คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3: วาเลนเซีย
บทที่ 3: วาเลนเซีย
ชายผู้มาใหม่จ้องเขม็งไปที่หน้าคาเรลซึ่งจ้องตอบเป็นเวลานาน แต่ดูท่าคาเรลจะเป็นฝ่ายหวาดหวั่นมากกว่า เขาไม่กะพริบตาเลยใบหน้านิ่งเรียบราวกับรูปปั้นหิน คาเรลแอบคิดในใจว่าเขาเป็นพวกมนุษย์ดัดแปลงอย่างที่เจอเมื่อครู่หรือเปล่า เมื่อเขาขยับเท้าเดินเข้ามาใกล้หนึ่งก้าว คาเรลก็รีบยกปืนขึ้นขู่ด้วยสัญชาตญาณในทันที แต่ดูเหมือนเขาจะไม่หวาดเกรงแม้แต่น้อย เขาเดินก้าวเข้ามาอีกก้าว คาเรลเอานิ้วไปแตะที่ไก เมื่อเข้ามาอีกก้าว หญิงสาวลั่นกระสุนในทันที
กระสุนพุ่งผ่านปลายกระบอกปืนเข้าหาเป้าหมาย แต่แล้วจู่ๆมันก็แตกกลางอากาศ เศษกระสุนร่วงหล่นลงพื้น คาเรลเลิกคิ้วสูงมองเศษโลหะที่กลิ้งโค่โล่อยู่บนพื้น ก่อนที่จะเบือนมาที่หน้าชายลึกลับ เขายังคงก้าวเข้ามาอีก
“หัวหน้าระวัง!” แมสดึงคอเสื้อผู้เป็นหัวหน้าให้ออกมาห่างจากบริเวณนั้น ชาร์ลกระโดดเข้ามาแทนที่และตั้งดาบเป็นแนวตรงพร้อมต่อสู้เต็มที่ ถึงแม้มือจะสั่นแต่สายตามุ่งมั่น
“ไม่รู้หรอกนะว่านาย
“หนีไปซะจะดีกว่า... ฉันไม่อยากให้ดาบต้องเปื้อนเลือด”
ชาร์ลได้ยินดังนั้นจึงเปิดฉากโจมตีก่อนในทันที เขาง้างดาบไปตามแนวขนานกับพื้นช่วงระดับเอว มีแสงเรืองสีขาวเกิดขึ้นที่ใบดาบนั้น แต่แล้วจังหวะที่เขาหวดดาบกวาดไปตามระนาบเป็นครึ่งวงกลม ชายปริศนาก็ก้าวเท้าไปด้านหลังหนึ่งก้าวอย่างช่ำชอง เมื่อหลบพ้นระยะโจมตีเขาก็ไถลตัวเข้ามาอย่างรวดเร็วเพียงชั่วพริบตา อุ้งมือของเขาก็จ่อเข้าที่ลำคอของชาร์ลเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มชะงักเหงื่อไหลราวน้ำตก
“ฝีมือระดับพวกแกทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” สายตาของเขาเสียบแทงเข้าที่หัวใจ ร่างของชาร์ลถูกโยนกลับมาราวกับขว้างก้อนหินขนาดเหมาะมือทิ้ง ผู้บุกรุกทั้งหมดยืนตะลึงงัน เทเดสรีบพยุงตัวชาร์ลที่ใช้มือจับคอตัวเองและไอแค่กแหบแห้ง
“พวกนายถอยไป” คาเรลรวบรวมกำลังใจทั้งหมดและก้าวไปข้างหน้ายืนเผชิญหน้ากับชายผู้นั้นตัวต่อตัว พร้อมกับเสียงห้ามปรามของเหล่าลูกน้อง ชายผมเงินหรี่ตาลงครู่หนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นเย็นยะเยือกเหมือนดั่งเดิม “แกชื่ออะไร” เธอถาม กว่าจะรวบรวมเสียงผ่านลำคอได้ช่างยากลำบากนัก
