ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 3 การสืบสวน -- 1 - ความช่วยเหลือ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 356
      2
      6 ม.ค. 55

    บทที่ 3 การสืบสวน

     

    1 - ความช่วยเหลือ

    ท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกระบายด้วยสีน้ำเงินเข้มรอบล้อมพระจันทร์เต็มดวง บรรยากาศเย็บแสนลึกลับอบอวลไปทั่ว

    เด็กชายไว้ผมปรกหน้าอยู่ตรงนั้น

    “เอสซี่” นั่นคือคำที่เขาพูด

    “ใช่แล้ว ฉันชื่อเอสซี่ ในที่สุดเธอก็จำได้แล้ว” เด็กหญิงในชุดกระโปรงดำยิ้มระรื่นด้วยความปรีดา

    “ใครคือเอสซี่” เด็กชายกล่าวต่อ ท่าทางเหมือนกำลังสับสน “ฉันคือใคร ฉันกำลังทำอะไรอยู่”

    “แม่คะ เขายังแปลกๆ อยู่ เขาจำไม่ได้แม้แต่หนู” เด็กหญิงโวยวายเรียกหาผู้ปกครอง “นี่หนูควรทำยังไง”

    หญิงสาวผมยาวแสนสวยคนหนึ่งก้าวเข้ามา

    “ฉันไม่สามารถปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปได้”

    เธอประกาศคล้ายตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว แต่เรื่องที่เธอพูดเหมือนจะไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เด็กทั้งสองคุยกันก่อนหน้านี้

    “เราต้องไปกันแล้ว” หญิงสาวรีบจูงมือเด็กหญิงกับเด็กชายไปกับเธอ “ไปให้ไกลจากที่นี่เท่าที่เราจะทำได้”

    ฉากท้องฟ้าเปลี่ยนไป กลายเป็นสีเลือด พร้อมเงาร่างของหญิงสาวคนนั้นที่กลายเป็นสีดำสนิท

    “แม่!” เด็กหญิงเรียกหา แต่ไม่มีเสียงตอบใดๆ

    เมื่อเพ่งมองดีๆ ภาพของหญิงสาวก็ปรากฏชัดขึ้นอีกครั้ง แต่นั่นไม่ใช่หญิงสาวคนเดิม ที่เธอเห็นกลับเป็นภาพหญิงสาวผมทองนอนจมกองเลือดอยู่บนพื้น

    “มิสอาเซีย!

     

    วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน

    ฉันสะดุ้งตื่นจากฝันขึ้นมาหอบหายใจอยู่บนเตียง

    “นี่มันอะไรกัน”

    ก้มหน้าลง เอามือเท้าศีรษะ ส่วนศอกค้ำอยู่ที่หัวเข่า พลางพยายามปรับลมหายใจ และรวบรวมสติ

    “แม่... มิสอาเซีย...”

    ฉันน่าจะรู้นะว่ามิสอาเซียตกอยู่ในอันตราย ฉันลืมไปอย่างไรว่าเธอก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งเช่นกัน

    ถ้าฉันหาตัวคนผิดได้ เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น

    มันเป็นความผิดของฉันเอง

    กริ๊งๆ

    ระหว่างที่กำลังจมอยู่กับความคิดตำหนิตนเองอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นช่วยฉันไว้ ฉันใช้กำลังทั้งหมดลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปรับสาย

    “ฮัลโหล...”

    “นี่ฉันเอง ยูออน” ปลายสายตอบ

    “อ้อ...” ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันรู้สึกโล่งอกอยู่บ้างที่เป็นยูออน

    “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า เสียงเธอฟังดูแย่มากเลย” อีกฝ่ายถาม

    “ฉันสบายดี ไม่เป็นอะไร แค่คงยังช็อกอยู่เล็กน้อยเท่านั้น...ละมั้ง...”

    “ที่จริงฉันอยากให้เธอหยุดพักผ่อนในวันนี้ แต่ว่าตำรวจต้องการจะพบเธอเพื่อถามเกี่ยวกับคดี” ยูออนบอก

    “ฉันเข้าใจ” ฉันพยักหน้ารับแม้รู้ว่าไม่จำเป็น “ฉันจะไป”

    ว่าแล้วก็วางสายลง

    ฉันจะมามัวท้อแท้หดหู่อยู่แบบนี้ไม่ได้ ต่อให้การก้าวต่อไปจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม อย่างน้อยทำตามหน้าที่ต่อไปก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

     

    ตำรวจสัมภาษณ์ฉันจนถึงช่วงบ่าย เมื่อวานหลังเกิดเหตุเขาก็ถามคำถามที่สำคัญต่างๆ จำนวนหนึ่งกับฉันไปแล้ว แต่สภาพฉันคงแย่มากจนพวกเขายอมให้ฉันกลับไปพักก่อนแล้วมาต่อในวันนี้

