ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : คำข่มขู่
                “คุณแม่” น้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเมื่อเธอหันไปพบว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆเธอไม่ใช่ป้ามิเชล
    “ทำไมจะต้องตกใจมากขนาดนั้นละ” เธอหันกลับมาด้วยหางตา
    “ป...ปะ....เปล่าค่ะคุณแม่” เธอรีบหันออกไปนอกกระจกทันทีเพื่อหลบสายตาอันดุดัน
    “วันนี้ลูกไปไหนมา” แอนนากล่าวขึ้นลอยๆ
    “วันนี้ลูกไปที่บักกิงแฮมมาค่ะ” เธอตอบ
    “งั้นหรอกเหรอ.....ลูกไปกับใคร” เธอหันมาจ้องตาโรสอย่างจริงจังและไม่ลดละ
    “ก็....ไปกับเพื่อนค่ะ”
    “แม่รู้จักไหม”
    เธอหยุดคิดและกล่าวตอบไปว่า “แม่.....ไม่รู้จักหรอกค่ะ”
    “งั้นรึ......ช่วยพาเขามารู้จักแม่ได้ไหม” สายตาที่ยิ่งจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของโรส จนทำให้เธอต้องหลบตาไปทิศทางอื่น
    “เขาคงจะไม่ว่างหรอกค่ะ”
    “ทำไมละ ก็แม่อยากจะรู้จัก เอาเป็นว่าวันอาทิตย์นี้คุณพ่อจะกลับมาจากอเมริกา ยังไงลูกก็นัดเขามาพบที่บ้านตอนอาหารอาหารมื้อค่ำตอน หนึ่งทุ่มที่บ้านของเราละกัน” เธอพูดสั้นๆได้ใจความและเป็นการยื่นคำขาดกับเธอ ทำให้โรสไม่สามารถต่อรองอะไรได้นอกเสียจากว่าเธอจะต้องไปบอกกับโจอี้ว่า แม่ของเธอต้องการจะพบเขา “เป็นการส่วนตัว”
    ระหว่างทางที่โจอี้กำลังนั่งรถไฟใต้ดินจากจากเอ็มแบ้งเม้นซึ่งอยู่ใกล้ๆกับริมแม่น้ำเทมส์ ไปลงที่บอร์เดอร์บุ๊ค ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่บนถนนอ๊อกฟอร์ดพอดีแต่ เขาจะต้องเดินย้อนขึ้นไปอีกเพื่อกลับบ้านของเขาเอง ฟ้าเริ่มจะอึมครึมจากสีฟ้าที่สดใสกลายเป็นสีเทาหม่นหมอง เสียงฟ้าลั่นที่ดังไปทั่วลอนดอน เป็นสัญญานว่า ฝนกำลังจะตกในยามเย็น
    “ไปไหนมาเหรอลูก ทำไมกลับเอาป่านนี้” โจถามขณะที่กำลังขนต้นไม้ต่างๆเข้าร้าน
    “อ้อ ผมไปพบเพื่อนมาครับ มาเดี๋ยวผมช่วย” เขาวางของต่างๆที่หิ้วติดมือมาด้วยและช่วยพ่อเก็บร้านและกล่าวต่อไปว่า “วันนี้เก็บร้านช้านะครับ”
    “ใช่ เพราะว่าวันนี้ขายดีคนเลยซื้อเยอะมาก” โจตอบ
    “อ้อครับ ร้านจึงปิดช้าตาม” เขาพูดและก็หัวเราะร้วนทั้งสองพ่อลูก
    หลังจากที่ทั้งสองจัดแจงเก็บร้านรวงของตนเองเป็นที่เรียบร้อย ซาร่าก็ทำอาหารหรือของโปรดของสองพ่อลูกเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั้นคือ ลาซ่อนญ่า ซึ่งเป็นอาหารชั้นยอดสำหรับครอบครัวนี้ และที่สำคัญอาหารมื้อนี้เลศก็เป็นคนช่วยคุณแม่ซาร่าทำอาหารด้วย
    “ว่าไงครับน้องเลศ” เขากล่าวทักน้องสาวที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร
    “กลับมาแล้วเหรอค่ะพี่โจอี้ วันนี้หนูมีของจะอวดด้วย” เธอคุยโวใส่พี่ชาย
    “ว่าแต่อะไรเหรอครับที่น้องเลศจะเอามาอวดพี่” เขาเดินไปหยิบจานบนโต๊ะมาแจกจ่ายให้แก่คนในบ้านบนโต๊ะอาหาร
    “วันนี้หนูช่วยแม่ทำกับข้าวด้วยค่ะ” เธอยิ้มอย่างภูมิใจ
    “จริงเหรอ! ว่าแต่อาหารที่ว่านี่อะไรเหรอครับ ไหน.....ช่วยบอกพี่หน่อยซิ” เขาถาม
    “ลาซ่อนญ่าจ้า.....น้องเขาเก่งมากเลยนะ ช่วยคุณแม่เอาของเข้าเตาอบและก็ปรับอุณหภูมิด้วย” ซาร่าที่ในมือถือถาดที่ใส่ลาซ่อนญ่ามาวางที่กลางโต๊ะอาหาร
    “จริงเหรอ......น้องเลศของผมก็เก่งมากเลยซินะ” เขาเลิกตาขึ้นและหันไปกอดน้องสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
    “หนูทำได้แล้ว พี่ต้องพาหนูไปเที่ยวด้วยนะค่ะ” เธออ้อนพี่ชายอย่างหน้าเอ็นดู
    “ก็ได้ แต่ต้องมีข้อแม้ว่าน้องเลศจะต้องเป็นเด็กดีนะ แล้วอาทิตย์หน้าพี่โจอี้จะพาน้องเลศไปสวนสัตว์นะครับ”
    “จริงนะค่ะพี่โจอี้ สัญญากับหนูนะว่าจะพาไป” เธอตื่นเต้นใหญ่หลังจากที่เขาบอกว่าจะพาไปเที่ยว
    “จริงซิ พี่โจอี้ไม่โกหก แต่ก็อย่าลืมข้อแม้นะครับ”
    อาหารสุดโปรดยามค่ำที่ดูอบอุ่น ครอบครัวสมิธร่วมรับประทานอาหารร่วมกันอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน
    “ผลสอบออกเมื่อไหร่ลูก” โจถามลูกชายคนโต
    “อ้อ.....อีกสองอาทิตย์ครับ” เขาตอบ
    “แล้วถ้าไม่ติดละ จะไปเรียนไหน”
    “ผมมีสมัครที่เรียนไว้อีกที่หนึ่งแล้วครับ ที่โรงเรียนคิง ก็คะแนนของที่โรงเรียนผมเข้าได้และก็ถ้าผมไม่ติดผมก็เรียนต่อที่คิงได้ครับ” เขาอธิบายเหตุผล
    “อืม.....ว่าแต่ลูกคิดว่าจะติดเหรอโรงเรียนเซนต์จอห์น” พ่อถาม
    “อ้อครับ ผมว่าหน้าจะติด เพราะว่าข้อเขียนของเขาไม่ยากสักเท่าไหร่ ก็เหลือแต่ว่าถ้าติดแล้วผมก็คงจะต้องไปอยู่ที่อ๊อกฟอร์ด”
    “อืม....ไม่เป็นไรหรอก ลูกก็ไปอยู่กับคุณป้าละกัน”
    “คุณป้ามาร์ธาเหรอครับ”
    “ใช้แล้ว เขามีลูกชายชื่อชาลีนะ ชาลีเองก็เรียนที่เซนต์จอห์นเหมือนกัน” โจตอบ
    “ใช่ซิ ชาลี ไม่ได้เจอกันนานมากเลย ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง” เขากล่าวขณะปากก็เคี้ยวอาหารไปด้วย
    พวกเขาทานอาหารค่ำโดยลดของหวานวันนี้ โจอี้ตั้งใจที่จะรีบนอนเพราะพรุ่งนี้มีงานที่รอเขาอีกเยอะ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดในวันรุ่งขึ้นที่จะเกิดขึ้น มันกลับยิ่งทำให้อะไรอะไรดูเลวร้ายมากขึ้น ค่ำคืนนี้เขามีความสุขและความทรงจำที่ดี แต่สิ่งที่เขาจะเจอะเจอในวันพรุ่งนี้ก็คือ
                                                                                ----- ก๊อก ก๊อก ก๊อก -----
