ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ความบังเอิญ หรือแค่รอเวลา
--- หกสิบสอง ---
    เสียงของสายลมหยุดแผ่วมีแต่เพียงลำแสงสีทองที่เล็ดลอดผ่านใต้ผ้าม่านบางๆสองสีสาดลงกระทบที่หนังสือบนโต๊ะของโจอี้และโรส
    “คุณเชื่อเรื่องบังเอิญไหม....” โจอี้อ่านมันออกมาดังๆ
    “ไม่ ฉันไม่เชื่อหรอกเรื่องความบังเอิญ มันเป็นการรอเวลาซะมากกว่า” โรสหยิบมันขึ้นมาพลางอ่านข้อความที่เหลือและบ่นกับตัวเองเพียงลำพัง
    “บังเอิญ....คงไม่หรอก ไม่มีความบังเอิญบนโลกนี้หรอก” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง
    และในค่ำคืนนั้นก็ผ่านไปท่ามกลางหมู่ดาวที่สว่างไสวและจันทร์ที่เปล่งประกายรัศมีไปรอบๆเมืองลอนดอน คืนนี้โจอี้ได้แต่นอนและคำนึงถึงเรื่องโรส หญิงผมยาวตากลมกระโปรงยาวสีน้ำตาลกับภาพวาดที่เธอได้บรรจงลงบนกระดาษเป็นภาพเขียนที่ล้ำค่า ถึงแม้ว่าเขาเองจะไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะก็ตามแต่ แต่เขาเองรู้เพียงว่า ภาพนั้นมีค่ามากพอที่เขาสามารถจะเก็บรักษามันเทียบเท่ากับชีวิตของเขาได้
    “ถ้าความบังเอิญมันมีจริง.....พรุ่งนี้ผมก็คงจะได้พบกับคุณอีกครั้ง.....โรส”
    อากาศของวันใหม่ในเช้านี้ มันร้อนและสามารถที่จะเรียกร้องความกระหายได้มากกว่าเมื่อวันวานที่ผ่านมา โจอี้ตื่นเช้ามากกว่าปกติและรีบทำงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง พอตกเที่ยงเขารีบบ่ายเบี่ยงพ่อไปที่ทราฟัลการ์สแควร์ทันที แต่แล้วเขาก็ไม่พบกับสิ่งที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอ
    “ไม่มีความบังเอิญบนโลกใบนี้จริงๆ.....” เขายืนและทอดสายตาออกไปไกลและผู้คนก็เดินเบียดเสียดกันอย่างมากมาย
    เขาตัดสินใจเดินทางกลับทันทีที่เขาสำรวจหาร่องรอยที่เกี่ยวกับเธอ แม้แต่เงาของโรสเอง เขาก็ไม่พบ ในช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตา เธอกับเสื้อสีขาวที่ปล่อยผมยาวสีน้ำตาลและสวมกระโปรงสีขาว เดินแหวกแผกผ่านผู้คนและอุปกรณ์ในการวาดรูปเข้ามาในส่วนของน้ำพุทราฟัลการ์สแควร์ เขาหยุด ดวงตาที่รู้สึกผิดหวังกลับเปล่งประกายจนลืมไปว่าช่วงเวลาดีดีนี้กำลังจะสิ้นสุดลงเพราะการรอคอย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เขาจึงตัดสินใจแกล้งทำเป็นความบังเอิญกับการสนทนากับเธออีกครั้ง
    “เพิ่งมาเหรอครับ” เขาเริ่มเอ่ยถามกับเธอในยามที่เธอกำลังมองหาที่ดีดีในการวาดภาพ
    “อ...อะ....คุณนี่เอง สวัสดีค่ะ” เธอหันหลังกลับมาอย่างทันควันเมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มที่ดังมาจากข้างหลังของเธอ
    “ให้ผมช่วยนะ” เขายื่นมือออกไปช่วยเธอถือของและกล่าวต่อว่า “วันนี้คุณคงจะมาวาดรูปอีกเหมือนเดิม ใช่ไหมครับ”
    “ค่ะ....” เธอตอบสั้นๆ
    “ให้ผมเรียกคุณว่า โรสเฉยๆนะ” เขายิ้มอย่างเป็นกันเองและสายตาที่อ่อนโยน
    “อ้อได้ค่ะ คุณ......”
