ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Life of Destiny

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1: ภารกิจแรก

    • อัปเดตล่าสุด 20 ต.ค. 50


    บทที่ 1: ภารกิจแรก
     
    ยานบินขนาดกลางรูปครึ่งทรงกลมบินโฉบผ่านตึกที่ทำจากกระจกเงา และบินเรียดต่ำลงสู่พื้นถนนซึ่งมีผู้คนเดินกันขวักไขว่ตลอดเส้นทาง การจราจรบนพื้นด้านล่างทั้งทางถนน และทางอากาศค่อนข้างติดขัด ถนนลอยฟ้าเต็มไปด้วยรถยนต์ติดล้อที่จอดอัดแน่น กลุ่มควันคลุ้งโขมงพร้อมกับกลิ่นน้ำมันที่ระเหยออกมา ยานบินลำนั้นพุ่งทะยานไปยังฝูงชนเดินเท้าอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าคนพวกนั้นจะได้รับอุบัติเหตุหรือไม่ ดูเหมือนยานลำนั้นกำลังหนีอะไรสักอย่าง พวกเขาพยายามขับวนไปวนมาเพื่อให้ผู้ตามสับสน ยานบินต้องสงสัยพุ่งขึ้นสู่น่านฟ้าอีกครั้ง ฝ่าถนนลอยฟ้าที่พาดไปมาราวกับใยแมงมุม มีใครบางคนกำลังตามล่าพวกเขาอยู่จริงๆ บุคคลปริศนาในชุดหนังและหมวกกันน็อกสีดำขับมอเตอร์ไซติดไอพ่นที่สามารถบินขึ้นสู่น่านฟ้าได้เฉกเช่นยานบินทั่วไปแต่มีความเร็วในการเคลื่อนที่สูงกว่าเป็นทวีตัว เขาหรือเธอขับมอเตอร์ไซพุ่งขึ้นตามเส้นทางที่ศัตรูหนี พร้อมบิดคันเร่ง ไอพ่นท้ายรถที่ติดตั้งแทนล้อส่งเปลวเพลิงสีแดงยาวเป็นหาง ความเร็วเพิ่มขึ้นและกำลังจะไล่รถยนต์ลอยฟ้าคันนั้นทัน
     
    “เป้าหมาย ขับรถเดินอากาศยี่ห้อ High Zero รุ่น Diamond 100 สีแดง ทะเบียน AAT4-6819 บินด้วยความเร็ว 160 และดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอีก กำลังมุ่งหน้าไปทางจัตุรัสการค้าทางตอนเหนือ ด้วยความสูง 2900 ฟุต ขอให้ผู้ตรวจการบริเวณนั้นสกัดจับเอาไว้ด้วย” เสียงของเจ้าของชุดหนังสีดำดังอื้อผ่านหมวกนิรภัย จากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนจะเป็นผู้หญิง เธอเร่งความเร็วตามรถเดินอากาศซึ่งเป็นเป้าหมาย และดูเหมือนว่ารถคันนั้นจะบินลงไปด้านล่างอีกครั้ง
     
    “ฉันไม่ยอมให้ทำแบบนั้นหรอก” เธอพูดกับตัวเองก่อนที่จะกดแฮนด์ควบคุมลงไปสุดกำลังเพื่อให้หัวของรถมุ่งหน้าไปยังด้านล่าง เธอเร่งความเร็วเต็มที่เข็มบนหน้าปัดชี้ไปที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพียงเสี้ยววินาทีเธอก็บินเทียบเป้าหมายได้ทัน พร้อมกับชักปืนขึ้นมาจากบริเวณหน้าอก
     
    “ลดความเร็วซะ ไม่งั้นฉันยิง!” เธอคำรามเสียงกร้าว และดูเหมือนจะว่าง่าย ฝ่ายตรงข้ามหยุดกะทันหัน ผู้ไล่ล่ารีบยกแฮนด์ขึ้นและกดเบรกในทันทีเพื่อป้องกันการโหม่งพื้น มีฝูงชนจำนวนมากบนพื้นเบื้องล่างหันมาสนใจการไล่ล่าของคนทั้งสอง การจราจรบนน่านฟ้าติดขัดในทันทีเมื่อรถซึ่งเป็นผู้ถูกล่าจอดลง เธอขับมอเตอร์ไซลอยฟ้ามาเทียบข้างรถคันนั้นอีกครั้ง พร้อมกับใช้มือเคาะกระจกรถให้เปิดออก
     
    “เอาล่ะ ว่าง่ายอย่างนี้ก็ดี ฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อย” เธอกล่าวเมื่อบานกระจกเลื่อนลง แต่แทนที่จะเห็นใบหน้าของเจ้าของรถกลับกลายเป็นปลายกระบอกปืนแทน เจ้าของปืนไม่ลังเลที่จะยิงเลย เขาเหนี่ยวไกทันทีเมื่อเห็นตัวคู่ต่อสู้ แต่ด้วยสัญชาตญาณดิบผู้หญิงในชุดหนังสีดำสะบัดศีรษะหลบกระสุนได้ทัน เธอเผลอปล่อยมือจากรถคันนั้นจนทำให้มันฉวยโอกาสหนีไปอีกหน
     
