ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Flowers caramel หนุ่มหน้าใสหัวใจคาราเมล

    ลำดับตอนที่ #10 : ได้โปรดให้โอกาสอีกสักครั้งเถอะนะ

    • อัปเดตล่าสุด 22 มี.ค. 47




        เขานั่งจมปลักกับที่ประจำที่โรสนั่งและมานั่งวาดเขียนบ่อยๆ ถึงแม้ว่าวันนี้เธอจะไม่มาก็ตาม เมฆยามเช้าที่สดใสตอนนี้ท้องฟ้าก็เปิดออกจนเห็นได้ถึงพระอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะของเขา โจอี้ก็ยังคงนั่งรอเธอที่น้ำพุเช่นเหมือนเดิม สมองของเขาตื้อไปหมด มันเหมือนจะมีอะไรในนั้นแต่ก็โล่งจนไม่สามารถที่จะบรรยายได้ว่าในนั้นมันมีอะไร



        “โรสชอบงานศิลปะ” เขาบ่นกับตัวเองคนเดียว

        “เธอน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งที่มีงาน หรือไม่ก็น้ำพุแบบนี้ เธออาจจะเปลี่ยนที่ก็ได้”



        เขาลุกขึ้นและเริ่มก้าวแรกที่บักกิงแฮมและเริ่มค้นหาเธอ เขาทั้งเดินและนั่งรถค้นหาเธอทุกแห่งหน ทุกสนานที่ที่มีนิทรรศการภาพเขียนต่างๆ พิพิธภัณฑ์ภาพวาดยุคเรเนซองก์ หรือว่าโรแมนติกก็ตาม เขาค้นหาเธอทุกมุมเมืองที่มีศิลปะทั้งวาดทั้งถ่ายภาพและสถาปัตยกรรมโกธิก อนุสาวรีย์ต่างๆและโบสถ์แคทอลิกมากมาย ในที่สุด เขาก็หยุดอยู่ที่เวสต์มินสเตอร์ คาธีดรัล



        เขานั่งลงอีกครั้งที่หน้าโบสถ์เวสต์มินสเตอร์ท่ามกลางศิลปะแนวนีโอโกธิกหรือที่รู้จักกันในนามของโบสถ์นิกายโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1890



        “โจอี้”



        นกพิราบที่รวมตัวกันเป็นหมู่ที่อยู่ต่อหน้าเขาและเธอ โบยบินทะยานขึ้นท้องฟ้าโดยเว้นช่องว่างระหว่างเขาและเธออย่างเห็นได้ชัด



        “โรส......ผมขอโทษ” โจอี้และโรสวิ่งเข้าหาและเผชิญหน้ากัน

        “ผมขอโทษ” เขาย่ำอีกครั้งต่อหน้าเธอและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบกายและจ้องมองเขาทั้งสอง

        “ฉันนึกว่าคุณจะไม่ให้อภัยฉันซะแล้ว” เธอหยุดสบตาดวงตากลมๆของเขาที่จ้องมองผ่านดวงตาของเธอ

        “ทำไมคุณไม่ไปที่ทราฟัลการ์ละ” โจอี้ถาม

        “คือ.....ช่วงนี้ฉันไม่ค่อยมีเวลา”

        “แล้วป้ามิเชลละครับ ผมไม่เห็นท่านหลายวันเลย” โจอี้ถามถึงคุณป้าอย่างห่วงใย

        “อ้อ....คุณป้าเขาไม่ค่อยสบายเท่าไหร่”

        “บอกป้ามิเชลด้วยนะครับ ว่าผมฝากความคิดถึงและเป็นห่วง” และเขาก็กุมมือโรสไว้ในมือทั้งสอง

        “ฉันจะบอกคุณป้าให้นะค่ะ” เธอยิ้มอย่างเป็นสุขและกล่าวต่อว่า “ฉันต้องไปแล้วละ”