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้” เขาตอบกลับทันควัน
“ฉัน คาเรล เอนิคอร์เรีย จงจำไว้ซะ เพราะชื่อนี้แหละจะทำให้แกต้องพ่ายแพ้” หญิงสาวกัดกรามแน่น เธอกำด้ามปืนในมือจนเหงื่อเต็มฝ่ามือ
“ปืนของเธอยังทำอะไรหุ่นยนต์ของเราไม่ได้ อย่าคิดว่ามันจะใช้กับฉันได้ผล
”
“ใครบอกว่าใช้ปืนเล่า” คาเรลพูดแทรกทันควัน เธอยกปืนขึ้นสูงในระดับสายตาก่อนที่จะเหวี่ยงมันไปมาบนปลายนิ้ว ทันใดนั้นเหมือนกับมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไปตามลำกล้องปืน มีใบมีดเล่มเรียวยาวแบบพับได้ยืดออกมา กลายเป็นดาบสองคมสีเงินผสมฟ้าไปในทันตา ด้ามปืนที่คดงอถูกจัดตั้งตรงและส่วนลำกล้องปืนถูกพับเก็บเข้าบริเวณโคนดาบ ดาบเล่มนี้ยาวราว 1 เมตรครึ่ง โดยรวมด้ามดาบเข้าไปแล้ว ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ที่ดาบเล่มขนาดนี้ซ่อนอยู่ในปืนพกที่เธอใช้เป็นประจำ
“จะใช้ดาบงั้นรึ?” ดูเหมือนจะทึ่งกับการปรากฏของดาบ แต่ใบหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบเหมือนเดิม
“เอาออกมาขนาดนี้ คงเป็นไม้ถูพื้นหรอกมั้ง” หญิงสาวยิ้มยียวน พร้อมกับก้าวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าวย่อตัวลงเล็กน้อยและจับดาบตั้งขึ้นอย่างมั่นคง เป็นท่าเตรียมพร้อมซึ่งไร้จุดบอด แต่ทางด้านคู่ต่อสู้กลับไม่เปลี่ยนท่าที แต่ไร้จุดบอด
“ไม่ชักดาบหรือ?” คาเรลถามอย่างไม่แน่ใจนัก ชายเบื้องหน้ายังคงนิ่งเงียบดาบในมือไม่ไหวติง แถมฝักดาบก็ไม่ถอดออก
เมื่อมองดูท่าทีอยู่น่าน ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่โจมตีเสียที ด้วยความรู้สึกฉุกเฉินเหมือนรถไฟกำลังเข้าใกล้จุดอันตรายขึ้นเรื่อยๆ คาเรลจึงย่อตัวลงอีกระดับและใช้เท้าที่ย่อเข่าลงถีบส่งร่างไปข้างหน้า ความเร็วของเธอเหนือกว่าชาร์ลหลายขุม หญิงสาวฟันตัดอากาศไปข้างหน้าโดยทุ่มร่างไปทั้งตัว แต่เหมือนฝ่ายตรงข้ามจะอ่านเกมออก เขาเพียงเบี่ยงหัวไหล่หลบไปด้านข้างเพียงนิดเดียวก็รอดพ้นการโจมตีของเธอไปได้อย่างง่ายดาย
“ยังอ่อนหัดนัก” ชายหนุ่มจ้องมองหญิงสาว แต่เมื่อเท้าเธอถึงพื้นร่างของเธอก็หายวับไปในทันที คมดาบหวดไปช่วงบริเวณลำคอ แต่เขายกดาบขึ้นตั้งรับไว้ด้วยมือเดียว “แต่รวดเร็วจริงๆ”