    “ชิ กะว่าจะแค่ส่งตัวไปที่สถานี แต่ฉันคิดว่าคงต้องส่งเข้าโรงพยาบาลแทนแล้วล่ะมั้ง” เธอสบถอย่างหัวเสียพลางขับมอเตอร์ไซตามล่าอีกเป็นหนที่สอง รถเดินอากาศสีแดงขับเข้ามุมอับซึ่งเป็นช่องทางระหว่างตึกที่ตั้งขนาบกัน ผู้ที่ขับรถคันนี้ดูเหมือนจะมีประสบการณ์ในการเล่นโพดโผนเป็นอย่างดี คงไม่มีใครที่ไหนกล้าขับรถปาดซ้ายปาดขวาบินดิ่งและ เร่งความเร็วเกือบ 200 กิโลเมตรต่อช่วงโมงเข้าซอกตึกแน่ๆ ด้วยความเร็วนั้นทำให้พวกเขาพุ่งผ่านช่องทางนั้นได้เพียงไม่กี่วินาที แต่ในขณะที่ใกล้จะถึงปากทางออกนั้นเอง หญิงสาวในชุดหนังสีดับก็ขับมอเตอร์ไซต์มาขวางเอาไว้จากในทิศทางแนวดิ่ง เธอปล่อยมอเตอร์ไซต์ให้พุ่งลงไปด้านล่าง ส่วนตัวเธอกระโดดขึ้นไปด้านบน ในจังหวะที่รถเดินอากาศซึ่งเป็นเป้าหมายพุ่งเข้ามา เธอก็เหนี่ยวไกปืนกราดยิงใส่รถคันนั้นอย่างไม่ยั้ง ตั้งแต่กะโปรงหน้ายันไฟท้าย เธอตีลังกาคว้างอยู่กลางอากาศอย่างสง่างาม รถคันนั้นเสียการทรงตัวพุ่งตรงไปยังศูนย์การค้าใจกลางจัตุรัสทางตอนเหนือ มอเตอร์ไซต์ที่พุ่งลงไปข้างล่างบินกลับมารับเธอไว้ทันท่วงที
     
    “เป้าหมายเสียการทรงตัว จัดการเก็บกวาดด้วย แต่อย่าให้ใครได้รับบาดเจ็บยกเว้นไอคนที่อยู่ในรถนั้น” เธอพูกับหมวกกันน็อก เมื่อแน่ใจแล้วว่าทางฝ่ายคู่สนทนารับคำสั่งจึงหันหัวจักรยานยนต์มุ่งหน้าไปยังฐานบัญชาการในทันที
     
    เนื่องจากค่อนข้างเลยเวลานัดหมายมานานพอสมควรเธอจึงรีบเร่งขับรถตรงไปยังทางตอนใต้ซึ่งเป็นฐานบัญชาการที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักร ตัวอาคารถูกสร้างเป็นตึกสูงเฉียดฟ้าสามหลังมีสะพานเชื่อมต่อกัน มีประตูให้รถเดินอากาศใช้เข้าออกทุกๆห้าสิบชั้น หญิงสาวพามอเตอร์ไซต์คู่จับขับฝ่ารถของราชการไปโดยไม่เกรงกลัว และในที่สุดก็จอดลงที่ปากทางเข้าชั้นที่สองร้อย
     
    “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มในชุดเกราะสีดำหน้าตาเด๋อด๋าก้าวเข้ามาต้อนรับเธอในทันที พลางฝ่ามือแตะที่ปลายคิ้วแสดงความเคารพ หญิงสาวดับเครื่องและโยนกุญแจรถให้กับชายหนุ่มผู้มาต้อนรับ พร้อมกับถอดหมวกนิรภัยออก เส้นผมสีฟางของเธอปลิวสะบัดออกมาพ้นจากหมวกสีดำอย่างอิสระ ทรงผมของเธอถูกดัดเป็นลอนช่วงปลายๆ ส่วนด้านบนค่อนข้างแตกกระจายชี้ไปคนละทิศคนละทางไม่เป็นทรง ดวงตาของเธอเป็นสีมรกตแจ่มจรัส หน้าขาวเนียนริมฝีปากอวบอิ่มสีชมพูจางๆ ดูไม่รู้เลยว่าเธอเป็นผู้กำจัดรถที่ขับก่อกวนชาวบ้านเมื่อครู่
     
    “เอารถฉันไปเก็บให้ดีๆนะ เออแล้วก็นี่ด้วย” เธอโยนหมวกกันน็อกให้กับชายผู้มาต้อนรับราวกับเป็นเบ้ “ขอบใจที่มาต้อนรับ เออ แล้วพอจะรู้ไหมว่าเขาเรียกประชุมที่ชั้นไหน” หญิงสาวถามอย่างไม่แน่ใจ
     
    “อ๋อ ประชุมที่ชั้นสามร้อยห้าสิบครับ” ชายหนุ่มตอบในขณะที่เดินตรงไปยังมอเตอร์ไซต์ที่หยุดนิ่งและค่อยๆสอดปลายกุยแจเข้าไปในรูอย่างเบามือ
     
    “แย่แฮะ รู้งี้น่าจะเลยขึ้นไปอีกซัก 3 ประตู” หญิงสาวเกาหัวอย่างเบื่อหน่ายก่อนที่จะเดินออกไปจากทางเข้ารถเดินอากาศ
     
    คาเรล เดินตรงไปตามทางที่ทอดยาวและคดเคี้ยว มีเหล่านักรบฝึกหัดเดินผ่านไปมาเป็นว่าเล่น ทุกคนต่างทำท่าคำรพให้กับเธออย่างแข็งขัน แต่การตอบรับของเธอเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย คาเรลมองไปตามทาง มันเงียบสงัดได้ยินแต่เสียงฝีเท้าของผู้คน จะไม่มีการพูดคุยกันเลยหรือ กำแพงสีขาวนี้จะไม่คิดเปลี่ยนสีบ้างเลยหรือไง ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน คาเรลเดินผ่านประตูเลื่อนอัตโนมัติไปนับไม่ถ้วน จนในที่สุดก็มาถึงลิฟต์ที่จะใช้ไปชั้นสามร้อยห้าสิบ
     
