ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ 5 ไม่ประสานกัน -- 1 - สูญเสีย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 337
      2
      27 ม.ค. 55

    1 - สูญเสีย

    ภาพที่ปรากฏเป็นฉากหลังอยู่เลือนรางนั้นคือห้องทดลองวิจัยที่คุ้นเคย

    เด็กชายร่างผอมไว้ผมปรกหน้ายืนอยู่ที่เบื้องหน้า

    “เขาคือเอ็กซ์ ต่อจากนี้ไปเขาจะมาอยู่กับเรา” หญิงสาวผมยาวแนะนำเขากับเด็กหญิงอีกคน

    “เอ็กซ์? เป็นชื่อที่แปลกจัง” เด็กหญิงบอก

    “นั่นไม่ใช่ชื่อจริงของเขาหรอกลูก” หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้เธอ “เขาไม่อยากบอกเรา ดังนั้นเราเลยเรียกเขาว่าเอ็กซ์”

    “ทำไมต้องเอ็กซ์ด้วยคะ” เด็กหญิงตัวน้อยถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

    “เอ็กซ์เป็นตัวแปร มันนิยมใช้แทนสิ่งที่ไม่ทราบ” หญิงสาวตอบ “เป็นชื่อที่เหมาะสมดีใช่ไหมจ้ะ”

    “หนูเข้าใจละ” เด็กหญิงยิ้ม แล้วหันมากล่าวกับเด็กชาย “ยินดีที่ได้รู้จักนะ เอ็กซ์ ฉันชื่อเอสซี่”

    เธอยิ้มกว้างให้เขา แต่เด็กชายก็นิ่งเงียบ ไม่ได้เปล่งเสียงสักคำ

     

    วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน

    ฉันลืมตาตื่นขึ้นเพราะแสงที่ลอดผ่านม่านผืนบางเข้ามาแยงตา

    “เช้าแล้วเหรอนี่”

    แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ถ้ามองนาฬิกาจริงๆ ก็รู้ว่านี่ก็เลยกว่าเวลาตื่นปรกติของฉันมาพอสมควร ทว่าฉันก็ยังนั่งกอดเข่าครุ่นคิดอยู่ที่เตียง

    ความฝันเมื่อครู่... นั่นคือครั้งแรกที่ฉันพบเอ็กซ์

    เอ็กซ์... อาน่อน...

    มันเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้นหรือ...

    ฉันไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกของตัวเองได้เช่นกัน

    ...ยังมีเรื่องของยูออนอีก

    คนสองคนที่ฉันอุตส่าห์ไว้ใจ...กลับไม่เหลือใครสักคนที่เชื่อถือได้

    ฉันมาเรียนที่เซ็นเพื่ออะไรกันนะ มาเพื่อให้หลอกใช้ ถูกปั่นหัวไปมาอย่างนั้นหรือ

    แล้วสิ่งที่ให้ได้ตอบแทนกลับมาคืออะไรกันล่ะ ฉันได้รู้อะไรมากขึ้นอย่างนั้นหรือ คิดว่าฉันอยากเอาตัวเข้ามาเกี่ยวกับคดีพวกนั้นมากนักหรืออย่างไร แม้แต่เนื้อหาใน X-note จากแม่ก็ยังมีไม่ครบเลย

    แล้วมิตรภาพที่ได้รับ ความสัมพันธ์ที่เคยมี ก็แทบจะไม่มีอะไรจริงสักอย่าง ไม่มีอะไรเหลือแล้ว...

    แม้ฉันจะรู้สึกไม่อยากไปโรงเรียน แต่สมองของฉันก็ยังสั่งการให้ลุกขึ้นไปแต่งตัว ฉันคงอยากไปประชดชีวิตและสมเพชตัวเองที่นั่น

    แน่นอนว่าฉันไม่มีอารมณ์จะเข้าไปนั่งเรียนในห้อง เพราะถึงทำอย่างนั้นฉันก็คงไม่ได้ความรู้อะไรกลับมาในวันนี้ มีแต่จะไปรบกวนคนอื่นเสียเปล่า

    ฉันอยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง คิดว่าอย่างน้อยการออกมานั่งมองฟ้าตากลมที่ระเบียงคงช่วยฉันได้บ้าง

    ฉันรู้สึกไม่อยากเจอใครเลย ไม่ว่าจะเป็นยูออนหรืออาน่อน คนแรกนั้นทำให้ฉันผิดหวังและเสียใจ ส่วนคนที่สองทำให้ฉันรู้สึกกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้

    นี่ฉันควรทำอย่างไรต่อไปดี...

    “เอสซี่!

    เสียงหนึ่งเรียกฉันที่กำลังนั่งกอดเข่าซบหน้าให้เงยขึ้นไปมอง

    “โอเร?

