ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Life of Destiny

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2: ชายปริศนาบนรถไฟ

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 50


    Chapter 2: ชายปริศนาบนรถไฟ

     

                    คาเรล เดินออกมาจากห้อง ด้วยชุดตัวใหม่ เป็นเสื้อกั๊กสีขาวมีปกสีดำรูดซิปเพียงครึ่งเดียวทับเสื้อยืดรัดรูปสีน้ำเงินเข้ม เธอสวมกะโปรงขาสั้นครึ่งน่องสีน้ำตาลอ่อนเป็นกะโปรงผ้าชั้นดี ทับกางเกงสามส่วนรวดรูปสีดำ ตอนนี้เธอมีความรู้สึกสะอิดสะเอียน ภาพในความฝันเด่นชัดติดตาอย่างน่าประหลาด เสียงระเบิดและเสียงลั่นกระสุ่นดังสนั่นกึกก้องไปทั่วหัว คาเรลเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย และในที่สุดเธอก็มาถึงจุดนัดหมายโดยที่ไม่รู้สึกตัว คาเรลเรียกสติกลับมาได้เมื่อ ชาร์ล เดินเข้ามาทักทายจากด้านหลัง

     

                    สวัสดีตอนเช้าครับ หัวหน้า เขายิ้มอย่างเป็นมิตรพลางทำท่าเคารพ ดูท่าเขาจะสังเกตเห็นสีหน้าที่ซีดเซียวของหญิงสาว เป็นอะไรหรือเปล่าครับ น่าซีดเชียวเขาถามอย่างไม่แน่ใจ

     

                    เอ่อ... ไม่เป็นไร มาเร็วจังนะ เธอโบกมือปัดความคิดทั้งหมดให้พ้นออกจากสมอง สายตาของเธอจับจ้องที่ใบหน้าชายหนุ่มโดยไม่ละ

     

                    ผมนอนไม่หลับน่ะครับ เมื่อวานทั้งคืนเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะทำภารกิจ เขายิ้มตอบอย่างร่าเริง แต่ดวงตาเขาลืมได้เพียงครึ่งตาเท่านั้น

     

                    ชาร์ลเป็นชายที่มีเสน่ห์มาก รูปร่างก็สมส่วน ใบหน้าหล่อเหลาดั่งดาราภาพยนตร์ เส้นผมสีบลอนด์นั้นอีก ถ้าหากเขาไม่เข้าเป็นนักรบในหน่วยก็คงคิดว่าเขาเป็นลูกผู้ดีมีชาติตระกูลแน่ๆ

     

                    มีอะไรติดที่หน้าผมหรือเปล่าครับ

     

                    คาเรลละสายตาออกไปทันทีเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มถาม ไม่มีอะไร เธอกล่าวปฏิเสธเสียงสั่นเล็กๆ ไม่นานนักสมาชิกทีมที่เหลือก็เดินข้ามประตูเลื่อนมาอย่างพร้อมเพรียงเหมือนกับนัดกันมาก่อน คาเรลกวาดตามองพวกเขาไล่ไปทีละคนเพื่อตรวจสอบสภาพของพวกเขาว่าพร้อมจะออกรบหรือไม่ ทั้งหมดยิ้มให้กับเธออย่างมีความสุข

     

                    ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงครับ!” แมสร้องบอกก่อนใครเพื่อน

     

                    ดี... ถ้างั้นเรารีบไปกันเถอะ คาเรลมองนาฬิกาข้อมือที่เพิ่งหยิบมาสวมเมื่อตอนเช้า เป็นนาฬิกาดิจิตอลหน้าปัดสีเขียวเรืองแสง บัดนี้มันบ่งบอกถึงเวลา 12 นาฬิกาตรง ไม่มีใครเรทเวลาซึ่งเป็นที่น่าพึงพอใจนัก รอยยิ้มปรากฏขึ้นเล็กน้อยที่ใบหน้าเธอ

     

                    คาเรลยื่นเรื่องแจ้งขอยานบินความจุ 6 คนให้กับทางเบื้องบนเพื่อปฏิบัติภารกิจ ผลการอนุมัติตอบกลับมาอย่างฉับไว แต่น่าผิดหวังตรงที่พวกเขาไม่ได้ส่งยานบินที่มี 6 ที่นั่ง แต่กลับส่ง มอเตอร์ไซต์ลอยฟ้าสีดำหุ้มเกราะจำนวน 6 คันให้แทน

     

                    มอเตอร์ไซต์... ทั้งหมดประสานเสียงเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซต์บินมาจอดเบื้องหน้า ชายทั้งหกที่เป็นผู้ขับมาส่ง กระโดดลงมาจากเบาะที่นั่ง