“ยังมีนี่อีกนะจะบอกให้” ในจังหวะที่ตัวเธอยังลอยค้างอยู่กลางอากาศ เธอก็หวดแข้งเข้าไปบริเวณส่วนหน้าอกของเขาอย่างหนักหน่วง แต่ก็ถูกหยุดได้ด้วยมืออีกข้าง และเขาจับมันได้มั่นพร้อมกับเหวี่ยงตัวเธอจนกระเด็นไถลชนโซฟาที่ตั้งอยู่ข้างกำแพงพังทลาย
“ฉันขอเตือนไว้” ชายเย็นชาเหมือนกับพูดกับอากาศ เขาไม่สบตาใคร “หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ฉันหวังว่าจะไม่พบพวกแกอีกเป็นครั้งที่สอง ในครั้งนี้ฉันปล่อยพวกแกไป แต่ครั้งหน้าดาบฉันจะได้ดื่มเลือดคน
และอีกเรื่องหนึ่ง” เขาเว้นช่วงสักพักเหมือนกำลังใช้ความคิด “รถไฟคันนี้กำลังตกราง คิดว่าคงไปได้อีกไม่ไกล พวกแกรีบออกไปจากที่นี่ซะ ไม่อย่างนั้นก็ตายมันไปพร้อมกับซากรถไฟนี่ก็ได้”
พูดจบเขาก็หันไปดูคาเรลที่พยายามจะใช้มือยันร่างลุกขึ้นมาอีกครั้ง ดาบกระเด็นหลุดมือไปอยู่อีกทิศทางหนึ่ง ชายผู้มีเส้นผมสีเงินย่างกายไปกลางห้องท่ามกลางสายตาผู้บุกรุกทั้งหก เขากำด้ามดาบเพียงชั่วพริบตา เกิดวงรัศมีรอบตัวสีฟ้าพุ่งออกมาจากรอบกาย ทั้งหมดก้มตัวลงด้วยการตอบสนองของทุกรูขุมขน กำแพงทั่วทั้งโบกี้ถูกของมีคมฟันขาดจนปลิวหลุดตามแรงลม เมื่อปราศจากหลังคา สายลมสลาตันอันหนักหน่วงกาห่าโหมเข้ามาภายในห้อง ทั้งหมดก้มหน้าต้านแรงลม ชายปริศนายังคงยืนองอาจอยู่ตรงกลางโดยไม่ไหวติง
“ฉันไม่มีธุระอะไรกับพวกแกอีกแล้ว ขอให้พวกแกจงคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน” น้ำเสียงนุ่มลึก แม้จะมีเสียงลมพัดรบกวนแต่ทุกคนก็ได้ยินชัดเจน เมื่อสิ้นเสียงเขาก็กระโดดขึ้นเหนือรางรถไฟและหายไปกับความมืดเหนือผืนป่า ตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว มีเพียงแต่สายลมอันรุนแรงที่ยังเป็นอุปสรรค
“ได้ยินไหม! เจ้านั่นบอกว่ารถขบวนนี้กำลังจะตกราง!! เราต้องทำอะไรสักอย่าง” เอดิเอล ร้องบอก เขาหันไปเห็นคาเรลที่ยืนนัยน์ต้าว่างเปล่า ดาบยังคงวางนิ่งอยู่กับพื้น เส้นผมของเธอแม้ปลิวไสวอย่างมีชีวิตชีวา แต่ใบหน้าของเธอขาดสีสัน “หัวหน้า! เราต้องทำอะไรสักอย่างนะครับ”
“แมส!! นายไปที่ห้องควบคุม!!” โอลิเวอร์สั่ง พลางพยุงตัวหลังจากที่ตัวรถไฟสั่นสะเทือนเนื่องจากเอนไปโดนกิ่งก้านของต้นไม้ที่ตายแล้ว
