ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Flowers caramel หนุ่มหน้าใสหัวใจคาราเมล

    ลำดับตอนที่ #12 : ฤดูใบไม้ผลิที่แฮมพ์สเต็ด

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 47


        สายของวันต่อมาซึ่งวันนี้เป็นวันอาทิตย์ของการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิที่สดใส และดังนั้นร้านดอกไม้ริมถนนจึงหยุดเพื่อสังสรรค์กับครอบครัวหรือวันแห่งครอบครัว วันนี้โจอี้ได้มีโอกาสตื่นสายกว่าทุกๆวันเพราะฉะนั้น เช้านี้เขาก็ยังคงนอนอยู่บนที่นอนอันอ่อนนุ่มสีขาวอย่างสบายใจ



        “อ้าว.....สวัสดีครับคุณมิเชล” โจเปิดประตูออกมาต้อนรับเธอ

        “สวัสดีจ๊ะ.....” เธอยิ้มและทักทายโจ

        “เชิญเข้ามาก่อนซิครับ พอดีคุณแม่กำลังนั่งถักโคเชอยู่เลย” โจเปิดทางและเชื้อเชิญเธอ

        “อ้อ....วันนี้ฉันมีธุระ ฝากบอกกับโจแอนด้วยว่าอยากจะอยู่คุยด้วยแต่ต้องรีบไป และก็ฉันฝากจดหมายฉบับนี้ให้กับโจอี้ด้วย” เธอยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งให้กับโจและส่งสายตาเป็นนัยน์ๆ โจเองก็ยื่นมือมารับและสบตากับเธอ



        ---- ก๊อก ก๊อก ก๊อก ----



        “ครับ”โจอี้สะดุ้งตื่นขึ้นมาและเหลือบไปมองนาฬิกา

        “ตื่นหรือยังลูก” เสียงโจดังมาจากประตูอีกด้านหนึ่ง

        “อ้อครับ.....” เขาลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปเปิดประตูห้องนอน

        “เมื่อเช้ามีหญิงสาวคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าประตูบ้าน เธอฝากจดหมายฉบับหนึ่งให้กับโจอี้ พ่อเห็นว่าลูกยังไม่ตื่นก็เลยถือวิสาสะรับจดหมายนี้เอาไว้ แต่พ่อมาคิดอีกทีลูกเองก็ยังไม่อาบน้ำแปรงฟัน ลูกคงไม่อยากจะอ่านข้อความในจดหมายกระมัง” โจยื่นจดหมายให้กับเขาและดึงกลับ หยอกล้อกับลูกชาย

        “พ่อครับ.....ผมขอจดหมายได้ไหมครับ” โจอี้ยื่นมือจะแย่งจากพ่อแต่ก็ไม่สำเร็จ

        “อยากอ่าน อยากได้ ก็ไปอาบน้ำ แปรงฟันและก็ลงไปทานอาหารเช้าได้แล้ว รู้ไหมว่าอาหารมันเย็นชืดหมด” โจทำตาเหลือกกลอกไปมาและหันหลังให้กับโจอี้

        “ก็ได้ครับพ่อ ผมยอมแพ้แล้ว ผมจะไปแปรงฟัน อาบน้ำ และก็ทานอาหารเช้า แต่มีข้อแม้ว่า พ่อต้องไม่อ่านข้อความในจดหมายหรือเปิดอ่านโดยเด็ดขาด” เขาพูดพลางยื่นหน้าออกมาจากห้องนอน

        “ได้....ภายในยี่สิบนาทีนะ” โจตอบและเดินหายลงไปจากบันไดชั้นสอง

        “พ่อขี้โกง.....” แต่มันก็ไม่ได้ผล เขาก็ต้องไปอาบน้ำอยู่ดี



        ช่วงเวลาดีดีกับกีฬาตอนสิบโมงเช้า ซึ่งช่วงนี้เป็นกีฬาโปรดของโจเลยทีเดียวซอกเกอร์ และวันนี้ก็เป็นนัดสำคัญ แมนเชสเตอร์และลิเวอร์พูล ทั้งสองทีมล้วนแล้วแต่เป็นทีมโปรดของโจทั้งสิ้น และคราวนี้ลิเวอร์พูลก็คือทีมเยือนของแมนเชสเตอร์ เพราะฉะนั้นที่แมนเชสเตอร์จึงคึกคักเป็นพิเศษ



        “พ่อครับ ผมทานอาหารเสร็จแล้ว ขอจดหมายด้วย” เขาโผล่หน้าออกมาจากห้องครัว

        “แหม รีบเชียวนะ” โจนั่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดูทีวี

        “โธ่ นะครับพ่อ” โจอี้เดินอ้อมมานั่งข้างๆพ่อ

        “อะ.......” โจยื่นจดหมายให้กับเขาและพูดต่อว่า “จะไปไหนมาไหน แต่งตัวให้มันดูดีหน่อย เดี๋ยวคนอื่นเขาจะดูถูกเอา” เขาทิ้งทายไว้เพียงแค่นั้น เหมือนกับว่าเขาจะต้องออกไปข้างนอกกับใครบางคน





        โจอี้ วันนี้หวังว่าเธอคงว่างนะ โรสจะไปวาดรูปที่แฮมพ์สเต็ดวิลเลจนะ บ่ายโมงเจอกันที่ด้านหน้านะ ฉันจะรอเธอ



    โรส





        “บ่ายโมง ตายแล้วตอนนี้สิบโมงกว่าแล้ว ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาเดินไปเดินมาวนอยู่ที่ในห้องตัวเองอย่างร้อนรน และก็หยุด “แล้วเราต้องใส่ชุดอะไร” เขาพึมพำกับตัวเอง ในที่สุดเวลาสำคัญก็มาถึง



        โรสเพิ่งออกมาจากห้องน้ำได้สักพัก เธอแต่งตัวและเตรียมของที่จะไปวาดรูปที่แฮมพ์สเต็ดส่วนทางด้านโจอี้ก็ตื่นเต้นรีบออกจากบ้านเร็วกว่าเวลาที่เขาและเธอได้นัดหมายกันเอาไว้



        สวนสาธารณะแฮมพ์สเต็ดวิลเลจ ที่ที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจศิลปินและนักเขียนมานานกว่าสามร้อยปี ส่วนหนึ่งเพราะละเมาะป่าแฮมพ์สเต็ดฮีธ การเดินเที่ยวและวาดรูปจึงเป็นบรรยากาศที่ดีแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน และยังมีพิพิธภัณฑ์ฟรอยด์ ซึ่งเป็นบ้านของกวีจอห์น คีตส์หรือคีตส์ โกรฟและซิกมันด์ ฟรอยด์ ซึ่งอาศัยอยู่ในปีสุดท้ายแห่งชีวิต เปิดให้ประชาชนเข้าชม ปัจจุบันนักดนตรีและนักแสดงหลายคนมีบ้านพักอยู่ที่นี่



        โจอี้นั่งรถประจำทางมาถึงก่อนเวลาสิบห้านาที เขารนมากสายตาก็สอดส่องดูรอบข้างว่าเธอมาหรือยัง ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองมาก่อนเวลา โจอี้แทบจะพลิกข้อมือดูนาฬิกาทุกๆวินาทีเห็นจะได้ ในที่สุดเธอก็มาถึง และก็ลงจากรถสีขาวโปร่ง สามารถมองเห็นภายในรถได้ว่าใครเป็นคนนั่งในรถและใครเป็นผู้ขับ ป้ามิเชลเองก็มาเป็นเพื่อนกับโรส มิเชลช่วยเธอถือของมากมายลงจากรถและหันไปคุยกับคนขับรถเหมือนกับว่าให้เขากลับไปก่อนแล้วค่อยมารับพวกเขา และรถสีขาวคันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปและหายลับไปกับถนนสุดสายแห่งนี้



        โจอี้เห็นพวกเธอถือของพะรุงพะรัง ก็รีบวิ่งไปหาและเข้าไปช่วยพวกเธอถือ



        “สวัสดีครับ ให้ผมช่วยนะ” เสียงของเขาเป็นเอกลักษณ์โรสจึงหันมากล่าวว่า

        “ขอบคุณค่ะ”

        “สวัสดีครับป้ามิเชล ไม่ได้เจอกันหลายวันสบายดีไหมครับ” เขาถามสารทุกข์สุขดิบในมือถือกระดาษวาดเขียนและขาตั้ง

        “ก็ดีจ๊ะ เพิ่งจะหายไข้เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง” ป้าทำท่ากระแอมอีกครั้งและยิ้มที่เห็นเขาและเธออยู่ด้วยกันอย่างเป็นสุข

        “ว่าแต่ โรสจะให้ผมวางของตรงไหนดีครับ” โจอี้หยุดและมองไปรอบๆ

        “ตรงต้นไม้ตรงนี้ก็ได้ค่ะ” เธอชี้ไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขาออกไปด้านข้าง



        “เออ......วันนี้โรสจะวาดภาพอะไรเหรอ” เขากางขาตั้งออกพลางหันไปถาม

        “ก็คิดว่า....จะวาดรูปคน” เธอพูดขณะที่เอากระดาษวางบนขาตั้งแต่สายตาเธอก็จับจ้องดวงตาของเขาอย่างไม่กระพริบ