        “ไปไหน” เขาถามอย่างลุกลี้ลุกลน

        “ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับบ้านแล้ว”เธอว่าเช่นนั้น

        “เมื่อไหร่ผมจะเจอกับโรสอีก”

        “ฉันไม่รู้เหมือนกัน เสาร์ที่สาม สองทุ่มที่บาธ เขาจะมีวงดนตรีมาแสดง ฉันจะนั่งอยู่แถวหน้าตัวที่สาม” และเธอก็วิ่งหายไปพร้อมกับฝูงนกพิราบสีเทา



        “วันที่สาม เดือนพฤษภาคม สองทุ่ม.....ไชโย...........” เขากระโดดทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความดีใจอย่างสุดขีดจนทำให้คนรอบข้างหันมามองในทุกทิศ



        ในที่สุดกาลเวลาก็ผ่านไป เข้าเดินทางมาจนสิ้นสุดเดือนเมษาและเริ่มวันใหม่กับเดือนพฤษภาคม เพียงแค่ไม่กี่วันที่โจอี้ไม่เจอกับโรส ก็เหมือนนานเป็นแรมปี เขานั่งนับวันเวลาและสิ่งที่เขาทำอยู่ขณะนี้ก็คือ การรอเวลาที่จะได้พบกับเธอ “อีกครั้ง”



        เสียงดนตรีที่คลอเคล้าบรรเลงเบาๆโดยวงดนตรีแชมเบอร์ ซึ่งทุกๆปีพวกเขาเหล่านี้จะมาจัดการแสดงดนตรีของวงประสานเสียงและเหล่านักดนตรีดีดสีตีเป่าที่บาธอินเตอร์แนชชันนัลหรือเรียกสั้นๆกันว่า บาธ มีแขกทั้งชาวต่างชาติและชนพื้นเมืองที่ต่างมาเยี่ยมชมและดูการแสดงของเหล่านักดนตรีมืออาชีพเหล่านี้ ค่ำคืนนี้ล้วนแล้วแต่มีผู้คนที่สวมชุดราตรี หญิงสวมกระโปรงและชายสวมชุดสุภาพมางานผู้ดีนี้จำนวนมาก พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นเศรษฐีคนมีเงิน



    เขากำลังงุ่นง่านกับเสื้อผ้าที่จะไปพบกับงานแสดงดนตรีสุดหรูของอังกฤษ โคมระย้า ดวงไฟที่ใช้นำทางในยามค่ำคืนที่ตัดกับชุดราตรีของผู้คนในงานดนตรีคืนนี้ ช่างหน้าอัศจรรย์ยิ่งนัก



    “พ่อครับ ผมออกไปงานดนตรีที่บาธนะครับ”

    “บาธงั้นเหรอ ใช่เห็นว่ามีงานแสดงดนตรีแต่ลูกเป็นคนไม่ชอบฟังดนตรีแนวนั้นนี่” โจที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ละสายตากจากตัวหนังสือเล็กๆไปมองโจอี้

    “ผมไปนะ” เขาหันหลังให้พ่อเขาและรีบวิ่งออกไปทันที

    “อะไรของลูกคนนี้นะ เดี๋ยวนี่ชักจะเอาใหญ่ซะแล้ว” โจบ่นพึมพำกับตัวเองขณะที่เห็นหลังลูกชายที่กำลังวิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง

    “เอาเถอะลูก ปล่อยโจอี้เขาเถอะ เขาโตแล้วนะ” คุณย่าโจแอนพูดขึ้นเพื่อเรียกร้องความสนใจจากโจ

    “เอะ....”โจหันมามองโจแอนและถามว่า “คุณแม่พูดแบบนี้ มีอะไรปิดบังผมรึเปล่าครับ”