    “โจอี้ครับ”
    “ใช่ โจอี้......ว่าแต่วันนี้คุณมาเที่ยวแถวนี้เหรอค่ะ” เธอวางอุปกรณ์ลงกับพื้นและสอบถาม
    “อ....เออ....ครับๆ แต่ผมคงต้องไปแล้วละครับผม.....” เขาอ้ำอึ้งอยู่นานและกล่าวต่อไปว่า “คุณพอมีเวลาว่างบ้างไหมครับ”
    “เออ....”
    “พรุ่งนี้......เป็นไงครับ” เขาใจจดใจจ่อกับคำตอบที่รอคอย
    “ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันมีโปรแกรมสำหรับพรุ่งนี้แล้ว” เธอกางกระดาษเตรียมจะวาดภาพ
    “งั้นวันถัดไปละครับ” เขาถามอีกครั้ง
    “ก็มีแล้วเหมือนกัน” เธอมองด้วยหางตาใส่เขา
    “งั้นคุณเอาผมใส่ลงไปในโปรแกรมได้ไหมครับ” เขายิ้ม
    “เออ......เฮ้อ.....งั้นวันศุกร์ ที่หน้าสวนสาธารณะเซนต์เจมส์ละกัน สี่โมงเย็นนะ”
    “ครับ ได้ครับ.....แล้วเจอกันนะครับ”
    วันเวลาผ่านไป ในที่สุดวันที่โจอี้รอคอย วันที่เธอได้พบกับโรส ณ สวนสาธารณะเซนต์เจมส์ซึ่งเป็นสวนที่ใหญ่และสวยแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอนสามารถมองเห็นพระราชวังบักกิงแฮมในมุมที่สวยได้ด้วยบนสะพานไม้ข้ามสระน้ำอากาศที่เริ่มจะอบอุ่นอันเป็นว่าฤดูร้อนเริ่มจะหมดไปพร้อมๆกับดอกไม้ที่กำลังผลิออกทั่วสวนสาธารณะเซนต์เจมส์
    “เฮ้อ....ยังไม่มาอีก ตื่นเต้นจริงๆ” เขาเดินร้อนรนไปมาและดูเวลาที่ข้อมือด้านซ้าย
    “ขอโทษนะค่ะที่มาสาย”
    ลมหายใจของเขา หยุดอยู่ในห้วงเวลาหนึ่ง คำพูดของใครบางคนก้องอยู่ในหูเหมือนมีใครกระซิบบอกเขาใกล้ๆหลายๆครั้ง เขาค่อยๆหันไปสบตากับหญิงผู้หนึ่งที่สวมเสื้อยึดสีขาวและกางเกงยีนที่ดูจะเหมาะสมกับเธอ วันนี้เธอมัดผมเรียบร้อย และที่สำคัญเธอเองก็มาโดยไม่มีอุปกรณ์ที่เกะกะหิ้วไปหิ้วมาเหมือนอย่างเคย
    “สวัสดีครับ ไม่เป็นไรครับ” เขายิ้มจนแก้มแดง
    “เหรอค่ะ.....วันนี้โรสมีเวลาแค่สองชั่วโมงนะค่ะ” โรสรีบบอกเวลาล่วงหน้าพลางดูนาฬิกาไปด้วย
    “อ้อครับ.....ว่าแต่ วันนี้โรสอยากไปไหน” เขาถาม
    “อ...เออ.....แล้วโจอี้ละอยากจะไปไหน” เธอย้อนถามเขา
    “แล้วแต่โรสละกัน ผมยังไงก็ได้ครับ” เขาพูด
    “จริงๆแล้ว ฉันอยากจะไปพระราชวังบักกิงแฮมนะ อยากไปดูงานศิลปะในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ”
    “ครับ งั้นเราไปกันเถอะ” เขากล่าวและเดินไปด้วยกันที่พระราชวังบักกิงแฮมที่อยู่ไม่ไกลสวนมากนัก
    พื้นที่ปูด้วยหินละเอียดมานับร้อยๆปีที่พวกเขาใช้เป็นเส้นทางในการคมนาคมทั้งรถม้าในสมัยโบราณจนกระทั่งรถยนต์ที่ใช้ในปัจจุบัน เขาทั้งสองเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงหน้าพระราชวังบักกิงแฮม รั้วที่ทำจากเนื้อเหล็กชั้นยอด ต่อและเชื่อมกันเรียงรายตลอดรอบๆบริเวณราชวัง นักท่องเที่ยวเดินเข้าออกกันอย่างพลุพล่าน พวกเขาทั้งสองจึงเดินหายไปกับฝูงชนที่เดินสวนออกมานับร้อยคน
