คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2: ชายปริศนาบนรถไฟ
Chapter 2: ชายปริศนาบนรถไฟ
คาเรล เดินออกมาจากห้อง ด้วยชุดตัวใหม่ เป็นเสื้อกั๊กสีขาวมีปกสีดำรูดซิปเพียงครึ่งเดียวทับเสื้อยืดรัดรูปสีน้ำเงินเข้ม เธอสวมกะโปรงขาสั้นครึ่งน่องสีน้ำตาลอ่อนเป็นกะโปรงผ้าชั้นดี ทับกางเกงสามส่วนรวดรูปสีดำ ตอนนี้เธอมีความรู้สึกสะอิดสะเอียน ภาพในความฝันเด่นชัดติดตาอย่างน่าประหลาด เสียงระเบิดและเสียงลั่นกระสุ่นดังสนั่นกึกก้องไปทั่วหัว คาเรลเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย และในที่สุดเธอก็มาถึงจุดนัดหมายโดยที่ไม่รู้สึกตัว คาเรลเรียกสติกลับมาได้เมื่อ ชาร์ล เดินเข้ามาทักทายจากด้านหลัง
“สวัสดีตอนเช้าครับ หัวหน้า” เขายิ้มอย่างเป็นมิตรพลางทำท่าเคารพ ดูท่าเขาจะสังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของหญิงสาว “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ น่าซีดเชียว” เขาถามอย่างไม่แน่ใจ
“เอ่อ... ไม่เป็นไร มาเร็วจังนะ” เธอโบกมือปัดความคิดทั้งหมดให้พ้นออกจากสมอง สายตาของเธอจับจ้องที่ใบหน้าชายหนุ่มโดยไม่ละ
“ผมนอนไม่หลับน่ะครับ เมื่อวานทั้งคืนเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะทำภารกิจ” เขายิ้มตอบอย่างร่าเริง แต่ดวงตาเขาลืมได้เพียงครึ่งตาเท่านั้น
ชาร์ลเป็นชายที่มีเสน่ห์มาก รูปร่างก็สมส่วน ใบหน้าหล่อเหลาดั่งดาราภาพยนตร์ เส้นผมสีบลอนด์นั้นอีก ถ้าหากเขาไม่เข้าเป็นนักรบในหน่วยก็คงคิดว่าเขาเป็นลูกผู้ดีมีชาติตระกูลแน่ๆ
“มีอะไรติดที่หน้าผมหรือเปล่าครับ”
คาเรลละสายตาออกไปทันทีเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มถาม “ไม่มีอะไร” เธอกล่าวปฏิเสธเสียงสั่นเล็กๆ ไม่นานนักสมาชิกทีมที่เหลือก็เดินข้ามประตูเลื่อนมาอย่างพร้อมเพรียงเหมือนกับนัดกันมาก่อน คาเรลกวาดตามองพวกเขาไล่ไปทีละคนเพื่อตรวจสอบสภาพของพวกเขาว่าพร้อมจะออกรบหรือไม่ ทั้งหมดยิ้มให้กับเธออย่างมีความสุข
“ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงครับ!” แมสร้องบอกก่อนใครเพื่อน
“ดี... ถ้างั้นเรารีบไปกันเถอะ” คาเรลมองนาฬิกาข้อมือที่เพิ่งหยิบมาสวมเมื่อตอนเช้า เป็นนาฬิกาดิจิตอลหน้าปัดสีเขียวเรืองแสง บัดนี้มันบ่งบอกถึงเวลา 12 นาฬิกาตรง ไม่มีใครเรทเวลาซึ่งเป็นที่น่าพึงพอใจนัก รอยยิ้มปรากฏขึ้นเล็กน้อยที่ใบหน้าเธอ
คาเรลยื่นเรื่องแจ้งขอยานบินความจุ 6 คนให้กับทางเบื้องบนเพื่อปฏิบัติภารกิจ ผลการอนุมัติตอบกลับมาอย่างฉับไว แต่น่าผิดหวังตรงที่พวกเขาไม่ได้ส่งยานบินที่มี 6 ที่นั่ง แต่กลับส่ง มอเตอร์ไซต์ลอยฟ้าสีดำหุ้มเกราะจำนวน 6 คันให้แทน
“มอเตอร์ไซต์...” ทั้งหมดประสานเสียงเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซต์บินมาจอดเบื้องหน้า ชายทั้งหกที่เป็นผู้ขับมาส่ง กระโดดลงมาจากเบาะที่นั่ง
