หลังจากที่ได้มาอยู่กับมิแลงเกลล์แล้ว วิลเลี่ยมก็ได้รู้ว่านางถูกเหล่าเทวาโหวตให้เป็นผู้ปกครองเผ่า จึงมีแต่เผ่าเทวาเต็มไปหมดเลย แล้วยิ่งที่ชุดของเทวาพวกนั้นใส่มันเหมือนกับนักบวชเขาก็ลองถามไป นางก็ตอบมาว่า อันที่จริงแล้ว เทวาประมาณเก้าจากสิบมักจะเป็นนักบวชซะส่วนใหญ่เลยใส่ชุดแบบนั้น ที่คล้ายนางก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกันเพราะโลกแต่ละโลกอาจจะคล้ายกันบ้างไม่คล้ายกันบ้างคละกันไป
วิลเลี่ยมได้เรียนรู้การพับปีกของตนเอง และกางปีกออก แต่ที่สำคัญคือ....เขาบินไม่เป็น
ใช่แล้ว บินไม่เป็น จะบอกว่าโง่ หรืออ่อนด้อยทางปัญญาก็ได้ เพราะทั้งชีวิตนี้เขาใช้แต่ขาเดิน มีปีกงอกครั้งแรกในรอบ 40 ปีใครจะไปบินเป็นล่ะจริงไหม?
"ไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะหาท่านไปฝึกบินรวมกับเทวารุ่นใหม่เอง!"
เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ตอบมาอย่างกระตือรือร้น แม้นผ้าจะบังใบหน้าของนางอยู่ แต่เขาก็เห็นดวงตาของนางลางๆ และมันทอประกายแวววาวมาก
"ท่านมิเกลขอรับ"
เทวาหนุ่มคนหนึ่งโผล่มา เขามีร่างกายที่ผอมกว่าปกติมากจนจะเห็นกระดูก
"อ๋อ! ลืมไปเลย นี่จะ"
นางเอื้อมมือเรียวสีน้ำนมไปแตะหน้าผากเทวาตนนั้น ก่อนที่ร่างกายจากที่ซูบผอมจะเปลี่ยนเป็นมีน้ำมีนวลมากขึ้น
"ขอบคุณขอรับท่านมิเกล"
เขาก้มหัวอย่างนอบน้อม หญิงสาวหัวเราะเบาๆด้วยน้ำเสียงสดใส
"ไม่เป็นไรจ้า"
วิลเลี่ยมมองเหตุการณ์ตรงหน้า คิ้วเลิกขึ้นอย่างสงสัย...จากซูบผอมเปลี่ยนเป็นมีน้ำมีนวล? เอ๊ะเดี๋ยวนะ....เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ นางทำให้คนอื่นมีร่างกายอุดมสมบูรณ์ดั่งเช่นฉายาของนางงั้นฦา?
"นั่น?"
วิลเลี่ยมเอ่ยขึ้นมาเบาๆ คิ้วขมวดกันจนเป็นปม เทพสาวหันมามองเขาแล้วทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
"อ๋อ ลืมบอกไปน่ะค่ะ! ดิฉัน ไม่สิ ขอแทนตัวด้วยชื่อแล้วกันนะคะ มิเกลน่ะสามารถทำให้ร่างกายของคนอื่นอุดมสมบูรณ์ขึ้นมาได้! ไม่ว่าจะเผ่าไหน หรือเป็นเทพด้วยกันก็ตาม แล้วเทวาน่ะเป็นเผ่าที่ร่างกายย่อยอาหารเร็วมาก จึงมักจะกินอาหารมากกว่าปกติ แต่เทวาที่เป็นนักบวชหลายตนนั้นมักจะสวดภาวนาหรืออ่านพระคัมภีร์จนลืมรับประทานอาหาร แค่วันเดียวร่างกายก็จะซูบผอมอย่างเห็นได้ชัด มิเกลจึงมีหน้าที่ทำให้ร่างกายพวกเขาอุดมสมบูรณ์ค่ะ!"
"แล้วข้า...."
"อ๋อ! ไม่ต้องห่วงค่ะ ตอนนี้ท่านยังไม่ได้เป็นเทวาอย่างเต็มตัว คงต้องรอให้ปีกมีสีเข้มกว่านี้อีกหน่อย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะ! ถ้าท่านกลายเป็นเทวาเต็มตัวเมื่อไหร่ มิเกลจะทำให้ท่าน อุดมสมบูรณ์ เอง!"
