ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : คารมบนโต๊ะอาหารมื้อค่ำ
เมื่อสองวันก่อนเกิดเหตุ แอนนาได้โทรศัพท์ติดต่อนัดทานอาหารกับคุณลาเซียร์เออร์ และมีการคุยกันถึงบุตรชายคนเดียวของตระกูลสมาร์ตและบุตรสาวคนเดียวของตระกูลคาราเมล เพื่อรวมกิจการทางการค้าของทั้งสองยี่ห้อแล้ว การปูลากฐานลูกคนแรกของตระกูลหรือผู้สืบสกุลทางด้านการผลิตช๊อกโกแลตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ ทั้งสองจึงมีการตกลงกัน
    “ดิฉันเห็นว่าเราสองตระกูลทำการค้าแข่งขันกันมาร่วมยี่สิบปีแล้วนะค่ะ ดิฉันเองก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูล คุณมีความคิดเห็นว่าอย่างไรค่ะคุณสมาร์ต” แอนนาเป็นคนกล่าวเปิดสนทนา
    “จะว่าไปทางเราเองก็มีบุตรชายเพียงคนเดียวเช่นเดียวกับทางคุณ หากเรามีการปรองดองกันทั้งทางครอบครัวเองก็ดี ดิฉันคิดว่ากิจการของเราสองตระกูลคงจะมีความเจริญก้าวหน้าและความมั่งคั่ง รวมไปถึงเจ้าตัวเล็กทายาทของ สมาร์ต คาราเมล ด้วย” ลาเซียร์เออร์กล่าว
    “งั้นเราสองตระกูลตกลงว่าจะปรองดองกัน” แอนนาหยุดกล่าวทิ้งหางเสียงเหมือนคำถามให้กับลาเซียร์เออร์
    “รอให้บุตรชายของเรามีอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ก่อน หลังจากนั้นค่อยดำเนินการผูกไมตรีกันหรือหมั้นหมายให้เป็นทางการ” ลาเซียร์เออร์กล่าวเช่นนั้น
    ทั้งสองจึงทำการคลุมถุงชนและผูกมิตรไมตรีกันโดยแสตนและโรสเองก็ดี ที่ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆทั้งสิ้นว่าชะตาชีวิตของพวกเขา ที่เกิดมาจะต้องกำหนดชีวิตเอง กลายเป็นผู้ใหญ่มาเป็นผู้คุมชีวิตในการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้า
    ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นอยู่กลางศีรษะของคนเมือง ถึงแดดจะให้แรงเท่าไหร่อากาศภายในเมืองก็ยังหนาวและเย็น บางวันก็มีฝนตก คุณป้ามิเชลรีบนำข้อความของโรสมาให้แก่โจอี้ทันทีซึ่งมิเชลเองก็ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ในตอนเช้ามีคนส่งจดหมายห้ามยุ่งกับโรสแต่เหตุใด มาตอนนี้เขาถึงเชิญไปรับประทานอาหารเย็น มันต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน
    “ครับ....ผมจะไปตามนัด”