“ครับ ทางเบื้องบนเห็นว่าพวกมันมีประโยชน์มากกว่ายานบินนะครับ” ชายที่อยู่ใกล้ที่สุดเดินตรงมาโค้งคำนับอย่างกระฉับกระเฉง เขายังคงซ่อนใบหน้าอยู่ในหมวกนิรภัยสีดำสนิท “โปรดใช้พวกมันให้เป็นประโยชน์มากที่สุดนะครับ”
“ตกลง” คาเรลยิ้มเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง “ฉันพอจะรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง... พวกเรา รีบไปกันเถอะ” พูดจบ คาเรลและพรรคพวกก็รับกุญแจรถมาจากชายทั้งหก คาเรลปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะอย่างสง่า โน้มตัวไปด้านหน้าจนอกแนบกับเครื่องยนต์ เมือทั้งสองข้างจับเข้าที่คันบังคบก่อนจะบิดคันเร่งจนสุด เสียงเร่งเครื่องดังสนั่น
“ฝากขอบคุณสำหรับรถด้วยล่ะ” เธอเปรยก่อนที่จะขับนำออกไปด้วยความเร็วสูง กลิ่นน้ำมันลอยคลุ้งตลบ เมื่อผู้ปฏิบัติภารกิจทั้งหกออกไปในบริเวณเป็นที่เรียบร้อย ชายที่เป็นคู่สนทนากับคาเรลก็ถอดหมวกกันน็อกออก เผยให้เห็นเรือนผมสีแดงเพลิง และดวงตาอันเจ้าเล่ห์
“ขอให้โชคดี...” เกเนียสยิ้มอย่างมีเลศนัย
เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงครึ่ง มอเตอร์ไซต์ลอยฟ้าสีดำทะมึนทั้งหกคันขับฝ่ากลุ่มเมฆา เมื่อพ้นออกมาก็พบชานป่าที่ดูแห้งแล้ง ไร้ซึ่งใบไม้สีเขียวขจี ที่นี่คือป่าเทียม ท้องฟ้าภายในแผ่นดินนี้มืดอึมครึม ไร้แสงแดดส่องผ่าน พื้นดินสีน้ำตาลแห้งผากแตกร้าว ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ คาเรลชูมือซ้ายขึ้นและโบกมันลงด้านล่าง ผู้ติดตามทั้งห้าชะลอความเร็วและลดระดับลงต่ำในทันที ทั้งหมดขับเรียดเหนือกิ่งก้านกรอบๆสีเทา เพื่อตามหาสถานีรถไฟ และไม่นานก็พบ
สถานีรถไฟกลางป่าเทียมตั้งเด่น เป็นอาคารชั้นเดียวมีหลังคาสีแสดสะดุดตา มีผู้คนเดินไปเดินมาเบาบาง ส่วนใหญ่เป็นทหารในเครื่องแบบ มีอาวุธทั้งที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ มีกล่องเหล็กขนาดยักษ์มากมายวางเกลื่อนกลาดข้างๆตัวสถานี รถไฟสีดำรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเที่ยวนี้จอดเทียบชานชาลาเพื่อรอให้คนพวกนั้นยกกล่องเหล็กเข้าไปในขบวน
คาเรล จอดรถไว้ข้างๆกล่องเหล็กสีแดง พร้อมกับพรรคพวกและคอยสังเกตการณ์เพื่อหาโอกาสเข้าไปในรถไฟ
“หัวหน้าจะเอามอเตอร์ไซต์เข้าไปด้วยจริงๆหรือ” เอดิเอลถามอย่างไม่แน่ใจ และไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไรนัก “แค่เราลอบเข้าไปก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว”
“เอาเถอะน่า” คาเรล เดินไปรอบๆกล่องเหล็ก พลางเอามือลูบคลำมันไปทั่ว ก่อนจะเคาะเบาๆและเอาหูแนบที่แผ่นเหล็ก
“เราจะเข้าไปในนี้” เธอบอก ลูกน้องทุกคนหันมามองเธออย่างพร้อมเพรียงด้วยความแปลกใจ “เอามอเตอร์ไซต์เข้าไปด้วย” เธอพูดต่อโดยไม่สนใจสายตาของพวกเขา คาเรลเดินไปด้านที่มีประตู เธอเปิดมันอย่างช้าๆเพื่อกันศัตรูผิดสังเกต ด้านในสุดที่มืดมิด แม้จะมองเห็นไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นคือ ถังเหล็กกลมทรงสูงคล้ายๆกับถังแก๊ส อัดแน่นกันอยู่ แต่มีพื้นที่พอที่คนทั้งหกและจักรยานยนต์เข้าไปอยู่ได้
