"ไอ้เจ้าโดส มาช่วยข้ายกลังนี่หน่อยสิ!"
เสียงของชายวัยชราดังขึ้นมา การแต่งตัวของชายคนนี้นั้นเหมือนกับชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่เป็นจุดเด่นพิเศษ ดวงตาของชายคนนี้มองไปยังบุรุษในชุดเกราะทหารผู้เดินไปยกลังไปขึ้นเกวียนที่เขาเป็นเจ้าของด้วยความเอ็นดู
"เหนื่อยหน่อยนะลุงวันนี้!" ชายคนนั้นตะโกนมา เขาหัวเราะลั่น
"ไม่หรอกน่า เพราะได้เจ้ามาช่วยนั่นล่ะ!" ตอบกลับไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มือเหี่ยวย่นล้วงหาบางสิ่งอย่างเมื่อพบจึงโยนมันไปให้กับคนอายุน้อยกว่าตน
"เอ้า! เอาไปเถอะถือว่าเป็นค่าเหนื่อย!" ทหารหนุ่มส่ายหน้ามือยื่นถึงผ้าที่บรรจุเงินไว้ส่งคืนให้ ก่อนจะกล่าวออกมา
"ไม่หรอก ทหารอย่างข้าก็แค่ทำตามหน้าที่คือการช่วยเหลือประชาชนเท่านั้น เงินพวกนี้น่ะไม่จำเป็นหรอก" ผู้เป็นเจ้าของถุงเงินส่ายหน้าทั้งยังดันมือที่ถือถุงเงินยื่นมากลับไป
"เจ้ามีคนที่ต้องให้ดูแลอีกมาก ยศทหารเฝ้ายามเช่นเจ้าหาได้มีเงินเดือนเยอะเฉกเช่นยศอื่นๆ ถ้าเจ้ายังปฏิเสธเช่นนี้เจาจักเอาอะไรกินล่ะหนุ่มเอ๊ย? ไหนจะเงินที่เจ้ามักจะเอาไปซื้ออาหารให้เด็กไร้บ้านได้กินจนอิ่มท้องอีกเล่า เอ้าๆ! รับไป!" ด้วยความดื้อดึงนี้ชายหนุ่มจึงรับเงินถุงนี้มา
"ขอบคุณมากนะลุง! ข้าซาบซึ้งจริงๆ! " กล่าวทิ้งท้ายไว้เช่นนั้น ตัวหันกลับเพื่อไปทำหน้าที่ต่อ
วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งของทหารยามเช่นเขา นัวร์ โดส ทหารยามชั้นต่ำที่มีหน้าที่มากมายแต่เงินที่ได้รับเป็นค่าแรงนั้นแทบจะไม่พอยังชีพตนาเอง กระนั้นแล้วเขายังคงทำงานต่อไปอย่างขยันขันแข็งเพื่อหาเงินเลี้ยงเด็กไร้บ้านที่สลัมอันเป็นแหล่งเสื่อมโทรม
มันยากที่จะเชื่อ หนึ่งในเมืองที่ถูกปกครองโดยศาสนจักรอันรุ่งเรืองจักเป็นเช่นนี้ ถึงจะเป็นแค่ศาสนจักรย่อยที่แยกออกมาก็ตาม..