    ภายในลิฟต์เงียบสงัดยิ่งกว่าเสียอีก ด้วยความเงียบนี้ทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์ในอดีตที่ขมขื่น หัวเธอเริ่มฟุ้งซ่าน เรื่องราวต่างๆในภาพขาวดำผุดขึ้นมาราวดอกเห็ด ชาติกำเนิดของเธอถูกละลึกขึ้นอย่างช้าๆทั้งที่ลืมมันไปนานแล้ว ชาติกำเนิดของเธอคือผู้มีพลังวิเศษ แล้วทำไมทั้งๆที่ครอบครัวของเธอถูกฆ่าหมด แต่เธอที่รอดชีวิตกลับต้องมาอยู่ใต้คำบัญชาของผู้ที่ฆ่าพวกเขา คำถามมากมายดังก้องสะท้อนทุกมุมของรอยหยักสมอง หญิงสาวได้สติกลับมาเมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เธอเอามือลูบใบหน้าเพื่อขจัดความตึงเครียดออกไปในทันที
     
    หญิงสาวเดินทอดน่องมาตามทางเดินที่พื้นทำจากกระจกใสมีไฟสีขาวส่องสว่างเจิดจ้า ในเส้นทางนี้ปลอดคนอย่างสิ้นเชิง อาจเป็นเพราะมีแต่นักรบยศสูงๆเท่านั้นกระมังที่สามารถผ่านเส้นทางนี้ได้ คาเรลไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมรอบข้างหรอกว่ามันจะเป็นอย่างไร และแล้วเธอก็มาหยุดลงที่ประตูเลื่อนซึ่งมีแผงควบคุมรหัสอยู่ทางด้านขวา เธอเอาฝ่ามือแนบเข้าที่เครื่องนั้น เพียงชั่วอึดใจประตูก็เลื่อนเปิดออกราวกับถูกกระชาก ดูเหมือนเธอจะมาสายมากๆ จนผู้คนในห้องประชุมหันมามองเธอในสายตาเดียว
     
    “มาสาย... คาเรล เธอมาสาย” ประธานการประชุมครั้งนี้เอ่ยปากในทันที เมื่อเห็นเธอในชุดหนังสีดำ “แล้วนั่นอะไร ชุดหนังสีดำ คิดว่าจะไปแข่งมอเตอร์ไซต์หรือไงกัน” เขาคำรามเสียงดัง ชายผู้นี้เป็นบุคคลที่ทุกคนต่างต้องเคารพ เพราะเป็นถึงระดับรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด เขาเป็นชายวัยกลางคนที่มีอุดมการณ์สูงมาก เส้นผมสีดำมีเส้นสีขาวแซมอยู่บริเวณร่องหู ใบหน้าดุดันน่าเกรงขาม หนวดเคราดกและมีบาดแผลเต็มใบหน้า ดวงตาสีเทาจ้องมองมาที่หญิงสาวอย่างสบประมาท
     
    “ขอโทษค่ะ ท่าน กาลัส” เธอช่างเกลียดสายตาดูหมิ่นเช่นนี้จากชายคนนี้เหลือเกิน คาเรลเดินอย่างสำรวมผ่านที่นั่งของเหล่านักรบระดับสูงไปเรื่อยๆทีละตัว โต๊ะที่พวกเขานั่งเป็นโต๊ะทรงกลมขนาดใหญ่ระยะห่างกันก็ราวๆสองเมตรครึ่ง ตรงกลางโต๊ะมีภาพจำลองสถานที่ฉายอย่างละเอียด คาเรลทิ้งตัวนั่งถัดจากกาลัสมาทางขวาสามที่นั่ง เธอไม่สนใจการจ้องมองของผู้คนเลยแม้แต่น้อย ในใจขอแต่เพียงว่ารีบๆจบการประชุมอันน่าอึดอัดนี้เสียที
     
    “เอาล่ะ ในเมื่อมากันครบแล้ว เรามาเริ่มการประชุมกัน” กาลัสชำเลืองมอง คาเรลด้วยสายตาถากถางก่อนที่จะหันเข้าโต๊ะเพื่อเริ่มการประชุม แสงไฟในห้องสลัวลงในทันทีที่สิ้นเสียง ภาพที่ฉายเหนือโต๊ะดูชัดเจนยิ่งขึ้น มันเป็นรูปเมืองที่จำลองขึ้นมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน มีตัวเลขมากมายลอยอยู่เหนือตึกที่สูงลับฟ้า บ่งบอกถึงจำนวนต่างๆที่คาดการณ์ได้
     
    “ที่นี่คืออาณาจักร วาเล็นเซีย เมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าเทียมทางตอนใต้” กาลัสเริ่มต้นด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “สายของเรารายงานมาว่าอาณาจักรแห่งนี้กำลังริเริ่มสร้างอาวุธทำลายล้างอันทรงอานุภาพ ซึ่งพวกท่านคงจะรู้ดีว่าอาณาจักรนั้นมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเพียงใด อาจจะล้ำหน้ากว่าอาณาจักรเราถึงสิบปีเลยก็ว่าได้”
     
    “ท่านจะก่อสงครามหรือ” คาเรล เอ่ยถามในทันทีน้ำเสียงไม่เห็นด้วย “จะทำสงครามเพื่อหยุดยั้งอาวุธนั้นหรือ?”
     