แมสรีบวิ่งเข้าไปที่ช่องประตูที่เปิดอ้าอยู่ และเป็นจุดที่ชายปริศนาปรากฏตัว ภายในห้องนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากแผงควบคุม พร้อมกับปุ่มหลากสีสันซึ่งส่องแสงระยิบระยับ แมสกวาดตามองไปรอบๆ สีหน้าสับสนและกระวนกระวาย เทเดส และ ชาร์ลวิ่งตามเข้ามาสมทบ ส่วนคนที่เหลือภายนอกคอยมองเส้นทางที่รถไฟกำลังมุ่งหน้าไป
“ฉันไม่เคยขับรถไฟ! แล้วรู้สึกว่าเจ้านี่จะวิ่งแบบอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้คนขับ!!” แมสขยี้หัวตัวเอง พลางมองให้ทั่ว
“อย่างน้อยนายก็เป็นคนขับยานบินที่เก่งกาจนี่นา” ชาร์ลมองไปที่ปุ่มสีแดงที่อยู่ตรงกลาง ค่อนข้างเด่น
“แต่นั่นมันยานบิน ไม่ใช่รถไฟ... เฮ้ จะทำอะไร!” แมสร้องห้ามเมื่อเห็นชาร์ลกำลังเอื้อมมือไปแตะที่ปุ่มสีแดง เมื่อปลายนิ้วของเขาแตะเข้าที่ปุ่มเพียงเผินๆ ก็เกิดเสียงสัญญาณขึ้นอีกครั้ง แผงควบคุมทั้งหมดรอบๆห้องเริ่มมีการตอบสนอง คนทั้งสามรีบมารวมตัวกันที่กลางห้อง พร้อมสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลง
แผงควบคุมทั้งหมดเริ่มพลิกตัวเอง ด้านหน้าสุดนั้นถูกดึงลงไปใต้รถไฟและเผยเป็นกระจกใส มีเครื่องควบคุมส่วนสูงระดับเอวขึ้นมาทดแทน พร้อมกับเก้าอี้สองตัว ทั้งหมดมองหน้ากันก่อนที่แมสจะส่งตัวไปยืนที่หน้าแท่นนั้น แท่นควบคุมมีปุ่มมากมายละลานตาไปหมด
“ไหวไหม” เทเดสถามเมื่อเห็นปุ่มควบคุมจำนวนมาก สลับกับสภาพภายนอก รถไฟขบวนนี้วิ่งเร็วขึ้นราวกับรถไฟเหาะตีลังกาในสวนสนุก มันพุ่งแหวกป่าและสายลมก็ยิ่งกระหน่ำแรงมากขึ้น
“เรียกคนที่อยู่ข้างนอกเข้ามาดีกว่า!!” แมสบอกพลางเอื้อมมือกดปุ่มต่างๆดูวุ่นวาย “ความเร็วอาจจะเพิ่มมากกว่านี้ เดี๋ยวจะเป็นอันตราย”
“นายพอจะควบคุมไม่ให้มันตกรางได้ไหม” ชาร์ลถามอย่างมีความหวัง
“เรื่องนั้นคิดว่าทำได้” เขาตอบน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจ “แต่... อาจจะมีปัญหาตอนจอดสักหน่อยนะ คิดว่าจุดหมายคงไม่มีอุปสรรคหรอก แต่มันก็ไม่แน่ ไม่มีสถานีไหน หรือประตูเมืองที่ไหนสร้างขึ้นเพื่อรองรับรถไฟที่วิ่งเร็วกว่า 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหรอก”
“หมายถึงอะไร” ชาร์ลถามอีกครั้ง “คงไม่ใช่...”