    เสียงการเคาะประตูในยามเช้าตรู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่หากมีการปลุกในยามเช้าขนาดนี้
    “ว่าไงครับ” เขาตะโกนขณะที่ตัวเองงัวเงีย จากการนอนไม่เต็มอิ่ม
    “ออกพาพบพ่อหน่อยเร็ว มีชายคนหนึ่งเขาอยากจะคุยกับลูกด้วย”
    “ผู้ชาย.....ใครกันครับที่ต้องการมาพบผม” เขาถาม
    “ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าชื่อแดนนี่ ต้องการที่จะพบลูกโดยด่วนเลย” โจเปิดประตูบอกเขา และกล่าวต่อว่า “เจอกันที่ห้องรับแขกนะลูก พ่อว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีแน่นอนเลย”
    ชั่วเวลาพริบตา เขาก็จัดแจงตื่นนอนแปลงฟันและลงไปพบกับนายแดนนี่ทันที
    “เออ.....ผมแดนนี่นะครับ” เขาแนะนำตัวเอง
    “ครับ ผมโจอี้.....” โจอี้ก็แนะนำตัวเองเช่นกัน
    “เฮ้อ......” แดนนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวต่อว่า “ผมเป็นคนขับรถของคุณโรส” เขาหยุดพูดสักพักและกล่าวต่ออีกว่า “คุณนายของผมไม่ต้องการที่จะให้คุณ......พบกับลูกสาวท่านอีก”
    “ทำไมครับ”
    “คุณนายท่านเรียนว่า ลูกสาวของท่านมีอนาคตที่ดี และอีกไม่นานเธอเองก็จะได้เรียนต่อที่อื่นที่ไม่ใช่ลอนดอน ท่านไม่อยากให้คุณไปทำให้คุณหนูโรสเสีย” เขาพูดพลางยื่นจดหมายซองสีขาวให้กับโจอี้
    “มันหมายความว่าอะไรกัน” โจอี้ลุกขึ้นพรวดพราดด้วยความโมโห
    “ผมไม่อยากจะทำหรอกครับ ผมว่าคุณลองเปิดซองข้างในอ่านก่อนดีกว่า ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ”
    หลังจากชายแปลกหน้าที่มาส่งข่าวโดยที่โจอี้ไม่รับรู้เลยว่า ต่อจากนี้ไปเขาจะเป็นผู้หนึ่งที่ถูกติดตามและเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา โดยไม่คลาดสายตาจากคุณแอนนา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ โจอี้เปิดซองข้างในออกและอ่านข้อความที่อยู่ในนั้นอย่างละเอียดและชัดเจน
   
    นี่ จะเป็นจดหมายฉบับแรกและหวังว่าจดหมายฉบับนี้คงจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันจะลงมือเขียนถึงเธอ โจอี้ ฉันจะไม่พูดอะไรมากนัก แค่ต้องการให้เธอเลิกยุ่งและพบกับลูกสาวฉันหรือโรส คนที่เธอพูดคุยและตามตื้อ ถ้าเธอยังมีการติดต่อกับลูกสาวของฉันอีก เธอก็จะได้เห็นดีกันแน่
แอนนา
    จดหมายแจ้งนี้ทำให้เขาถึงกับโมโหอย่างรุนแรง เขาเก็บจดหมายนี้ไว้อย่างดี แต่เพียงข้อความเหล่านี้ เขาไม่ลดละความพยายามอย่างแน่นอน ยิ่งทำให้เขานั้นรู้สึกอยากรู้จักความเป็นโรสมากขึ้น เขาจะไม่ท้อแท้ ยังไงเขาก็จะยังติดต่อและคบหากับโรสต่อไป ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