     

                    ครับ ทางเบื้องบนเห็นว่าพวกมันมีประโยชน์มากกว่ายานบินนะครับ ชายที่อยู่ใกล้ที่สุดเดินตรงมาโค้งคำนับอย่างกระฉับกระเฉง เขายังคงซ่อนใบหน้าอยู่ในหมวกนิรภัยสีดำสนิท โปรดใช้พวกมันให้เป็นประโยชน์มากที่สุดนะครับ

     

                    ตกลง คาเรลยิ้มเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง ฉันพอจะรู้ว่ามันหมายความว่ายังไง... พวกเรา รีบไปกันเถอะ พูดจบ คาเรลและพรรคพวกก็รับกุญแจรถมาจากชายทั้งหก คาเรลปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะอย่างสง่า โน้มตัวไปด้านหน้าจนอกแนบกับเครื่องยนต์ เมือทั้งสองข้างจับเข้าที่คันบังคบก่อนจะบิดคันเร่งจนสุด เสียงเร่งเครื่องดังสนั่น

     

                    ฝากขอบคุณสำหรับรถด้วยล่ะ เธอเปรยก่อนที่จะขับนำออกไปด้วยความเร็วสูง กลิ่นน้ำมันลอยคลุ้งตลบ เมื่อผู้ปฏิบัติภารกิจทั้งหกออกไปในบริเวณเป็นที่เรียบร้อย ชายที่เป็นคู่สนทนากับคาเรลก็ถอดหมวกกันน็อกออก เผยให้เห็นเรือนผมสีแดงเพลิง และดวงตาอันเจ้าเล่ห์

     

                    ขอให้โชคดี... เกเนียสยิ้มอย่างมีเลศนัย

     

                    เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงครึ่ง มอเตอร์ไซต์ลอยฟ้าสีดำทะมึนทั้งหกคันขับฝ่ากลุ่มเมฆา เมื่อพ้นออกมาก็พบชานป่าที่ดูแห้งแล้ง ไร้ซึ่งใบไม้สีเขียวขจี ที่นี่คือป่าเทียม ท้องฟ้าภายในแผ่นดินนี้มืดอึมครึม ไร้แสงแดดส่องผ่าน พื้นดินสีน้ำตาลแห้งผากแตกร้าว ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆ คาเรลชูมือซ้ายขึ้นและโบกมันลงด้านล่าง ผู้ติดตามทั้งห้าชะลอความเร็วและลดระดับลงต่ำในทันที ทั้งหมดขับเรียดเหนือกิ่งก้านกรอบๆสีเทา เพื่อตามหาสถานีรถไฟ และไม่นานก็พบ

     

                    สถานีรถไฟกลางป่าเทียมตั้งเด่น เป็นอาคารชั้นเดียวมีหลังคาสีแสดสะดุดตา มีผู้คนเดินไปเดินมาเบาบาง ส่วนใหญ่เป็นทหารในเครื่องแบบ มีอาวุธทั้งที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ มีกล่องเหล็กขนาดยักษ์มากมายวางเกลื่อนกลาดข้างๆตัวสถานี รถไฟสีดำรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเที่ยวนี้จอดเทียบชานชาลาเพื่อรอให้คนพวกนั้นยกกล่องเหล็กเข้าไปในขบวน

     

                    คาเรล จอดรถไว้ข้างๆกล่องเหล็กสีแดง พร้อมกับพรรคพวกและคอยสังเกตการณ์เพื่อหาโอกาสเข้าไปในรถไฟ

     

                    หัวหน้าจะเอามอเตอร์ไซต์เข้าไปด้วยจริงๆหรือ เอดิเอลถามอย่างไม่แน่ใจ และไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดนี้เท่าไรนัก แค่เราลอบเข้าไปก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว

     

                    เอาเถอะน่า คาเรล เดินไปรอบๆกล่องเหล็ก พลางเอามือลูบคลำมันไปทั่ว ก่อนจะเคาะเบาๆและเอาหูแนบที่แผ่นเหล็ก

     

                    เราจะเข้าไปในนี้ เธอบอก ลูกน้องทุกคนหันมามองเธออย่างพร้อมเพรียงด้วยความแปลกใจ เอามอเตอร์ไซต์เข้าไปด้วย เธอพูดต่อโดยไม่สนใจสายตาของพวกเขา คาเรลเดินไปด้านที่มีประตู เธอเปิดมันอย่างช้าๆเพื่อกันศัตรูผิดสังเกต ด้านในสุดที่มืดมิด แม้จะมองเห็นไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่าสิ่งที่เห็นคือ ถังเหล็กกลมทรงสูงคล้ายๆกับถังแก๊ส อัดแน่นกันอยู่ แต่มีพื้นที่พอที่คนทั้งหกและจักรยานยนต์เข้าไปอยู่ได้