ไม่มีใครคิดจะแก้ปัญหานี้ ผู้คนต่างคิดว่าคนในสลัมนั้นไร้ค่า แต่เขาหาได้คิดเช่นนั้น ทุกชีวิตล้วนมีค่าและทหารชั้นต่ำเช่นเขาจะพิสูจน์มันเอง
"เทพีแห่งโชคลาภขอบคุณพระองค์ที่ทำให้วันนี้เป็นวันที่ดี ขอบคุณที่ทำให้เด็กๆได้มีอาการกินอิ่มอีกมื้อ" มือประสานกันตรงบริเวณอก ศีรษะที่ถูกใส่ทับด้วยหมวกเหล็กก้มลง น้ำเสียงที่เอ่ยนั้นเต็มไปด้วยความศรัทธาและซาบซึ้งจับใจ
"ทำอะไรอยู่ไอ้โดส รีบมานี่สิ! จะได้เวลาทำพิธีแล้วนะ!" ทหารยศเดียวกันตะโกนเรียกพลางกวักมือเรียกชายหนุ่ม นัวร์หันไปมองเท้าก้าวเดินไปหาสหายร่วมอาชีพ ทั้งสองพากันเดินไปยังแท่นบูชาแห่งหนึ่งอันมีรูปปั้นของเทพี เทพ นับสิบกว่าตนสลักเอาไว้
นัวร์คุกเข่าลงมือยกขึ้นไปดึงหมวกเหล็กออกจากศีรษะ เผยเกษาสีน้ำตาลสากชุ่มเหงื่อ ใบหน้าเรียวเข้มได้รูปที่ดูธรรมดามากไม่ได้หล่อเหลาหรือโดดเด่นอะไร เนตรสีแดงเข้มดุดันแต่แฝงด้วยความอ่อนโยน สีผิวคล้ำเป็นปกติของบุรุษที่ทำงานอย่างหนัก
ชายหนุ่มหลับตาลง เปลี่ยนท่ามาคุกเข่า มือประสานที่อก
ในขณะนั้นเองก็มีบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นหลวงพ่อชราผู้มีความศักดิ์สิทธิ์มากในเมืองนี้เดินเข้ามา ตัวถูกปกคลุมไปด้วยเครื่องเพชรพลอยหลากสีสัน แม้นแต่ฟันยังทำด้วยทอง
"เอาล่ะพร้อมแล้วใช่ไหม! เริ่มพิธีได้!" หลวงพ่อชราตะโกนลั่นผู้ร่วมพิธีทุกคนลุกขึ้นกันทีละคนอย่างเป็นระเบียบ มือถือถุงเงินไปวางไว้ที่หน้ารูปเทพตามที่ตนเองศรัทธา
"เทพีแห่งการรักษาโปรดรับเงินเหล่านี้ไป แล้วทรงช่วยลูกของดิฉันเถิดเจ้าค่ะ!" หญิงแก่ก้มกราบที่หน้ารูปปั้น
"ยิ่งเจ้านำของมีค่ามาให้เทพีมากเท่าใด พระนางจะให้โอกาสที่ลูกชายเจ้าจะมีชีวิตมากขึ้น" หลวงพ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เมื่อนางได้ยินดังนั้นจึงหยิบถุงเงินสุดท้ายที่นางมีติดตัววางไว้อีก
พิธีกรรมมันเป็นเช่นนี้เสมอในทุกอาทิตย์จะมีการทำพิธีกรรมเพื่อขอความเมตตาจากเหล่าทวยเทพโดยมีหลวงพ่อคนนี้เป็นสื่อกลางคอยนำสารจากพวกท่านมาให้ วิธีการขอความเมตตานั้นง่ายจนแม้แต่กบยังเข้าใจ นั้นคือการเอาเงินที่มีมาวางต่อหน้ารูปปั้นเทพ ยิ่งให้มากคำขอที่ขอไปก็จะสมหวังได้ง่ายขึ้น
เมื่อถึงคราของนัวร์ เขาหยิบเงินอันน้อยนิดที่มีติดตัวไปวางไว้ตรงหน้าของเทพีผู้ซึ่งถูกลืม
เทพีแห่งความยุติธรรมและความเมตตา
พระนางคือเทพีที่เขานับถือมาตั้งแต่เยาว์วัย ครั้งที่จำความได้ ตัวคุกเข่าอ้อนวอน
'ขอให้ความเมตตาและยุติธรรมกับเด็กๆที่เกิดในเขตยากไร้อันถูกกดขี่ด้วยเถิด'
อ้อนวอนกี่ครั้งกี่คราก็เป็นเฉกเช่นเดิม พระนางไม่เคยตอบรับคำอ้อนวอนของเขา ในใจของชายหนุ่มเองรู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไร
เงินที่นำมาขอความเมตตานั้นไม่พออย่างไรล่ะ...
ทหารหนุ่มลุกขึ้นยืนหลังจากที่อ้อนวอนเสร็จแล้ว..
ไม่เป็นไร ถึงเขาจะมีเงินไม่มากพอจะขอความเมตตาจากเทพีได้ แต่ด้วยความหมั่นเพียร พระนางจักให้ความเมตตามาอย่างแน่นอน! อย่างน้อยก็ขอแค่พวกเด็กๆก็พอ..