    “คุณชอบงานศิลปะเหรอครับ” เขาเริ่มพูดสนทนาระหว่างที่เดินชมศิลปะชั้นเอกของลีโอนาโด
    “ก็...ค่ะโรสชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว คุณพ่อมักจะบอกเสมอว่า อนาคตพวกวัตถุนิยมจะเจริญ เทคโนโลยีก็เช่นเดียวกัน ผู้คนก็จะหันเหไปทางเทคโนโลยีมากขึ้นคือ ภาพวาดก็จะขายได้ดี” เธอยิ้ม และกล่าวต่อว่า “แล้วโจอี้ละ สนใจอะไรอยู่เหรอ” เธอหยุดเดินและละสายตามาที่เขา
    “ผมหน่ะเหรอ” เขาย้ำกับตัวเองด้วยดวงตาที่เลิกขึ้นและกล่าวต่อว่า “ผมชอบที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษา ผมชอบการเขียนหนังสือและก็เรื่องดอกไม้ครับ” เขาตอบ
    “อ้อเหรอค่ะ ฉันก็ชอบที่จะเขียนหนังสือเหมือนกัน แต่เขียนแล้วมักจะไม่ค่อยจบ ขณะไดอารี่ของโรสเองกว่าจะกลับมานั่งเขียนก็ปาไปหลายอาทิตย์เลยละ” เธอหัวเราะแก้เขิน
    “ผมเองก็เช่นเดียวกันครับ ไม่ค่อยได้เขียนไดอารี่สักเท่าไหร่ เพราะที่บ้านงานเยอะ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาเขียน” เขาเดินต่อไปที่ภาพถัดไป
    เวลานั้นผ่านไปเร็วยิ่งนัก เขาทั้งสองก็เดินชมงานจนทั่วพระราชวังบักกิงแฮมที่โอ่อ่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เข้าไปสัมผัสและชื่นชมโรงม้าหลวงที่อยู่ด้านหลังของราชวัง โจอี้และโรสจึงออกจากลานมาหยุดซื้อขนมปังที่มีเนื้อวัวอยู่ข้างในขนมปัง ทานกัน
    “อุ้ย......จะหกโมงแล้วเหรอค่ะ” เธอเอามือขึ้นมาปิดปากขณะที่เธอดูนาฬิกาของเธออีกข้อมือหนึ่ง
    “อ้อครับ.....โรสมีเวลาแค่สองชั่วโมงเองนี่ครับ” เขากล่าว
    “ใช่และฉันเองก็นัดคนรถมารับที่ทราฟัลการ์สแควร์ ตายจริง!” เธอแสดงท่าทีที่ตกใจและกล่าวต่อว่า “งั้นโรสต้องรีบไปแล้วละค่ะ”
    “งั้นผมไปส่งนะ”
    เธอรีบทานขนมปังให้เสร็จสิ้นแล้วนั่งรถต่อไปที่ทราฟัลการ์สแควร์พร้อมกับโจอี้ ดวงตาที่มีความวิตกกังวลจนเขานั้นไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ว่า มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ทำไมสีหน้าของเธอถึงได้ตื่นตระหนกขนาดนี้ เวลาผ่านไปสิบห้านาที ฝูงนกพิราบก็บินถลาลมขึ้นสู่ท้องฟ้าสีคราม ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นก็น้อยลงกว่าตอนกลางวันเป็นอย่างมาก ร้านค้าต่างๆก็ทยอยกันปิดร้าน
    “ว่าแต่ใครมารับเหรอครับ” เขาลงจากรถและเดินตามเธอ
    “ฉันว่าคุณรีบกลับไปเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกเขาก็มารับโรสเอง” เธอหันมาสบตาอีกครั้งและเดินอย่างรวดเร็ว
    “โรส เธอไม่เป็นไรนะ” เขาวิ่งไปขนาบข้างเธอขณะที่กำลังข้ามถนนมายังฝั่งอนุสาวรีย์
    “ไม่เป็นไรค่ะ โรสไม่เป็นไร โรสอยู่คนเดียวได้ค่ะ” เธอรีบเดินหนีเขา แต่โจอี้ก็ยังคงเดินตามเธอติดๆ
    “งั้นผมจะติดต่อคุณยังไงครับ” เขาถาม
    “ฉัน จะมาวาดรูปที่นี่ทุกวันยกเว้นวันเสาร์และอาทิตย์ตั้งแต่เวลาบ่ายโมงถึงสามโมงเย็น ถ้าคุณอยากจะเจอฉัน คุณก็มาหาฉันได้ที่นี่” เธอหยุดและทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้
    “ครับ แล้วผมจะมาหาคุณนะครับ” เขาหยุดเดินและตะโกนบอกเธอ
    ช่วงเวลาที่เขาและเธอต่างเดินข้ามถนนมายังฝั่งทราฟัลการ์สแควร์ แอนนาได้นั่งรถสวนผ่านเขาและเธอที่เดินตามกัน ณ บริเวณอนุสาวรีย์ เธอได้แต่จิกสายตาอย่างไม่สบอารมณ์มากนัก ภายใต้เงารถที่บดบังดวงตาและรัศมีความงามของเธอของชนชาติอังกฤษโดยแท้จริง คนขับรถของเธอหยุดรถตรงหน้าน้ำพุและลงไปเปิดประตูรถให้โรสขึ้นมา แต่แล้วเรื่องทั้งหมดก็กลับเลวร้ายมากขึ้น เมื่อเธอได้พบว่าคนที่มารับเธอ ไม่ใช่คุณป้ามิเชล แต่กลับเป็นแม่ของเธอเอง.....
    เสียงของสายลมหยุดแผ่วมีแต่เพียงลำแสงสีทองที่เล็ดลอดผ่านใต้ผ้าม่านบางๆสองสีสาดลงกระทบที่หนังสือบนโต๊ะของโจอี้และโรส
    “คุณเชื่อเรื่องบังเอิญไหม....” โจอี้อ่านมันออกมาดังๆ
    “ไม่ ฉันไม่เชื่อหรอกเรื่องความบังเอิญ มันเป็นการรอเวลาซะมากกว่า” โรสหยิบมันขึ้นมาพลางอ่านข้อความที่เหลือและบ่นกับตัวเองเพียงลำพัง
    “บังเอิญ....คงไม่หรอก ไม่มีความบังเอิญบนโลกนี้หรอก” เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง
    และในค่ำคืนนั้นก็ผ่านไปท่ามกลางหมู่ดาวที่สว่างไสวและจันทร์ที่เปล่งประกายรัศมีไปรอบๆเมืองลอนดอน คืนนี้โจอี้ได้แต่นอนและคำนึงถึงเรื่องโรส หญิงผมยาวตากลมกระโปรงยาวสีน้ำตาลกับภาพวาดที่เธอได้บรรจงลงบนกระดาษเป็นภาพเขียนที่ล้ำค่า ถึงแม้ว่าเขาเองจะไม่ค่อยจะเข้าใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องของศิลปะก็ตามแต่ แต่เขาเองรู้เพียงว่า ภาพนั้นมีค่ามากพอที่เขาสามารถจะเก็บรักษามันเทียบเท่ากับชีวิตของเขาได้
    “ถ้าความบังเอิญมันมีจริง.....พรุ่งนี้ผมก็คงจะได้พบกับคุณอีกครั้ง.....โรส”
    อากาศของวันใหม่ในเช้านี้ มันร้อนและสามารถที่จะเรียกร้องความกระหายได้มากกว่าเมื่อวันวานที่ผ่านมา โจอี้ตื่นเช้ามากกว่าปกติและรีบทำงานอย่างเป็นจริงเป็นจัง พอตกเที่ยงเขารีบบ่ายเบี่ยงพ่อไปที่ทราฟัลการ์สแควร์ทันที แต่แล้วเขาก็ไม่พบกับสิ่งที่เขาตั้งหน้าตั้งตารอ
