นามสกุลเบอร์ลินัส นะ” หลวงพ่อบีทกล่าวหลังจากที่พวกเขารับประทานอาหารเช้ากันเสร็จ
                    “ทำไมเหรอครับ” คาสถามอย่างสงสัย
                    “ก็....” หลวงพ่อบีทอยากจะพูดออกมา มันดูเหมือนเป็นอะไรที่น่ากลัว คำพูดนั้นจึงติดอยู่ในคอของเขา
                    “เพื่อไม่ให้ศัตรูของพ่อเธอรู้ว่า... เขายังมีทายาทไง” เฟรย์เว้นวรรคก่อนที่จะพูดประโยชน์หลัง คำพูดนั้นทำให้เจ้าของนามสกุลสะดุ้งเล็กน้อย
                    “จริงไหมค่ะ คุณพ่อ” หลวงพ่อบีทพยักหน้าให้กับเธอ ทว่าก่อนที่จะพูดอะไรกันต่อ เสียงของระฆังจากโบสถ์ได้ดังขึ้น เสียงของนกหลายร้อยตัวกระพือปีกพร้อมกันเมื่อมันได้ยินเสียง
                    “8 โมงแล้ว พวกเธอน่าจะกลับกันได้แล้วนะ” หลวงพ่อบีทบอกก่อนที่จะยกชามข้าวไปเก็บ เขาถอนหายใจยาวเมื่อหันหลังให้กับแขกทั้ง 2
                    “พวกเราขอตัวนะครับ..คุณพ่อ” คาสกล่าวลาหลวงพ่อที่ยังคงหันหลังให้พวกเขา ทั้ง 2 เดินออกจากบ้านหลังนั้นไป
                    “คาส... เธอช่างเหมือนกับพ่อของเธอจริงๆ” บาทหลวงยืนมองดูคาสเดินจากไป โดยมีประตูโบสถ์บานใหญ่เป็นฉากหลัง
    *******************************************************************************************************
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×