“อย่างที่คิดนั่นแหละ รถไฟคันนี้อาจจะพุ่งชนอะไรเข้าสักอย่าง หรือหลายอย่างถึงตอนนั้นก็หาที่ยึดเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน” แมสหัวเราะในลำคออย่างมีอารมณ์ขัน
ทุกคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามารวมตัวกันในห้องควบคุมกันหมดแล้วยกเว้นแต่ คาเรลที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงตาของเธอว่างเปล่าไร้ชีวิต
“ทำไมไม่พาหัวหน้าเข้ามา!” เทเดสตะคอกถามโอลิเวอร์และเอดิเอล ทั้งสองส่ายหน้าอย่างหมดความหวัง
“หัวหน้าไม่ตอบรับเลย ตัวเธอเหมือนไร้ชีวิต” โอลิเวอร์ไม่สบตาใคร “เราพยายามจะดึงตัวเธอเข้ามาแล้ว แต่เหมือนมีแรงต่อต้าน” เอดิเอลเสริมน้ำเสียงแผ่วฟังดูหึ่งๆเหมือนเสียงยุงบินผ่านหู
“จะอะไรก็ช่าง!!” แมสตะโกนข้ามหัวเทเดสมา ตาจ้องมองไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้นจนมือสั่นระริก “รีบพาหัวหน้าเข้ามาให้ได้!! เราถึงเมืองวาเลนเซียแล้ว!! ข้างหน้ามีประตู เราจะชนกับประตูเมือง!!” เขาร้องบอกอย่างรวดเร็ว “รีบหาอะไรยึดไว้เร็วเข้า”
ทุกคนรีบก้มตัวลงหาที่ยึดเอาไว้ เทเดสเอาหลังพิงผนังพร้อมกดตัวเพื่อนอีกสองคนเอาไว้ เขาอาศัยร่างที่ใหญ่และบึกบึนเป็นโล่ให้พวกเขา ทางด้านแมสก็รีบก้มลงตัวลงจับที่แท่นควบคุมไว้มั่น ชาร์ลมองไปที่คาเรลซึ่งยังคงยืนอย่างสงบขาดการติดต่อจากโรคภายนอก เพียงเสี้ยววินาทีนั้น หัวรถไฟก็ชนเข้ากับประตูใหญ่ซึ่งเป็นทางเข้าสำหรับรถไฟโดยเฉพาะ บานประตูถูกชนจนแตกเป็นเศษเหล็กปลิวว่อนกระจุยกระจาย ชาร์ลกระโจนเข้าไปหาคาเรลและกดตัวเธอลงเพื่อป้องกันแรงสั่นสะเทือน และดูเหมือนคาเรลจะได้สติอีกครั้ง ตอนนี้เธอถูกชาร์ลกอดไว้แน่นบริเวณอ้อมแขน
“ก... เกิดอะไรขึ้น” คาเรลถาม เธอยังคงถูกชาร์ลกดตัวเอาไว้ติดกับพื้น รถไฟยังคงวิ่งต่อ
แมส ค่อยๆพยุงร่างขึ้นมองไปที่กระจกอีกครั้ง รถไฟกำลังวิ่งไปรอบบริเวณรอบนอกของตัวเมือง การพุ่งฝ่าประตูที่ปิดสนิทเมื่อครู่สร้างความปั่นป่วนให้กับตัวเมืองจนได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยคุกคามดังว่อนไปทั่ว อาณาจักรนี้ดูเจริญรุ่งเรืองมากกว่าเมืองที่พวกเขามาเสียอีก ตึกสูงมากมายถูกสร้างอย่างประณีต เส้นทางลอยฟ้าก็ไม่คดเคี้ยว โดยเฉพาะทางรถไฟเส้นนี้ที่กำลังวิ่งอยู่ เมื่อเข้าถึงเขตตัวเมืองมันกลายเป็นอุโมงค์สีใสโปร่งแสง ลมโต้ลดลงในทันทีเมื่อรถไฟวิ่งผ่านปากอุโมงค์เข้ามา
“อย่าเพิ่งลุกขึ้นมา ข้างหน้ามีสิ่งกีดขวางอีก!!!” แมสตะโกนบอกเมื่อเห็นพรรคพวกกำลังลุกขึ้นยืน สิ้นเสียงหัวขบวนก็ชนกับวัตถุหนาแข็งเป็นครั้งที่สอง แต่มันยังคงวิ่งต่อไปได้ แต่ครั้งนี้เกิดแรงระเบิดขึ้น กลุ่มควันคลุ้งลอยโขมง ทุกคนยังคงปลอดภัย แต่เทเดสมีบาดแผลไหม้หลายจัด เนื่องจากเขาเอาตัวป้องกันสะเก็ดระเบิดให้กับพรรคพวก
“เรามาถึงวาเลนเซียแล้วครับ” ชาร์ลผ่อนตัวออกจากหญิงสาว “แต่ค่อนข้างอุกอาจ แล้วก็... ขอโทษนะครับ” เขาก้มโค้งเป็นการขอโทษจากการล่วงเกินเมื่อสักครู่
“ช่างมันเหอะ” คาเรลตอบแก้มของเธอออกชมพูเล็กน้อย
“นี่ดาบของหัวหน้า น่าทึ่งมากเลยครับตอนที่หัวหน้าชักดาบขึ้นมา” ชาร์ลยิ้มแล้วส่งดาบที่เก็บเอาไว้คืนให้กับเธอ หญิงสาวรับมันมาและลูบที่ใบมีดอย่างทะนุถนอม ทันใดนั้นดาบก็เริ่มพับเก็บตัวเองและกลับกลายมาเป็นปืนรูปทรงแปลกประหลาดอีกครั้ง
ตูม!!