    “เป็นเธอจริงๆ ด้วย” โอเรยิ้ม แต่เมื่อเห็นสีหน้าฉันแล้วรอยยิ้มของเขาก็หุบลง “เอสซี่ เธอเป็นอะไร มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้”

    ฉันเม้นปากแน่น ไม่กล้าเปิดปากตอบเขา กลัวว่าถ้าหลุดพูดไปแล้ว ฉันอาจจะปล่อยโฮออกมา

    “เอสซี่ เป็นไรไป” เด็กหนุ่มยังคงคะยั้นคะยอ

    อย่างน้อยฉันก็ดีใจที่โอเรเป็นห่วงฉันอยู่ ดีใจที่ยังมีคนจริงใจกับฉัน...

    ทว่าตอนนั้นเอง ฉันก็นึกสะดุดใจขึ้นมา มีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับโอเรที่อยู่ตรงหน้าฉัน มันเป็นเรื่องที่ฉันเก็บเอาไว้และไม่เคยกล้าที่จะถามออกมาตรงๆ แต่ฉันในตอนนี้คงไม่มีอะไรให้เสียอีกแล้ว

    หากโอเรยังโกหกฉันอยู่อีกคน ฉันก็คงได้หัวเราะเยาะสมเพชตัวเองมากขึ้นเท่านั้น

    “โอเร นายมาทำอะไรที่นี่” ฉันถามเขากลับ “นี่มันเป็นเวลาเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ”

    เด็กหนุ่มมีสีหน้ากังวล เขาเลี่ยงที่จะตอบคำถามแล้วฉัน แล้วกล่าวว่า

    “เอสซี่ เธอเศร้าอยู่เหรอ” เขาอ่านอารมณ์ของฉันได้ถูกต้อง แต่ตอนนี้ใครมาเห็นหน้าฉันเข้าก็คงบอกเรื่องนั้นได้ไม่ยาก

    ทันใดนั้นฉันก็ลุกขึ้นยืน ฉันไม่อยากเศร้าให้เขาเห็น ฉันอยากรู้ความจริงมากกว่า

    “โอเร นายตอบฉันมาก่อน นายเรียนอยู่ชั้นไหนห้องไหนกันแน่”

    “ผะ...ผม...”

    “ที่นายตอบไม่ได้เพราะมันเกี่ยวกับความลับของนายด้วยใช่ไหม”

    เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ หลบสายตาต่ำจำใจยอมรับ

    “ฉันหวังว่าฉันคงจะเข้าใจผิดไปเอง แต่ว่า...” ฉันหรี่ตามองเขา “ฉันไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของนายเลยในตอนนี้ ฉันสามารถรับรู้การคงอยู่ของใครก็ตามที่อยู่ในรัศมีสัมผัสที่หกของฉัน แต่นี่ฉันไม่รับรู้ถึงนายเลย เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”

    “...”

    “ฉันรู้ว่าบางอย่างแปลกเกี่ยวกับตัวนายตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉันเจอนาย มันไม่ใช่แค่ลักษณะภายนอก อากัปกิริยา หรือสภาวะแวดล้อม” ฉันบอกต่อ “ตอนแรก ฉันคิดว่ามันเป็นเพราะว่านายเป็นผู้ใช้พลังจิต แต่ว่า...ฉันเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันมีอะไรมากกว่านั้น มันเป็นบางสิ่งที่ฉันสัมผัสไม่ได้”

    “...”

    “นอกจากที่ระเบียงและทางเดินภายในแล้ว ฉันไม่เคยเห็นเคยเจอนายที่อื่นเลย”

    สูดหายใจลึก แล้วกล่าวประโยคคำถามสุดท้าย

    “บอกฉันที โอเร นายเป็นใครกันแน่”

    โอเรมีสีหน้าสงบที่ไร้รอยยิ้มประดับมาตลอดขณะที่ฟังคำพูดของฉัน

    “...เธอเข้าใจถูกแล้ว”

    เขาตอบไม่ตรงคำถามฉัน ดวงตาสีเทาของเขาทอแววเศร้าและลึกลับ เสมือนความเศร้าที่เขามีนั้นล้ำลึกจนไม่อาจเข้าใจได้

    “ที่ผมบอกว่าผมไม่สามารถออกจากที่นี่ได้...” เขาอธิบายต่อ “จริงๆ แล้วผมหมายถึงว่าผมไม่สามารถออกจากระเบียงนี้”

    “นายหมายความว่าไง” ฉันถามเขาด้วยจังหวะคำพูดที่ช้าลงตามจังหวะการพูดของเขา

    “เอสซี่ ผมไม่อยากให้เธอรู้เรื่องนี้เลย แต่มันเริ่มยากขึ้นสำหรับผม ผมเบื่อแล้วที่จะต้องโกหก”

    ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร

    “เอสซี่...” เขาเรียกชื่อฉัน แล้วเอ่ยช้าๆ ชัดๆ ว่า “ทุกสิ่งเกี่ยวกับผมล้วนเป็นเรื่องโกหก เพราะว่าผม...ไม่ได้มีตัวตนอยู่อีกแล้ว”

    เขามองตรงมาที่ฉันด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ระทม

    คำพูดของเขาสะท้อนอยู่ในหูฉันดั่งกับมันกำลังเจาะทะลุเข้าไปในวิญญาณของฉัน...