    ณ ห้องนอนของโรส เวลาเจ็ดโมงเช้าของวันเสาร์ เธอนอนหลับอย่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เธอระส่ำระส่ายและเป็นกังวลกับสิ่งที่แม่ของเธอได้กล่าวขึ้นภายในรถของเธอเมื่อวานนี้ แสงอาทิตย์ทอแสงสาดส่องผ่านผ้าม่านและมากระทบกับเปลือกตาของเธอ ทำให้เธอสะดุ้งตื่นจากความกังวล เหมือนได้ตื่นจากความฝัน ทันใดนั้นเอง มิเชลก็เข้ามาในห้องและปลุกเธอ
    “คุณหนูค่ะ ตื่นได้แล้วเช้าแล้วนะค่ะ” มิเชลเปิดประตูเข้ามาในมือถือถาดอาหารเช้าซึ่งมีทั้ง ไข่ดาว แฮม เบคอน ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองที่มีมาแต่เก่าแก่และโบราณ
    “ค่ะคุณป้า......” เธอลุกขึ้นออกจากเตียงและออกไปล้างหน้าล้างตาและทานอาหารในห้องนอนของตัวเอง ณ ระเบียงห้องนอนของเธอ
    “คุณหนูเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ หน้าตาดูเป็นกังวล สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะค่ะ” คุณป้าสบตาเธอและกล่าว
    “คุณป้าค่ะ หนูมีเรื่องอยากจะบอก แต่คุณป้าอย่าเอาไปบอกกับคุณแม่หรือใครๆนะค่ะ”
    “ว่าแต่มันเรื่องอะไรกันละค่ะคุณหนู” มิเชลถามไถ่อีกครั้ง
    “คุณป้าสัญญาก่อนซิค่ะ”
    “ก็ต้องดูก่อนว่าเรื่องสำคัญหรือเปล่า”คุณป้าพูด
    “คุณป้าพูดอย่างนี้คุณป้าก็จะไม่ช่วยโรสใช่ไหมค่ะ” เธอพูดตัดพ้อกับมิเชล
    “เปล่าค่ะคุณหนู ก็ได้ค่ะป้าสัญญา” มิเชลยื่นนิ้วก้อยเป็นสัญญานว่าเราสัญญา
    และแล้วเธอก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ให้กับมิเชลฟังตั้งแต่คราวแรกที่เจอกันกับโจอี้จนกระทั่งเหตุการณ์เมื่อวานที่เธอได้ประสบมา
    “อย่างนั้นเหรอค่ะ ถ้าคุณนายนัดหมายให้มาพบวันอาทิตย์นี้มันก็หน้าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีนะค่ะ” มิเชลกล่าว
    “หนูว่าไม่หรอกค่ะ คุณป้าก็รู้นิสัยคุณแม่นี่ค่ะ แล้วอีกอย่างคุณพ่ออีกที่ยังไม่รับรู้ เฮ้อ.....หนูไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงค่ะ”
    “เอาอย่างนี้ วันนี้คุณหนูก็ไปพบกับเขาที่ร้านดอกไม้ซิค่ะ แล้วก็รีบเข้าบ้าน”
    “โรสว่าคุณแม่ต้องสั่งคนติดตามดูโรสแน่นอนเลย”
    “งั้น....เอาอย่างนี้ ฝากจดหมายให้ป้า แล้วป้าจะเอาไปให้โจอี้เอง ดีไหมค่ะ” มิเชลเสนอความคิด และเป็นอันตกลงว่า โรสจึงเขียนจดหมายเชิญโจอี้มารับประทานอาหารมื้อค่ำที่บ้านของเธอโดยฝากจดหมายฉบับสีชมพูนี้ไปให้กับโจอี้ที่กำลังทำงานวุ่นวายอยู่ภายในร้าน และกำชับว่าต้องสวมเสื้อผ้าที่สุภาพเรียบร้อยโดยคุณป้ามิเชล ในที่สุดวันอาทิตย์ที่รอคอยก็มาถึง.....