รถไฟชนเข้าเป็นครั้งที่สาม คราวนี้เข็มที่หน้าปัดวัดความเร็วชี้ต่ำลงถึง
“พวกเราเตรียมตัวให้ดีนะ!” คาเรลเริ่มออกคำสั่ง สติและอารมณ์กลับมาสู่สถานะเดิม “การตายเพราะรถไฟครั้งนี้มันถือว่าไร้ค่าที่สุด!! ดังนั้นพยายามรักษาชีวิตตัวเองไว้ อย่าตายเด็ดขาด!” ทั้งหมดมองตาซึ่งกันและกันแล้วยิ้มให้ คำพูดของเธอปลุกใจให้เหล่าลูกน้องมีกำลังใจฮึดสู้
รถไฟวิ่งชนเข้าประตูเหล็กในอุโมงค์โปร่งแสงเป็นครั้งสุดท้าย เกิดระเบิดขึ้น อุโมงค์รอยฟ้าทั้งหมดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง โบกี้ทั้งขบวนอัดกันเข้ามาที่หัวรถจนขนาดของอุโมงค์รับไม่ไหวแตกกลายเป็นเศษแก้ว ขบวนรถไฟที่วิ่งมาอย่างบ้าคลั่งเอียงไปทิศทางเดียวกันก่อนที่จะร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน ตัวขบวนรถไฟก่อนจะถึงพื้นนั้นพาเอาเส้นทางลอยฟ้าหลายสายในบริเวณนั้นพังทลายและขาดออกจากกัน ตึกรามบ้านช่องถูกสะเก็ดระเบิดและเศษหินปูนที่บิ่นร่อนกระแทกจนได้รับเสียหาย ฝูงคนตื่นตระหนกเสียงกีดร้องอย่างตกใจดังไม่มีหยุดหย่อน ควันไฟลอยโขมงนี่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของอาณาจักรวาเลนเซียจริงๆ
เครื่องบินนับไม่ถ้วนแห่กันเข้ามาที่จุดเหตุอย่างรวดเร็ว พวกเขากีดกันประชากรที่มุงดูซากรถไฟที่ถูกเผาไหม้จนเป็นเศษเหล็กดำๆ มีนายทหารชั้นสูงหลายคนเข้ามาสังเกตการณ์ด้วย รวมถึงชายผมสีเงิน พวกเขาตรวจสอบอย่างละเอียดและเก็บหลักฐานทุกชิ้นที่สาวถึงตัวผู้สร้างความปั่นป่วนนี้
“ไม่มีใครอยู่เลยครับ! ไม่มีศพใครเลยแม้แต่ศพเดียว!” นายทหารที่เดินตรวจอยู่ในซากขบวนตะโกนรายงานมาแต่ไกล
“หือ...” หญิงสาวผมทองยาวสลวยดัดเป็นลอนและดกหนา ใบหน้าสวยงามราวนางฟ้าจุติ ดวงตาของเธอเป็นประกายสีมรกตแต่แฝงความเย็นชาและอำมหิต เธอสวมชุดเกราะเต็มยศซึ่งออกจะไม่เข้าสมัย เหมือนชุดเกราะโบราณซึ่งดูเตะตา เธอหันมาที่นายทหารก่อนที่จะชำเลืองไปยังชายผมเงินซึ่งพวกผู้บุกรุกได้เผชิญมาเมื่อครู่
“ไวเซอร์ ฉันได้ข่าวมาว่า นายเป็นคนคุมรถไฟคันนี้ไม่ใช่เรอะ” สายตาของเธอออกแนวดูหมิ่น แต่ชายผมเงินเจ้าของนาม ไวเซอร์ ยังคงนิ่งเฉย “นายคงพบอะไรมา แล้วไม่ได้บอกเราสินะ” เธอหัวเราะในลำคอ
“เหอะ... ก็แค่เรื่องไร้สาระ เอสเทเด้ คนอย่างเธอจะชอบฟังงั้นเรอะ” ไวเซอร์ ตอบเสียงเรียบพลางหลับตาลงนึกภาพที่แสนจะเลือนราง “แต่ยังไงก็ช่าง มีหนูหกตัวเข้ามาวิ่งพล่านในนครของเราแล้ว”