ทหารผู้ต่ำต้อยถอนหายใจออกมา เขาเดินไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้เด็กๆในเขตสลัม ทันทีที่ทำทุกอย่างที่ต้องทำเสร็จแล้วก็ต้องไปทำงานเป็นทหารเฝ้ายามเช่นเดิม
ช่วงนี้ล่ะสบายนักไม่ค่อยได้เห็นคนนอกรีตถูกจับมาบ่อยๆแล้ว ตัวของทหารหนุ่มได้แต่สงสัย หลายครั้งหลายคราที่มีพวกนอกรีตถูกจับมาพวกเขาเอาแต่บอกว่าการบริจาคเงินเพื่อขอความเมตตานั้นไม่ถูกต้อง ตัวเขาเองก็เคยสงสัยเหมือนกัน เหตุใดต้องเอาของนอกกายเช่นนั้นไปขอความเมตตาด้วย?
สักวันหนึ่งเขาจักได้รับคำตอบ อาจจากตัวของพวกท่านเอง หรือคำบอกใบ้ของพวกท่าน
ชายหนุ่มคิดเช่นนั้น แม้นจะสงสัยแต่ก็ยังคงต้องศรัทธา ด้วยความสงสัยเพียงนิดไม่อาจลบล้างความศรัทธานี้ได้หรอก
นัวร์ยืนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้วนไปมาขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอยู่ หน้าก้มลงมือประสานอกสวดอ้อนวอน
ทหารหนุ่มเดินออกจากตำแหน่งที่เฝ้าของตนเองเพื่อจะกลับไปยังกระท่อมเล็กๆเพื่อนอนพักผ่อนเอาแรงที่จะทำงานต่อในวันพรุ่งนี้
แสงสว่างถูกส่องมาจากช่องว่างของกระท่อม นัวร์ลุกขึ้นหาววอดๆ มือยกขึ้นขยี้ขี้ตาออกจากเนตรสีแดงเข้ม
เมื่อตั้งสติได้แล้วเขาก็เริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการไปช่วยชาวบ้าน เช่นการขนของ เป็นต้น บ้างก็ได้ค่าตอบแทนมาเป็นอาหาร บ้างก็แค่คำขอบคุณธรรมดา แต่หัวใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความสุข แค่ได้ช่วยชาวบ้านคนอื่นมันก็เพียงพอแล้ว
เวลาล่วงเลยมา พระอาทิตย์เปลี่ยนตำแหน่งบ่งบอกได้ว่านี่อยู่ช่วงกลางวันแล้ว
เขาถอนหายใจออกมา วันนี้ได้ช่วยชาวบ้านไปเยอะเหมือนกัน..สายตาเหลือบไปเห็นเด็กสาวไม่คุ้นหน้า ในชุดแต่งกายต่างถิ่นเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่ว่าอะไร อาจจะเป็นนักเดินทาง
เห็นมีบุรุษในชุดสีขาวคุยอะไรสักอย่างก็เดินจากไป เด็กสาวผู้นั้นหันซ้ายหันขวาราวกับกำลังหาอะไรอยู่ ใบหน้าเรียวเงยมองพระอาทิตย์ ตัวทรุด คุกเข่าลงเอามือประสานที่อกแล้วพึมพำ ชาวบ้านในรอบต่างแตกตื่น
"พวกนอกรีต! พวกนอกรีต!" หญิงร่างอวบหันมาหานัวร์ เขาพยักหน้าหยิบลูกดอกที่เอาไว้ยิงสำหรับทำให้สลบโดยเฉพาะ
ฟุ่บ
นางล้มลงนอนกับพื้น ชาวบ้านโดยรอบดูกลัวเป็นอย่างมาก พวกนอกรีตไม่ได้ปรากฎตัวมานานมากพอตัว เมื่อเจอในเขตหมู่บ้านเช่นนี้ย่อมแตกตื่นเป็นธรรมดา