    ฉันตอบคำถามไปตามจริง เพราะยูออนเองก็แนะนำให้ทำเช่นนั้น แน่นอนว่าฉันไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของพลังจิตแต่อย่างใด

    “เป็นยังไงบ้าง” ยูออนถามหลังจากที่ฉันออกจากห้องที่ตำรวจใช้เป็นห้องสอบสวนชั่วคราว ตอนนี้พวกเรายังคงอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ นั่นคือสถาบันเซ็น

    “ฉันไม่ค่อยชอบวิธีที่พวกเขาถามฉัน เหมือนพวกเขากำลังสงสัยฉันอย่างนั้นแหละ” ฉันบอกเขาไปตามที่คิด “แต่ฉันเดาว่ามันคงเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าฉันเป็นคนแรกที่พบเธอ แล้วเธอก็ตายไม่นานหลังจากที่ฉันเข้ามาเรียนที่สถาบันเซ็น”

    อย่างไรฉันก็ยังไม่อยากใช้คำว่า ศพเรียกมิสอาเซียอยู่ดี

    “เธอไม่จำเป็นต้องกังวลไป” เด็กหนุ่มว่า “ผู้ต้องสงสัยหลักคือฉัน”

    “เป็นความจริงอย่างนั้นเหรอ” เรื่องนี้ฉันได้ยินแว่วๆ มา แต่ยังไม่มั่นใจ

    ยูออนพยักหน้า

    “นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ฉันเป็นคนแรกที่พบศพซิดด้วยเช่นกัน”

    ฉันออกจะตกใจเล็กน้อยที่ได้ทราบข้อมูลนี้ แฟ้มข้อมูลเกี่ยวกับคดีที่ยูออนให้มาไม่ได้ระบุในส่วนนี้ไว้ แต่จะว่าไป ดูเหมือนทุกเรื่องที่มีชื่อของยูออนเกี่ยวข้องในคดีจะถูกลบออกไปจากแฟ้มที่ฉันมี

    คงเพราะเห็นสีหน้าสงสัยของฉัน ยูออนจึงอธิบายต่อว่า

    “มีโทรศัพท์ให้ฉันมาที่โรงเรียนในวันนั้น หมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาไม่สามารถตามรอยได้ จึงไม่สิ่งใดมายืนยันคำพูดของฉัน มันช่วยไม่ได้ที่ความสัมพันธ์ของฉันกับซิดไม่ค่อยจะดีนัก”

    “...นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมนายถึงอยากหาตัวฆาตกรนักน่ะเหรอ”

    ฉันเพิ่งมาเข้าใจในตอนนี้เอง

    “ใช่” เด็กหนุ่มรับ

    “เท่านี้เองเหรอ” ฉันถาม...กำมือของตัวเองไว้แน่นเพื่อไม่ให้มันสั่น

    “เธอหมายความว่าไง”

    “ยังไงเขาก็เป็นพ่อของนายนะ”

    ฉันหลุดพูดออกไปด้วยอารมณ์โกรธอยู่บ้าง แต่ยูออนก็เพียงหลับตา...เหมือนพยายามคุมอารมณ์ของเขาให้เยือกเย็นเอาไว้

    ครั้นลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาก็หยิบสิ่งหนึ่งมาให้ฉันดู

    “...ยังไงก็ตาม ลองดูนี่ก่อนแล้วกัน”

    ในมือของเขามีแว่นกรอบทองที่มีรอยเปื้อนเลือดอยู่บนเลนส์ เขาถือมันโดยใช้ผ้าขาวรองเอาไว้

    “นี่คือ...” รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งนั้นคืออะไรแต่กลับพูดไม่ออก

    “มันคือแว่นตาของมิสอาเซีย” ยูออนช่วยเติมประโยคต่อให้ฉัน “ฉันหยิบมันมาเมื่อวานนี้ก่อนจะโทรแจ้งตำรวจ”

    “ทำไมล่ะ” ฉันรีบซัก มองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นใครจึงค่อยพูดต่อ “ถ้าพวกเขาเจอมันล่ะก็ นายจะอยู่ในอันตรายมากเลยนะ”

    “เธอจะได้ใช้มันตามรอยความทรงจำของเจ้าของ” เด็กหนุ่มตอบ

    “นายหมายถึงการอ่านพลังงานจากวัตถุงั้นเหรอ”

    “ใช่ มันคือความสามารถที่จะดึงข้อมูลออกมาจากวัตถุ...ประเภทหนึ่งของพลังจิตหยั่งรู้”