    ตลอดเวลาในยามบ่ายในสี่ชั่วโมง ในหัวสมองของโจอี้ก็อื้อไปด้วยคำพูดที่แตกต่างกันระหว่างจดหมายฉบับแรกและจดหมายที่โรสได้นำมาให้ ถึงใจเขามีความคิดที่จะยุติปัญหาทั้งหมด หากเกิดว่าเขาเลือกทางที่จะเดินหนีจากปัญหาเหล่านี้ มันก็ย่อมง่ายเหมือนดั่งดอกไม้ที่นึกจะโรยก็โรยเมื่อถึงเวลา แต่หากว่าภายใต้จิตใจและความนึกคิด กลับทำให้ความรู้สึกของเขาฮึกเหิ่มมากขึ้น  อาหารค่ำสุดหรูนะบ้านของโรส เขาจะไม่พลาดอย่างแน่นอน
    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วดั่งสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ เขาเลือกชุดสูทที่ดีที่สุดในบ้านของเขาไปตามที่โรสได้นัดหมาย กล่าวคือเขาไปรออยู่ที่หน้าประตูบ้านที่ใหญ่โตและโออ่า โจอี้ยืนอยู่ได้ครู่ใหญ่ก็มีพนักงานเปิดประตูออกและเชิญเข้าไปในบ้านอย่างไม่เป็นทางการนัก ภายในบ้านเองนั้นก็มีต้นไม้และดอกไม้มากมายทั้งพันธุ์ที่หาได้ง่ายและพันธุ์ที่หาได้ยาก เดินผ่านสวนแมกไม้และบ้านเรือนกระจกจนกระทั่งถึงตัวบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
    เขายืนดวงตาที่เก็บทั้งความรู้สึกที่อึดอัดท่วมท้นและไม่สามารถที่จะหายใจได้อย่างเต็มที่ เขากำมือแน่น ทันใดนั้นเองคุณป้ามิเชลก็ออกมาจากประตูด้านใน
    “คุณป้ามิเชล”
    “เชิญจ๊ะ คุณท่านรออยู่”
    มิเชลเดินนำทางโดยโจอี้เป็นผู้ติดตาม ภายในบ้านมีการตกแต่งศิลปะมากมายรวมถึงเสาร์บ้านที่ออกแบบทรงโกธิก เพดานที่ยกสูงประมาณสามถึงสี่เมตร ภาพวาดสีน้ำมันต่างๆและถ้วยรางวัลจากการครอบครองตำแหน่งแชมป์ทางด้าน การขายช๊อกโกแล็ต และพ่อที่มีความถนัดกล่าวคือการยิงปืนและการเล่นกอล์ฟ ในที่สุดเขาก็ถึงห้องอาหารโดยที่โต๊ะอาหารมี แอนนา วัตสันต์ และก็โรสนั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
    “นั่งสิ” คำพูดสั้นๆที่เปล่งออกมาอย่างมีเลศนัยของแอนนา
    “ขอบคุณครับ” โจอี้กล่าว
    “ไม่คิดเลยนะ ว่าเธอจะมาร่วมรับประทานอาหารเย็นถึงที่บ้านของฉันตามคำเชิญของบุตรสาวของเรา” แอนนากล่าวอย่างเหน็บแหนมด้วยหางตาและกล่าวต่อว่า “จะว่าไปแล้ววันนี้เรามีเรื่องที่จะหารือกันค่อนข้างจะมากและจริงจังพอสมควร”
    “คุณแม่ค่ะ โรสว่าเราทานอาหารดีกว่านะค่ะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดหมด” เธอกล่าวตัดปัญหาที่กำลังจะเพิ่มมากขึ้นด้วยรังสีที่อำมหิตรอบด้าน
    “เอาละ เชิญตามสบายนะค่ะคุณโจอี้......”