     

                    เอาล่ะ ถ้าไม่อยากให้พวกมันมาเจอก็รีบๆลากรถเข้ามาซะ ผู้พูดเดินผ่านทุกคนที่มองด้วยสายตาประหลาด ตรงไปที่มอเตอร์ เธอมองมันอย่างพินิจสักครู่ก่อนที่จะหันมาพูดกับเทเดส เฮ้ ขอแรงหน่อย

     

                    ชายทั้งห้าสบตาก่อนและยักไหล่ ก่อนที่จะไปลากรถมอเตอร์ไซต์ของแต่ละคนเข้าไปในกล่องเหล็ก คาเรลเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้าไปพร้อมกับปิดประตู ข้างในมืดราวกับอยู่ในคุกขังเดี่ยว ไม่มีแสงรอดผ่าน ถึงมีช่องให้แสงเข้าแต่ด้วยสภาพแวดล้อมด้านนอก ถึงอย่างไรก็มีค่าเท่ากัน คาเรล ใช้นิ้วแตะที่ปุ่มบนนาฬิกาข้อมือ ทันใดนั้นก็เกิดแสงไฟจางๆขึ้น เธอพอจะมองเห็นหน้าของแต่ละคน แม้จะไม่ชัด

     

                    ขอให้ทุกคนอยู่อย่างสงบ เธอกระซิบ ทุกคนพยักหน้าภายใต้ความมืด

     

                    เวลาผ่านไปเท่าไรไม่รู้ ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างมากระแทกโดนที่กล่องเหล็ก คาเรลเกือบล้มหน้าทิ่มกระแทกกับท้ายรถมอเตอร์ไซต์ที่มีสีกลมกลืนกับความมืด ดูเหมือนกล่องจะถูกยกขึ้นอย่างช้าๆ ลอยอยู่กลางอากาศนานพอจะนับวินาทีได้ และถูกปล่อยลงอย่างไม่ค่อยปรานีนัก ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคน หรือสิ่งของแทบล้มระเนระนาด คาเรลพยุงตัวขึ้นโดยจับโดนอะไรก็ไม่ทราบ และเอาหูแนบที่กำแพงเหล็กเพื่อฟังเหตุการณ์ภายนอก

     

                    เราจะยังไม่ออกจากที่นี่ จนกว่าจะแน่ใจว่าปลอดภัย เธอพูดน้ำเสียงแผ่ว แต่มันก้องไปทั่วห้องจนได้ยินอย่างชัดเจน

     

                    รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนออกจาสถานี ไม่มีเสียงล้อเหล็กลากไปตามรางเพราะมันใช้ระบบไอพ่น เป็นรถไฟที่ลอยเรียดพื้น มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วและกำลังมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรวาเลนเซียที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายชั่วโมง รถไฟขบวนนี้วิ่งอย่างเรียบนิ่ง ไม่มีการสั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อยทั้งที่มีความเร็วสูง เมื่อเวลาผ่านไปได้พักใหญ่ๆ คาเรลจึงตัดสินใจที่จะออกจากกล่องเหล็กนี้เพราะอากาศชักไม่เพียงพอและร้อนจนแทบสุก

     

                    อ้าว ประตูเปิดไม่ออก คาเรลเอามือแตะส่วนที่คิดว่าเป็นประตู แต่มันกับแข็งราวกำแพงเหล็กกล้า

     

                    มันแน่นอนอยู่แล้วล่ะครับ แมสได้โอกาสแขวะในทันที ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่คาเรลพอจะเดาออกว่าเขากำลังยิ้มอย่างได้ใจ

     

                    มันไม่ขำนะ เธอตะโกนตอบเสียงกร้าว ใช่ เวลานี้ไม่ใช่อารมณ์ที่มาสร้างมุขตลกเลยแม้แต่น้อย เอาไงดีล่ะ เธอรู้สึกโทษในความงี่เง่าของตัวเองบ้าง

     

                    ผมจะลองเปิดดู เทเดสเติมตรงมายังแสงไฟจากนาฬิกาข้อมือของหญิงสาว เทเดสสูดลมหายใจเข้าสุดปอดก่อนที่จะพุ่งเอาไหล่ชนประตูเหล็กสุดกำลัง แต่มันกลับไม่เป็นอะไรเลย เทเดสกลับมายืนตรงและพยายามกระแทกอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ต่างจากเดิมสักน้อย

     