ทหารหนุ่มพยุงร่างเด็กสาวก่อนจะพาไปขังที่คุกใต้ดินตรงเขตสลัมอันเอาไว้ขังพวกนอกรีตโดยเฉพาะ นัวร์เดินไปรายงานเรื่องนี้กับทหารยศสูงกว่า ไม่นานก็ได้รับคำตอบว่า
"ไม่ว่าง นับเงินอยู่ เจ้าช่วยเฝ้าสังเกตุการณ์ไปก่อนแล้วกัน"
เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจ ร่างสูงเดินกลับไปยังห้องขังเพื่อทำหน้าที่ตามที่ตนเองได้รับมอบหมายมาอย่างเคร่งครัด เฝ้าไปครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกถึงความร้อนเพราะชุดเกราะอันหนักอึ้งกับหมวกเหล็กเลยต้องถอดหมวกออก พลันก็ได้ยินเสียงเหมือนโซ่กระทบกันจึงหันไปดูเล็กน้อย
เด็กสาวเจ้าของดวงตาสีแอเมทิกส์คู่งาม ยิ่งงดงามขึ้นไปอีกตอนมันกระทบกับแสงของโคมไฟในคุกใต้ดิน ดวงตางามราวอัญมณีหลุบมองที่โซ่อันพันธนาการตัวนางไว้ ดูเหมือนนางจะมีอาการมึนงงอยู่บ้าง
"ตื่นแล้วเร๊อะ!" นัวร์พูดด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด เขาหันกลับไปยังทิศทางเดิมหลังถามเสร็จ
"ที่นี่คือที่ไหน" น้ำเสียงนุ่มน่าฟังอันไร้ซึ่งลักษณะอารมณ์ถามออกมา เขาถอนหายใจเบาๆ ตัวหันไปหาเด็กสาวผู้เอ่ยถาม
"นี่เป็นคุกเอาไว้ขังพวกมารศาสนา" ได้รับคำตอบตาของนางก็เบิกกว้างเล็กน้อย ใบหน้ากลับไร้ซึ่งอารมณ์จนนัวร์รู้สึกว่ามันย้อนแย้งกันแบบแปลกๆ
สตรีเยาว์วัยไม่พูดกล่าวอะไรอีก ดวงตาของนางมองตรงไปยังข้างหน้า ไม่ขยับเขยื้อนอะไรต่อจากนี้ ทหารหนุ่มสรุปว่านางกำลังเหม่ออยู่
แปลก..
ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!
นางช่างเงียบสงบแตกต่างจากพวกนอกรีตที่ถูกจับมา ปกติทุกคนนั้นจะแหกปากโวยวายชวนปวดหัวยิ่ง แต่นี่กลับไม่ใช่เลย
หรือนางจะมีแผนอะไรอยู่?
ด้วยความคิดนี้นัวร์จึงจับตามองทุกการกระทำของนางอย่างระมัดระวัง พบเพียงความว่างเปล่า พินิจพิจารณาไป พบว่าเด็กสาวตรงหน้าตนเองก็ดูยังเยาว์วัยอยู่เลย ท่าทางจะยังไม่พ้นอายุยี่สิบกระมั้ง
นับว่ายังไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก นางยังพอสั่งสอนให้เข้าสู่หนทางแห่งพระธรรมได้ ต้องสั่งสอนแค่เพียงเล็กน้อยว่าในศาสนาเรานั้นไม่มีการพึมพำอะไรที่คล้ายคลึงกับการบูชาปีศาจเข่นนั้น
"ข้าไม่รู้ว่าเจ้าถูกสั่งสอนมาเช่นใด สาวน้อย แต่เจ้าต้องเข้าใจว่าการกระทำของเจ้านั้นคล้ายคลึงกับพวกนอกรีต" นัวร์ตัดสินใจกล่าวออกไป เด็กสาวหันมามองชายหนุ่ม ดวงตาคู่งามหรี่มองมา ฉับพลันร่างเขาก็รู้สึกเหมือนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ อุณหภูมิร่างกายที่คิดว่าร้อนแทบขาดใจกลับเย็นยะเยือก