    และแล้วพวกเขาก็เริ่มรับประทานอาหารมื้อค่ำกัน ระหว่างนั้นเองก็มีการสนทนากันว่า
    “โจอี้ ไม่ทราบว่าทางบ้านคุณมีกิจการอะไร” แอนนาค่อยๆหั่นชิ้นเนื้ออย่างละเมียดละไม
    “บ้านผมขายดอกไม้ อยู่หลังถนนอ๊อกฟอร์ด” โจอี้ตอบ
    “อ้อ.....หน้าสนใจดีหนิ ขายดอกไม้ เธอคงจะรู้เรื่องดอกไม้ดีซินะ แล้วกิจการเป็นไงบ้างละ” แอนนาถาม
    “ก็ดีครับ กิจการของเรามีมาก็นับร้อยปี มีการค้าตั้งแต่สมัยคุณปู่และคุณทวดแล้วครับ”
    “แล้วไม่คิดที่จะเปิดสาขาหรือทำอะไรให้มันดีขึ้นกว่าเก่าเหรอ” เธอถาม
    “ไม่หรอกครับ สาขาที่นี่คือสาขาที่เก่าแก่ และเป็นรากฐานมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่ ผมไม่ต้องการอะไรนอกเสียจากอนุรักษ์มันไว้” โจอี้กล่าว
    “ดี.....โรสวันนี้ลูกมีเรียนดนตรีกับอาจารย์เดวิดนี่จ๊ะ ทำไมยังรับประทานอาหารไม่เสร็จอีก เดี๋ยวอาจารย์จะรอนานนะ มันไม่ดี” แอนนาวางมีดลงและพูด
    “วันนี้เหรอค่ะ หนูนัดเขามาวันจันทร์ตอนสองทุ่มแล้วค่ะคุณแม่”
    “แต่แม่ว่าวันนี้หนูต้องมีเรียนนะ” เธอสบสายตาเป็นทางนัยน์แก่ลูกสาวของเธอ โรสจึงต้องขอตัวไปที่อื่น
    “ฉันไม่คิดเลย ว่าเธอจะกล้ามาก กล้าที่จะมาร่วมรับประทานอาหารกับพวกเรา” เธอจิบน้ำแล้วหันไปสบตาสามีที่นั่งอยู่ด้านข้างของเธอและกล่าวต่อว่า “เอาละฉันจะไม่พูดอะไรให้มันมากความมากนัก นี่คืออาหารมื้อสุดท้าย และวันสุดท้าย ที่เธอได้ทานอาหารดีดีชั้นยอดอย่างนี้ มื้อนี้อาจจะเป็นอาหารชั้นยอดของเธอและอาจจะเป็นมื้อสุดท้ายที่ดีที่สุดสำหรับเธอก็ย่อมได้ ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ฉันขอยื่นคำขาดว่า ห้ามยุ่งกับลูกสาวของเรา และเมื่อโรสมีอายุครบสิบเจ็ดปี ฉันก็จะมีการหมั้นหมายกับบุคคลที่เหมาะสมสำหรับโรส ทั้งฐานะ กิจการ การเรียน และในทุกๆด้าน โรสจะต้องแต่งงานกับคนที่คู่ควร” เธอจิบไวน์และกล่าวต่อว่า “หวังว่าเธอคงจะเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด”
    “กระผมทราบดี ทั้งฐานะ ความสามารถ และกิจการอะไรนั้น ผมรู้ตัวดี แต่มันก็เป็นเรื่องที่จะห้ามกันไม่ได้ หากคุณนายไม่เปิดใจรับสภาพความจริง หากว่าบุตรสาวของท่านไม่มีความพึงประสงค์ที่จะหมั้นหมายกับใครทั้งนั้น และไม่ต้องการที่จะให้คุณนายหรือคุณผู้ชายมาถือคุมชะตาชีวิตของเธอ คุณนายก็อย่าหวังว่าจะครอบงำจิตใจของโรสได้ ไม่ว่าจะเป็นผม หรือว่าใครที่เธอต้องการหมายหมั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณนาย จะต้องคลุมถุงชน และคุณนายคิดเหรอว่าความประสงค์ของคุณนายจะทำให้โรส บุตรสาวคนเดียวของท่านมีความสุข” เขาหยุดคำพูดอยู่แค่นั้นและกล่าวต่อว่า “ที่นี่มันอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนอย่างผม แต่ก็ไม่แน่อาจจะไม่เหมาะสำหรับโรสก็ได้ หากสภาพสังคมในครอบครัวยังเป็นอย่างนี้ คุณนายก็ระวังและดูแลคุณหนูโรสให้ดีละกัน อย่าให้คุณโรสหนีตามใครไปหรือหนีไปทำมิดีมิร้ายกับตัวเอง......ผมขอตัว”