                    เปล่าประโยชน์น่า เสียงของโอลิเวอร์ดังออกมาจากมุมหนึ่ง

     

                    ถอยไป ฉันจัดการเอง คาเรลเอามือดันร่างยักษ์ของเทเดสไปข้างๆ เธอกำลังทำอะไรบางอย่างในมุมที่มืดสนิท เทเดสพยายามชะโงกมองแต่ก็ไม่เห็นอะไรนอกจากด้ามปืนในมือที่สวมนาฬิกา

     

                    หัวหน้า... อย่าบอกนะจะใช้ปืนยิงถล่มมันน่ะ เทเดสถามน้ำเสียงขัดๆ นอกจากทำให้มันเป็นรอยนิดๆ ก็ทำอะไรได้ไม่มากกว่านี้แล้วล่ะ

     

                    เงียบเหอะน่า คาเรลรู้รำคาญ เธอเปลี่ยนมือถืออาวุธไปอีกข้างหนึ่ง ในชั่ววินาทีเทเดสเหมือนจะได้ยินเสียงเสียดสีของโลหะสองชิ้น เกิดประกายไฟสีส้มเบื้องหน้าเป็นรูปกากบาท หลังจากนั้นคาเรลก็ยกเท้าถีบมันสุดกำลัง ประตูเหล็กแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ร่วงแตกเสียงดังเกรียวกราวสนั่นแสบแก้วหู แสงไฟฉายทอดเข้ามา พร้อมกับอากาศที่พรั่งพรู

     

                    ห... หัวหน้า ทำได้ไง!” เอดิเอลร้องน้ำเสียงไม่น่าเชื่อ เขากระโดดข้ามมอเตอร์ไซต์สีดำสองคันตรงมาหาผู้ปลดปล่อยอิสรภาพ

     

                    อย่าบอกนะว่าใช้ไอนั่น เทเดสเดินตามออกมาสีหน้ายังตกตะลึง

     

                    ก็ใช้ไอนี่น่ะสิ หญิงสาวตอบพลางยิ้มอย่างมีชัย ชูปืนในมือขึ้นมาให้ลูกน้องดู ไอนี่น่ะแหละ เธอย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นสายตาของพวกเขาที่มองมาอย่างไม่อยากเชื่อ ปืนกระบอกนี้งั้นหรือที่สร้างประกายไฟสีส้มนั่นเป็นรูปกากบาท เป็นไปไม่ได้เลย มันไม่ใช่ของมีคมเสียหน่อย

     

                    เสียงเมื่อกี้ดังมาก เราทิ้งมอเตอร์ไซต์ไว้ก่อน รีบหาที่ซ่อนดีกว่า คาเรลมองซ้ายมองขวา และเหมือนจะได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนหนึ่งวิ่งข้ามขบวนรถไฟมา

     

                    ขึ้นไปบนดาดฟ้าดีกว่าครับ ชาร์ลเสนอ พลางชี้ไปช่องบนเพดานที่เปิดอ้ารับลม เทเดสไม่รอช้ารีบส่งพรรคพวกข้ามช่องนั้นไปทันที สายลมที่พัดมาบวกเข้ากับความเร็วของรถไฟที่พุ่งฝ่าดงป่ารกร้าง แทบจะหอบเอาร่างของคาเรลไปหากก้าวผิดเพียงนิดเดียว เมื่อเทเดสปีนข้ามช่องขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย ก็ดูเหมือนว่าเจ้าของฝีเท้าที่วิ่งข้ามขบวนรถไฟได้มาถึงที่เกิดเหตุแล้ว มีเสียงเจี๊ยวจ้าวโวยวายดังต่อเป็นทอดๆ คาเรลพอจะจับใจความได้บ้าง

     

                    มีผู้บุกรุก!” เสียงนั้นค่อนข้างชัดเจน

     

                    แย่แฮะ ชาร์ลเปรย พลางเอามือป้องตากันโต้ลม จะทำยังไงต่อไปดีครับ เขาตะโกนถาม

     

                    ดูเหมือนคงต้องเก็บไปคิดทีหลังแล้วล่ะ โอลิเวอร์ตอบเมื่อเห็นทหารสองสามคนปีนขึ้นมาบนดาดฟ้า พวกเขาตะโกนรายงานพบผู้บุกรุกไปยังเบื้องร่าง และอีกไม่นานพวกทหารคงจะแห่กันมามากกว่านี้ คงหลบหนีไม่ได้แล้วล่ะมั้ง

     