“เอาล่ะ ถ้าไม่อยากให้พวกมันมาเจอก็รีบๆลากรถเข้ามาซะ” ผู้พูดเดินผ่านทุกคนที่มองด้วยสายตาประหลาด ตรงไปที่มอเตอร์ เธอมองมันอย่างพินิจสักครู่ก่อนที่จะหันมาพูดกับเทเดส “เฮ้ ขอแรงหน่อย”
ชายทั้งห้าสบตาก่อนและยักไหล่ ก่อนที่จะไปลากรถมอเตอร์ไซต์ของแต่ละคนเข้าไปในกล่องเหล็ก คาเรลเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้าไปพร้อมกับปิดประตู ข้างในมืดราวกับอยู่ในคุกขังเดี่ยว ไม่มีแสงรอดผ่าน ถึงมีช่องให้แสงเข้าแต่ด้วยสภาพแวดล้อมด้านนอก ถึงอย่างไรก็มีค่าเท่ากัน คาเรล ใช้นิ้วแตะที่ปุ่มบนนาฬิกาข้อมือ ทันใดนั้นก็เกิดแสงไฟจางๆขึ้น เธอพอจะมองเห็นหน้าของแต่ละคน แม้จะไม่ชัด
“ขอให้ทุกคนอยู่อย่างสงบ” เธอกระซิบ ทุกคนพยักหน้าภายใต้ความมืด
เวลาผ่านไปเท่าไรไม่รู้ ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างมากระแทกโดนที่กล่องเหล็ก คาเรลเกือบล้มหน้าทิ่มกระแทกกับท้ายรถมอเตอร์ไซต์ที่มีสีกลมกลืนกับความมืด ดูเหมือนกล่องจะถูกยกขึ้นอย่างช้าๆ ลอยอยู่กลางอากาศนานพอจะนับวินาทีได้ และถูกปล่อยลงอย่างไม่ค่อยปรานีนัก ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคน หรือสิ่งของแทบล้มระเนระนาด คาเรลพยุงตัวขึ้นโดยจับโดนอะไรก็ไม่ทราบ และเอาหูแนบที่กำแพงเหล็กเพื่อฟังเหตุการณ์ภายนอก
“เราจะยังไม่ออกจากที่นี่ จนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัย” เธอพูดน้ำเสียงแผ่ว แต่มันก้องไปทั่วห้องจนได้ยินอย่างชัดเจน
รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนออกจาสถานี ไม่มีเสียงล้อเหล็กลากไปตามรางเพราะมันใช้ระบบไอพ่น เป็นรถไฟที่ลอยเรียดพื้น มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและกำลังมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรวาเลนเซียที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายชั่วโมง รถไฟขบวนนี้วิ่งอย่างเรียบนิ่ง ไม่มีการสั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อยทั้งที่มีความเร็วสูง เมื่อเวลาผ่านไปได้พักใหญ่ๆ คาเรลจึงตัดสินใจที่จะออกจากกล่องเหล็กนี้เพราะอากาศชักไม่เพียงพอและร้อนจนแทบสุก
“อ้าว ประตูเปิดไม่ออก” คาเรลเอามือแตะส่วนที่คิดว่าเป็นประตู แต่มันกับแข็งราวกำแพงเหล็กกล้า
“มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะครับ” แมสได้โอกาสแขวะในทันที ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่คาเรลพอจะเดาออกว่าเขากำลังยิ้มอย่างได้ใจ
“มันไม่ขำนะ” เธอตะโกนตอบเสียงกร้าว ใช่ เวลานี้ไม่ใช่อารมณ์ที่มาสร้างมุขตลกเลยแม้แต่น้อย “เอาไงดีล่ะ” เธอรู้สึกโทษในความงี่เง่าของตัวเองบ้าง