    “ฉันบอกเธอแล้วหรือ คาเรล ว่าฉันจะใช้สงคราม” กาลัสสวนในทันที คาเรลที่โพล่งถามทำท่าจะโต้กลับแต่ถูกชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม พูดแทรกขึ้นเสียก่อน
     
    “พวกเราจะไม่ปฏิบัติการณ์อย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นพวกเราถึงได้เรียกเธอมาไงล่ะ หัวหน้าหน่วยรบพิเศษ” ชายผู้พูดมีผมสั้นสีแดงเพลิง ผมยาวประบ่าชี้ปลายผมชี้ไปในทิศทางเดียวกัน ใบหน้าคมกริบ และดูท่าอายุยังน้อย อาจจะแก่กว่าคาเรลไม่กี่ปี ดวงตาสีครามหรี่ลงเมื่อมองหญิงสาว การแต่งตัวของเขาช่างเข้าชุดกับสีผมเสียเหลือเกิน
     
    “ขอบใจมาก เกเนียส” กาลัสยกมือขึ้นเป็นการขอบคุณแต่ไม่ค่อยเต็มใจกับการสอดขึ้นมาสักเท่าไร “อย่างที่เขาบอก ภารกิจครั้งนี้เป็นหน้าที่ของเธอ คาเรล... จงนำหน่วยรบพิเศษที่เชื่อใจได้และมีฝีมือออกร่วมภารกิจนี้” กาลัสหันไปพูดกับคาเรล
     
    คาเรลมุ่นคิ้วคิดคำนึงอะไรบางอย่างก่อนที่จะค่อยๆพยักหน้าตอบรับ กาลัสยิ้มอย่างพอใจก่อนที่จะหันหน้ากลับเข้าที่โต๊ะประชุมอีกครั้ง คราวนี้เขาใช้มือทั้งสองข้างแตะเข้าที่ขอบโต๊ะเบาๆ ทันใดนั้นแสงสีเขียวอ่อนก็พวบพุ่งออกมาจากแผนที่อาณาจักรวาเล็นเซีย มีเส้นสีฟ้าและเส้นสีแดงระโยงระยางเต็มไปหมด สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เส้นสายอย่างตึงเครียด
     
    “นี่คือเส้นทางที่เราจะสามารถเข้าไปได้ เส้นสีฟ้าคือเส้นทางที่ปลอดภัย ส่วนเส้นสีแดงคือเส้นทางที่ฝ่ายตรงข้ามให้การป้องกันเป็นอย่างดี อย่างที่พวกท่านเห็น เส้นทางทั้งหมดที่มุงหน้าจากท้องฟ้าเข้าสู่ตัวเมือง เป็นสีแดง นั่นก็คือ” กาลัสเอามือแตะที่ขอบโต๊ะอีกครั้ง ทันใดนั้นก็เกิดรัศมีสีฟ้าใสพุ่งขึ้นมาครอบอาณาจักรทั้งหมด เส้นสีแดงถูกทำให้สลายไปในทันที “มีบาเรียอานุภาพแรงสูงติดตั้งอยู่ คนนอกไม่สามารถเดินทางเข้าอาณาจักรจากทางน่านฟ้าได้”
     
    “นั่นไม่ใช่สไตล์ที่ฉันชอบเลย” คาเรลส่ายหน้าเปรยกับตัวเอง กาลัสเหมือนจะได้ยินเขาชำเลืองมองเธอและยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์
     
    “แน่นอน เราจะใช้เส้นทางนี้” กาลัสชี้ไปที่เส้นสีฟ้าเพียงเส้นเดียวที่อยู่ตำแหน่งติดพื้นดิน ทันใดนั้นเส้นทางสีฟ้าก็ขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกับแสดงทางรถไฟที่ตั้งอยู่ใจกลางป่าเทียม “เราจะแฝงตัวเข้าไปในสถานีรถไฟกลางป่าเทียม ร่วมกับหน่วยลาดตระเวนของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งการแฝงตัวนั้นต้องมิดชิดไม่โจ่งแจ้ง และอย่าให้พวกมันรู้ว่าเธอเป็นคนของใคร” กาลัสพูดต่อไปโดยไม่เว้นช่วงหายใจ “สายของเราได้ตรวจสอบเวลาที่รถไฟจะออกและมุ่งหน้าเข้าตัวอาณาจักรแล้ว นั่นคือ เวลา 15.00 นาฬิกาตรง ของวันพรุ่งนี้ เส้นทางการเดินรถคือสถานีอาณาจักรวาเลนเซีย”
     
    “เธอต้องนำพรรคพวกของเธอไปถึงสถานีนั้นก่อนเวลา ห้ามสายแบบวันนี้เป็นอันขาด” กาลัสพูดโดยไม่มองหน้าใคร สายตายังคงจ้องไปที่ภาพทางรถไฟซึ่งถูกล้อมรอบไปด้วยป่าที่ไร้ซึ่งใบไม้ “พวกเธอจะต้องลอบเข้าไปในตัวรถไฟโดยห้ามให้ใครรู้โดยเด็ดขาด หากภารกิจล้มเหลวเธอจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกปิดทุกสิ่งที่โยงเข้าถึงพวกเรา”
     
    “ฆ่าตัวตาย” เกเนียสเสริมเสียงดังผิดสังเกต “นั่นคือกฎของกองทัพหากทำภารกิจผิดพลาด” เขายิ้มอย่างกวนประสาท ดวงตาที่เย็นชาเบือนมาที่คาเรล
     
    “ฉันรู้เสมอ ขอบใจ” คาเรลชำเลืองมองตอบด้วยสายตาเกลียดชังอย่างที่สุด
     
    “ต่อไปเรื่องจำนวนของผู้ปฏิบัติภารกิจ... เธอจะพาพวกพ้องของเธอไปกี่คน” กาลัสไม่สนใจการโต้เถียงของคนทั้งสอง
     