                    กำจัดมันให้หมด แล้วยึดรถไฟขบวนนี้ คาเรลร้องเสียงดัง เธอยกปืนในมือขวาขึ้นเล็งไปที่ศัตรูที่กำลังก้าวย่างเข้ามา สมาชิกทีมทุกคนหยิบตลับกลมสีเทามีปุ่มสีแดงตรงกลางขึ้นมาจากที่เก็บซ่อน เมื่อพวกเขากดเข้าที่กลางปุ่มก็เกิดแสงสีขาวขึ้นมาในทันที จากตลับกลมมีปุ่มในมือเปลี่ยนเป็นอาวุธประจำตัวของแต่ละคน

     

                    เอดิเอลเป็นปืนกลเบาที่มีพานท้ายใหญ่และยาว รูปทรงออกเหลี่ยมมีกล่องเลเซอร์ติดอยู่ใต้ลำกล้องปืน แมสเป็นปืนอีกเช่นกันแต่เป็นปืนพกคู่สีทองไม่มีลักษณะพิเศษนอกจากสี  อาวุธของโอลิเวอร์คือพลองยาวทำจากโลหะเงินบริเวณปลายนั้นหนาเป็นพิเศษ และส่วนกลางเป็นยางยืดหยุ่นได้เหมาะมือ เทเดสเป็นค้อนยักษ์ที่มีด้ามจับยาวพอๆกับพลองของโอลิเวอร์ดูท่าจะมีน้ำหนักมากไม่ใช่น้อย ส่วนทางด้านชาร์ลเป็นดาบคมเดียวรูปทรงแปลกตา มีเว้าตรงสัน และใบมีดดาบเป็นสีขาวราวไข่มุก มีลวดลายสีทองวาดตั้งแต่ด้ามไปจนถึงปลายดาบ มันดูงดงามเสียจริง แต่ในเวลานี้ไม่มีใครมาเชยชมหรอก ศัตรูเริ่มปีนป่ายขึ้นมาบนดาดฟ้าขบวนมากจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

     

                    ลดการปะทะ หลีกเลี่ยงการบาดเจ็บมากที่สุด คาเรลใช้นิ้วเหนี่ยวไก เสียงลั่นกระสุนดังผ่านลำกล้องปืนไปหนึ่งนัด ข้อมือเธอไม่สะบัดตามแรงปืนเลยแม้แต่น้อย ทหารคนหนึ่งถูกยิงเจาะกระจกหมวกนิรภัยร่วงตกไปข้างทาง สายลมที่พัดรุนแรงค่อนข้างเป็นอุปสรรคต่อการต่อสู้นัก ทั้งหมดต้องคอยยึดเท้าไว้ไม่ให้พลั้งกระเด็นตามแรงลม

     

                    ศัตรูเริ่มโจมตีตอบโต้ พวกมันใช้อาวุธปืนเช่นเดียวกันแต่อานุภาพต่ำกว่า และไร้ฝีมือ กระสุนพุ่งผ่านเป้าหมายไปอย่างฉิวเฉียดทุกครั้ง แถมการเล็งในความมืดอึมครึม และสายลมที่เป็นอุปสรรค ทำให้การยิงซึ่งย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งแย่ลงไปอีก เป็นทีของพวกคาเรลซึ่งฝึกฝนร่างกายมาเป็นอย่างดี พวกเขากำจัดคู่ต่อสู้ที่มีมากกว่าไปได้อย่างรวดเร็ว

     

                    เสียงกระสุนดังเกรียวกราว พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนเมื่อถูกกระสุนเจาะร่าง กลุ่มผู้บุกรุกกราดยิงใส่ศัตรูอย่างไม่ยั้งพร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หวาดหวั่น เมื่อกำจัดศัตรูจนหมดสิ้นก็เบาใจลงในทันที

     

                    วาเลนเซีย... เทคโนโลยีก้าวล้ำแต่การทหารยังไม่ได้เรื่อง คาเรลใช้เท้าเขี่ยร่างทหารที่นอนนิ่งให้ออกไปจากทางเดิน ลงไปข้างล่าง เทเดสไม่รอช้าใช้ค้อนทุบเข้าที่หลังคา พื้นเหล็กยุบลงก่อนที่จะแตกเป็นรูเบ้อเริ่ม คาเรลกระโดดผ่านรูปที่แตกเป็นคนแรก ไม่พบกับศัตรูที่อยู่ในห้องนี้แม้แต่เพียงคนเดียว

     

                    สงสัยพวกเรากำจัดหมดแล้วมั้ง คาเรลกล่าวเมื่อลูกน้องกระโดดตามลงมาจนครบ เธอเดินไปที่ประตูและเลื่อนเปิดออก ไม่มีใครอยู่อย่างที่คิด

     

                    ตูม!!