“ผมจะลองเปิดดู” เทเดสเติมตรงมายังแสงไฟจากนาฬิกาข้อมือของหญิงสาว เทเดสสูดลมหายใจเข้าสุดปอดก่อนที่จะพุ่งเอาไหล่ชนประตูเหล็กสุดกำลัง แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลย เทเดสกลับมายืนตรงและพยายามกระแทกอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ต่างจากเดิมสักน้อย
“เปล่าประโยชน์น่า” เสียงของโอลิเวอร์ดังออกมาจากมุมหนึ่ง
“ถอยไป ฉันจัดการเอง” คาเรลเอามือดันร่างยักษ์ของเทเดสไปข้างๆ เธอกำลังทำอะไรบางอย่างในมุมที่มืดสนิท เทเดสพยายามชะโงกมองแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากด้ามปืนในมือที่สวมนาฬิกา
“หัวหน้า... อย่าบอกนะจะใช้ปืนยิงถล่มมันน่ะ” เทเดสถามน้ำเสียงขัดๆ “นอกจากทำให้มันเป็นรอยนิดๆ ก็ทำอะไรได้ไม่มากกว่านี้แล้วล่ะ”
“เงียบเหอะน่า” คาเรลรู้รำคาญ เธอเปลี่ยนมือถืออาวุธไปอีกข้างหนึ่ง ในชั่ววินาทีเทเดสเหมือนจะได้ยินเสียงเสียดสีของโลหะสองชิ้น เกิดประกายไฟสีส้มเบื้องหน้าเป็นรูปกากบาท หลังจากนั้นคาเรลก็ยกเท้าถีบมันสุดกำลัง ประตูเหล็กแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่วงแตกเสียงดังเกรียวกราวสนั่นแสบแก้วหู แสงไฟฉายทอดเข้ามา พร้อมกับอากาศที่พรั่งพรู
“ห... หัวหน้า ทำได้ไง!” เอดิเอลร้องน้ำเสียงไม่น่าเชื่อ เขากระโดดข้ามมอเตอร์ไซต์สีดำสองคันตรงมาหาผู้ปลดปล่อยอิสรภาพ
“อย่าบอกนะว่าใช้ไอนั่น” เทเดสเดินตามออกมาสีหน้ายังตกตะลึง
“ก็ใช้ไอนี่น่ะสิ” หญิงสาวตอบพลางยิ้มอย่างมีชัย ชูปืนในมือขึ้นมาให้ลูกน้องดู “ไอนี่น่ะแหละ” เธอย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของพวกเขาที่มองมาอย่างไม่อยากเชื่อ ปืนกระบอกนี้งั้นหรือที่สร้างประกายไฟสีส้มนั่นเป็นรูปกากบาท เป็นไปไม่ได้เลย มันไม่ใช่ของมีคมเสียหน่อย
“เสียงเมื่อกี้ดังมาก เราทิ้งมอเตอร์ไซต์ไว้ก่อน รีบหาที่ซ่อนดีกว่า” คาเรลมองซ้ายมองขวา และเหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่งวิ่งข้ามขบวนรถไฟมา
“ขึ้นไปบนดาดฟ้าดีกว่าครับ” ชาร์ลเสนอ พลางชี้ไปช่องบนเพดานที่เปิดอ้ารับลม เทเดสไม่รอช้ารีบส่งพรรคพวกข้ามช่องนั้นไปทันที สายลมที่พัดมาบวกเข้ากับความเร็วของรถไฟที่พุ่งฝ่าดงป่ารกร้าง แทบจะหอบเอาร่างของคาเรลไปหากก้าวผิดเพียงนิดเดียว เมื่อเทเดสปีนข้ามช่องขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย ก็ดูเหมือนว่าเจ้าของฝีเท้าที่วิ่งข้ามขบวนรถไฟได้มาถึงที่เกิดเหตุแล้ว มีเสียงเจี๊ยวจ้าวโวยวายดังต่อเป็นทอดๆ คาเรลพอจะจับใจความได้บ้าง
“มีผู้บุกรุก!” เสียงนั้นค่อนข้างชัดเจน
“แย่แฮะ” ชาร์ลเปรย พลางเอามือป้องตากันโต้ลม “จะทำยังไงต่อไปดีครับ” เขาตะโกนถาม
“ดูเหมือนคงต้องเก็บไปคิดทีหลังแล้วล่ะ” โอลิเวอร์ตอบเมื่อเห็นทหารสองสามคนปีนขึ้นมาบนดาดฟ้า พวกเขาตะโกนรายงานพบผู้บุกรุกไปยังเบื้องร่าง และอีกไม่นานพวกทหารคงจะแห่กันมามากกว่านี้ “คงหลบหนีไม่ได้แล้วล่ะมั้ง”