    โรสซึ่งแอบฟังคำสนทนาโต้เถียงกันระหว่างโจอี้และคุณแอนนา ทำให้เธอตกใจมากกับคำกล่าวที่ว่าเธอมีคู่หมั้นหมายที่แอนนาได้เลือกและคัดสรรค์ให้ในอนาคตข้างหน้า เธอเสียใจและวิ่งหนีขึ้นไปที่ห้องทันทีที่เธอเห็นและสบตากับแอนนา
    “โรส แม่ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกนะ” แอนนาวิ่งตามไปจนกระทั่งถึงหน้าห้องนอนของโรส
    “ไม่ค่ะ ชีวิตของโรส โรสกำหนดเองได้ ทำไมคุณแม่ต้องมากำหนดชีวิตของโรสด้วยค่ะ” เธอตะโกนกลับออกมา
    “แม่ไม่อยากให้ลูกต้องไปเจอะเจอกับความยากลำบาก และผู้ชายอย่างนั้นคิดว่าดีแล้วหรือ ให้แม่เข้าไปในห้องได้ไหมลูก ฟังแม่อธิบายก่อน”
    “ไม่ค่ะ โรสไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น และอีกอย่างโจอี้ก็เป็นแค่เพื่อนหนู ทำไมแม่ต้องพูดกับเขาอย่างนั้นด้วยค่ะ” เธอตัดพ้อตะโกนออกมา
    “ถึงจะเป็นเพื่อนก็หน้าจะหาเพื่อนที่ดีกว่านี้ ทำไมละลูก แมรี่เพื่อนของลูกนั้นไม่ดีหรือ”
    “เขาก็ขี้ประจบอวดร่ำอวดรวย มันไม่มีความจริงใจ แม่อย่าพูดเลย ขอหนูอยู่คนเดียวตามลำพังได้ไหมค่ะ” นั้นเป็นเสียงสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ให้กับแอนนาที่ยืนโศกเศร้าอยู่หน้าห้องนอนของโรสเพียงลำพัง
    “ผมขอโทษนะโรส ผมผิดเอง ผิดตั้งแต่ต้นแล้วที่รู้จักกับคุณ ที่นั้นอาจจะไม่เหมาะกับผมจริงๆ ก็ผมมันแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ผมขอโทษ” โจอี้เดินกลับมาที่บ้านของตนโดยรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก และมีความคิดที่จะตัดใจจากโรส แต่แล้วเช้าวันรุ่งขึ้น ทันใดที่โจอี้เปิดร้านดอกไม้ เขาก็พบว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งมายืนอยู่หน้าประตูร้านก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ..
    “ดิฉันเห็นว่าเราสองตระกูลทำการค้าแข่งขันกันมาร่วมยี่สิบปีแล้วนะค่ะ ดิฉันเองก็มีบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูล คุณมีความคิดเห็นว่าอย่างไรค่ะคุณสมาร์ต” แอนนาเป็นคนกล่าวเปิดสนทนา
    “จะว่าไปทางเราเองก็มีบุตรชายเพียงคนเดียวเช่นเดียวกับทางคุณ หากเรามีการปรองดองกันทั้งทางครอบครัวเองก็ดี ดิฉันคิดว่ากิจการของเราสองตระกูลคงจะมีความเจริญก้าวหน้าและความมั่งคั่ง รวมไปถึงเจ้าตัวเล็กทายาทของ สมาร์ต คาราเมล ด้วย” ลาเซียร์เออร์กล่าว
    “งั้นเราสองตระกูลตกลงว่าจะปรองดองกัน” แอนนาหยุดกล่าวทิ้งหางเสียงเหมือนคำถามให้กับลาเซียร์เออร์
    “รอให้บุตรชายของเรามีอายุครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์ก่อน หลังจากนั้นค่อยดำเนินการผูกไมตรีกันหรือหมั้นหมายให้เป็นทางการ” ลาเซียร์เออร์กล่าวเช่นนั้น
    ทั้งสองจึงทำการคลุมถุงชนและผูกมิตรไมตรีกันโดยแสตนและโรสเองก็ดี ที่ไม่รับรู้เรื่องราวใดๆทั้งสิ้นว่าชะตาชีวิตของพวกเขา ที่เกิดมาจะต้องกำหนดชีวิตเอง กลายเป็นผู้ใหญ่มาเป็นผู้คุมชีวิตในการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้า