    “ทำไมจะต้องตกใจมากขนาดนั้นละ” เธอหันกลับมาด้วยหางตา
    “ป...ปะ....เปล่าค่ะคุณแม่” เธอรีบหันออกไปนอกกระจกทันทีเพื่อหลบสายตาอันดุดัน
    “วันนี้ลูกไปไหนมา” แอนนากล่าวขึ้นลอยๆ
    “วันนี้ลูกไปที่บักกิงแฮมมาค่ะ” เธอตอบ
    “งั้นหรอกเหรอ.....ลูกไปกับใคร” เธอหันมาจ้องตาโรสอย่างจริงจังและไม่ลดละ
    “ก็....ไปกับเพื่อนค่ะ”
    “แม่รู้จักไหม”
    เธอหยุดคิดและกล่าวตอบไปว่า “แม่.....ไม่รู้จักหรอกค่ะ”
    “งั้นรึ......ช่วยพาเขามารู้จักแม่ได้ไหม” สายตาที่ยิ่งจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของโรส จนทำให้เธอต้องหลบตาไปทิศทางอื่น
    “เขาคงจะไม่ว่างหรอกค่ะ”
    “ทำไมละ ก็แม่อยากจะรู้จัก เอาเป็นว่าวันอาทิตย์นี้คุณพ่อจะกลับมาจากอเมริกา ยังไงลูกก็นัดเขามาพบที่บ้านตอนอาหารอาหารมื้อค่ำตอน หนึ่งทุ่มที่บ้านของเราละกัน” เธอพูดสั้นๆได้ใจความและเป็นการยื่นคำขาดกับเธอ ทำให้โรสไม่สามารถต่อรองอะไรได้นอกเสียจากว่าเธอจะต้องไปบอกกับโจอี้ว่า แม่ของเธอต้องการจะพบเขา “เป็นการส่วนตัว”
    ระหว่างทางที่โจอี้กำลังนั่งรถไฟใต้ดินจากจากเอ็มแบ้งเม้นซึ่งอยู่ใกล้ๆกับริมแม่น้ำเทมส์ ไปลงที่บอร์เดอร์บุ๊ค ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่บนถนนอ๊อกฟอร์ดพอดีแต่ เขาจะต้องเดินย้อนขึ้นไปอีกเพื่อกลับบ้านของเขาเอง ฟ้าเริ่มจะอึมครึมจากสีฟ้าที่สดใสกลายเป็นสีเทาหม่นหมอง เสียงฟ้าลั่นที่ดังไปทั่วลอนดอน เป็นสัญญานว่า ฝนกำลังจะตกในยามเย็น
    “ไปไหนมาเหรอลูก ทำไมกลับเอาป่านนี้” โจถามขณะที่กำลังขนต้นไม้ต่างๆเข้าร้าน
    “อ้อ ผมไปพบเพื่อนมาครับ มาเดี๋ยวผมช่วย” เขาวางของต่างๆที่หิ้วติดมือมาด้วยและช่วยพ่อเก็บร้านและกล่าวต่อไปว่า “วันนี้เก็บร้านช้านะครับ”
    “ใช่ เพราะว่าวันนี้ขายดีคนเลยซื้อเยอะมาก” โจตอบ
    “อ้อครับ ร้านจึงปิดช้าตาม” เขาพูดและก็หัวเราะร้วนทั้งสองพ่อลูก
    หลังจากที่ทั้งสองจัดแจงเก็บร้านรวงของตนเองเป็นที่เรียบร้อย ซาร่าก็ทำอาหารหรือของโปรดของสองพ่อลูกเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั้นคือ ลาซ่อนญ่า ซึ่งเป็นอาหารชั้นยอดสำหรับครอบครัวนี้ และที่สำคัญอาหารมื้อนี้เลศก็เป็นคนช่วยคุณแม่ซาร่าทำอาหารด้วย
    “ว่าไงครับน้องเลศ” เขากล่าวทักน้องสาวที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหาร
    “กลับมาแล้วเหรอค่ะพี่โจอี้ วันนี้หนูมีของจะอวดด้วย” เธอคุยโวใส่พี่ชาย