หญิงสาวพูดเสียงดังอย่างสดใส เทวารอบข้างต่างก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
"ไปกันเถอะค่ะ"
นางกล่าวแล้วดึงมือวิลเลี่ยมไป ดวงตาสีอัญมณีคู่งามมองไปรอบๆวิหารแสนงดงาม ที่นี่มีสวนหย่อมด้วย มีน้ำพุ ที่สำคัญมีสัตว์มากมายวิ่งเต็มไปหมด ช่างเป็นสถานที่อันเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างแท้จริง
เมื่อเดินไปสักพักก็ไปถึงลานกว้าง มีเด็กหญิง เด็กชาย ทั้งหลายวิ่งเล่นกัน บางคนก็พยายามกางปีกสีขาวเล็กๆออกมาเ แล้วกระพือเพื่อที่จะบิน แต่ก็หกล้มบ้าง หน้าทิ่มพื้นบ้าง บางคนก็บินขึ้นมาได้แต่ก็ได้แค่ระยะเดียวก่อนจะหน้าคว่ำลงกับพื้น
"ท่านมิแลงเกลล์"
เด็กๆมองมาทางมิแลงเกลล์แล้ววิ่งเข้ามากระโจนกอดกันเป็นแถว หญิงสาวหัวเราะแล้วอุ้มบางคนขึ้นมา
"นี่คือเทวาคนใหม่ที่ได้รับเลือกจากครรภ์แห่งปัญญา แต่ยังบินไม่เป็น คนที่บินเป็นแล้วช่วยสอนหน่อยนะจ๊ะ อ๋ออีกอย่าง เขาเป็นวิญญาณที่หลุดมาจากอีกโลกนะ แล้วเขาเป็นผู้ชาย อย่าจับเขาไปเล่นตุ๊กตาล่ะ"
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนนุ่มนวล เด็กๆพยักหน้า หลายคนเริ่มรุมล้อมเขา บ้างก็เอ่ยถามคำถามออกมา บ้างก็บอกว่าเขานั้นเป็นคนที่น่าสนใจ ส่วนมิแลงเกลล์นั้นเดินเข้าไปในวิหารกับเทวาตนอื่นๆ
"นี่ๆ ท่านอายุเท่าไหร่หรือขอรับ! วิญญาณของท่านนะ ปีนี้กระผมอายุสองร้อยปีนะ! ท่านต้องสั่งสมบุญมาไม่ต่ำกว่าร้อยปีแน่ถึงได้มาอยู่ที่นี่!"
วิลเลี่ยมไม่เข้าใจว่าอะไรคือสั่งสมบุญแล้วได้มาอยู่ที่นี่ มันเกี่ยวกันด้วยหรอ? แต่ว่า.....เด็กตัวแค่นี้สองร้อยปีหรือ?
"สี่สิบปี ว่าแต่ อายุสองร้อยปียังบินไม่ได้เลยหรือ? การบินมันยากขนาดนั้นเชียว"
ถ้าจำไม่ผิด ตะกี้เทวาเด็กคนนี้เพิ่งหน้าคว่ำก่อนจะมาหานี่นา...อายุสองร้อยปีแล้วแต่ยังบินไม่ได้ แล้วจนจบอายุขัยเขาจะบินได้หรือไม่นะ?
"เปล่าหรอกขอรับ! ปีกของกระผมปรากฎออกมาช้ากว่าคนอื่นเพราะกระผมเป็นลูกครึ่งไซเรนน่ะขอรับ ทั้งครอบครัวกระผมมีแต่กระผมที่เป็นเทวา"
เด็กน้อย? พูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าเล็กน้อย วิลเลี่ยมย่อตัวลงให้อยู่ระดับสายตาของอีกฝ่าย
"มีแต่เจ้าคนเดียวที่เป็นเทวาแล้วอย่างไร? ไม่ว่าจะเป็นเทวาหรือไซเรน เจ้ากับคนในครอบครัวเจ้าก็เป็นครอบครัวเดียวกันนี่ นั่นล่ะสำคัญที่สุด ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเทวาหรือไซเรนพวกเขาก็รักเจ้า"
วิลเลี่ยมพูดเสียงนุ่ม เด็กชายยิ้มออกมาอย่างสดใสแล้วกอดเขา เด็กคนอื่นเองก็ปลอบเทวาครึ่งไซเรนตนนั้นไปด้วย
"ว่าแต่...ใครพอจะสอนข้าได้บ้างหรือไม่?"