    “ไม่หนิ” เธอยิ้มเป็นทางนัยน์และเดินหายเข้าไปในห้องครัวของตัวบ้าน



    ณ งานรื่นเริง โรสเองก็มาถึงงานแล้วเช่นเดียวกัน เธอสวมชุดราตรีสีขาวและเสื้อคุมสีทองเดินสง่าเคียงข้างกับแอนนาและวสันต์ แต่งานนี้ก็ไม่ได้มีแต่เพียงกลุ่มมหาเศรษฐีสินค้าชื่อดังเพียงอย่างเดียว งานนี้เองครอบครัวของสมาร์ตเองก็มาเหมือนกัน เพราะราเซียเออร์ก็เป็นหนึ่งในยอดนักสะสมงานศิลปะและนักฟังดนตรีตัวโยงเช่นกันกับมหาเศรษฐีคนอื่นๆ



    “อยู่ไหนนะ โรส” เขาเดินเข้ามาในงานสายตาสอดส่องไปรอบๆงาน



    เขาเดินไปมาตรงบริเวณเวทีและที่นั่งที่โรสได้บอกไว้ว่าเธอนั่งตรงไหน เขาเห็นเธอแล้วแต่ก็ยังไกลกับเธอมาก



    “แม่ค่ะ หนูขอตัวไปเข้าห้องน้ำและหาอะไรทานก่อนนะค่ะ” เธอเดินปลีกตัวออกมาเป็นสัญญาณว่าเขาก็สามารถที่จะไปพบเธอตามลำพังได้



         เขารีบวิ่งตัดผู้คนเพื่อให้ถึงตัวเธอให้เร็วที่สุด แต่แล้วเขาก็พบว่าเธอที่กำลังเดินผ่านผู้คนไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง กลับมีชายคนหนึ่งมาบดบังชุดราตรีขาว ท่าทางที่สนิทสนมกันที่เห็นได้จากสีหน้าของเธอที่เบิกบานและมีความสุขต่อหน้าผู้ชายผมสีบรอนตั้งและสวมทักซิโด้ โดยเขาเห็นเฉพาะด้านหลัง และเขาก็ดูดีซะด้วย ซึ่งทำให้ความรู้สึกเขาแย่เมื่อหันมามองตัวเองว่า เขาเป็นใคร ทำไมเขาถึงต้องมางานหรูหรามีแต่ผู้คนที่มีเงินทองซึ่งตัวเขานั้นไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าที่เขาเลือกมาดูดีที่สุดในตู้เองแล้ว แต่มันก็ไม่ดีพอกับงานนี้



        “แสตนฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ” เธอบอกลาแสตนไปทำธุระส่วนตัวโดยผ่านต้นไม้ที่โจอี้ยืนหลบอยู่

        “โรส” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากมุมๆหนึ่งของด้านหลังของเธอ

        “โจอี้ นึกว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว”

        “ทำไมผมจะไม่มาละ ก็ผมสัญญากับคุณว่าผมจะมา ผมก็ต้องมาซิ” เขายิ้มด้วยร่างกายที่สั่นไหวเล็กน้อย

        “งั้นเราเดินออกไปที่หน้างานกันนะ”

        “ไปซิ.....”





        “แล้วแม่คุณละ” โจอี้ถามถึงแม่ของเธอขณะที่เดินออกมาที่หน้างาน

        “แม่ฉันอยู่ในงาน ไม่เป็นไรหรอกค่ะเขาไม่เห็นเราสองคนหรอก”

        “โรส ผมมีเรื่องอยากจะบอกคุณมานานแล้วนะ.....ถ้าผมไม่บอกคุณตอนนี้มันอาจจะสายเกินไปที่จะบอกก็ได้” เขาเริ่มเปิดช่องทางเป็นนัยน์ๆกับเธอ

        “อะไรเหรอที่โจอี้อยากจะบอกกับโรส” เธอออกตัวถามทั้งๆที่ดวงตาเปล่งประกายเหมือนรู้คำตอบเป็นนัยน์ๆ

        “คือผม........”



        “คุณอีกแล้วเหรอ โจอี้ สมิธ” เสียงที่ดังกังวานและงามสง่าที่เป็นสัญลักษณ์ของคนชั้นสูงดังขึ้นที่หน้าประตูงาน

        

    คุณแม่......













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×