    “ฉันไม่แน่ใจว่าฉันจะทำให้ถึงขั้นนั้นหรือเปล่าด้วยระดับของฉันในตอนนี้” ฉันเพิ่งรื้อฟื้นพลังจิตหยั่งรู้ได้ไม่เท่าไหร่เอง

    “ไม่เป็นไร เธอสามารถฝึกก่อนได้ ฉันจะเก็บแว่นไว้จนกว่าเธอจะพร้อม” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังอ่อนโยนลงเล็กน้อย

    “ตกลง ฉันจะพยายามให้ดีที่สุด” ฉันรับปาก

    “พวกตำรวจฉันอยากสอบสวนฉันต่อ ดังนั้นฉันคงไม่ว่างนักในช่วงสองสามวันนี้” ยูออนกลับมาทำหน้าเคร่งเครียด “เธอคงอยากรู้เกี่ยวกับคดีของมิสอาเซียมากกว่านี้ แต่เธอคงต้องรอไปก่อนจนกว่าฉันจะรวบรวมข้อมูลมาได้ทั้งหมด”

    ฉันพยักหน้ารับ พูดเบาๆ ว่า “ฉันเข้าใจ”

    “ฉันต้องไปแล้ว” เขาหันหลังให้พลางกล่าว “เจอกัน”

     

    ฉันกลับไปที่ห้องเรียนเพื่อเอาของ ไม่มีใครอยู่ในห้องอย่างที่คิดไว้ เพราะนี่ก็เลยเวลาเลิกเรียนมาพอสมควรแล้ว ฉันไม่นึกมาก่อนว่าการสอบสวนจะกินเวลาขนาดนี้

    ฉันเดินไปแตะที่โต๊ะหน้าห้องของอาจารย์...แล้วระลึกความหลัง

    เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันสามารถมาหามิสอาเซียที่นี่ได้หลังเลิกเรียน แค่เพียงนึกถึงภาพเธอนั่งอยู่ที่โต๊ะนี้ก็ทำให้ฉันเศร้าและเสียใจอย่างบอกไม่ถูกแล้ว

    มันอยู่ใกล้ว่าที่เธอคิดถ้าเธออยากให้หนูรู้ความจริง กุญแจทีจะไขไปสู่คำตอบได้ก็ต้องอยู่ใกล้ว่าที่เธอคิด”

    คำพูดของมิสอาเซียในความทรงจำลอยมาให้ได้ยิน

    นั่นน่าจะเป็นคำใบ้สำหรับการปลดล็อก X-note ที่มิสอาเซียเอาตัวเองเข้าเสี่ยงเพื่อบอกฉัน

    ถ้าฉันปลดล็อกมันแล้ว บางทีฉันอาจจะจับฆาตกรได้

    ใช่แล้ว! ... ฉันลืมตาขึ้นจากความหลัง แล้วตัดสินใจกับตัวเอง ...นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมามัวนั่งเสียใจหรือสับสน ฉันจะปล่อยให้คนร้ายหนีไปไม่ได้

    หักศอกขึ้นกำมือแนบตัวแน่นอย่างมั่นใจ ทว่าฉันก็ยังหนีไม่พ้นคำถามเดิมๆ ว่าควรจะเริ่มจากที่ไหนดี แม้จะมีคำใบ้อยู่ก็ตาม

    บางทีฉันน่าจะไปปรึกษากับใครบางคนดู...

    ยูออนน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่เขาบอกว่าเขาจะไม่ว่างในช่วงสองสามวันนี้

    แล้วคนอื่นที่ฉันพอจะถามได้มีใครบ้างล่ะ คนที่ฉันพอสนิทๆ หน่อยก็มีเพียง...

    โอเร? ... ฉันแน่ใจว่าเขาจะช่วยฉัน แต่เขาดูไม่ค่อยรู้อะไรเลยเท่าไหร่...

    อาน่อนดูจะเก่งคอม แต่นิสัยของเขานี่สิ...