มีเด็กหลายคนยกมือขึ้นมา...
จากนั้นวิลเลี่ยมก็ใช้เวลากับการบิน แน่นอนว่าแค่กระพือปีกของตนเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ พอเขาจะบินก็หน้าคว่ำลงกันพื้นจนใบหน้าแสบไปหมดแล้ว ใช้เวลานานพอตัวกว่าเขาจะกระพือปีกทั้งสองข้างได้ แน่นอนว่าใบหน้าเขาเป็นรอยแดงจากการที่ไถลไปกับพื้นนับไม่ถ้วน
"เจ็บไหมขอรับ เดี๋ยวนะ เจ้ามีธาตุลมใช่ไหม? ส่วนเจ้ามีธาตุน้ำ ไปทำน้ำแข็งมาประคบหน้าเขาหน่อยสิ"
เด็กหญิงคนหนึ่งกล่าว สักพักก็ได้น้ำแข็งมาประคบใบหน้าที่เป็นสีแดงของเขา วิลเลี่ยมรู้สึกว่าหน้าตนเองแสบไปหมด เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ไม่เหลือเค้าโครงของหญิงที่เกิดจากตระกูลสูงศักดิ์เลย
"ลองอีกแล้วกัน..."
จากนั้นเขาก็ใช้เวลาทั้งวันไปกับการฝึกบิน เขาสามารถบินได้ประมาณหนึ่งนาที นั่นคือมากที่สุดหลังจากที่ฝึกมาทั้งวันแล้ว ซึ่งแน่นนอนว่าสภาพของเขาหลังจากที่ฝึกเสร็จก็ดูไม่ได้ ผมยุ่งเป็นรังนก เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นไปหมด หน้าเป็นรอยแดง และอีกมากมาย สภาพของเขาตอนนี้ไม่ต่างจากขอทาน ถ้าไม่ติดที่หน้าตาอันงามล้ำของเด็กสาว และเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าชั้นดี คงถูกทักว่าเป็นขอทานไปแล้ว...
"เหนื่อยมากเลยใช่ไหมคะ?"
มิแลงเกลล์เดินมาพร้อมกับถาดขนมปัง เด็กๆวิ่งไปเกาะขาของนาง จากนั้นเทพสาวก็แจกจ่ายขนมปังให้พวกเขา
"นิดหน่อย...แต่ปวดไปทั้งตัวเลย"
เขาหัวทิ่มลงพื้นบ่อยมาก แน่นอนว่าทั้งซี่โคร่ง หลัง และส่วนต่างๆของเขานั้นปวดไปทั่วเลย แม้นจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งกว่าปกติ แต่โดนนานๆมันก็ต้องปวดบ้าง....ไม่ซี่โครงหักก็ปาฏิหารย์แล้ว....
"ข้าจะกลับยังไงกัน....ตอนนี้ข้าปวดไปหมดเลย จะไปอ่านหนังสือด้วย..."
"เดี๋ยวมิเกลไปส่งนะคะ! ตอนนี้ท่านน่าจะบินได้แล้ว เหลือแค่ขยับปีกจนกว่ากล้ามเนื้อปีกจะคงที่ จากนั้นท่านก็สามารถบินได้เหมือนเช่นเทวาปกติแล้วนะคะ"
นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพาตัววิลเลี่ยมกลับไปที่บ้าน.....เขานอนลงกับเตียงอย่างเหนื่อยล้า สักพักจึงลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ แล้วทานอาหารที่เมดนำมาวางไว้หน้าห้องอย่างที่เคยเป็นก่อนจะไปนั่งอ่านหนังสือ ใกล้วันเปิดเทอมเข้ามาทุกทีแล้วสินะ..คงต้องใช้เวลาอ่านหนังสือ และฝึกอย่างมีคุณค่า
จากนั้นวิลเลี่ยมก็เอาแต่อ่านหนังสือ ฝึกบิน และทำกิจวัตรประจำวันของตนเอง ตอนนี้เขาสามารถไปไหนมาไหนได้แล้วเพราะรู้วิธีเก็บปีกของตนเอง ตอนที่เขาเดินออกจากห้องไปแบบไร้ปีกทุกคนดูตกใจมากและเข้ามาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา ดยุกวินเซ้นต์รู้สึกโล่งอก ถ้าบึตรสาวเขาเก็บปีกได้ ก็คงไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ชีวิตเขายังคงสงบสุขอยู่สินะ...