    ฉันรู้ดีว่าฉันเป็นคนเลือกที่จะเผชิญหน้ากับเขาตรงๆ เอง ทว่าพอเหตุการณ์ออกมาในรูปแบบนี้ ฉันกลับตอบรับไม่ถูก ใจหนึ่งฉันยังไม่อยากเชื่อและอยากปฏิเสธสิ่งที่ได้ยิน

    “วะ...ว่าไงนะ...” ฉันถามเสียงสั่น “ที่นายพูดมานั่นหมายถึงอะไร”

    โอเรเอาแต่มองฉันนิ่งไม่ตอบคำ

    “หมายความว่าไงที่ตอบว่านายไม่มีตัวตนอยู่อีกแล้ว”

    ตวาดถามไปก็ยังไม่ได้คำตอบ ฉันจึงขึ้นเสียงเรียกชื่อเขา

    “โอเร!

    “เอสซี่...” เขายังคงกล่าวเนิบช้าผิดกับฉัน “ผมสามารถรับรู้ได้ว่าเวลาของผมกำลังค่อยๆ เลือนหายไป... ถึงอย่างนั้น... ผมก็ดีใจจริงๆ ที่ได้พบเธอ”

    ฉันแทบสะอึกเมื่อได้ยินคำนั้น ทำไมเขาถึงพูดแบบนี้ ทำไมไม่ตะคอกฉันกลับมา ไม่โกรธใส่ฉันบ้างล่ะ

    “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และผมก็ต้องขอโทษด้วย...”

    เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่งดงามและแสนเศร้าอย่างถึงที่สุด

    “เธอควรจะลืมผมไปซะ”

    “โอเร?

    ฉันเรียกชื่อเขาด้วยความสับสน โดยไม่ทันจะรู้ตัวเขาก็หายลับไปจากสายตาของฉันเสียแล้ว

     

    ฉันตัดสินใจกลับมาบ้านก่อนเวลาเลิกเรียน ตอนนี้ถึงอยู่ที่โรงเรียนไปก็คงไม่มีอะไรทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาได้

    “แม่คะ... หนูควรทำยังไงดี”

    เสียงกระซิบถามส่งไปที่หญิงสาวในกรอบรูป แน่นอนว่าไม่มีเสียงของแม่ตอบกลับมา

    กริ๊ง!

    เสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้นแทน

    ฉันแอบมองจากข้างหน้าข้างๆ ว่าเป็นใคร เด็กหนุ่มผมดำในชุดสีน้ำเงินอยู่ที่หน้าประตู

    เมื่อเขาทันมามองทางนี้ ฉันก็รีบหลบ ทว่าดูเหมือนเขาจะจับสัมผัสได้ว่าฉันอยู่ที่หลังประตูนี่เอง

    “เอสซี่...” เสียงเขาดังทะลุกำแพงมา “ทำไมเธอถึงไม่ไปเรียนวันนี้ล่ะ เป็นเพราะฉันงั้นหรือ”

    ฉันนิ่งไม่ตอบ

    “ขอฉันเข้าไปหน่อยได้ไหม” เขาร้องขอ “ฉันอยากคุยกับเธอ”

    รออีกครู่หนึ่งเขาก็ยังไม่ยอมจากไป ฉันจึงจำใจต้องเอ่ยบอกไปว่า “...นายไปซะเถอะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนาย”

    อีกฝ่ายใช้เวลาใคร่ครวญสักพักแล้วตอบ “...ฉันจะมาใหม่พรุ่งนี้”

    จากนั้นเขาก็เดินจากไป

    คล้อยหลังจากที่ยูออนไปไม่นาน ฉันก็ทำใจให้สงบอยู่นิ่งเฉยๆ ที่บ้านไม่ได้ จึงตัดสินใจออกไปที่สวนเพกาซัส หวังว่าบรรยากาศของที่นั่นจะทำให้ฉันเย็นลงบ้าง

    แล้วมันก็ช่วยได้จริงๆ อย่างน้อยฉันก็มีสมาธิพอที่จะฝึก ได้ระบายอารมณ์ด้วยการใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของหนักๆ ก็ช่วยให้ใจสงบได้พอสมควร