    ยากเหมือนกันแฮะ... ฉันจะไปถามใครดีล่ะ

    เมื่อตกมาอยู่ท่ามกลางความสับสนและลังเลอีกครั้งทั้งที่เพิ่งตัดสินใจไปหยกๆ ว่าจะเลิกกังวนทำให้ฉันหงุดหงิดไม่น้อย

    “ไม่เลือกก็ได้ ในเมื่อมีอยู่แค่สองคน ก็ลองไปถามทั้งสองคนนี้ดูเลยแล้วกัน” ฉันสลัดความกังวลทิ้งแล้วประกาศกร้าวออกไป

     

    ฉันเลือกไปหาโอเรก่อนเพราะที่ที่เขามักวนเวียนอยู่อยู่ใกล้ห้องเรียนของฉันมากกว่าห้องคอม

    เมื่อเห็นเด็กหนุ่มในชุดขาวฉันก็รีบวิ่งไปหาเขา ด้วยความโล่งใจที่เขายังไม่กลับบ้านไป

    “เอสซี่!” โอเรสังเกตเห็นฉันก่อนที่ฉันจะได้ทักเขา

    ฉันอยากยิ้มตอบแล้วเรียกชื่อเขาตามปรกติอยู่ แต่รู้สึกว่าหน้าของฉันไม่ยอมเป็นไปตามนั้นเลย

    “มีอะไรเหรอ” โอเรเอียงคอถามด้วยความสงสัยที่เห็นสีหน้าฉันแปลกไป

    “นายคงได้ยินข่าวเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมมิสอาเซียแล้ว” ฉันเกริ่น

    “ฮะ?” เขาเอียงคอด้วยองศาเพิ่มมากกว่าเดิม “เธอถูกฆ่างั้นเหรอ”

    ฉันพยักหน้ารับ

    “ผมไม่รู้เลย” เด็กหนุ่มบอก

    “ฉันคิดว่าทุกคนในโรงเรียนน่าจะได้ข่าวหมดแล้ว” ฉันอดแปลกใจไม่ได้

    “ผมเข้าใจละ” โอเรเอากำปั้นทุบลงบนฝ่ามือเบาๆ “มิน่าทุกคนถึงได้ดูตื่นตระหนกกันไปหมด”

    ท่าทางเขาดูใสซื่อจนฉันเชื่อว่าโอเรคงจะไม่รู้อะไรจริงๆ ...บางทีฉันไม่น่าจะดึงเขามาเกี่ยวกับคดีด้วย

    “เอสซี่ มีอะไรที่ผมช่วยเธอได้หรือเปล่า” เด็กหนุ่มถาม

    ฉันมองหน้าเขาด้วยความสงสัยระคนประหลาดใจ

    “เธอกำลังมีปัญหาไม่ใช่เหรอ” โอเรกล่าว “ผมอาจดูพึ่งพาไม่ได้นัก แต่ว่า... ให้ผมช่วยเธอเถอะนะ”

    สีหน้าของเขาตอนนั้นดูจริงจังมาก เหมือนเขาอยากที่จะเดือดร้อน แบกรับปัญหา และแบ่งเบาความทุกข์ร่วมกับฉัน เขาจะยอมทำสิ่งเหล่านั้นเพื่อให้ฉันสบายใจ

    สิ่งนั้นทำให้ฉันหมดความลังเล อย่างไรฉันก็ตัดสินใจมากก่อนหน้านี้แล้ว...

    ฉันสูดลมหายใจลึก แล้วตั้งต้นเล่าเรื่องให้เขาฟัง “ความจริงก็คือ ฉันมาที่นี่เพื่อที่จะสืบเกี่ยวกับสาเหตุการตายของแม่ เพราะดูเหมือนว่าแม่จะมีประวัติผูกพันกับโรงเรียนนี้อย่างลึกซึ้ง และการตายของมิสอาเซียก็อาจจะเกี่ยวข้องกับมันด้วย”

    โอเรดูมีสีหน้าตกใจอยู่บ้างตอนนี้รู้ว่าฉันมาที่นี่เพื่อสืบคดี แต่เขาก็ยังบอกตอบมาว่า เขาเข้าใจ

    “แม่ทิ้งสร้อยคอเส้นนี้ไว้ให้ฉัน จริงๆ แล้วมันคือแฟลชไดร์ฟ” ฉันยกจี้ห้อยคอขึ้นให้เขาดู

    “แฟลชไดร์ฟ?” เด็กหนุ่มทำหน้างงๆ สีหน้านั้นเหมือนตอนฉันพูดเรื่องมือถือให้เขาฟังครั้งแรกไม่มีผิด

    USB flash drive” ฉันเอ่ยออกเสียงอังกฤษชัดๆ ให้เขาได้ยิน

    “มันคืออะไรเหรอ” โอเรยังคงไม่รู้เรื่องเช่นเดิม

    “...”