    “ไม่มีความบังเอิญบนโลกใบนี้จริงๆ.....” เขายืนและทอดสายตาออกไปไกลและผู้คนก็เดินเบียดเสียดกันอย่างมากมาย
    เขาตัดสินใจเดินทางกลับทันทีที่เขาสำรวจหาร่องรอยที่เกี่ยวกับเธอ แม้แต่เงาของโรสเอง เขาก็ไม่พบ ในช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตา เธอกับเสื้อสีขาวที่ปล่อยผมยาวสีน้ำตาลและสวมกระโปรงสีขาว เดินแหวกแผกผ่านผู้คนและอุปกรณ์ในการวาดรูปเข้ามาในส่วนของน้ำพุทราฟัลการ์สแควร์ เขาหยุด ดวงตาที่รู้สึกผิดหวังกลับเปล่งประกายจนลืมไปว่าช่วงเวลาดีดีนี้กำลังจะสิ้นสุดลงเพราะการรอคอย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เขาจึงตัดสินใจแกล้งทำเป็นความบังเอิญกับการสนทนากับเธออีกครั้ง
    “เพิ่งมาเหรอครับ” เขาเริ่มเอ่ยถามกับเธอในยามที่เธอกำลังมองหาที่ดีดีในการวาดภาพ
    “อ...อะ....คุณนี่เอง สวัสดีค่ะ” เธอหันหลังกลับมาอย่างทันควันเมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มที่ดังมาจากข้างหลังของเธอ
    “ให้ผมช่วยนะ” เขายื่นมือออกไปช่วยเธอถือของและกล่าวต่อว่า “วันนี้คุณคงจะมาวาดรูปอีกเหมือนเดิม ใช่ไหมครับ”
    “ค่ะ....” เธอตอบสั้นๆ
    “ให้ผมเรียกคุณว่า โรสเฉยๆนะ” เขายิ้มอย่างเป็นกันเองและสายตาที่อ่อนโยน
    “อ้อได้ค่ะ คุณ......”
    “โจอี้ครับ”
    “ใช่ โจอี้......ว่าแต่วันนี้คุณมาเที่ยวแถวนี้เหรอค่ะ” เธอวางอุปกรณ์ลงกับพื้นและสอบถาม
    “อ....เออ....ครับๆ แต่ผมคงต้องไปแล้วละครับผม.....” เขาอ้ำอึ้งอยู่นานและกล่าวต่อไปว่า “คุณพอมีเวลาว่างบ้างไหมครับ”
    “เออ....”
    “พรุ่งนี้......เป็นไงครับ” เขาใจจดใจจ่อกับคำตอบที่รอคอย
    “ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันมีโปรแกรมสำหรับพรุ่งนี้แล้ว” เธอกางกระดาษเตรียมจะวาดภาพ
    “งั้นวันถัดไปละครับ” เขาถามอีกครั้ง
    “ก็มีแล้วเหมือนกัน” เธอมองด้วยหางตาใส่เขา
    “งั้นคุณเอาผมใส่ลงไปในโปรแกรมได้ไหมครับ” เขายิ้ม
    “เออ......เฮ้อ.....งั้นวันศุกร์ ที่หน้าสวนสาธารณะเซนต์เจมส์ละกัน สี่โมงเย็นนะ”
    “ครับ ได้ครับ.....แล้วเจอกันนะครับ”
    วันเวลาผ่านไป ในที่สุดวันที่โจอี้รอคอย วันที่เธอได้พบกับโรส ณ สวนสาธารณะเซนต์เจมส์ซึ่งเป็นสวนที่ใหญ่และสวยแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอนสามารถมองเห็นพระราชวังบักกิงแฮมในมุมที่สวยได้ด้วยบนสะพานไม้ข้ามสระน้ำอากาศที่เริ่มจะอบอุ่นอันเป็นว่าฤดูร้อนเริ่มจะหมดไปพร้อมๆกับดอกไม้ที่กำลังผลิออกทั่วสวนสาธารณะเซนต์เจมส์