    “ว่าแต่อะไรเหรอครับที่น้องเลศจะเอามาอวดพี่” เขาเดินไปหยิบจานบนโต๊ะมาแจกจ่ายให้แก่คนในบ้านบนโต๊ะอาหาร
    “วันนี้หนูช่วยแม่ทำกับข้าวด้วยค่ะ” เธอยิ้มอย่างภูมิใจ
    “จริงเหรอ! ว่าแต่อาหารที่ว่านี่อะไรเหรอครับ ไหน.....ช่วยบอกพี่หน่อยซิ” เขาถาม
    “ลาซ่อนญ่าจ้า.....น้องเขาเก่งมากเลยนะ ช่วยคุณแม่เอาของเข้าเตาอบและก็ปรับอุณหภูมิด้วย” ซาร่าที่ในมือถือถาดที่ใส่ลาซ่อนญ่ามาวางที่กลางโต๊ะอาหาร
    “จริงเหรอ......น้องเลศของผมก็เก่งมากเลยซินะ” เขาเลิกตาขึ้นและหันไปกอดน้องสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
    “หนูทำได้แล้ว พี่ต้องพาหนูไปเที่ยวด้วยนะค่ะ” เธออ้อนพี่ชายอย่างหน้าเอ็นดู
    “ก็ได้ แต่ต้องมีข้อแม้ว่าน้องเลศจะต้องเป็นเด็กดีนะ แล้วอาทิตย์หน้าพี่โจอี้จะพาน้องเลศไปสวนสัตว์นะครับ”
    “จริงนะค่ะพี่โจอี้ สัญญากับหนูนะว่าจะพาไป” เธอตื่นเต้นใหญ่หลังจากที่เขาบอกว่าจะพาไปเที่ยว
    “จริงซิ พี่โจอี้ไม่โกหก แต่ก็อย่าลืมข้อแม้นะครับ”
    อาหารสุดโปรดยามค่ำที่ดูอบอุ่น ครอบครัวสมิธร่วมรับประทานอาหารร่วมกันอย่างนี้เป็นประจำทุกวัน
    “ผลสอบออกเมื่อไหร่ลูก” โจถามลูกชายคนโต
    “อ้อ.....อีกสองอาทิตย์ครับ” เขาตอบ
    “แล้วถ้าไม่ติดละ จะไปเรียนไหน”
    “ผมมีสมัครที่เรียนไว้อีกที่หนึ่งแล้วครับ ที่โรงเรียนคิง ก็คะแนนของที่โรงเรียนผมเข้าได้และก็ถ้าผมไม่ติดผมก็เรียนต่อที่คิงได้ครับ” เขาอธิบายเหตุผล
    “อืม.....ว่าแต่ลูกคิดว่าจะติดเหรอโรงเรียนเซนต์จอห์น” พ่อถาม
    “อ้อครับ ผมว่าหน้าจะติด เพราะว่าข้อเขียนของเขาไม่ยากสักเท่าไหร่ ก็เหลือแต่ว่าถ้าติดแล้วผมก็คงจะต้องไปอยู่ที่อ๊อกฟอร์ด”
    “อืม....ไม่เป็นไรหรอก ลูกก็ไปอยู่กับคุณป้าละกัน”
    “คุณป้ามาร์ธาเหรอครับ”
    “ใช้แล้ว เขามีลูกชายชื่อชาลีนะ ชาลีเองก็เรียนที่เซนต์จอห์นเหมือนกัน” โจตอบ
    “ใช่ซิ ชาลี ไม่ได้เจอกันนานมากเลย ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง” เขากล่าวขณะปากก็เคี้ยวอาหารไปด้วย
    พวกเขาทานอาหารค่ำโดยลดของหวานวันนี้ โจอี้ตั้งใจที่จะรีบนอนเพราะพรุ่งนี้มีงานที่รอเขาอีกเยอะ แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดในวันรุ่งขึ้นที่จะเกิดขึ้น มันกลับยิ่งทำให้อะไรอะไรดูเลวร้ายมากขึ้น ค่ำคืนนี้เขามีความสุขและความทรงจำที่ดี แต่สิ่งที่เขาจะเจอะเจอในวันพรุ่งนี้ก็คือ
                                                                                ----- ก๊อก ก๊อก ก๊อก -----