    ฉันรู้สึกเหนื่อยใจขึ้นมาเล็กน้อย ...นี่ไม่ดีเลย เรายังไม่ทันเริ่ม เราก็ติดเสียแล้ว โอเรเป็นคนดีก็จริง แต่แบบนี้เขาไม่สามารถช่วยฉันได้แน่

    “ผมขอโทษ” โอเรรีบบอก “ผมอยากช่วยได้มากกว่านี้”

    “โอ้ ไม่...” ฉันแทรกขึ้น “อย่าได้รู้สึกผิดเลย โอเร ฉันต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายเอาเรื่องมากมายมาให้นาย แล้วอีกอย่างแค่ได้บอกเรื่องนี้ออกไป... ได้คุยได้นาย... ก็ช่วยให้ฉันสบายใจขึ้นเยอะแล้ว”

    “เอสซี่...” โอเรมองฉันอย่างซาบซึ้ง “ผมรู้ว่านี่ก็อาจช่วยอะไรไม่ได้มากนักเหมือนกัน แต่...ผมอยากให้เธอรู้ไว้ว่า ผมจะคอยอยู่ข้างคุณเสมอ”

    “ขอบคุณนะ” ฉันยิ้มให้เขาจากใจจริง กำลังใจที่ได้เพิ่มจากโอเรนับว่าคุ้มค่ากับการตัดสินใจในครั้งนี้ของฉันแล้ว

     

    หลังจากที่แยกจากโอเรมาแล้ว ฉันก็แวะไปห้องคอม พยายามมองหาร่างสูงของเด็กหนุ่มในชุดแจ็กเกตเขียว

    ในเวลานี้ห้องคอมเริ่มปลอดคนแล้ว โชคยังดีที่เขายังอยู่

    ที่จริงฉันไม่ค่อยสบายใจที่จะปรึกษาอาน่อนนัก แต่ว่าทักษะด้านคอมพิวเตอร์ของเขาน่าจะใช้การได้ ดังนั้นฉันจะลองเสี่ยงดู

    “เฮ่!” อาน่อนที่นั่งเล่นอยู่หน้าจอคอมหันมาทักฉันทันทีที่ฉันเข้าไปใกล้รัศมีการรับรู้ของเขาราวกับว่าเขามีตามองข้างหลัง

    “นายต้องได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้แล้วใช่ไหม” ฉันไม่อยากเสียเวลาทักทายตามมารยาทกับนายนี่จึงเข้าประเด็นทันที

    “แน่นอน” เด็กหนุ่มไหวไหล่ “มิสอาเซียถูกฆาตกรรม ทุกคนก็รู้...ไม่ใช่แค่ฉัน”

    ฉันแอบเถียงเขาในใจว่ายังมีโอเรที่เหมือนจะไม่รู้อยู่คน ทว่าภายนอกก็เงียบไว้ นิ่งฟังอาน่อนสาธยายสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจนจบ

    “ต้องขอบคุณเรื่องที่เกิดขึ้น ตอนนั้นทั้งโรงเรียนตกอยู่ในความโกลาหล” เขาพูดคล้ายประชด “นักเรียนหลายคนเริ่มพากันย้ายออกจากที่นี่ แต่มันช่วยไม่ได้ นี่เป็นการฆาตกรรมครั้งที่สองแล้ว หลายคนเชื่อว่ามีฆาตกรต่อเนื่องอาศัยอยู่ในละแวกนี้”

    คำพูดของอาน่อนทำให้ฉันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ก่อนลองหยั่งเชิงถามดูว่า

    “...แล้วนายล่ะ จะย้ายโรงเรียนด้วยหรือเปล่า”

    “ฉันอาจจะหรืออาจจะไม่ก็ได้” เขาตอบทีเล่นทีจริง

    “คำตอบนั่นหมายความว่ายังไงกัน” ฉันไม่เข้าคำตอบสองแง่สองง่ามนั่น

    “ในตอนนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันยังอยู่ที่นี่ก็คือภูเขาข้อมูลที่ฉันสามารถขุดค้นได้” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้ม “อย่างไรก็ตาม ถ้าข้อมูลถือเป็นอาวุธแล้ว มันก็คือดาบสองคม ฉันจะพาตัวเองไปตกอยู่ในอันตรายถ้าแหย่จมูกเข้าไปลึกเกิน ฉันเลยไม่แน่ใจว่ามันคุ้มกันไหมที่จะเสี่ยงชีวิตของฉันสำหรับสิ่งนี้”

    คำตอบนี้ถึงจะมีการเปรียบเทียบที่ฟังดูแปลกๆ อยู่บ้างแต่ก็เป็นที่เข้าใจได้อยู่ ฉันจึงพยักหน้ารับและบอกว่า ฉันเข้าใจไป

    อาน่อนพูดถูก บางทีฉันไม่น่าจะดึงเขาเข้ามาเกี่ยวด้วย เขาคงได้เพียงความสนุกเล็กๆ น้อยๆ กลับไปจากการช่วยฉันหาข้อมูลเกี่ยวกับคดีนี้ มันคงไม่คุ้มกันถ้าหากว่าต้องเอาชีวิตของเขาเข้าไปเสี่ยงด้วย เขาไปค้นความลับเรื่องอื่นที่ปลอดภัยกว่านี้ก็ได้นี่...