    “ห้าคน รวมฉันเป็น หก” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด สร้างความฮือฮาให้กับห้องประชุม จะปฏิบัติภารกิจใหญ่ขนาดนี้ใช้จำนวนคนเพียงเท่านี้งั้นรึ ฟังดูเหมือนจะดูถูกภารกิจนี้เสียเหลือเกิน “ฉันจะใช้คนที่มีฝีมือที่สุด ห้าคน ปฏิบัติภารกิจนี้ให้สำเร็จลุล่วง”
     
    “จะใช้เพียงห้าคนงั้นรึ” เกเนียสแสยะยิ้มราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลกมา “เธอคิดว่าจะไปเดินเที่ยวสวนสนุกหรือไง นี่มันภารกิจสำคัญนะ!!” เกเนียสฟาดมือลงบนโต๊ะอย่างแรงจนสะเทือนไปถึงคนอื่น เขาลุกขึ้นยืนสายตาแข็งกร้าวจับจ้องที่หน้าคาเรลซึ่งจ้องตอบกลับมาทันที เส้นผมสีแดงดูเหมือนจะลุกเป็นเพลิง “ดูถูกภารกิจนี้งั้นรึ นี่คือภารกิจที่ผู้บัญชาการสูงสุดมอบหมายมา! ถ้าเธอไม่อยากทำ ยังมีคนอื่นที่ต้องการทำแทนเธอ คาเรล เอนิคอร์เรีย!!”
     
    “เป็นถึงนายพลขั้นสามด้านการรบแนวหน้า คิดได้แค่นี้เรอะ” คาเรลชายตามอง สายตาแบบนั้นทิ่มแทงใจอย่างเจ็บแสบ “ถ้าอยากทำภารกิจนี้เอง ก็ไปขอผู้บัญชาการสูงสุดเองสิ! นี่คือภารกิจที่เขามอบหมายมาให้ฉัน ฉันมีสิทธิที่จะใช้แผนการปฏิบัติ เรื่องจำนวนคนก็คือสิทธิของฉัน แก ไม่ เกี่ยว!”
     
    เกเนียสเหมือนถูกราดน้ำมัน เขากระตุกคิ้วมือกำแน่นอย่างกราดเกรี้ยว
     
    “พอแล้ว” ชายอีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างคนทั้งสองลุกขึ้นห้าม “จะกัดกันไปถึงไหน นี่คือการประชุม โปรดเคารพด้วย!” ชายผู้นี้มีผมยาวสีดำสนิท รูปร่างล่ำสัน ดวงตาคมราวราชสีห์สีน้ำตาล “ฟังที่ท่านรองผู้บัญชาการพูดต่อ เดี๋ยวนี้!” เสียงคำรามของเขาดังก้อง คาเรลลดสายตาออกจากเกเนียสในทันที ส่วนทางด้านเกเนียสก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างเสียอารมณ์
     
    “ขอบใจมาก เคิร์ส” กาลัสถอนหายใจยาว “ตกลง เธอสามารถพาพวกพ้องของเธอห้าคนปฏิบัติภารกิจนี้ แต่หากพลาดเธอจะต้องได้รับโทษ เพราะความประมาท”
     
    “ฉันยินดีรับโทษเสมอ” คาเรลตอบทันที “ฉันมั่นใจว่างานชิ้นนี้ต้องสำเร็จ” ดวงตาหญิงสาวฉายแววรุ่งโรจน์
     
    การประชุมจบลงในที่สุดโดยอนุมัติให้คาเรลสามารถพาลูกทีมบุกเข้าไปในอาณาจักรที่เต็มไปด้วยศัตรูซึ่งไม่ทราบจำนวน และเทคโนโลยีอันก้าวหน้ากว่า การตัดสินใจครั้งนี้ถูกต้องหรือไม่เธอเองก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆเธอมีลูกทีมที่คัดเลือกเอาไว้ในใจอยู่แล้ว คาเรลมุ่งหน้าไปยังศูนย์ทำงานของตนที่อยู่ต่ำลงไปอีกร้อยกว่าชั้น ยิ่งต่ำชั้นมากเท่าไรยิ่งมีทหารชั้นเลวเดินกันให้เพ่นพ่านมากขึ้น รวมถึงบุคคลแผนกอื่นๆอีก แต่ทางเดินก็ยังคงเหมือนๆเดิม คดเคี้ยวชวนสับสน
     
    คาเรลเดินข้ามสะพานเชื่อมตึก สายลมเหนือพัดกรรโชกใบหน้าของเธอจนเย็นยะเยือก เส้นผมสีฟางปลิวไสวราวมีชีวิต เธอหยุดยืนอยู่กลางสะพาน หันไปมองทิวทัศน์รอบๆ ท้องฟ้าสีครามเริ่มมีสีแสดจากดวงอาทิตย์เปื้อน แสงไฟตามท้องถนนเริ่มฉายวูบวาบ รถเดินอากาศพุ่งทะยานไปมาด้วยความเร็วมาตรฐาน ถนนลอยฟ้าที่พาดทุกสารทิศเต็มไปด้วยการจราจรที่ติดขัด คาเรลละสายตาออกจากรถมอเตอร์ไซต์ที่ขับซิ่งข้ามตัวตึกเตี้ยๆ ไปสนใจสภาพแวดล้อมที่อยู่เบื้องหน้าไกลริบ
     
    “พรุ่งนี้ 15.00 นาฬิกา ที่สถานีรถไฟในป่าเทียม” คาเรลนึกถึงเวลาและเป้าหมายที่กำหนดอย่างแน่ชัด ก่อนที่จะเดินทางข้ามตึกต่อไป
     