        “คนเอ๋.....แต่บริเวณนี้ไม่มีคนนะครับ” เขาทำหน้าฉงนใจเล็กน้อย

        “ก็....โรสจะวาดโจอี้ไง....ไปนั่งตรงโน่นแล้วเป็นต้นแบบให้โรสละกัน โรสอยากวาดเสร็จไวไว และเราจะได้ไปเที่ยวกันต่อ ดีไหม” เธอยิ้มและชี้นำทางให้เขาไปนั่งตรงจุดที่เธอกำหนด

        “โรส งั้นป้าไม่อยู่กวนแล้ว มีอะไรโทรมาหาป้าละกันนะจ๊ะ” มิเชลสั่งและยิ้มทิ้งท้าย

        “ค่ะป้า” เธอยิ้มตอบและหันมาให้ความสนใจโจอี้อีกครั้ง



        ถึงแม้ว่าเขาและเธอไม่เคยจะได้รับประทานอาหารเป็นการส่วนตัว ได้แต่มาชื่นชมธรรมชาติและการสัมผัสกลิ่นไอของศิลปะยุคต่างๆ พิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กวัยรุ่นชายมักจะเลี่ยงที่จะไปกัน เขากับมีอารมณ์ร่วมไปกับเธอซึ่งเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ และตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าเขาจะมานั่งเป็นแบบให้กับเธอวาดภาพ ณ สวนสาธรณะแห่งนี้ เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งบ่ายสามโมงเย็น โรสก็วาดรูปลงเงาเขาเสร็จสมบูรณ์



        “เสร็จแล้วค่ะ” เธอลุกขึ้นและยิ้ม

        “ไหนขอผมดูหน่อย....” เขาลุกขึ้นและวิ่งมาดูแต่เธอกลับเบี่ยงบ่ายไม่ให้เขาดูและรีบเก็บรูปใบนั้นในกระเป๋า

        “ขี้โกงนิโรส มาให้ผมเป็นแบบแล้วไม่ให้ผมดูรูป ไม่รู้ว่าวาดรูปภาพอะไรกันน้า.....หรือว่าจะเป็นภาพเปลือย” เขาทำหน้าทะเล้นใส่เธอ

        “จะบ้าเหรอ.....ไม่ได้เป็นภาพอย่างนั้นซะหน่อย แต่โรสยังไม่อยากให้โจอี้เห็นก็แค่นั้นเอง” เธอยิ้มน้อยๆและกล่าวต่อว่า “โจอี้จะกลับกี่โมงเหรอค่ะ”

        “ผมยังไงก็ได้ แต่ผมรู้อย่างเดียวตอนนี้ว่า ผมหิวแล้วละ” เขาทำหน้าอ้อนๆใส่เธอ และพวกเขาก็ออกจากสวนและไปหาอะไรทานแถวๆถนนอัลเบอร์นี่



        “ผมไม่ค่อยได้มาแถวนี้เลย เมื่อเช้าเกือบหลง ดีที่ผมมาก่อนเวลาไม่งั้นผมคงมาสายแน่” โจอี้บ่นให้โรสฟังขณะที่เลือกรายการอาหารอยู่ว่าจะทานอะไร

        “ที่นี่เป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่โรสเองก็มาค่อนข้างจะบ่อย แต่ปกติจะมากับคุณแม่ แต่วันนี้ท่านไปดูโรงงานที่แมนเชสเตอร์ ก็คิดว่าจะกลับอีกทีก็อาทิตย์หน้า” เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตา

        “อย่างนั้นเหรอครับ อย่างนี้วันนี้ก็กลับบ้านค่ำก็ได้ใช่ไหมครับ” เขาลองเชิงเธอดูหากเธอกลับบ้านดึกได้ เขาจะได้พาเธอไปเที่ยวต่อและจะไปส่งเธอที่บ้าน

        “ไม่ได้หรอกค่ะ คุณแม่โทรมาเช็คและอีกอย่างพี่แดนนี่เองก็คงจับจ้องดูโรสอยู่ เพราะเขาเองก็เป็นสายสืบให้คุณแม่ ไม่งั้นคุณป้าจะโดนเล่นงานเอาได้ คุณแม่เองก็ไม่เหมือนคนอื่นเขาด้วย” เธอก้มหน้าลงมากระซิบเบาๆกับโจอี้

        “เหรอครับ แย่จัง.....” เขาทำหน้าเบ้และก็เงียบไปสักพักหนึ่ง

        “ว่าแต่ เมื่อวานนี้เธอมีเรื่องอะไรจะบอกเหรอ” เธอยังคงจำคำที่โจอี้จะบอกกับเธอได้อย่างแม่นยำ ทำให้โจอี้ถึงกับนั่งนิ่งเงียบและหน้าเริ่มแดง