    ทว่านอกจากฝีมือการหาข้อมูลของเขาแล้ว อาน่อนก็น่าจะมีทักษะคอมพิวเตอร์อย่างอื่นที่ฉันอาจจะพึ่งพาได้อยู่อีก ดังนั้นฉันจะลองขอความช่วยเหลือจากเขาดู

    “ถ้าฉันขอ นายจะช่วยไหม” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังอ่อนลง

    เด็กหนุ่มฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ฉันแทนคำตอบ

    ช่างเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์ที่น่าสงสัยอะไรอย่างนั้น...

    “เธอแน่ใจนะว่ายินดีจะทำเรื่องนี้” อาน่อนถาม รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า แต่แววตากลับดูจริงจังกว่าเดิม

    “ฉันไม่เข้าใจว่านายหมายถึงอะไร”

    “ถ้าเธอไว้ใจที่จะให้ฉันหาข้อมูลให้โดยมาขอความช่วยเหลือจากฉัน ฉันอาจจะบังเอิญล่วงรู้ในสิ่งที่เธอไม่อยากให้ฉันรู้ก็ได้นะ เธอแน่ใจนะว่ายอมเรื่องนั้นได้”

    ฉันเพิ่งตระหนักว่ามีความเสี่ยงนี้อยู่ด้วย แต่อาน่อนก็ช่วยเตือนฉันถึงเรื่องนี้ก่อน เพราะฉะนั้น...

    “...อย่างน้อยที่สุด ฉันเชื่อว่านายจะไม่บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้”

    ฉันอยากที่จะเชื่อใจเขา

    อาน่อนยิ้มกว้างกว่าเดิม ส่งรอยยิ้มนั้นไปถึงดวงตาสีเข้ม ภาพนั้นดูดีและชวนฉงนจนฉันอดถามไม่ได้

    “อะไรอีกล่ะ”

    “ฉันแปลกใจน่ะสิ” เขาบอก “ฉันคิดว่าเธอมีความประทับใจที่ไม่ดีเกี่ยวกับฉันซะอีก”

    “ความประทับใจที่ไม่มีดีฉันมีแน่ละ” ฉันหรี่ตาลง ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกลับไปทำสีหน้าปรกติ แล้วบอกออกไปว่า “แต่ว่านายไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับความลับของฉัน... ฉันเชื่อว่านายจะรักษาสัญญา”

    ไม่มีข่าวลือแปลกๆ ว่าฉันเป็นผู้ใช้พลังจิตหลุดรอดออกไป ฉันยังใช้ชีวิตในโรงเรียนนี้ได้ตามปรกติ แสดงว่าเขาไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครไป ดังนั้นฉันจึงคิดว่า ลึกๆ แล้วอาน่อนก็เป็นคนดีอยู่เหมือนกัน

    แวบนั้นสีหน้าของเด็กหนุ่มที่มองฉันอยู่ดูอึ้งๆ ไปบ้าง

    “ตกลงนายจะช่วยฉันไหม” ฉันเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศในตอนนี้ดูไม่ค่อยปรกตินัก จึงรีบดึงกลับเข้าเรื่อง

    อาน่อนกลับมาเก๊กหน้ายิ้มอีกครั้ง

    “ฉันเคยบอกไว้แล้วไม่ใช่เหรอว่า... ถ้าเธอต้องการรู้อะไรก็ตาม เธอสามารถมาถามฉันได้ทุกเมื่อ”

    สุดท้ายนายนี่ก็ยังชอบพูดอ้อมค้อม ไม่ยอมตอบตรงๆ อยู่ดี แต่ยังไงคำตอบนี้ก็แปลได้ว่าเขายินดีจะช่วยละนะ

    “แล้วตกลงเธอต้องการอะไรจากฉันล่ะ” เด็กหนุ่มถามต่ออย่างกระตือรือร้น

    “แม่ฉันทิ้งสร้อยคอเส้นหนึ่งไว้ให้ และที่จริงแล้วมันคือแฟลชไดร์ฟ” ฉันบอกปลดจี้ห้อยที่สร้อยคอออกมา “ข้างในนั้นมีโฟลเดอร์ชื่อว่า X-note อยู่ ฉันอยากให้นายช่วยหาทางปลดล็อกมันหน่อย”