    เธอก้าวผ่านห้องต่างๆมามากจนรู้สึกเริ่มปวดข้อเท้าขึ้นมา การเดินทางในตึกสูงๆสามหลังนี้ไม่ต่างจากเดินทัวร์ในเขาวงกตที่สุดจะซับซ้อน แต่ด้วยเหตุที่ว่าต้องแจ้งภารกิจนี้ให้กับสมาชิกห้าคนที่เธอคัดเลือก และมีเวลาไม่มากเพราะต้องวางแผนให้เสร็จก่อนบ่ายวันรุ่งขึ้น คาเรลเร่งฝีเท้าจนแทบจะเป็นการวิ่ง เธอก้าวเท้ายาวๆผ่านชายสองคนที่สวมชุดกราวสีขาว พวกเขาโค้งคำนับให้เธอแต่เธอไม่ได้สนใจ คาเรลวิ่งอ้อมโค้งไปทางซ้ายและขวา ดูเหมือนเส้นทางจะวกไปวนมา คาเรลชักเบื่อหน่ายกับการเดินทางในตึกเสียแล้ว ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ เธอก็มาถึงห้องพัก หญิงสาวทาบฝ่ามือเข้าที่เครื่องตรวจรหัส การทำงานเช่นเดียวกับห้องประชุมที่ชั้นสามร้อยห้าสิบ ประตูเลื่อนเปิดออกในทันที
     
    ภายในห้องมืดสนิท คาเรลเอื้อมมือไปลูบบริเวณผนังข้างประตู และกดสวิตช์ไฟ แสงสีขาวทอสว่างขึ้นในทันที ห้องของเธอค่อนขว้างกว้าง เครื่องเรือนถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ ตู้เสื้อผ้าถูกจัดตั้งติดกับกำแพงข้างๆเตียงนอนเบาะนวม และไปทางซ้ายเป็นโต๊ะทำงานและล็อคเกอร์เก็บอุปกรณ์ พื้นห้องเป็นพรมหนาเพียงแค่เหยียบเท้าก็แทบจมลงไปแล้ว คาเรลก้าวเข้ามาในห้องอย่างเคยชิน เธอวางปืนอาวุธคู่กายลงบนโต๊ะทำงาน ใกล้ๆกับคอมพิวเตอร์จอแบนที่หน้าจอดับสนิท หญิงสาวจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เธอคัดเลือกชุดที่จะออกปฏิบัติภารกิจอย่างประณีต และสวมชุดลำลองสีขาวทั้งตัว
     
    เมื่อจัดการธุระส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อย เธอจึงเดินไปที่ล็อคเกอร์และดึงเครื่องมือสื่อสารที่มีรูปร่างคล้ายไมโครโฟนขนาดจิ๋วขึ้นมาเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ เมื่อติดต่อสำเร็จคาเรลก็พูดใส่ไมโครโฟนโดยในทันที ซึ่งเกี่ยวกับการนัดหมายให้มารวมตัวกันที่ศูนย์ฝึกกลางที่ชั้นใต้ดินของตึกสอง ทุกคนตอบรับภารกิจอย่างเคร่งครัดพวกเขาพร้อมเสมอที่จะปฏิบัติหน้าที่ และภารกิจนี้เป็นภารกิจแรกที่พวกเขาไม่อาจจะปฏิเสธได้
     
    เวลา 2 ทุ่มครึ่ง คาเรลมาอยู่ที่โรงฝึกทหารชั้นใต้ดิน สภาพแวดล้อมมืดสลัวหากไม่มีแสงไฟบนเพดานช่วย รอบๆมีตาข่ายเหล็กล้อมรอบ อาวุธถูกจัดเรียงตามชั้นวางของอย่างครบเครื่อง รวมถึงชุดเกราะรูปร่างต่างๆ คาเรลยืนกอดอกจ้องมองกระสอบทรายที่เอนไหวไปมา และแล้วกลุ่มคนที่เธอนัดหมายก็มาถึง
     
    “ขออภัยที่ทำให้รอนานครับหัวหน้า!” เสียงกังวานลอยมาเตะหูคาเรลเต็มๆ เมื่อคนทั้งห้าเข้ามาถึงเสียงที่ดังเซ็งแซ่ก็ชวนให้ลืมความเงียบสงัดเมื่อครู่ไปจนหมด “พวกเรามาแล้วครับ” อีกเสียงหนึ่งดังข้ามหัวชายที่พูดคนแรก คาเรลยิ้มให้กับกระสอบทรายก่อนที่จะหันมายังจุดที่คนทั้งห้าปรากฏตัวเข้ามา ทั้งหมดยืนเรียงแถวหน้ากระดานตามลำดับความสูงจากซ้ายไปขวา คาเรลมองสำรวจชายฉกรรจ์ทั้งหมด ดูท่าเธอจะมีอายุน้อยกว่าคนพวกนี้เสียอีก
     
    “เอดิเอล...” คาเรล เดินไปทางซ้ายสุด ชายรูปร่างเตี้ยแต่ล่ำสัน กล้ามเป็นมัด มาดนิ่งยกมือขึ้นแตะปลายคิ้วทันที
     
    “แมส... โอลิเวอร์... เทเดส...” เธอไล่สายตาไปเรื่อยๆ ชายคนแรกดูท่าทางไร้สาระ เขายิ้มรับหญิงสาวหน้าแดงก่ำ ผมที่ชี้แหลมดูเข้ากับเขาดี คนถัดมาทำท่าเคารพอย่างแข็งขัน ดูเหมือนเขาจะเกร็งมากที่คาเรลเดินผ่าน ดวงตาของเขามองนิ่งไปข้างหน้า การแต่งตัวดูเนี้ยบเลยทีเดียว ผมถูกรวบไปด้านหลังทั้งหมดแถมใส่น้ำมันอีกต่างหาก ส่วนเทเดสดูท่าจะเอาการเอางานมากที่สุดเป็นชายผิวคล้ำผมเกรียนสั้นสีดำ รูปร่างกำยำ แต่น่าเสียดายที่เขาดูท่าทางเหมือนผู้ก่อการร้ายมากกว่าทหาร ส่วนคนสุดท้ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ดวงตานิ่งสนิทสีคราม ผมสีทองอล่าม ร่างกายสันทัดและดูเหมือนจะเป็นคนที่ค่อนข้างอ่านใจยากเลยทีเดียว คาเรลค่อนข้างสนใจชายคนนี้มากๆ
     