“กำจัดมันให้หมด แล้วยึดรถไฟขบวนนี้” คาเรลร้องเสียงดัง เธอยกปืนในมือขวาขึ้นเล็งไปที่ศัตรูที่กำลังก้าวย่างเข้ามา สมาชิกทีมทุกคนหยิบตลับกลมสีเทามีปุ่มสีแดงตรงกลางขึ้นมาจากที่เก็บซ่อน เมื่อพวกเขากดเข้าที่กลางปุ่มก็เกิดแสงสีขาวขึ้นมาในทันที จากตลับกลมมีปุ่มในมือเปลี่ยนเป็นอาวุธประจำตัวของแต่ละคน
เอดิเอลเป็นปืนกลเบาที่มีพานท้ายใหญ่และยาว รูปทรงออกเหลี่ยมมีกล่องเลเซอร์ติดอยู่ใต้ลำกล้องปืน แมสเป็นปืนอีกเช่นกันแต่เป็นปืนพกคู่สีทองไม่มีลักษณะพิเศษนอกจากสี อาวุธของโอลิเวอร์คือพลองยาวทำจากโลหะเงินบริเวณปลายนั้นหนาเป็นพิเศษ และส่วนกลางเป็นยางยืดหยุ่นได้เหมาะมือ เทเดสเป็นค้อนยักษ์ที่มีด้ามจับยาวพอๆกับพลองของโอลิเวอร์ดูท่าจะมีน้ำหนักมากไม่ใช่น้อย ส่วนทางด้านชาร์ลเป็นดาบคมเดียวรูปทรงแปลกตา มีเว้าตรงสัน และใบมีดดาบเป็นสีขาวราวไข่มุก มีลวดลายสีทองวาดตั้งแต่ด้ามไปจนถึงปลายดาบ มันดูงดงามเสียจริง แต่ในเวลานี้ไม่มีใครมาเชยชมหรอก ศัตรูเริ่มปีนป่ายขึ้นมาบนดาดฟ้าขบวนมากจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
“ลดการปะทะ หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บมากที่สุด” คาเรลใช้นิ้วเหนี่ยวไก เสียงลั่นกระสุนดังผ่านลำกล้องปืนไปหนึ่งนัด ข้อมือเธอไม่สะบัดตามแรงปืนเลยแม้แต่น้อย ทหารคนหนึ่งถูกยิงเจาะกระจกหมวกนิรภัยร่วงตกไปข้างทาง สายลมที่พัดรุนแรงค่อนข้างเป็นอุปสรรคต่อการต่อสู้นัก ทั้งหมดต้องคอยยึดเท้าไว้ไม่ให้พลั้งกระเด็นตามแรงลม
ศัตรูเริ่มโจมตีตอบโต้ พวกมันใช้อาวุธปืนเช่นเดียวกันแต่อานุภาพต่ำกว่า และไร้ฝีมือ กระสุนพุ่งผ่านเป้าหมายไปอย่างฉิวเฉียดทุกครั้ง แถมการเล็งในความมืดอึมครึม และสายลมที่เป็นอุปสรรค ทำให้การยิงซึ่งย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งแย่ลงไปอีก เป็นทีของพวกคาเรลซึ่งฝึกฝนร่างกายมาเป็นอย่างดี พวกเขากำจัดคู่ต่อสู้ที่มีมากกว่าไปได้อย่างรวดเร็ว
เสียงกระสุนดังเกรียวกราว พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนเมื่อถูกกระสุนเจาะร่าง กลุ่มผู้บุกรุกกราดยิงใส่ศัตรูอย่างไม่ยั้งพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น เมื่อกำจัดศัตรูจนหมดสิ้นก็เบาใจลงในทันที
“วาเลนเซีย... เทคโนโลยีก้าวล้ำแต่การทหารยังไม่ได้เรื่อง” คาเรลใช้เท้าเขี่ยร่างทหารที่นอนนิ่งให้ออกไปจากทางเดิน “ลงไปข้างล่าง” เทเดสไม่รอช้าใช้ค้อนทุบเข้าที่หลังคา พื้นเหล็กยุบลงก่อนที่จะแตกเป็นรูเบ้อเริ่ม คาเรลกระโดดผ่านรูปที่แตกเป็นคนแรก ไม่พบกับศัตรูที่อยู่ในห้องนี้แม้แต่เพียงคนเดียว
“สงสัยพวกเรากำจัดหมดแล้วมั้ง” คาเรลกล่าวเมื่อลูกน้องกระโดดตามลงมาจนครบ เธอเดินไปที่ประตูและเลื่อนเปิดออก ไม่มีใครอยู่อย่างที่คิด
ตูม!!