    “งั้นขอฉันยืมดูไฟล์นั่นหน่อยนะ” อาน่อนว่าแล้วรับจี้ที่ฉันส่งให้ไป

    เขาให้เวลาทำงานกับมันอยู่พักหนึ่ง ซึ่งฉันที่รอดูอยู่วงนอกก็เห็นเขาเปิดโปรแกรมต่างๆ ขึ้นมามากมายเพื่อลองจัดการถอดรหัสไฟล์ แต่ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจการทำงานของมันนัก

    “นี่เป็นโฟลเดอร์ที่มีการป้องกันไว้ เธอต้องมีพาสเวิร์ดถึงจะเปิดมันได้” อาน่อนอธิบายให้ฉันฟัง

    “มีทางที่จะเปิดมันโดยไม่ต้องใช้พาสเวิร์ดไหม” ฉันถาม

    “ฉันเพิ่งลองไป แต่มันเจาะผ่านระบบป้องกันของข้อมูลนี้ไม่ได้”

    เขาปิดโปรแกรมทั้งหมดลง ก่อนจะถอดแฟลชไดร์ฟออกจากเครื่อง แล้วส่งคืนให้ฉัน “แม่ของเธอคงไม่ใช่แค่คนธรรมดาสินะ”

    ฉันก้มหน้ารับกลายๆ แต่ไม่พูดอะไร

    “เธอทิ้งคำใบอะไรไว้บ้างไหม” เด็กหนุ่มถาม

    ฉันนึกถึงคำพูดที่มิสอาเซียเคยบอก แต่อย่างไรก็ยังไม่มีอะไรยืนยันให้แน่ใจว่ามันเกี่ยวข้องกับการปลดล็อกโฟลเดอร์ข้างในจริงๆ

    “ไม่...” ฉันก้มหน้าลงไปอีก “อย่างน้อยฉันก็ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า”

    “เข้าใจละ” อีกฝ่ายรับเบาๆ

    “ฉันคิดว่าฉันยังติดอยู่ที่เดิม... ไม่ไปไหนเลย...”

    “อย่าเศร้านักเลยน่า!

    อยู่ๆ อาน่อนก็พูดขึ้นเสียดัง ฉันเงยหน้ามาเห็นเขาส่งยิ้มยิงฟันสดใสให้ฉันอยู่

    “ฉันจะอยู่ที่นี่เพื่อช่วยเธอเสมอนะ!” เขากล่าวหนักแน่น

    “ขอบใจนะ”

    อย่างน้อยก็ยังดีที่ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่เพียงลำพัง

     

    เมื่อมาถึงสวนเพกาซัสก็เป็นเวลาใกล้มืดแล้ว

    ถึงฉันจะเสียใจอยู่บ้างที่วันนี้ไม่มีคืบหน้าอะไรในคดีที่เห็นได้ชัด แต่อย่างไรการฝึกก็ละเว้นไปไม่ได้ ฉันต้องพยายามฝึกพลังจิตให้มากขึ้นไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีความคืบหน้าจริงๆ แน่ๆ

    หลังควบคุมอารมณ์ให้คงที และฝึกพลังจิตหยั่งรู้เสร็จแล้ว ฉันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของใครบางคนที่พอจะคุ้นเคยอยู่...

    “นั่นคุณหรือเปล่า เร็กซัส” ฉันตะโกนถามไปทางเงามืดของต้นไม้

    ชายผมแดงร่างสูงค่อยๆ ก้าวออกมาจากจุดนั้น

    “ซ่อนตัวไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก สัมผัสของฉันคมขึ้นทุกวัน” ฉันบอกเขา

    เร็กซัสทำหน้าเอ๋อๆ งงๆ อยู่บ้าง ตอบตะกุกตะกักกลับมาว่า

    “ผะ...ผมทราบแล้ว”

    “คุณกำลังทำอะไรอยู่เหรอ” ฉันถาม “แล้วฉันก็ไม่ยอมรับเหตุผลงี่เง่าอย่างมาดูเพกาซัสหรอกนะคราวนี้”

    “เปล่า ผม...” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงที่เบาลง “...เป็นห่วง”

    “ว่าไงนะ” ฉันไม่ค่อยอยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

    “ผมได้ยินข่าวมา มิสอาเซียถูกฆาตกรรม”

    ฉันตกใจเล็กน้อยที่เขารู้เรื่องนี้ด้วย แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า นี่คงเป็นข่าวใหญ่ที่แพร่ไปทั่วเมืองอยู่แล้ว

    “คุณคงได้ข่าวสินะ”

    เร็กซัสพยักหน้ารับ

    “เธอโอเคหรือเปล่า” เขาถาม

    “ไม่ต้องห่วง ฉันสบายดี” ฉันบอก

    “ผมดีใจ” ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงเนือยๆ ตามแบบของเขา