     

                    เสียงระเบิดดังมาจากท้ายขบวน จุดที่มอเตอร์ไซต์ทั้งหกคันจอดเอาไว้ แรงระเบิดสร้างความสั่นสะเทือนจนขบวนรถไฟที่เหลือแทบสะบัดตกราง ทั้งหมดหน้าถอดสีในทันที

     

                    ระเบิด! มอเตอร์ไซต์ของเรา!!” เอดิเอลร้องเสียงหลง เขาเปิดประตูที่อยู่ด้านหลัง พบว่าโบกี้สุดท้ายถูกตัดขาดล้มคว่ำอยู่กลางปาเป็นที่เรียบร้อย กลุ่มควันและเปลวเพลิงสีแสดลุกโชนในระยะริบตา เกิดไฟสัญญาณสีแดงกะพริบภายในตัวรถไฟที่ยังคงวิ่งอยู่ ทั้งหมดรีบเข้ามายืนรวมตัวกันเพื่อเตรียมตัวเผชิญศึกต่อไป

     

                    เราต้องไปที่ห้องควบคุม! แรงสะเทือนเมื่อกี้นี้ทำให้รถไฟเสียการทรงตัว!!” คาเรลตะเบ็งเสียง

     

                    มันไม่ได้ใช้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติหรอกหรือ? แมสเดินตามหัวหน้าข้ามโบกี้ไปที่ละโบกี้ จนมาถึงโบกี้หนึ่งซึ่งเป็นห้องที่สวยหรูที่สุดเท่าที่จะเคยเห็นมา กำแพงห้องประดับประดาไปด้วยลวดลายแบบยุโรป โซฟาจำนวนมากวางติดกับหน้าต่างที่ปิดด้วยกระจกใส ไฟสีนวลฉายจากโคมระย้าที่ทำจากแก้วเจียระไนงดงาม สุดท้ายของห้องติดกับประตูมีทหารยืนอารักษ์อยู่สองคน พวกเขาสวมชุดแตกต่างจากพวกลูกจ๊อกบนหลังคาด้านบน เป็นชุดสีดำสนิทเกราะบริเวณลำตัวหน้า และสวมหมวกที่มีกระจกเงา บริเวณด้านบนของหมวกแบนและยื่นออกไปด้านหลัง บริเวณเข่าและศอกติดสนับเอาไว้ ดูท่าเป็นทหารฝีมือดีก็เป็นได้

     

                    ผู้บุกรุก ทั้งสองพูดพร้อมกัน ก่อนที่จะพุ่งเข้าหาคาเรลและพรรคพวก

     

                    เฮ้!! เฮ้!” ไม่ทันได้ตั้งตัวคู่ต่อสู้ก็เข้ามาถึงตัวคาเรลแล้ว มันง้างหมัดไปด้านหลังหมายจะต่อยให้ตายในหมัดเดียว คาเรลสังเกตเห็นที่กำปั้นน้ำมีประจุไฟฟ้าประทุขึ้นเล็กน้อย เธอก้าวถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว ชาร์ลไถลเข้ามาขวางและใช้ดาบคู่กายรับกำปั้นได้ทันท่วงที แรงปะทะดังกึกก้อง เกินแรงลมขึ้นใต้ขาของคนทั้งสอง ชาร์ลรู้สึกมือชาอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ใช้ดาบปัดกำปั้นของศัตรูไปในที่สุด

     

                    ศัตรูที่โจมตีมาก่อนกระโดดถอยไปตั้งหลักและก้มตัวลง อีกคนหนึ่งกระโดดข้ามหลังเขามาอย่างฉับไวและใช้เท้าเตะเข้าที่ช่วงลำคอของชาร์ล แต่ยังดีที่เขาตั้งตัวและใช้ดาบปัดป้องเอาไว้ได้ แต่เนื่องจากความเสียหายครั้งแรก และการโจมตีอันหนักหน่วงครั้งที่สอง แม้จะตั้งรับได้ทันแต่ก็ถูกซัดจนกระเด็นตามแรง ร่างของชาร์ลกระเด็นลอยลิ่วชนกับผนังห้องเสียงดังโครม

     

                    หนอย! แก!!” เทเดสและโอลิเวอร์ควงอาวุธเข้าโจมตีตอบโต้กลับบ้าง แต่ศัตรูรวดเร็วมาก มีการโจมตีที่แม่นยำและหนักหน่วง คาเรล แมส และ เอดิเอล ใช้ปืนยิงสนับสนุน แต่เมื่อกระสุนพุ่งเข้าถึงร่างของศัตรูก็เกิดปรากฏการณ์ที่น่าตกใจ เมื่อมีอะไรบางอย่างครอบคลุมร่างของพวกเขาอยู่ กระสุนเมื่อต้องโดนพลังนั้นก็กระเด็นออกข้างๆจนหมด ทั้งสามหยุดยิงและมองหน้ากันอย่างพิศวง