เสียงระเบิดดังมาจากท้ายขบวน จุดที่มอเตอร์ไซต์ทั้งหกคันจอดเอาไว้ แรงระเบิดสร้างความสั่นสะเทือนจนขบวนรถไฟที่เหลือแทบสะบัดตกราง ทั้งหมดหน้าถอดสีในทันที
“ระเบิด! มอเตอร์ไซต์ของเรา!!” เอดิเอลร้องเสียงหลง เขาเปิดประตูที่อยู่ด้านหลัง พบว่าโบกี้สุดท้ายถูกตัดขาดล้มคว่ำอยู่กลางปาเป็นที่เรียบร้อย กลุ่มควันและเปลวเพลิงสีแสดลุกโชนในระยะริบตา เกิดไฟสัญญาณสีแดงกะพริบภายในตัวรถไฟที่ยังคงวิ่งอยู่ ทั้งหมดรีบเข้ามายืนรวมตัวกันเพื่อเตรียมตัวเผชิญศึกต่อไป
“เราต้องไปที่ห้องควบคุม! แรงสะเทือนเมื่อกี้นี้ทำให้รถไฟเสียการทรงตัว!!” คาเรลตะเบ็งเสียง
“มันไม่ได้ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติหรอกหรือ?” แมสเดินตามหัวหน้าข้ามโบกี้ไปที่ละโบกี้ จนมาถึงโบกี้หนึ่งซึ่งเป็นห้องที่สวยหรูที่สุดเท่าที่จะเคยเห็นมา กำแพงห้องประดับประดาไปด้วยลวดลายแบบยุโรป โซฟาจำนวนมากวางติดกับหน้าต่างที่ปิดด้วยกระจกใส ไฟสีนวลฉายจากโคมระย้าที่ทำจากแก้วเจียระไนงดงาม สุดท้ายของห้องติดกับประตูมีทหารยืนอารักษ์อยู่สองคน พวกเขาสวมชุดแตกต่างจากพวกลูกจ๊อกบนหลังคาด้านบน เป็นชุดสีดำสนิทเกราะบริเวณลำตัวหน้า และสวมหมวกที่มีกระจกเงา บริเวณด้านบนของหมวกแบนและยื่นออกไปด้านหลัง บริเวณเข่าและศอกติดสนับเอาไว้ ดูท่าเป็นทหารฝีมือดีก็เป็นได้
“ผู้บุกรุก” ทั้งสองพูดพร้อมกัน ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาคาเรลและพรรคพวก
“เฮ้!! เฮ้!” ไม่ทันได้ตั้งตัวคู่ต่อสู้ก็เข้ามาถึงตัวคาเรลแล้ว มันง้างหมัดไปด้านหลังหมายจะต่อยให้ตายในหมัดเดียว คาเรลสังเกตเห็นที่กำปั้นน้ำมีประจุไฟฟ้าประทุขึ้นเล็กน้อย เธอก้าวถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว ชาร์ลไถลเข้ามาขวางและใช้ดาบคู่กายรับกำปั้นได้ทันท่วงที แรงปะทะดังกึกก้อง เกินแรงลมขึ้นใต้ขาของคนทั้งสอง ชาร์ลรู้สึกมือชาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ใช้ดาบปัดกำปั้นของศัตรูไปในที่สุด
ศัตรูที่โจมตีมาก่อนกระโดดถอยไปตั้งหลักและก้มตัวลง อีกคนหนึ่งกระโดดข้ามหลังเขามาอย่างฉับไวและใช้เท้าเตะเข้าที่ช่วงลำคอของชาร์ล แต่ยังดีที่เขาตั้งตัวและใช้ดาบปัดป้องเอาไว้ได้ แต่เนื่องจากความเสียหายครั้งแรก และการโจมตีอันหนักหน่วงครั้งที่สอง แม้จะตั้งรับได้ทันแต่ก็ถูกซัดจนกระเด็นตามแรง ร่างของชาร์ลกระเด็นลอยลิ่วชนกับผนังห้องเสียงดังโครม
“หนอย! แก!!” เทเดสและโอลิเวอร์ควงอาวุธเข้าโจมตีตอบโต้กลับบ้าง แต่ศัตรูรวดเร็วมาก มีการโจมตีที่แม่นยำและหนักหน่วง คาเรล แมส และ เอดิเอล ใช้ปืนยิงสนับสนุน แต่เมื่อกระสุนพุ่งเข้าถึงร่างของศัตรูก็เกิดปรากฏการณ์ที่น่าตกใจ เมื่อมีอะไรบางอย่างครอบคลุมร่างของพวกเขาอยู่ กระสุนเมื่อต้องโดนพลังนั้นก็กระเด็นออกข้างๆจนหมด ทั้งสามหยุดยิงและมองหน้ากันอย่างพิศวง