วิลเลี่ยมได้ร่วมรับประทานอาหารกับดยุกวินเซ้นต์ครั้งแรกนับจากวันที่เขามีปีก จากนั้นก็เข้านอน
วันต่อๆมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลกไปมาก ต่างตรงที่เขาไปออกกำลังกายได้แล้วก็เท่านั้น...วันหนึ่งเขาได้รับสร้อยแบบเดียวกับที่ได้สวมในร่างกายเดิมของเขาจากเดธ อีกฝ่ายบอกว่ามันสำคัญมาก เวลาสลับร่างเจ้าตัวจะได้ไม่ต้องเอาผลึกมาแปะอีกเพราะขี้เกียจ จากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก
ในที่สุดก็มาถึง...วันเปิดเทอม วิลเลี่ยมเตรียมตัวอย่างดี ตื่นนอนแต่เช้า รับประทานอาหารจนเรียบร้อย เขาไปโรงเรียนทันทีที่ทำธุระเสร็จทั้งหมด
เมื่อไปถึง โรงเรียนเปลี่ยนไปมาก มีตึกอาคารเต็มไปหมด ที่สำคัญคือคนจากเป่าต่างๆที่เดอนเกลื่อนกลาดกระจัดกระจายจนนักเรียนดั่งเดิมหรืออาจารย์ของโรงเรียนต้องหวาดผวา ตึกมากมายมีรูปร่างแปลกๆ บางตึกก็มีท่อต่อเต็มไปหมดรวมถึงมีน้ำขังอยู่ในตึก เผ่าครึ่งสัตว์มีปีกบินกันว่อนฟ้า อาจจะมีเผ่าตะขาบหรือจิ้งเหลนด้วย...แต่วิลเลี่ยมก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรหรอกนะ เผ่าต่างๆก็มีลักษณะเฉพาะของตัวเองนี่นา แล้วเขาจะกลัวไปทำไม?
ท่ามกลางนักเรียนมนุษย์ที่หวาดกลัวคนจากเผ่าอื่น เขากลับเดินเข้าไปในโรงเรียนอย่างหนักแน่นมั่นคง ใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ ไร้ซึ่งความหวาดกลัวดั่งเช่นคนอื่น มันทำให้เขาโดดเด่นราวกับดาวฤกษ์ที่ส่องสว่างไสว เพราะแบบนั้นบางส่วนจึงคลายความกลัวลงบ้าง บางคนก็ไม่กลัวเลย ในเมื่อสตรีบอบบางเช่นอลิซยังไม่กลัว แล้วจะกลัวไปทำไม ก็เห็นแลวว่านาวเดินเข้ามา ฝ่าฝูงของพวกมันไปโดยไร้ความกลัวด้วยซ้ำ
แน่นอนว่ากลุ่มที่คลาสความกลัวลงเร็วที่สุดคือกลุ่มของฟรานซิสส์ พวกเขาทั้งหลายรีบเดินไปประกบซ้ายขวา และด้านหลังของวิลเลี่ยมทันที ห่อนที่จะเดินไปดูกระดานประกาศผลสอบของตัวเอง นักเรียนคนอื่นๆก็วิ่งตามกลุ่มของวิลเลี่ยมไปเพราะไม่กล้าฝ่าฝูงชนของเผ่าอื่นไป
เมื่อได้ดูผลปรากฎว่า...
เขาได้อยู่ห้องA ฟรานซิสส์ คาเอล เดธ และคนอื่นๆอีกไม่มากก็อยู่ด้วย ส่วนที่เหลือก็กระจัดกระจายกันไปทั่ว
"ดีจังเลยนะเจ้าคะท่านอลิซ! ที่ได้อยู่ห้องเดียวกัน!"