     

                    ไม่จริง เวทมนต์หรือ คาเรลคิดในใจมองศัตรูอย่างพินิจ ดูท่าทั้งสองกำลังจะเสียท่าให้กับศัตรูอันแข็งแกร่งเสียแล้ว พวกเขาโดนซัดจนกระเด็นไถลมาที่ปลายเท้าของขาเรล

     

                    เฮ้!” คาเรล ร้องเรียกคู่ต่อสู้ทำหน้าตาท้าทายกวนประสาทเล็กน้อย พวกมันหันมามองคาเรลแต่ไม่มีการพูดตอบ

     

                    พวกแกไม่ใช่มนุษย์นี่นา ไม่มีการตอบรับจากฝ่ายผู้ฟัง มนุษย์ดัดแปลงงั้นสิ มิน่าตอนดาบของชาร์ลปะทะกับหมัด แล้วก็แข้งของพวกแกถึงได้ดังเหมือนเล็กปะทะกัน คาเรลดึงชายทั้งสองที่ล้มอยู่ข้างหน้าให้ลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะเดินก้าวไปเผชิญหน้าพวกอย่างไม่เกรงกลัว

     

                    ฉันจะจัดการพวกแกเอง เธอยกปืนขึ้นจนสุดแขนชี้ไปทางศัตรูอย่างท้าทาย

     

                    หัวหน้า! ก็เห็นอยู่ปืนทำอะไรมันไม่ได้ แมสเตือน คาเรลไม่ได้ฟังที่เขาพูดเลย คาเรลปรับระบบการยิงเป็นระบบออโต้เพียงแค่เหนี่ยวไกค้างกระสุนก็พุ่งออกมาโดยไม่ต้องยั้ง เธอกราดยิงใส่ศัตรูทั้งที่ไม่เป็นผล มนุษย์ดัดแปลงทั้งสองกระโจนเข้ามาหาเธอพร้อมกัน คาเรลไถลตัวผ่านไปด้านล่าง พวกมันลอยข้ามตัวเธอไป คาเรลยังคงเหนี่ยวไกค้างยิงเข้าที่ช่วงท้องของศัตรูทั้งสอง แต่ก็ยังไม่เป็นผล

     

                    มนุษย์ดัดแปลงตัวหนึ่งเมื่อถึงพื้นก็ถีบเท้ากระโจนเข้าหาหญิงสาวโดยไม่ให้ตั้งหลัก คาเรลลุกขึ้นยืนได้เพียงครึ่งศัตรูก็มาถึงตัวเธอแล้ว มันง้างหมัดสุดแขนก่อนที่จะปล่อยเข้าไปที่ใบหน้า คาเรลใช้ท่อนแขนปัดหมัดให้เปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็วและใช้เท้าถีบศัตรูจนลอยขึ้นฟ้าชนระย้าจนหล่นโครม เสียงแก้วแตกบาดแก้วหู มนุษย์ดัดแปลงถูกโครงของระย้าทับจนสิ้นสภาพ ภายในห้องมืดสลัวลงในทันที ยังดีที่มีไฟสีเหลืองอ่อนรอดผ่านมาตามผนัง

     

                    เจ็บแฮะ เธอสะบัดแขนไปมา ค่อยๆลุกขึ้นยืน มนุษย์ดัดแปลงอีกตัวหนึ่งที่ยังยืนอยู่ จ้องมองเธอผ่านแผ่นกระจกของหมวก คาเรลยิ้มที่มุมปากอย่างได้ใจ ดูเหมือนมันกำลังประเมินค่าของศัตรูอยู่

     

                    เสร็จล่ะ!!” เทเดสใช้ค้อนหวดกวาดขามันจนตีลังกาล้มคว่ำ ก่อนที่จะใช้ค้อมทุบไปที่ตัว น่าทึ่งที่มันยังมีสติอยู่และใช้แขนอันทรงพลังทั้งสองข้างรับก้อนโลหะยักษ์ที่มีพลังทำลายผสมเข้ากับแรงเหวี่ยงได้

     

                    อย่า เทเดส!” คาเรลร้องห้าม มนุษย์ดัดแปลงผลักหัวค้อนเข้าตัวเจ้าของ และรีบลุกขึ้นยืนเหมือนมันจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่เทเดสเสียแล้ว คู่ต่อสู้แก้อยู่ทางนี้!!” คาเรลจับบริเวณคอของมันได้มั่น ในจังหวะที่มันหันไปทำร้ายเทเดสและคนที่เหลือ คาเรลยกตัวมันจนลอยสูงก่อนที่จะทุ่มมันลงพื้นจนจมดิน ทั้งหมดเธอทำด้วยมือเพียงข้างเดียว เหล่าบุรุษทั้งหลายทึ่งกับพละกำลังและท่วงท่าของเธอจนตะลึงงัน