“ไม่จริง เวทมนต์หรือ” คาเรลคิดในใจมองศัตรูอย่างพินิจ ดูท่าทั้งสองกำลังจะเสียท่าให้กับศัตรูอันแข็งแกร่งเสียแล้ว พวกเขาโดนซัดจนกระเด็นไถลมาที่ปลายเท้าของขาเรล
“เฮ้!” คาเรล ร้องเรียกคู่ต่อสู้ทำหน้าตาท้าทายกวนประสาทเล็กน้อย พวกมันหันมามองคาเรลแต่ไม่มีการพูดตอบ
“พวกแกไม่ใช่มนุษย์นี่นา” ไม่มีการตอบรับจากฝ่ายผู้ฟัง “มนุษย์ดัดแปลงงั้นสิ มิน่าตอนดาบของชาร์ลปะทะกับหมัด แล้วก็แข้งของพวกแกถึงได้ดังเหมือนเล็กปะทะกัน” คาเรลดึงชายทั้งสองที่ล้มอยู่ข้างหน้าให้ลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะเดินก้าวไปเผชิญหน้าพวกอย่างไม่เกรงกลัว
“ฉันจะจัดการพวกแกเอง” เธอยกปืนขึ้นจนสุดแขนชี้ไปทางศัตรูอย่างท้าทาย
“หัวหน้า! ก็เห็นอยู่ปืนทำอะไรมันไม่ได้” แมสเตือน คาเรลไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย คาเรลปรับระบบการยิงเป็นระบบออโต้เพียงแค่เหนี่ยวไกค้างกระสุนก็พุ่งออกมาโดยไม่ต้องยั้ง เธอกราดยิงใส่ศัตรูทั้งที่ไม่เป็นผล มนุษย์ดัดแปลงทั้งสองกระโจนเข้ามาหาเธอพร้อมกัน คาเรลไถลตัวผ่านไปด้านล่าง พวกมันลอยข้ามตัวเธอไป คาเรลยังคงเหนี่ยวไกค้างยิงเข้าที่ช่วงท้องของศัตรูทั้งสอง แต่ก็ยังไม่เป็นผล
มนุษย์ดัดแปลงตัวหนึ่งเมื่อถึงพื้นก็ถีบเท้ากระโจนเข้าหาหญิงสาวโดยไม่ให้ตั้งหลัก คาเรลลุกขึ้นยืนได้เพียงครึ่งศัตรูก็มาถึงตัวเธอแล้ว มันง้างหมัดสุดแขนก่อนที่จะปล่อยเข้าไปที่ใบหน้า คาเรลใช้ท่อนแขนปัดหมัดให้เปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็วและใช้เท้าถีบศัตรูจนลอยขึ้นฟ้าชนระย้าจนหล่นโครม เสียงแก้วแตกบาดแก้วหู มนุษย์ดัดแปลงถูกโครงของระย้าทับจนสิ้นสภาพ ภายในห้องมืดสลัวลงในทันที ยังดีที่มีไฟสีเหลืองอ่อนรอดผ่านมาตามผนัง
“เจ็บแฮะ” เธอสะบัดแขนไปมา ค่อยๆลุกขึ้นยืน มนุษย์ดัดแปลงอีกตัวหนึ่งที่ยังยืนอยู่ จ้องมองเธอผ่านแผ่นกระจกของหมวก คาเรลยิ้มที่มุมปากอย่างได้ใจ ดูเหมือนมันกำลังประเมินค่าของศัตรูอยู่
“เสร็จล่ะ!!” เทเดสใช้ค้อนหวดกวาดขามันจนตีลังกาล้มคว่ำ ก่อนที่จะใช้ค้อมทุบไปที่ตัว น่าทึ่งที่มันยังมีสติอยู่และใช้แขนอันทรงพลังทั้งสองข้างรับก้อนโลหะยักษ์ที่มีพลังทำลายผสมเข้ากับแรงเหวี่ยงได้
“อย่า เทเดส!” คาเรลร้องห้าม มนุษย์ดัดแปลงผลักหัวค้อนเข้าตัวเจ้าของ และรีบลุกขึ้นยืนเหมือนมันจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เทเดสเสียแล้ว “คู่ต่อสู้แก้อยู่ทางนี้!!” คาเรลจับบริเวณคอของมันได้มั่น ในจังหวะที่มันหันไปทำร้ายเทเดสและคนที่เหลือ คาเรลยกตัวมันจนลอยสูงก่อนที่จะทุ่มมันลงพื้นจนจมดิน ทั้งหมดเธอทำด้วยมือเพียงข้างเดียว เหล่าบุรุษทั้งหลายทึ่งกับพละกำลังและท่วงท่าของเธอจนตะลึงงัน