“เก่งหรือเปล่า” เอสเทเด้ ยิ้มอย่างมีความหวัง เธอจับดาบที่คาดบริเวณเอวไว้มั่น มือเธอสั่นอย่างกระหายการต่อสู้
“มดปลวก...” ไวเซอร์ตอบในทันที
“เฮอะ น่าเบื่อ” เธอคลายมือออกจากด้ามดาบและเดินเฉี่ยวไหล่ไวเซอร์ไป เธอตรงไปยังซากขบวนที่ไหม้เกรียมและไล่สายตาไปให้ทั่ว
“เป็นยังไง เจอใครบ้างหรือยัง!!” เธอตะโกนถามลูกน้องที่เดินไปมาชวนวุ่นวาย การควานหาท่าจะไม่ประสบผลสำเร็จ เธอชักดาบออกมา เป็นดาบเล่มบางทรงตรงปลายแหลม ดาบเล่มนี้แม้จะบางเฉียบแต่ก็แข็งแกร่งจนน่าเกรงกลัว “ถอยไปให้หมด!” เธอประกาศเสียงกร้าว ลูกน้องทุกคนสะดุ้งโหยงและรีบถอยออกมาให้ห่างจากขบวนรถไฟเท่าที่จะทำได้
“ให้ไอเศษเหล็กนี่อยู่ในบริเวณนี้การจราจรมันก็ติดขัดหมด” เธอเปรยน้ำเสียงนุ่มลึก “และถ้าพวกมันยังหลบซ่อนอยู่... ก็จะพินาศไปพร้อมกับรถไฟขบวนนี้!!”
ว่าจบ หญิงสาวก็ชูดาบขึ้นฟ้า มือกำด้ามแน่นก่อนที่จะหวดคมดาบเป็นแนวระนาบไปรอบตัว เกิดแรงลมอันรุนแรงขึ้นจากรัศมีการโจมตี พลังทำลายมหาศาลจนผู้คนที่อยู่นอกรัศมียังแทบเข่าทรุด ลำแสงประหลาดสีขาวพุ่งเข้าชนกับซากรถไฟ ทันใดนั้นขบวนรถไฟที่แข็งแกร่งสามารถชนฝ่าประตูมาได้มากมายก็ถูกทำลายจนกลายเป็นเถ้าธุลีเพียงพริบตา เอสเทเด้มองดูผลงานเบื้องหน้า เมื่อกลุ่มควันจางลงและไม่พบอะไรหลงเหลือเธอจึงสอดดาบเก็บไว้ในฝักอย่างเดิม
“คงจะหนีรอดไปได้” เธอหันกลับมาหาพรรคพวกและส่งยิ้มแหยงๆให้กับไวเซอร์ “ในฐานะที่ฉันเป็น ผู้บัญชาการหน่วยรบหุ้มเกราะขั้นสูงสุด จะไม่ปล่อยให้พวกไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามาเหยียบเมืองนี้ได้นานนักหรอก” หญิงสาวสะบัดเรือนผมที่ม้วนเป็นเกรียวไปด้านหลังและเดินฝ่าฝูงชนเข้าไปอย่างองอาจ
เหนือยอดตึกธนาคารที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ พวกของคาเรลมานั่งทำแผลกายและแผลใจกันและกัน ทั้งหมดสามารถเอาชีวิตรอดได้อย่างหวุดหวิด แต่โอลิเวอร์บาดเจ็บค่อนข้างมาก แขนหักเนื่องจากไปฟาดเข้ากับแท่งเหล็กอะไรสักอย่าง ตอนนี้ถูกปฐมพยาบาลเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อย
“เมื่อกี้!” ชาร์ลที่สังเกตการณ์อยู่ตะโกนพร้อมกับวิ่งลุกลี้ลุกลน “ซากรถไฟนั่น ใช่ๆ รถไฟที่เรานั่งมา!!” เขาหอบหายใจพร้อมกับละลึกเนื้อความ
“อะไร” เทเดส และ เอดิเอล ถามพร้อมกันอย่างเบื่อหน่าย
“ถูกใครก็ไม่รู้ ฟันทีเดียว กลายเป็นเถ้าธุลี!!”