    ช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นอยู่กลางศีรษะของคนเมือง ถึงแดดจะให้แรงเท่าไหร่อากาศภายในเมืองก็ยังหนาวและเย็น บางวันก็มีฝนตก คุณป้ามิเชลรีบนำข้อความของโรสมาให้แก่โจอี้ทันทีซึ่งมิเชลเองก็ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ในตอนเช้ามีคนส่งจดหมายห้ามยุ่งกับโรสแต่เหตุใด มาตอนนี้เขาถึงเชิญไปรับประทานอาหารเย็น มันต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน
    “ครับ....ผมจะไปตามนัด”
    ตลอดเวลาในยามบ่ายในสี่ชั่วโมง ในหัวสมองของโจอี้ก็อื้อไปด้วยคำพูดที่แตกต่างกันระหว่างจดหมายฉบับแรกและจดหมายที่โรสได้นำมาให้ ถึงใจเขามีความคิดที่จะยุติปัญหาทั้งหมด หากเกิดว่าเขาเลือกทางที่จะเดินหนีจากปัญหาเหล่านี้ มันก็ย่อมง่ายเหมือนดั่งดอกไม้ที่นึกจะโรยก็โรยเมื่อถึงเวลา แต่หากว่าภายใต้จิตใจและความนึกคิด กลับทำให้ความรู้สึกของเขาฮึกเหิ่มมากขึ้น  อาหารค่ำสุดหรูนะบ้านของโรส เขาจะไม่พลาดอย่างแน่นอน
    เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วดั่งสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ เขาเลือกชุดสูทที่ดีที่สุดในบ้านของเขาไปตามที่โรสได้นัดหมาย กล่าวคือเขาไปรออยู่ที่หน้าประตูบ้านที่ใหญ่โตและโออ่า โจอี้ยืนอยู่ได้ครู่ใหญ่ก็มีพนักงานเปิดประตูออกและเชิญเข้าไปในบ้านอย่างไม่เป็นทางการนัก ภายในบ้านเองนั้นก็มีต้นไม้และดอกไม้มากมายทั้งพันธุ์ที่หาได้ง่ายและพันธุ์ที่หาได้ยาก เดินผ่านสวนแมกไม้และบ้านเรือนกระจกจนกระทั่งถึงตัวบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
    เขายืนดวงตาที่เก็บทั้งความรู้สึกที่อึดอัดท่วมท้นและไม่สามารถที่จะหายใจได้อย่างเต็มที่ เขากำมือแน่น ทันใดนั้นเองคุณป้ามิเชลก็ออกมาจากประตูด้านใน
    “คุณป้ามิเชล”
    “เชิญจ๊ะ คุณท่านรออยู่”
    มิเชลเดินนำทางโดยโจอี้เป็นผู้ติดตาม ภายในบ้านมีการตกแต่งศิลปะมากมายรวมถึงเสาร์บ้านที่ออกแบบทรงโกธิก เพดานที่ยกสูงประมาณสามถึงสี่เมตร ภาพวาดสีน้ำมันต่างๆและถ้วยรางวัลจากการครอบครองตำแหน่งแชมป์ทางด้าน การขายช๊อกโกแล็ต และพ่อที่มีความถนัดกล่าวคือการยิงปืนและการเล่นกอล์ฟ ในที่สุดเขาก็ถึงห้องอาหารโดยที่โต๊ะอาหารมี แอนนา วัตสันต์ และก็โรสนั่งกันอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
    “นั่งสิ” คำพูดสั้นๆที่เปล่งออกมาอย่างมีเลศนัยของแอนนา
    “ขอบคุณครับ” โจอี้กล่าว
    “ไม่คิดเลยนะ ว่าเธอจะมาร่วมรับประทานอาหารเย็นถึงที่บ้านของฉันตามคำเชิญของบุตรสาวของเรา” แอนนากล่าวอย่างเหน็บแหนมด้วยหางตาและกล่าวต่อว่า “จะว่าไปแล้ววันนี้เรามีเรื่องที่จะหารือกันค่อนข้างจะมากและจริงจังพอสมควร”
    “คุณแม่ค่ะ โรสว่าเราทานอาหารดีกว่านะค่ะ เดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดหมด” เธอกล่าวตัดปัญหาที่กำลังจะเพิ่มมากขึ้นด้วยรังสีที่อำมหิตรอบด้าน
    “เอาละ เชิญตามสบายนะค่ะคุณโจอี้......”