        “ว่าไงค่ะ.....” เธอมองลึกผ่านดวงตาของเขาและย้ำอีกครั้ง

        “อ....เออ.....คือผม.......” เขาหลบดวงตาที่มั่นคงของเธอและเปลี่ยนเรื่องกล่าวต่อว่า “อะ...อาหารมาแล้ว เราทานกันดีกว่านะครับ” เขาเบี่ยงเบนและรีบหยิบของที่สั่งมาเริ่มทานอย่างไม่พูดไม่จา

        “เดี๋ยว จะบอกได้หรือยังว่าคุณมีอะไรจะบอก” เธอชักน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อยและหน้าตาเริ่มไม่สบอารมณ์

        “เอางี้ แลกกับภาพเขียนละกัน ให้ผมดูก่อนแล้วผมจะบอก”

        “อะไรกัน ต้องมีข้อแม้ด้วยเหรอ” เธอทำหน้างงๆและพูดต่อว่า “ก็ได้ ถ้าโรสให้โจอี้ก็ต้องบอกนะว่ามีเรื่องอะไรจะบอก” เธอยื่นข้อเสนอ

        “ครับ ผมลูกผู้ชาย สัญญาคำไหนคำนั้นอยุ่แล้ว” เขายืดอกออก เธอจึงหยิบกระเป๋าและหยิบภาพวาดให้แก่เขาได้ยลโฉม

        “ครับ.....” เขาได้แต่พูดคำนั้นคำเดียวและนิ่งเงียบไป

        “เอาละ บอกได้ยังว่าจะบอกอะไร” เธอเค้นอีกรอบ

        “ได้.....ผม...........” ดวงตาของเธอและเขาก็จับจ้องกันอย่างลึกซึ้ง

        “ผม.........” เธอเลิกตาขึ้นและยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆกับเขาทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น



        “คุณหนูโรสค่ะ อยู่ที่ไหนค่ะ ตอนนี้แดนนี่มารับแล้ว รีบมาที่รถด่วนเลยนะค่ะ” เสียงปลายสายกล่าว

        “แต่หนูยังทานของอยู่เลย” เธอพูด

        “อย่างนั้นเหรอค่ะ งั้นเดี๋ยวป้าไปรับที่ร้านละกัน แดนนี่จะได้ไม่สงสัย บอกว่าจะไปช่วยคุณหนูถือของ” และเสียงปลายสายก็หลุดไป



        “ทานเถอะค่ะ ต้องรีบทานเพราะคนรถมารับแล้ว” เธอพูดพลางหยิบส้อมมีดเรื่มลงมือทานอาหาร



        ทั้งสองทานอาหารร่วมกันภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที ป้ามิเชลก็มาถึงร้านอาหารจนได้ ฝ่ายแดนนี่เห็นท่าไม่ดีไปนานก็แอบสะกดรอยตามไปก็พบว่าคุณหนูโรส บุตรสาวคนเดียวของตระกูลคาราเมล ลงไปเกลือกกลั้วกับชายชั้นต่ำคนนั้น เขาจึงรีบโทรไปรายงานให้กับคุณแอนนาและทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย



        “โจอี้ นี่เบอร์มือถือของโรส โทรมานะ” เธอรีบลุกขึ้นและเดินออกจากร้านทันที

        “ครับ ผมจะโทรไปหาคืนนี้” เขาโต้ตอบออกไป



        มีสุขก็ย่อมมีทุกข์ โรสไม่รับรู้หรอกว่ามีคนสะกดรอยตามเธอก่อนหน้านี่ และโรสเองก็ไม่รู้หรอกว่าโจอี้กำลังถูกลูกน้องของแอนนาจับจ้องอยู่ การข่มขู่และจารีตทำให้มีการขีดเส้นแบ่งชนชั้นระหว่างคนธรรมดากับชนชั้นผู้ดีอังกฤษเก่าที่หัวโบราณ เธอขึ้นรถด้วยสีหน้าที่เป็นปกติแต่ซ่อนดวงตาที่เต็มไปด้วยความสุข ส่วนป้ามิเชลเองมีปลื้มปิติที่เห็นโรสมีความสุขและทำในสิ่งที่เธอต้องการ



        เตือนดีดีดูเหมือนว่าจะไม่สำเร็จ ได้ฉันจะมีมาตรการใหม่ให้กับเธอ โจอี้ และเธอก็จะไม่มีวันได้พบกับโรสอีก



        











    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×