“บ้าน่ะ!!” คาเรลโพล่ง ดวงตาไม่อยากจะเชื่อ “รถไฟคันนั้นมันชนประตูเหล็กตั้งหลายครั้งยังไม่เห็นจะเป็นอะไร ใครมันจะบ้าฟันทีเดียว...” เหมือนเธอจะนึกอะไรออกจึงชะงักคำพูด “หมอนั่น!!”
“ไม่ใช่ครับหัวหน้า” ชาร์ลแทรกขึ้นมา “คนที่ฟันผมไม่เห็นหน้าชัด เพราะมันไกลเกินไป แต่คนนั้นมีผมสีทอง ถ้าเดาไม่ผิด คิดว่าน่าจะเป็นผู้หญิง”
“เฮ้ๆ อย่าพูดพล่อยๆนา” แมสจัดเครื่องแต่งกายและอุปกรณ์รบเป็นที่เรียบร้อย “ผู้หญิงที่แข็งแกร่งขนาดนั้นน่ะ นอกจากหัวหน้าแล้วจะไปมีที่ไหนอีกเล่า”
“ก็ฉันนี่ไง” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากบริเวณมุมตึกด้านหลังของชาร์ล ทั้งหมดหันไปมองต้นกำเนิดเสียงนั้นเป็นสายตาเดียว ชาร์ลสะดุ้งเฮือก เอสเทเด้ปรากฎตัวเสื้อเกราะสีขาวลวดลายสีทองเด่นเป็นสง่า ทุกคนรีบลุกขึ้นยืนในทันที ดวงตาของเอสเทเด้นั้นแลดูยียวนยิ่งนัก
“อยากรู้จริงๆ ว่าในกลุ่มพวกแกใครมันมีฝีมือบ้าง รู้ไหมตลอดหลายปีมานี้พวกเราแทบไม่ได้ออกศึกสงครามเลย สนิมกำลังจะจับแล้วสิ” เอสเทเด้ชี้ปลายดาบเข้าหาคาเรลอย่างท้าทาย “จากคำพูดที่ออกมาจากเจ้านั่น เธอคงจะเป็นหัวหน้าสินะ เก่งหรือเปล่า”
“หัวหน้าของเราเก่งที่สุดแล้ว!” โอลิเวอร์ประคองแขนข้างที่บาดเจ็บอย่างระมัดระวัง
“หุบปาก!” เอสโทเนียสวนเสียงกร้าว ดวงตาฉายแววอำมหิต “เป็นผู้ชายซะเปล่ากลับยกย่องอิสตรีให้เป็นผู้นำ แล้วตัวเองก็เอาแต่เดินตามต้อยๆ ไม่อายบ้างเรอะ!”
“แต่ถ้าฝีมือของเธอร้ายกาจอย่างที่ลูกน้องว่า ฉันก็จะยอมรับก็ได้ว่าเธอสมควรถูกยกย่อง” คาเรลถูกท้าทายเป็นครั้งที่สอง และหญิงสาวคนนี้มีฝีมือร้ายกาจพอๆกับบุรุษผมเงินที่อยู่ในรถไฟนั้นเสียด้วย
ความคิดเห็น