เด็กสาวผมบลอนด์กล่าวอย่างดีใจ นักเรียนคนอื่นๆก็เช่นกัน ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกับเขาต่างทำหน้าสลดกันเป็นแถว วิลเลี่ยมจึงปลอบพวกเขาไปด้วย...
"กรี๊ดดด!???"
เสียงกรีดร้องแสบหูของมาเรียดังไปทั่ว เมื่อนางพบว่าตนเองตกลงมาอยู่ห้องC ฟรานซิสส์กับคนอื่นหัวเราะกันในลำคอ สายตามองไปยังสตรีร่างเล็กอย่าสะใจ ส่วนวิลเลี่ยมก็ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเหม่อคิดถึงบทเรียนที่เดธบอกว่าจะมีเสริมมาซะมากกว่า
"ข-ขอโทษนะคะ ทางไปดูผลห้องเรียนคือทางไหนหรือคะ?"
เด็กสาวคนหนึ่งเดินมาทักวิลเลี่ยม แต่รูปโฉมของนางทำให้หลายคนต่างกรีดร้องแล้ววิ่งหนีกัน ใบหน้าของนางแห้งเหี่ยวราวกับคนแก่ ดวงตาเป็นหลุมโบ๋ เส้นผมบนหัวมีเพียงน้อยนิด ผิวที่แตกแห้งราวกับดินไร้น้ำ สภาพของนางช่างน่ากลัวจนบางคนถึงกับเป็นลมไป
ฟรานซิสส์พยายามดึงวิลเลี่ยมออกมาแต่เขากลับไม่ยอม
"กระดานตรงนี้ค่ะ"
เขาชี้ไปที่กระดานแล้วคลี่ยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน เหตุที่เขาไม่กลัวเพราะวิลเลี่ยมคิดว่าแต่ละคนมีความงามที่ไม่เหมือนกัน อะไรคือมาตรฐานของความงามล่ะ? ทุกคนมีความงามในแบบของตัวเอง ฉะนั้นเขาจึงไม่เคยเห็นใครที่น่าเกลียดเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขาคิดว่าทุกคนมีความงามหมด แต่เป็นความงามแบบไหนก็สุดแล้วแต่พวกเขา
"ข-ขอบคุณนะคะ"
นางก้มหน้าลงเมื่อเห็นสายตาทุกคนที่มองมายังนางราวกับจะตอกย้ำรูปโฉมของนางว่าอุบาดเพียงใด ยกเว้นแต่สายตาที่วิลเลี่ยมมองไปยังนาง ราวกับเทพธิดากำลังมองสัตว์เบื้องล่างด้วยความอ่อนโยนและเมตตาก็ไม่ปาน
"ไม่เป็นไร เชิญเจ้าเลยค่ะ...ข้า อลิซ อควาเรียส เผ่ามนุษย์ เจ้าล่ะ?"
วิลเลี่ยมคิดว่าในเมื่อที่นี่มีหลายเผ่าก็ควรแนะนำเผ่าตัวเองด้วยล่ะนะ
"ข-ข้า มาเรียแอน เดอะ โมสส์บิ้วตี้ฟูล เผ่าผีเสื้อเจ้าค่ะ"
นางก้มหน้าหลบสายตาของอีกฝ่าย ไหล่ห่อลง เกร็งลำตัวของตัวเองด้วยความประหม่า
"ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ มิสโมสส์บิ้วตี้ฟูล"
เขาไม่รู้ว่าทำไมแต่กลับอยากจะทำความรู้จักกับนางทั้งๆที่เขาไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเลยแท้ๆ...คนอื่นๆต่างตกตะลึงเมื่อเห็นสตรีที่งดงามกำลังทำความรู้จักกับสตรีสุดแสนอัปลักษณ์ที่ด้วยท่าทีเป็นมิตรไร้ซึ่งความรังเกียจ
"ร-เรียกข้าว่ามาเรียแอนก็ได้นะคะ"
นางยิ้มให้วิลเลี่ยมอย่างอายๆ
"งั้นเรียกข้าว่าอลิซแล้วกันค่ะ"
เขายิ้มคืนให้นาง ฟรานซิสส์ถึงกับน้ำตาซึมเมื่อเห็นว่าวิลเลี่ยมเป็นคนที่จิตใจงดงามมากเพียงใด มาเรียแอนเดินไปดูกระดาน
"อ-เอ่อ มัธยมปีที่สอง ห้องA อยู่ที่ไหนหรือคะ?"