    และแล้วพวกเขาก็เริ่มรับประทานอาหารมื้อค่ำกัน ระหว่างนั้นเองก็มีการสนทนากันว่า
    “โจอี้ ไม่ทราบว่าทางบ้านคุณมีกิจการอะไร” แอนนาค่อยๆหั่นชิ้นเนื้ออย่างละเมียดละไม
    “บ้านผมขายดอกไม้ อยู่หลังถนนอ๊อกฟอร์ด” โจอี้ตอบ
    “อ้อ.....หน้าสนใจดีหนิ ขายดอกไม้ เธอคงจะรู้เรื่องดอกไม้ดีซินะ แล้วกิจการเป็นไงบ้างละ” แอนนาถาม
    “ก็ดีครับ กิจการของเรามีมาก็นับร้อยปี มีการค้าตั้งแต่สมัยคุณปู่และคุณทวดแล้วครับ”
    “แล้วไม่คิดที่จะเปิดสาขาหรือทำอะไรให้มันดีขึ้นกว่าเก่าเหรอ” เธอถาม
    “ไม่หรอกครับ สาขาที่นี่คือสาขาที่เก่าแก่ และเป็นรากฐานมาตั้งแต่สมัยรุ่นคุณปู่ ผมไม่ต้องการอะไรนอกเสียจากอนุรักษ์มันไว้” โจอี้กล่าว
    “ดี.....โรสวันนี้ลูกมีเรียนดนตรีกับอาจารย์เดวิดนี่จ๊ะ ทำไมยังรับประทานอาหารไม่เสร็จอีก เดี๋ยวอาจารย์จะรอนานนะ มันไม่ดี” แอนนาวางมีดลงและพูด
    “วันนี้เหรอค่ะ หนูนัดเขามาวันจันทร์ตอนสองทุ่มแล้วค่ะคุณแม่”
    “แต่แม่ว่าวันนี้หนูต้องมีเรียนนะ” เธอสบสายตาเป็นทางนัยน์แก่ลูกสาวของเธอ โรสจึงต้องขอตัวไปที่อื่น
    “ฉันไม่คิดเลย ว่าเธอจะกล้ามาก กล้าที่จะมาร่วมรับประทานอาหารกับพวกเรา” เธอจิบน้ำแล้วหันไปสบตาสามีที่นั่งอยู่ด้านข้างของเธอและกล่าวต่อว่า “เอาละฉันจะไม่พูดอะไรให้มันมากความมากนัก นี่คืออาหารมื้อสุดท้าย และวันสุดท้าย ที่เธอได้ทานอาหารดีดีชั้นยอดอย่างนี้ มื้อนี้อาจจะเป็นอาหารชั้นยอดของเธอและอาจจะเป็นมื้อสุดท้ายที่ดีที่สุดสำหรับเธอก็ย่อมได้ ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ฉันขอยื่นคำขาดว่า ห้ามยุ่งกับลูกสาวของเรา และเมื่อโรสมีอายุครบสิบเจ็ดปี ฉันก็จะมีการหมั้นหมายกับบุคคลที่เหมาะสมสำหรับโรส ทั้งฐานะ กิจการ การเรียน และในทุกๆด้าน โรสจะต้องแต่งงานกับคนที่คู่ควร” เธอจิบไวน์และกล่าวต่อว่า “หวังว่าเธอคงจะเข้าใจสิ่งที่ฉันพูด”
    “กระผมทราบดี ทั้งฐานะ ความสามารถ และกิจการอะไรนั้น ผมรู้ตัวดี แต่มันก็เป็นเรื่องที่จะห้ามกันไม่ได้ หากคุณนายไม่เปิดใจรับสภาพความจริง หากว่าบุตรสาวของท่านไม่มีความพึงประสงค์ที่จะหมั้นหมายกับใครทั้งนั้น และไม่ต้องการที่จะให้คุณนายหรือคุณผู้ชายมาถือคุมชะตาชีวิตของเธอ คุณนายก็อย่าหวังว่าจะครอบงำจิตใจของโรสได้ ไม่ว่าจะเป็นผม หรือว่าใครที่เธอต้องการหมายหมั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณนาย จะต้องคลุมถุงชน และคุณนายคิดเหรอว่าความประสงค์ของคุณนายจะทำให้โรส บุตรสาวคนเดียวของท่านมีความสุข” เขาหยุดคำพูดอยู่แค่นั้นและกล่าวต่อว่า “ที่นี่มันอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนอย่างผม แต่ก็ไม่แน่อาจจะไม่เหมาะสำหรับโรสก็ได้ หากสภาพสังคมในครอบครัวยังเป็นอย่างนี้ คุณนายก็ระวังและดูแลคุณหนูโรสให้ดีละกัน อย่าให้คุณโรสหนีตามใครไปหรือหนีไปทำมิดีมิร้ายกับตัวเอง......ผมขอตัว”
    โรสซึ่งแอบฟังคำสนทนาโต้เถียงกันระหว่างโจอี้และคุณแอนนา ทำให้เธอตกใจมากกับคำกล่าวที่ว่าเธอมีคู่หมั้นหมายที่แอนนาได้เลือกและคัดสรรค์ให้ในอนาคตข้างหน้า เธอเสียใจและวิ่งหนีขึ้นไปที่ห้องทันทีที่เธอเห็นและสบตากับแอนนา
    “โรส แม่ทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกนะ” แอนนาวิ่งตามไปจนกระทั่งถึงหน้าห้องนอนของโรส
    “ไม่ค่ะ ชีวิตของโรส โรสกำหนดเองได้ ทำไมคุณแม่ต้องมากำหนดชีวิตของโรสด้วยค่ะ” เธอตะโกนกลับออกมา
    “แม่ไม่อยากให้ลูกต้องไปเจอะเจอกับความยากลำบาก และผู้ชายอย่างนั้นคิดว่าดีแล้วหรือ ให้แม่เข้าไปในห้องได้ไหมลูก ฟังแม่อธิบายก่อน”
    “ไม่ค่ะ โรสไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น และอีกอย่างโจอี้ก็เป็นแค่เพื่อนหนู ทำไมแม่ต้องพูดกับเขาอย่างนั้นด้วยค่ะ” เธอตัดพ้อตะโกนออกมา
    “ถึงจะเป็นเพื่อนก็หน้าจะหาเพื่อนที่ดีกว่านี้ ทำไมละลูก แมรี่เพื่อนของลูกนั้นไม่ดีหรือ”
    “เขาก็ขี้ประจบอวดร่ำอวดรวย มันไม่มีความจริงใจ แม่อย่าพูดเลย ขอหนูอยู่คนเดียวตามลำพังได้ไหมค่ะ” นั้นเป็นเสียงสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ให้กับแอนนาที่ยืนโศกเศร้าอยู่หน้าห้องนอนของโรสเพียงลำพัง
    “ผมขอโทษนะโรส ผมผิดเอง ผิดตั้งแต่ต้นแล้วที่รู้จักกับคุณ ที่นั้นอาจจะไม่เหมาะกับผมจริงๆ ก็ผมมันแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ผมขอโทษ” โจอี้เดินกลับมาที่บ้านของตนโดยรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก และมีความคิดที่จะตัดใจจากโรส แต่แล้วเช้าวันรุ่งขึ้น ทันใดที่โจอี้เปิดร้านดอกไม้ เขาก็พบว่ามีหญิงสาวผู้หนึ่งมายืนอยู่หน้าประตูร้านก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว ..
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น