    เสียงการเคาะประตูในยามเช้าตรู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่หากมีการปลุกในยามเช้าขนาดนี้
    “ว่าไงครับ” เขาตะโกนขณะที่ตัวเองงัวเงีย จากการนอนไม่เต็มอิ่ม
    “ออกพาพบพ่อหน่อยเร็ว มีชายคนหนึ่งเขาอยากจะคุยกับลูกด้วย”
    “ผู้ชาย.....ใครกันครับที่ต้องการมาพบผม” เขาถาม
    “ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าชื่อแดนนี่ ต้องการที่จะพบลูกโดยด่วนเลย” โจเปิดประตูบอกเขา และกล่าวต่อว่า “เจอกันที่ห้องรับแขกนะลูก พ่อว่าต้องมีเรื่องอะไรไม่ดีแน่นอนเลย”
    ชั่วเวลาพริบตา เขาก็จัดแจงตื่นนอนแปลงฟันและลงไปพบกับนายแดนนี่ทันที
    “เออ.....ผมแดนนี่นะครับ” เขาแนะนำตัวเอง
    “ครับ ผมโจอี้.....” โจอี้ก็แนะนำตัวเองเช่นกัน
    “เฮ้อ......” แดนนี่ถอนหายใจเฮือกใหญ่และกล่าวต่อว่า “ผมเป็นคนขับรถของคุณโรส” เขาหยุดพูดสักพักและกล่าวต่ออีกว่า “คุณนายของผมไม่ต้องการที่จะให้คุณ......พบกับลูกสาวท่านอีก”
    “ทำไมครับ”
    “คุณนายท่านเรียนว่า ลูกสาวของท่านมีอนาคตที่ดี และอีกไม่นานเธอเองก็จะได้เรียนต่อที่อื่นที่ไม่ใช่ลอนดอน ท่านไม่อยากให้คุณไปทำให้คุณหนูโรสเสีย” เขาพูดพลางยื่นจดหมายซองสีขาวให้กับโจอี้
    “มันหมายความว่าอะไรกัน” โจอี้ลุกขึ้นพรวดพราดด้วยความโมโห
    “ผมไม่อยากจะทำหรอกครับ ผมว่าคุณลองเปิดซองข้างในอ่านก่อนดีกว่า ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ”
    หลังจากชายแปลกหน้าที่มาส่งข่าวโดยที่โจอี้ไม่รับรู้เลยว่า ต่อจากนี้ไปเขาจะเป็นผู้หนึ่งที่ถูกติดตามและเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา โดยไม่คลาดสายตาจากคุณแอนนา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามแต่ โจอี้เปิดซองข้างในออกและอ่านข้อความที่อยู่ในนั้นอย่างละเอียดและชัดเจน
   
    นี่ จะเป็นจดหมายฉบับแรกและหวังว่าจดหมายฉบับนี้คงจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่ฉันจะลงมือเขียนถึงเธอ โจอี้ ฉันจะไม่พูดอะไรมากนัก แค่ต้องการให้เธอเลิกยุ่งและพบกับลูกสาวฉันหรือโรส คนที่เธอพูดคุยและตามตื้อ ถ้าเธอยังมีการติดต่อกับลูกสาวของฉันอีก เธอก็จะได้เห็นดีกันแน่
แอนนา
    จดหมายแจ้งนี้ทำให้เขาถึงกับโมโหอย่างรุนแรง เขาเก็บจดหมายนี้ไว้อย่างดี แต่เพียงข้อความเหล่านี้ เขาไม่ลดละความพยายามอย่างแน่นอน ยิ่งทำให้เขานั้นรู้สึกอยากรู้จักความเป็นโรสมากขึ้น เขาจะไม่ท้อแท้ ยังไงเขาก็จะยังติดต่อและคบหากับโรสต่อไป ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