     

                    ห... หัวหน้า! ทำได้ไง แมสตาค้าง มันไม่สมกับเป็นร่างอันบอบบางนั้นเลย เธอไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนกันแน่

     

                    ฝึกมานานน่ะ คาเรลยิ้มตอบ แต่จริงๆแล้ว คาเรลแอบปลดปล่อยเวทมนต์ขนาดเบาบางเสริมพละกำลังทำให้กระบวนท่าต่างๆมีอานุภาพยิ่งขึ้น ฉันฝึกมามากกว่าพวกนายก็แล้วกัน ถึงอายุจะน้อยกว่าก็เหอะ เธอหัวเราะในลำคอ

     

                    ซูม เสียงประตูเลื่อนที่ท้ายห้องเลื่อนเปิดออก เชิญชวนสายตาทุกคู่ ชาร์ลเริ่มได้สติอีกครั้งเขาลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นที่เปื้อนทั่วกาย เขามองตรงไปที่ช่องประตู มีใครบางคนเดินก้าวเข้ามาอย่างมาดมั่น จู่ๆคาเรลก็ใจเต้นตูมตามรุนแรงจนบอกไม่ถูก มีพลังกดดันมากมายทำให้เธอสั่น เธอจำความหวาดหวั่นอย่างนี้ไม่ได้ตั้งแต่เข้าป่าหลายปีมาแล้ว

     

                    บุรุษผู้มาใหม่เดินก้าวพ้นช่องประตู เขาเป็นคนที่ดูน่าเกรงขาม เรือนผมสีเงินยาวประบ่าใบหน้าเรียวคม ดวงตาเย็นชาไม่อาจจะอ่านใจได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และขุ่นมัวน่าขนลุกสีดำสนิท เขาสวมชุดคลุมสีดำทับชุดหนักรัดรูปสีเทา กางเกงขายาวมีเข็มขัดสามเส้นพาดอยู่ ดวงตาอันนิ่งสงบมองไปที่ลูกน้องซึ่งจอดสนิท

     

                    ผู้บุกรุกงั้นรึ... พวกฝ่ายวิจัยคงต้องเอางานพวกนี้ไปพัฒนาใหม่เสียแล้ว เขาพูดกับตัวเอง น้ำเสียงเรียบนิ่ง ในมือมีดาบที่สวมฝักยาวเกือบเท่าพลองของโอลิเวอร์ มีพรวนห้อยอยู่ที่ก้นด้ามดาบ

     

                    หมายความว่าไง ชาร์ลขมวดคิ้วถาม แกเป็นใคร

     

                    เขาไม่ตอบนอกจากชำเลืองตามองอย่างเย็นชา ชาร์ลก้ำกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก สายตานั้นสามารถแช่ใครสักคนให้แข็งเป็นก้อนน้ำแข็งได้โดยไม่ยาก คาเรลยังคงยืนสั่นอยู่กับที่ ภาพของเขาปรากฏขึ้นในความฝัน ผู้ที่ลอบยิงเธอ แม้จะเห็นไม่ชัดแต่ต้องเป็นเขาแน่นอน แต่เขาใช้ดาบ ไม่ใช่ปืน

     

                    แกคงเป็นคนสุดท้ายของรถขบวนนี้แล้วสิ เทเดสตะคอกถาม พาดค้อนยักษ์ไว้ที่บ่า

     

                    ชายปริศนาหรี่ตาลงข้างหนึ่งอย่างดูหมิ่นก่อนจะตอบสั้นๆว่า คงงั้น

     

                    กรอด! กวนประสาทนักนะแก!!” เทเดสกัดฟันคำราม ชาร์ลยกดาบขึ้นขวางไม่ให้เทเดสมุทะลุโจมตีด้วยอารมณ์ เพราะหากทำอย่างนั้นเขาอาจจะตายท่าไม่สวยแน่ อย่าครับ... ชายคนนี้คงไม่ใช่คนธรรมดา

     

                    คราวนี้ไม่ใช่หน้าที่ของพวกนายจริงๆแล้วล่ะ คาเรลพยายามฝืนยิ้ม เธอพยายามจะสบตาสู้ชายผมสีเงิน แต่รู้สึกขุนลุกชันที่ลำคอทุกวินาที หมอนี่พวกนายคงสู้ไม่ไหวหรอก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×