“ห... หัวหน้า! ทำได้ไง” แมสตาค้าง มันไม่สมกับเป็นร่างอันบอบบางนั้นเลย เธอไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกันแน่
“ฝึกมานานน่ะ” คาเรลยิ้มตอบ แต่จริงๆแล้ว คาเรลแอบปลดปล่อยเวทมนต์ขนาดเบาบางเสริมพละกำลังทำให้กระบวนท่าต่างๆมีอานุภาพยิ่งขึ้น “ฉันฝึกมามากกว่าพวกนายก็แล้วกัน ถึงอายุจะน้อยกว่าก็เหอะ” เธอหัวเราะในลำคอ
ซูม เสียงประตูเลื่อนที่ท้ายห้องเลื่อนเปิดออก เชิญชวนสายตาทุกคู่ ชาร์ลเริ่มได้สติอีกครั้งเขาลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นที่เปื้อนทั่วกาย เขามองตรงไปที่ช่องประตู มีใครบางคนเดินก้าวเข้ามาอย่างมาดมั่น จู่ๆคาเรลก็ใจเต้นตูมตามรุนแรงจนบอกไม่ถูก มีพลังกดดันมากมายทำให้เธอสั่น เธอจำความหวาดหวั่นอย่างนี้ไม่ได้ตั้งแต่เข้าป่าหลายปีมาแล้ว
บุรุษผู้มาใหม่เดินก้าวพ้นช่องประตู เขาเป็นคนที่ดูน่าเกรงขาม เรือนผมสีเงินยาวประบ่าใบหน้าเรียวคม ดวงตาเย็นชาไม่อาจจะอ่านใจได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และขุ่นมัวน่าขนลุกสีดำสนิท เขาสวมชุดคลุมสีดำทับชุดหนักรัดรูปสีเทา กางเกงขายาวมีเข็มขัดสามเส้นพาดอยู่ ดวงตาอันนิ่งสงบมองไปที่ลูกน้องซึ่งจอดสนิท
“ผู้บุกรุกงั้นรึ... พวกฝ่ายวิจัยคงต้องเอางานพวกนี้ไปพัฒนาใหม่เสียแล้ว” เขาพูดกับตัวเอง น้ำเสียงเรียบนิ่ง ในมือมีดาบที่สวมฝักยาวเกือบเท่าพลองของโอลิเวอร์ มีพรวนห้อยอยู่ที่ก้นด้ามดาบ
“หมายความว่าไง” ชาร์ลขมวดคิ้วถาม “แกเป็นใคร”
เขาไม่ตอบนอกจากชำเลืองตามองอย่างเย็นชา ชาร์ลก้ำกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก สายตานั้นสามารถแช่ใครสักคนให้แข็งเป็นก้อนน้ำแข็งได้โดยไม่ยาก คาเรลยังคงยืนสั่นอยู่กับที่ ภาพของเขาปรากฏขึ้นในความฝัน ผู้ที่ลอบยิงเธอ แม้จะเห็นไม่ชัดแต่ต้องเป็นเขาแน่นอน แต่เขาใช้ดาบ ไม่ใช่ปืน
“แกคงเป็นคนสุดท้ายของรถขบวนนี้แล้วสิ” เทเดสตะคอกถาม พาดค้อนยักษ์ไว้ที่บ่า
ชายปริศนาหรี่ตาลงข้างหนึ่งอย่างดูหมิ่นก่อนจะตอบสั้นๆว่า “คงงั้น”
“กรอด! กวนประสาทนักนะแก!!” เทเดสกัดฟันคำราม ชาร์ลยกดาบขึ้นขวางไม่ให้เทเดสมุทะลุโจมตีด้วยอารมณ์ เพราะหากทำอย่างนั้นเขาอาจจะตายท่าไม่สวยแน่ “อย่าครับ... ชายคนนี้คงไม่ใช่คนธรรมดา”
“คราวนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกนายจริงๆแล้วล่ะ” คาเรลพยายามฝืนยิ้ม เธอพยายามจะสบตาสู้ชายผมสีเงิน แต่รู้สึกขุนลุกชันที่ลำคอทุกวินาที “หมอนี่พวกนายคงสู้ไม่ไหวหรอก”
ความคิดเห็น