"นอกรีต? มันคือการสวดมนต์สรรเสริญต่อพระบิดาต่างหาก..." น้ำเสียงนั้นช่างเย็นจับใจ
"พระบิดา? หมายถึงเทพสูงสุดของเทพีกับเทพน่ะหรือ? ครอบครัวเจ้าสอนมาเช่นนี้กระนั้นหรือเด็กน้อย? การมอบเงินให้พวกท่านต่างหากคือการสรรเสริญ" นัวร์เถียงกลับไปโดยใช้ความรู้ที่ตนถูกสั่งสอนมา
"ของนอกกายเหล่านั้นช่างโสมมเกินกว่าจะมอบให้พระบิดา ไม่คิดหรือว่าการกระทำความดีงามและส่งเสริมให้ผู้คนทำตัวดีเพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสเข้าไปสู่อาณาจักรของพระองค์น่ายินดียิ่งกว่าการนำของโสโครกนั่นไปให้" เลือดในกายของชายหนุ่มร้อนระอุแทบจะในทันที
"เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันสาวน้อย เจ้าจะหาว่าเงินที่สาวกทั้งหลายหามานั้นโสมมเกินกว่าจะให้พวกท่านกระนั้นหรือ" ถึงจะโกรธแต่ก็โต้กลับไปอย่างใจเย็น
"ของนอกกายเหล่านั้นมันไม่จำเป็น ความศรัทธา การกระทำ และการประพฤติตนให้มีวินัยภายใต้หลักคำสอนของพระองค์ต่างหากที่สำคัญที่สุด ถึงจะมอบเงินเหล่านั้นให้แล้วอย่างไร? เงินน่ะมันก็เป็นแค่เหรียญที่ใช้แลกสิ่งของบนโลกมนุษย์ แต่ความดีคือสิ่งที่เหนือกว่าเงินตรา พระบิดาสอนให้ทำความดีหาใช่การหาเงินมาถวายท่าน" เด็กสาวตอบกลับอย่างเรียบนิ่งทุกถ้อยคำเปล่งออกมาเสียงดังฟังชัด บ่งบอกว่านางนั้นมั่นใจในทุกคำพูดของตนเอง
นัวร์ยืนนิ่งไปชั่วขณะ เขาไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน นางโต้เถียงเขากลับมาด้วยความมั่นใจ สิ่งที่กล่าวมาล้วนสมเหตุสมผลทั้งสิ้น นางช่างมีสติปัญญาล้ำเลิศ คำพูดของนางถูกกลั่นกรองมาแต่ความเป็นจริง สตรีเช่นนี้น่ะหรือคือพวกนอกรีต?
ทหารผู้ต่ำต้อยยืนกำหมัดแน่น แต่คำสอนของศาสนจักรนั้นสอนย้ำแต่คำเดิมๆ ซึ่งต่อให้เอาคำสอนทั้งหมดมารวมกัน ก็ไม่อาจสู้คำพูดเมื่อครู่ของนางได้เลย
'การมอบเงินให้พวกท่านคือการทำความดีสูงสุด'
'เงินที่เจ้ามอบให้นั้นคือการสรรเสริญพวกท่าน จนหมั่นมอบให้พวกท่านซะ'
'ยิ่งมอบเงินให้เท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงถึงความศรัทธาของเจ้า!"
และอีกคำสอนมากมายที่ระบุถึงเรื่อง 'เงิน' ซึ่งเขาผู้เคารพในตัวของนักบวชและเหล่าทวยเทพจึงเชื่อฟังคำสอนนั้น ถึงจะไม่เต็มร้อยก็ตาม ด้วยความคิดที่ว่าการมอบเงินตรานั้นเหมาะสมจริงหรือ แต่เขาก็ไม่ใช่พวกนอกรีตที่จะทำผิดประเพณีที่หลวงพ่อสอน จึงทำตามไปด้วยความศรัทธา
แต่นางกลับทำให้ทั้งหมดพังทลายในพริบตาเดียว..