    “ชาร์ล” เธอมองเขาด้วยสายตาชวนสงสัย ก่อนที่จะก้าวถอยออกมาห่างๆจากคนทั้งห้า พร้อมกับตั้งท่าวางมาดให้ดูเป็นหัวหน้าผู้ควบคุมที่สูงส่ง แต่ในสายตายลูกน้อง เธอช่างเป็นคนที่สวยไม่เหมาะกับท่าทางเช่นนี้เลยแม้แต้น้อย
     
    “ภารกิจที่เราได้รับมอบหมาย เป็นงานชิ้นใหญ่มากทุกคนโปรดฟังฉัน และจดจำไว้ให้ขึ้นใจ” คาเรลเกริ่นนำเสียงดังมั่นคง เธอเริ่มบรรยายลายละเอียดที่ได้ฟังมาจากที่ประชุมให้กับคนทั้งห้า เสียงของเธอก้องสะท้อนทั่วห้อง ตั้งแต่เส้นทางการเดินทาง เวลานัดหมาย และเป้าหมายที่จะต้องทำ สมาชิกทั้งห้าได้ฟังไปก็ทำหน้าตาตื่น จนกระทั่งจบสิ้นการบรรยาย
     
    “สถานีรถไฟในป่าเทียม... ที่นั่นคอนข้างไกลจากที่นี่เลยนะครับ” เทเดส ยกมือถามเมื่อฟังจนจบ
     
    “เราจะออกจากที่นี่ตั้งแต่เที่ยงตรง ใช้ยานบินของกองทัพ” คาเรลเตรียมคำตอบเอาไว้ก่อนแล้ว “เมื่อถึงเป้าหมายเราจะลอบเข้าไปในขบวนรถไฟโดยไม่ให้ใครรู้ เราจะแฝงตัวอยู่ในนั้นจนถึงสถานีวาเลนเซีย”
     
    “ก็ดีแล้วนะครับที่ไม่ได้เอาคนไปเยอะ ถ้าหน่วยเราไปเยอะเกินไปอาจจะสะดุดตาฝ่ายตรงข้ามได้” แมสเสริม
     
    “นั่นก็คือส่วนหนึ่งล่ะที่ฉันเลือกใช้คนน้อย” คาเรลยิ้มให้ แมสหน้าแดงทวีขึ้นไปอีก “ฉันเชื่อมันในฝีมือของพวกนาย ระดับพวกนายคงไม่ทำงานพลาดกันหรอกจริงไหม” คาเรลยิ้มให้ทุกคน
     
    “หัวหน้าเลือกคนถูกแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ” แมสหัวเราะอย่างร่าเริง แต่ถูกเอดิเอลถองที่สีข้างเพื่อให้เขาสงบปาก
     
    “แน่นอน... ฉันเลือกคนไม่ผิดหรอก ทุกคนต่างเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ และความสามารถเป็นประโยชน์ต่อภารกิจนี้มาก”
     
    “เอาล่ะพรุ่งนี้เจอกันที่ประตูเดินรถชั้นสองร้อย ตอนเที่ยงตรง เราจะใช้ยานบินมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟ ขอให้ทุกคนจงมาตรงเวลา” สิ้นเสียง ทุกคนร้องขานรับคำเสียงดังก้องดูมีพลัง พวกเขาดูคึกคักกระฉับกระเฉงจนสร้างกำลังใจให้กับหญิงสาวซึ่งเป็นหัวหน้าอย่างดีเลยทีเดียว ทั้งหมดแยกย้ายกันกลับไปที่พัก คาเรลต้องถ่อสังขารเดินวนไปวนมาในตึกอีกครั้ง กว่าจะถึงเป้าหมายก็เพลียจนขาอ่อนเสียแล้ว ทันทีที่เธอก้าวขึ้นสู่เตียงนอนอันแสนนุ่มสบาย สติของเธอก็ลับหายไปเข้าสู่นิทรารมณ์ในทันที
     
    คาเรลลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พบว่าร่างของเธอในเวลานี้อยู่ท่ามกลางดงกระสุนที่พุ่งฉาดเฉี่ยวไปราวห่าฝน เธอพบว่าในเวลานี้อยู่บนสะพานที่ทอดยาวจนมองไม่เห็นปลายเส้นทางทั้งสองฝั่ง จากที่เห็นรอบๆในเวลานี้เป็นยามรัตติกาลมีแสงไฟปรากฏขึ้นตามตัวตึกที่สูงลับฟ้า เธอเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบน มีสะพานเช่นเดียวกันเชื่อมผ่านไปมา และยานบินรูปร่างคล้ายค้างคาวบินทะยานและกราดกระสุนมายังสะพานที่เธอยืนอยู่ เสียงระเบิดดังก้องมาจากเบื้องหน้า ลำแสงสะท้อนจากกระสุนสีทองพุ่งเฉียดแก้มซ้ายไปอย่างรวดเร็ว เธอยืนตะลึงกับภาพเบื้องหน้า พื้นสั่นสะเทือนตามแรงระเบิดที่ปรากฏ กองกำลังทหารสวมชุดเกราะเต็มยศอาวุธครบมือตั้งขวางทางเดินเป็นกำแพงที่หนาแน่นและกำลังจู่โจมเข้ามา
     