นางวนกลับมาถามวิลเลี่ยมอีกครั้ง
"ห้องเดียวกับข้าเลย ไว้เดี๋ยวเจ้าเข้าเรียนพร้อมกับข้าก็ได้นะคะ"
เขากล่าวอย่างเป็นมิตร เมื่อกลุ่มฟรานซิสส์เห็นดังนั้นจึงเข้าไปทำความรู้จักนาง ถึงรูปโฉมไม่ดี แต่นางให้ความเคารพและความเป็นมิตรกับท่านอลิซก็พอแล้ว มาเรียแอนรู้สึกประหม่ามากกว่าเดิมเมื่อหลายคนมาทำความรู้จัก ตั้งแต่เกิดนางมีรูปโฉมที่อัปลักษณ์ ทั้งที่เผ่าผีเสื้อมักจะมีรูปโฉมที่งดงามมากแท้ๆ แตกต่างจากพ่อแม่นางที่มีใบหน้าหล่อเหลาและงดงามยิ่ง...และนั่นเป็นเหตุผลที่ตั้งแต่เด็กนางต้องทนแบกรับคำนินทามามากมายจนไม่กล้าเข้าหาใคร
"ปีศาจอัปลักษณ์?!!"
หลังจากที่มาเรียทำใจกับห้องของตนเองได้นางก็ตะโกนดังลั่นเมื่อสายตาเหลือบมาเห็นมาเรียแอน มันทำให้นางเริ่มอยากจะขอบคุณพระเจ้ามากที่ทำให้นางมีรูปโฉมงดงาม ไม่ใช่มีใบหน้าอัปลักษณ์แบบนั้น
วิลเลี่ยมเริ่มฉุนเล็กน้อย เขาเกลียดที่สุดคือคำจำพวก เจ้านี่มันโง่ เจ้านี่มันหน้าตาอุบาด หรือคำดูถูกต่างๆมากมาย มนุษย์ทุกคนล้วนถูกพระบิดาสรรค์สร้างมา ความงาม หรือความอัปลักษณ์ย่อมหามีไม่ เหตุใดต้องพูดแบบนั้นด้วย?
"มิสโดรานี่ ท่านมิสมควรกล่าวแบบนั้น"
วิลเลี่ยมตำหนินางเพราะเขาใช้คำต่อว่าไม่ค่อยจะเป็นแตกต่างกับกลุ่มฟรานซิสส์ลิบลับ
"ก็มันจริงนี่นา! นางเป็นปีศาจมิผิดแน่!"
นางเถียงออกมา
"แล้วเจ้าล่ะสวยหรอ? หน้านี่อย่างกับพังพืดปลาไหล"
ฟรานซิสส์พูดขึ้นมาทันที ดวงตาหรี่มองมาเรียราวกับเป็นมดปลวก
"สวยสิคะ"
นางตอบกลับมาแต่เสียงเบา ฟรานซิสส์เหยียดยิ้ม
"ถ้าเบ้าหน้าแบบหล่อนว่าสวย หนังเท้าท่านอลิซคงเป็นนางงามของประเทศแล้วล่ะ"
นางกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะดึงตัววิลเลี่ยมและมาเรียแอนเดินไปโรงอาหาร กลุ่มของนางก็เดินตามนางต้อยๆเช่นกัน
------
หน้ามามาเรียแอนเป็นยังไง? คล้ายๆกับกอลลั่ม น่ะครับ ถ้าให้เห็นภาพน่ะนะ แฮ่!
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ชอบมุกหนังเท้าท่านวิลของฟรานซิส 5555
#ฉันชอบชื่อตอน55555
ชอบจังเลยเรื่องนี้อะคะแต่หมั่นไสอิคุณนางเอกอะคะคิดว่าตัวสวยนักเหรอฮะ!!
ล้อเล่นคะ ติดตามมานานแล้ว
มาเรียแอนนี่ อยู่ในช่วง ดักแด้หรือหนอนผีเสื้อ รึปล่าวคะ ???
นั้นสิน่ะทุกคนมีความงามเป็นของตนเอง
วิลจังหนูพูดได้ถูกมากลูก!!