    ณ ห้องนอนของโรส เวลาเจ็ดโมงเช้าของวันเสาร์ เธอนอนหลับอย่างกึ่งหลับกึ่งตื่น เธอระส่ำระส่ายและเป็นกังวลกับสิ่งที่แม่ของเธอได้กล่าวขึ้นภายในรถของเธอเมื่อวานนี้ แสงอาทิตย์ทอแสงสาดส่องผ่านผ้าม่านและมากระทบกับเปลือกตาของเธอ ทำให้เธอสะดุ้งตื่นจากความกังวล เหมือนได้ตื่นจากความฝัน ทันใดนั้นเอง มิเชลก็เข้ามาในห้องและปลุกเธอ
    “คุณหนูค่ะ ตื่นได้แล้วเช้าแล้วนะค่ะ” มิเชลเปิดประตูเข้ามาในมือถือถาดอาหารเช้าซึ่งมีทั้ง ไข่ดาว แฮม เบคอน ซึ่งเป็นอาหารพื้นเมืองที่มีมาแต่เก่าแก่และโบราณ
    “ค่ะคุณป้า......” เธอลุกขึ้นออกจากเตียงและออกไปล้างหน้าล้างตาและทานอาหารในห้องนอนของตัวเอง ณ ระเบียงห้องนอนของเธอ
    “คุณหนูเป็นอะไรรึเปล่าค่ะ หน้าตาดูเป็นกังวล สีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะค่ะ” คุณป้าสบตาเธอและกล่าว
    “คุณป้าค่ะ หนูมีเรื่องอยากจะบอก แต่คุณป้าอย่าเอาไปบอกกับคุณแม่หรือใครๆนะค่ะ”
    “ว่าแต่มันเรื่องอะไรกันละค่ะคุณหนู” มิเชลถามไถ่อีกครั้ง
    “คุณป้าสัญญาก่อนซิค่ะ”
    “ก็ต้องดูก่อนว่าเรื่องสำคัญหรือเปล่า”คุณป้าพูด
    “คุณป้าพูดอย่างนี้คุณป้าก็จะไม่ช่วยโรสใช่ไหมค่ะ” เธอพูดตัดพ้อกับมิเชล
    “เปล่าค่ะคุณหนู ก็ได้ค่ะป้าสัญญา” มิเชลยื่นนิ้วก้อยเป็นสัญญานว่าเราสัญญา
    และแล้วเธอก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ให้กับมิเชลฟังตั้งแต่คราวแรกที่เจอกันกับโจอี้จนกระทั่งเหตุการณ์เมื่อวานที่เธอได้ประสบมา
    “อย่างนั้นเหรอค่ะ ถ้าคุณนายนัดหมายให้มาพบวันอาทิตย์นี้มันก็หน้าจะเป็นนิมิตหมายที่ดีนะค่ะ” มิเชลกล่าว
    “หนูว่าไม่หรอกค่ะ คุณป้าก็รู้นิสัยคุณแม่นี่ค่ะ แล้วอีกอย่างคุณพ่ออีกที่ยังไม่รับรู้ เฮ้อ.....หนูไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงค่ะ”
    “เอาอย่างนี้ วันนี้คุณหนูก็ไปพบกับเขาที่ร้านดอกไม้ซิค่ะ แล้วก็รีบเข้าบ้าน”
    “โรสว่าคุณแม่ต้องสั่งคนติดตามดูโรสแน่นอนเลย”
    “งั้น....เอาอย่างนี้ ฝากจดหมายให้ป้า แล้วป้าจะเอาไปให้โจอี้เอง ดีไหมค่ะ” มิเชลเสนอความคิด และเป็นอันตกลงว่า โรสจึงเขียนจดหมายเชิญโจอี้มารับประทานอาหารมื้อค่ำที่บ้านของเธอโดยฝากจดหมายฉบับสีชมพูนี้ไปให้กับโจอี้ที่กำลังทำงานวุ่นวายอยู่ภายในร้าน และกำชับว่าต้องสวมเสื้อผ้าที่สุภาพเรียบร้อยโดยคุณป้ามิเชล ในที่สุดวันอาทิตย์ที่รอคอยก็มาถึง.....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น