สตรีนางนี้ไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว
"แต่สำหรับข้าคำสอนที่ถูกสอนมาหาใช่เป็นเช่นนั้น" น้ำเสียงเบาหวิวตอบกลับไป
"จริงหรือ? ที่บ้านของข้านั้นมีหนังสือของศาสนจักรที่ถูกเขียนเมื่อนานมาแล้วมันสอนตรงกับสิ่งที่ข้าพูดไปทุกประการ ไฉนเจ้าจึงพูดสิ่งที่ย้อนแย้งเช่นนั้น" นางเอียงคอน้อยๆถาม
"สิ่งที่เจ้าพูดมาหาใช่เรื่องตลก"
"แน่นอน มีเหตุผลอันใดที่ข้าจักต้องโกหก...แล้วสิ่งที่เจ้าถูกสอนนั้นพูดจริงใช่หรือไม่" นางเอ่ยถามออกมา นัวร์พยักหน้า
"อืม"
"แล้วเจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดกับสิ่งที่เจ้าถูกสอนมาอันไหนน่าเชื่อถือกว่ากัน?" นางเอ่ยถามคำถามที่ทำให้ทหารหนุ่มอึ้ง เขายืนนิ่งไม่ตอบอะไร น่าละอายใจที่ความศรัทธาทั้งหมดต่อคำสอนเกี่ยวกับการถวายเงินตรา นั้นพังทลายลงในเวลาไม่ถึงชั่วโมงหลังจากที่ได้เจอนาง
"เจ้าไม่จำเป็นต้องเชื่อสิ่งที่ข้ากล่าวออกมาจนหมด ถ้าเจ้าไม่รังเกียจ ฟังคำสอนที่ข้าถูกสั่งสอนมาแล้วเอาไปเปรียบเทียบกับคำสอนที่เจ้าถูกสอนมาดูเถิด ถึงเวลาเจ้าเองก็ต้องเลือกว่าคำสอนไหนนั้นมีมูลมากกว่ากัน ข้าก็เคยอยู่จุดเดียวกับเจ้า และเมื่อเจ้ามีวุฒิภาวะมากพอ ก็จงเลือกความเชื่อที่เจ้าศรัทธาตามความปราถนาของเจ้า" คำพูดนั้นทำให้ชายร่างสูงเข่าอ่อน เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน กระทั่งฟังคำสอนของหลวงพ่อชราก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้...
ราวกับ...
ราวกับพูดคุยอยู่กับผู้ส่งสารแห่งพระเจ้าอย่างแท้จริง
เหล่าเทพได้ตอบรับความสงสัยของเขาและได้ให้คำตอบมาแล้ว
นางคือตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้า
"นามของเจ้- ท่านคืออันใด" สรรพนามถูกเปลี่ยนโดยพลัน เด็กสาวรูปงามขมวดคิ้ว
"ใช้สรรพนามเดิมก็ได้ นามข้าคือ วิล-- อลิซ" เหมือนนางจะกล่าวคำผิด เปล่งคำว่าอลิซออกมานางก็นิ่งเงียบราวกับตกอยู่ในภวังค์
"นามข้าคือ นัวร์ โดส..วานอลิซช่วยชี้แนะคำสอนด้วย"
ตัวโค้งลงด้วยความนอบน้อม ถ้ามีผู้อื่นอยู่ในเหตุการณ์ด้วยคงต้องกล่าวว่า เด็กสาวได้ใช้มนต์ต้องสาปสะกดจิตใจของทหารผู้นี้เป็นแน่...จากทหารที่นับถือประเพณีเดิมของตนเอง และเคร่งครัดมาก กลับเปลี่ยนความคิดได้ในเวลาไม่นาน ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน....
ในสายตาของนัวร์ นางช่างเป็นสตรีที่น่าเคารพ ถ้ายังอายุแค่นี้ยังมีรัศมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์มากขนาดนี้...โตขึ้นไปนางคงเป็นนักบวชศักดิ์สิทธิ์ได้ในเวลาอันสั้นแน่
ใบหน้าที่มีแต่ความว่างเปล่านั่นช่างเดาได้ยากเสียจริงว่านางกำลังคิดอันใดอยู่
--------------
รูปประกอบนัวร์ โดส(ยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจากไรท์มีที่พึ่งคือเมาส์หนูกับโปรแกรมเก่าๆเท่านั้น) ซึ่ง ไรท์ต้องลากทีละเส้นๆ(ไรท์ไม่ถนัดใช้เส้นโค้ง) มันลำบากมั่กๆ ยิ่งใช้เมาส์หนู(นานๆทีแตะที) //นอนตายอย่างสงบ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ต่อๆรอนานแล้วนะค่ะไรท์
อยากอ่านอีก ได้โปรดอย่าทิ้งเด็กน้อยตาดำๆไว้กลางทางเลยนะ
อยากอ่านต่อค่ะไรท์อลิสจะถูกช่วยใหม่เหมือนนางมา แสวงบุญเลยตอนนี้รอค่ะ
แแล้วแบบนี้ จะเป็นไงต่อเนี่ย อลิสคงถูกช่วยออกมา แล้วไงต่อ