    “เฮ้อ....ยังไม่มาอีก ตื่นเต้นจริงๆ” เขาเดินร้อนรนไปมาและดูเวลาที่ข้อมือด้านซ้าย
    “ขอโทษนะค่ะที่มาสาย”
    ลมหายใจของเขา หยุดอยู่ในห้วงเวลาหนึ่ง คำพูดของใครบางคนก้องอยู่ในหูเหมือนมีใครกระซิบบอกเขาใกล้ๆหลายๆครั้ง เขาค่อยๆหันไปสบตากับหญิงผู้หนึ่งที่สวมเสื้อยึดสีขาวและกางเกงยีนที่ดูจะเหมาะสมกับเธอ วันนี้เธอมัดผมเรียบร้อย และที่สำคัญเธอเองก็มาโดยไม่มีอุปกรณ์ที่เกะกะหิ้วไปหิ้วมาเหมือนอย่างเคย
    “สวัสดีครับ ไม่เป็นไรครับ” เขายิ้มจนแก้มแดง
    “เหรอค่ะ.....วันนี้โรสมีเวลาแค่สองชั่วโมงนะค่ะ” โรสรีบบอกเวลาล่วงหน้าพลางดูนาฬิกาไปด้วย
    “อ้อครับ.....ว่าแต่ วันนี้โรสอยากไปไหน” เขาถาม
    “อ...เออ.....แล้วโจอี้ละอยากจะไปไหน” เธอย้อนถามเขา
    “แล้วแต่โรสละกัน ผมยังไงก็ได้ครับ” เขาพูด
    “จริงๆแล้ว ฉันอยากจะไปพระราชวังบักกิงแฮมนะ อยากไปดูงานศิลปะในสมเด็จพระบรมราชินีนาถ”
    “ครับ งั้นเราไปกันเถอะ” เขากล่าวและเดินไปด้วยกันที่พระราชวังบักกิงแฮมที่อยู่ไม่ไกลสวนมากนัก
    พื้นที่ปูด้วยหินละเอียดมานับร้อยๆปีที่พวกเขาใช้เป็นเส้นทางในการคมนาคมทั้งรถม้าในสมัยโบราณจนกระทั่งรถยนต์ที่ใช้ในปัจจุบัน เขาทั้งสองเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงหน้าพระราชวังบักกิงแฮม รั้วที่ทำจากเนื้อเหล็กชั้นยอด ต่อและเชื่อมกันเรียงรายตลอดรอบๆบริเวณราชวัง นักท่องเที่ยวเดินเข้าออกกันอย่างพลุพล่าน พวกเขาทั้งสองจึงเดินหายไปกับฝูงชนที่เดินสวนออกมานับร้อยคน
    “คุณชอบงานศิลปะเหรอครับ” เขาเริ่มพูดสนทนาระหว่างที่เดินชมศิลปะชั้นเอกของลีโอนาโด
    “ก็...ค่ะโรสชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว คุณพ่อมักจะบอกเสมอว่า อนาคตพวกวัตถุนิยมจะเจริญ เทคโนโลยีก็เช่นเดียวกัน ผู้คนก็จะหันเหไปทางเทคโนโลยีมากขึ้นคือ ภาพวาดก็จะขายได้ดี” เธอยิ้ม และกล่าวต่อว่า “แล้วโจอี้ละ สนใจอะไรอยู่เหรอ” เธอหยุดเดินและละสายตามาที่เขา
    “ผมหน่ะเหรอ” เขาย้ำกับตัวเองด้วยดวงตาที่เลิกขึ้นและกล่าวต่อว่า “ผมชอบที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ภาษา ผมชอบการเขียนหนังสือและก็เรื่องดอกไม้ครับ” เขาตอบ
    “อ้อเหรอค่ะ ฉันก็ชอบที่จะเขียนหนังสือเหมือนกัน แต่เขียนแล้วมักจะไม่ค่อยจบ ขณะไดอารี่ของโรสเองกว่าจะกลับมานั่งเขียนก็ปาไปหลายอาทิตย์เลยละ” เธอหัวเราะแก้เขิน
    “ผมเองก็เช่นเดียวกันครับ ไม่ค่อยได้เขียนไดอารี่สักเท่าไหร่ เพราะที่บ้านงานเยอะ ก็เลยไม่ค่อยมีเวลาเขียน” เขาเดินต่อไปที่ภาพถัดไป