    ประโยคที่ฟังดูซื่อๆ นั่นทำให้ฉันอดคิดไม่ได้ว่า เขาเป็นห่วงฉันจริงๆ ...นี่เขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่เพื่อที่จะมาดูว่าฉันสบายดีหรือเปล่าอย่างนั้นหรือ

    “จะว่าไป...” ฉันเอ่ย แล้วเปลี่ยนเรื่อง “คุณเก่งคอมหรือเปล่า”

    เร็กซัสพยักหน้า “คิดว่าเก่งนะ”

    เมื่อเห็นว่าทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขาดูเปี่ยมความมั่นใจมากขึ้น ฉันจึงลองถามต่อดู

    “คุณรู้วิธีเปิดโฟลเดอร์ที่ล็อกอยู่ไหม”

    “มันเป็นโฟลเดอร์ที่มีรหัสป้องกันอยู่หรือ”

    “ใช่”

    “ผมเคยสร้างโปรแกรมไว้ผสมอักขระทั้งหลายเพื่อตรวจหาพาสเวิร์ดที่ถูกต้อง ไล่ตั้งแต่ A - Z, 0 – 9 และก็อักขระพิเศษต่างๆ รวมกัน ตั้งแต่หนึ่งตัวอักษระจนถึงหลายสิบ”

    “ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ” เรื่องนี้เหมือนฉันจะเคยได้ยินมาก่อน แต่ก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดนัก

    “ทำได้” เขารับ “แต่จะกินเวลาพอสมควรทีเดียว แล้วมันจะใช้ได้ผลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับระดับความปลอดภัยของโฟลเดอร์”

    “หมายความว่าไง”

    “ถ้าผมเป็นคนทำขึ้นมา ผมจะทำให้มันป้องกันการแฮ็กพาสเวิร์ดด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้ามันจับได้ว่ากำลังมีการแฮ็กอยู่ มันจะลบเนื้อหาทั้งหมดทิ้ง”

    ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่น่าแปลกที่อาน่อนจะไขโฟลเดอร์นั้นให้ฉันไม่ได้

    “นั่นไม่ดีเลย...” ฉันว่า

    “ใช่แล้ว ถ้าเธออยากได้พาสเวิร์ดจริงๆ ก็น่าจะลองวิธีอื่น”

    “คุณพูดถูก” ฉันผงกศีรษะทีหนึ่ง “อย่างไรก็ตาม ขอบคุณนะ”

    “ถ้าเธออยากได้ความช่วยเหลือ อย่าลังเลที่จะถาม” ชายหนุ่มเอ่ย

    คำพูดนั้นเหมือนเป็นการบอกกลายๆ ว่า ฉันสามารถมาขอความช่วยเหลือจากเขาได้เสมอ แต่นั่นก็ทำให้ฉันอดคิดถึงโอเรกับอาน่อนที่ฉันลองไปขอความช่วยในวันนี้ไม่ได้

    ครั้นแล้วฉันก็นึกอะไรขึ้นได้อย่างหนึ่ง จึงซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เอาแล้ว ตีหน้าแบบเดิมถามว่า

    “คุณแน่ใจนะ”

    “ครับ” เร็กซัสพยักหน้ายืนยัน

    “อย่างนั้นลองบอกฉันทีสิว่าคุณเป็นใคร” แล้วฉันก็เผยแววตาเจ้าเล่ห์ของฉันออกไป

    เร็กซัสเปลี่ยนมาทำหน้าเอ๋อแบบเด็กๆ ในทันที

    “...ผมเป็น...” เขาชะงักไปเล็กน้อย “ผมเป็น...ผู้พิทักษ์ความรักและความสงบสุข!

    ประกาศพลางโพสต์ท่าแบบซุปเปอร์ฮีโรสักตัวไปด้วย

    “...”

    ฉันมองเขาอย่างอึ้งทึ้งจนเชื่อได้เลยว่าตอนนี้ฉันคงกำลังทำสีหน้าเอ๋อๆ ไม่ต่างจากเขาแน่

    “ลาก่อน”

    ชายหนุ่มบอกลาด้วยหน้าแดงก่ำไปถึงใบหูแล้วรีบวิ่งหนีไป ทิ้งฉันไว้กับสายลมที่พัดผ่านสวนอันเว้งว้าง

    ถ้าฉันกำลังอยู่ในการ์ตูนหรือภาพยนตร์ยอดมนุษย์สักเรื่องล่ะก็...ปรากฏตัวของเร็กซัสคงเหมาะกับคำบรรยายที่ว่า เขามาและจากไปเหมือนสายลม

    ฉันไม่คิดว่าฉันจะได้ยินคำตอบที่แท้จริงจากเขา แต่อย่างไร...ฉันก็ดีใจที่เขามาหาฉัน

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×