    “นี่มันอะไรกัน ฉันอยู่ที่ไหน” เธอยังคงจ้องมองห่ากระสุนที่พุ่งผ่านเธอไปโดยไม่โดยแม้แต่นัดเดียว เสียงโวยวายดังมาจากด้านหลังเธอ สิ่งที่กองกำลังเบื้องหน้ากำลังโจมตีอยู่ไม่ใช่ตัวเธอในตอนนี้ กลุ่มคนที่คุ้นหน้าวิ่งหนีตรงมายังจุดนัดหมาย และมีตัวคาเรลอีกคนหนึ่งวิ่งนำเข้ามา เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มีเศษหินเศษปูนร่วงกราว ทับสะพานที่พวกเขาวิ่งผ่านมาจนหายไปเป็นแนว คาเรลอีกคนหนึ่งหยุดชะงักพร้อมกับยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้กับทุกคน
     
    “เฮ้! หนีไปเร็วเข้า! ข้างหน้าอันตราย!!” คาเรลร้องเตือนเสียงดัง ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยิน เสียงสัญญาณเตือนภัยดังหวอสนั่น ยานบินมากมายบินข้ามน่านฟ้าไปมา แสงไฟจากเฮลิคอปเตอร์ฉายมาที่กลุ่มผู้บุกรุก คาเรลสังเกตคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดเป็นสมาชิกในหน่วยของเธอ และบาดเจ็บสาหัส คาเรลอีกคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาอย่างช้าๆ แม้สถานการณ์น่าหวาดหวั่นแต่เธอกลับก้าวเท้าเดินได้อย่างมั่นคง เธอเดินทะลุตัวคาเรลในปัจจุบันราวกับว่า คาเรลคนนี้เป็นเพียงสะสารที่ไร้มวล
     
    “นี่! ฉันจะไปไหน!!” คาเรลร้องห้ามพลางเอื้อมมือไปจับไหล่เพื่อรั้งตัวเธออีกคนเอาไว้ แต่น่าประหลาดที่มือของเธอกลับทะลุตัวไป เมื่อกลุ่มทหารเบื้องหน้าเห็นการรุกเข้ามาของหญิงสาว ทั้งหมดจึงหันกระบอกปืนนับยี่สิบเล็งมาที่ตัวเธอคนเดียวและกระหน่ำยิง คาเรลในร่างที่ไร้ตัวตนเอามือปิดหน้าในทันที
     
    ตัวคาเรลอีกคนหนึ่งกระโดดเท้าคู่ลอยขึ้นไปในอากาศเหมือนจะโบยบิน กระสุนที่ลั่นไปไม่ถูกตัวเธอเลยสักนัด เธอใช้ปืนรุปร่างประหลาดในมือกราดยิงสวนอย่างแม่นยำ หนึ่งนัดต่อหนึ่งชีวิต กระสุนของเธอพุ่งผ่านกระจกปิดหน้าในชุดเกราะนิรภัย เธอหมุนตัวคว้างกลางอากาศและลงมายังพื้นอย่างสง่างาม เมื่อฝ่ายศัตรูตั้งสติได้และเริ่มโจมตีอีกครั้ง คาเรลคนนั้นก็กระโจนหลมอย่างเก่งกาจ และยิงโต้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว กองพลสกัดกั้นของศัตรูพ่ายแพ้ไปอย่างสิ้นเชิง
     
    “เร็วเข้าวิ่ง!!” คาเรลคนนั้นร้องสั่งพรรคพวก
     
    ปัง!
     
    กระสุนปืนพุ่งเจาะเข้ากลางหลังหญิงสาวทะลุไปยังระหว่างกลางของหน้าอก ตาเธอลุกโตอย่างตื่นตระหนก เลือดสีแดงไหลพุ่งออกมาทั้งหน้าและหลัง ก่อนที่จะทรุดเข่าลง คาเรลที่ยังยืนอยู่มองไปที่ทิศทางของกระสุน เห็นเพียงแค่เงาของชายปริศนาภายใต้แสงสว่างจากช่องประตูที่เปิดอ้าห่างไกลริบ แม่นยำ และปืนที่ใช้รุนแรง คาเรลที่ยังคงมีชีวิตยืนตะลึงกับภาพที่เห็น สมาชิกทั้งห้าคนวิ่งกรูกันเข้ามาดูหัวหน้าที่อ่อนวัยซึ่งกำลังหายใจติดขัด เลือดสีแดงหยดผ่านริมฝีปาก ดวงตาเริ่มเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ผมสีฟางนั้นเปื้อนเลือดจนเปลี่ยนเป็นสีแดงอมชมพู มีทหารอีกกลุ่มหนึ่งแห่กันเข้ามาอีกระลอก พวกเขายกปืนขึ้นและใช้ปลายนิ้วแตะที่ไกปืนพร้อมจะสังหาร
     
    คาเรลสะดุ้งตื่นจากความฝันอันเลวร้ายที่เห็นตัวเองถูกฆ่า และพ้องเพื่อนที่กำลังจะตาย หยาดเหงื่ออาบกายราวกับเพิ่งลงไปว่ายน้ำเล่นมาพร้อมกับชุดนอน เธอหอบหายใจเสียงดัง ตาพร่ามัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเอามือแตะที่กลางหน้าอกเพื่อหาบาดแผล แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ฝัน...” เธอกล่าวกับตนเอง ริมฝีปากของเธอสั่นรวยริน ไม่เคยหวาดกลัวเพราะความฝันเช่นนี้มาก่อนเลย
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×