    เวลานั้นผ่านไปเร็วยิ่งนัก เขาทั้งสองก็เดินชมงานจนทั่วพระราชวังบักกิงแฮมที่โอ่อ่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เข้าไปสัมผัสและชื่นชมโรงม้าหลวงที่อยู่ด้านหลังของราชวัง โจอี้และโรสจึงออกจากลานมาหยุดซื้อขนมปังที่มีเนื้อวัวอยู่ข้างในขนมปัง ทานกัน
    “อุ้ย......จะหกโมงแล้วเหรอค่ะ” เธอเอามือขึ้นมาปิดปากขณะที่เธอดูนาฬิกาของเธออีกข้อมือหนึ่ง
    “อ้อครับ.....โรสมีเวลาแค่สองชั่วโมงเองนี่ครับ” เขากล่าว
    “ใช่และฉันเองก็นัดคนรถมารับที่ทราฟัลการ์สแควร์ ตายจริง!” เธอแสดงท่าทีที่ตกใจและกล่าวต่อว่า “งั้นโรสต้องรีบไปแล้วละค่ะ”
    “งั้นผมไปส่งนะ”
    เธอรีบทานขนมปังให้เสร็จสิ้นแล้วนั่งรถต่อไปที่ทราฟัลการ์สแควร์พร้อมกับโจอี้ ดวงตาที่มีความวิตกกังวลจนเขานั้นไม่สามารถที่จะรับรู้ได้ว่า มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ทำไมสีหน้าของเธอถึงได้ตื่นตระหนกขนาดนี้ เวลาผ่านไปสิบห้านาที ฝูงนกพิราบก็บินถลาลมขึ้นสู่ท้องฟ้าสีคราม ผู้คนที่อยู่บริเวณนั้นก็น้อยลงกว่าตอนกลางวันเป็นอย่างมาก ร้านค้าต่างๆก็ทยอยกันปิดร้าน
    “ว่าแต่ใครมารับเหรอครับ” เขาลงจากรถและเดินตามเธอ
    “ฉันว่าคุณรีบกลับไปเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกเขาก็มารับโรสเอง” เธอหันมาสบตาอีกครั้งและเดินอย่างรวดเร็ว
    “โรส เธอไม่เป็นไรนะ” เขาวิ่งไปขนาบข้างเธอขณะที่กำลังข้ามถนนมายังฝั่งอนุสาวรีย์
    “ไม่เป็นไรค่ะ โรสไม่เป็นไร โรสอยู่คนเดียวได้ค่ะ” เธอรีบเดินหนีเขา แต่โจอี้ก็ยังคงเดินตามเธอติดๆ
    “งั้นผมจะติดต่อคุณยังไงครับ” เขาถาม
    “ฉัน จะมาวาดรูปที่นี่ทุกวันยกเว้นวันเสาร์และอาทิตย์ตั้งแต่เวลาบ่ายโมงถึงสามโมงเย็น ถ้าคุณอยากจะเจอฉัน คุณก็มาหาฉันได้ที่นี่” เธอหยุดและทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านี้
    “ครับ แล้วผมจะมาหาคุณนะครับ” เขาหยุดเดินและตะโกนบอกเธอ
    ช่วงเวลาที่เขาและเธอต่างเดินข้ามถนนมายังฝั่งทราฟัลการ์สแควร์ แอนนาได้นั่งรถสวนผ่านเขาและเธอที่เดินตามกัน ณ บริเวณอนุสาวรีย์ เธอได้แต่จิกสายตาอย่างไม่สบอารมณ์มากนัก ภายใต้เงารถที่บดบังดวงตาและรัศมีความงามของเธอของชนชาติอังกฤษโดยแท้จริง คนขับรถของเธอหยุดรถตรงหน้าน้ำพุและลงไปเปิดประตูรถให้โรสขึ้นมา แต่แล้วเรื่องทั้งหมดก็กลับเลวร้ายมากขึ้น เมื่อเธอได้พบว่าคนที่มารับเธอ ไม่ใช่คุณป้ามิเชล แต่กลับเป็นแม่ของเธอเอง.....
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น