    เร็กซัสก้าวออกมาหาฉันหลังจากฝึกเสร็จ น่าแปลกที่ครั้งนี้เขายอมปรากฏตัวเองโดยที่ไม่ต้องให้ฉันเรียกก่อน

    “เอสซี่” เขาเรียกฉันที่กำลังเหม่อลอยไม่ค่อยสนใจสิ่งขอบข้าง “เกิดอะไรขึ้นเหรอ เธอดูเศร้าๆ”

    “เร็กซัส...” ฉันช้อนตามองเขา “ฉันไม่รู้ว่ามันเจ็บปวดถึงขนาดนี้ที่ได้รู้ความจริง”

    น้ำตาฉันเริ่มคลอเบ้าขึ้นมาเมื่อกล่าวคำนั้น

    “ดะ...เดี๋ยวก่อน” เขาเริ่มลุกลี้ลุกลนทำอะไรไม่ถูก “เธอช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”

    “ฉันขอโทษ” ฉันรีบปาดน้ำตาทิ้ง “ฉันไม่รู้ว่าจะไปปรึกษาใครอีกแล้ว... ฉันคิดว่าฉันพร้อมสำหรับทุกอย่าง แต่ว่า... ทำไมถึงต้องเป็นเขาด้วย”

    ภาพของยูออน อาน่อน และโอเรปรากฏขึ้นมาทีละคนด้วยเหตุผลที่ต่างกัน เขาที่ฉันพูดถึงหมายรวมถึงทั้งสามคนนี้

    ทำไมยูออนต้องหลอกใช้ฉัน

    ทำไมอาน่อนถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

    ทำไมโอเรถึงพูดเช่นนั้นแล้วหายตัวไป

    “ใครกันทำเธอร้องไห้” เร็กซัสถาม “ฉันจะไปหั่นเขาเป็นชิ้นๆ เดี๋ยวนี้เลย” สีหน้าท่าทางของเขานั้นบ่งบอกว่าพูดจริงทำจริงได้แน่นอน

    ฉันอยากหัวเราะให้กับความเอาจริงเอาจังที่ดูจะเกินกว่าเหตุของเขา แต่รอยยิ้มของฉันกลับดูเศร้าอย่างไม่น่าเชื่อ และฉันก็ได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ สื่อความว่า ไม่ต้องทำขนาดนั้น

    “คนที่เธอพูดถึง... เขามีความสำคัญต่อเธอมากใช่ไหม” ชายหนุ่มถามด้วยเสียงที่เย็นลง “ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่เสียใจขนาดนี้”

    ภาพของคนทั้งสามที่ปรากฏขึ้นมาในใจยิ่งทำให้ฉันทรมาน

    “...ตอนนี้มันไม่มีความหมายอะไรแล้ว ฉันไม่มีทางมองเขาในแบบเดิมอีกต่อไป”

    ยูออนไม่เคยจริงใจ อาน่อนกลายเป็นคนที่ฉันไม่รู้จัก ส่วนโอเรเป็นอะไรกันแน่ฉันก็ไม่รู้

    “เธอคุยกับเขาแล้วหรือยัง”

    “ยัง ฉันยังไม่อยากเจอเขา ไม่พร้อมจะเจอ” ฉันสะอื้น “หรือไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อยากเจอฉัน” ท่อนสุดท้ายนั้นฉันกล่าวด้วยเสียงอันเบาหวิว

    คนที่ฉันไม่อยากเจอคือยูออน คนที่ไม่พร้อมจะเจอคืออาน่อน ส่วนคนที่ฉันหาไม่เจอคือโอเร

    “ฉันคิดว่าเธอควรลองให้โอกาสเขาอธิบายทุกอย่างสักหน่อย” เร็กซัสแนะนำ

    “ฉะ...ฉันไม่รู้” ฉันว่า “ฉันไม่คิดว่าแค่การพูดคุยจะทำให้อะไรเปลี่ยนไปได้”

    วันนี้ที่ฉันคุยกับโอเรไปมีแต่ทำให้เรื่องแย่ลง เหมือนกับว่าฉันบีบจนเขาต้องหนี

    “เธอไม่มีทางรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรอกจนว่าจะได้ลอง” ชายหนุ่มส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้ฉัน

    ฉันเก็บคำแนะนำของเขาไปคิดดู และคิดว่าฉันจะลองไปพูดกับโอเรอีกครั้ง คราวนี้ฉันจะพูดกับเขาดีๆ เขาเป็นใครฉันก็ไม่สนแล้ว ฉันแค่อยากได้เพื่อนคนสำคัญของฉันกลับมา

    พูดถึงเพื่อนแล้ว... ฉันก็นึกถึงอาน่อนขึ้นมาอีกครั้ง

    เขาแทบไม่พูดเกี่ยวกับตัวเอง... เขาดูร่าเริงมาตลอด... เมื่อมาคิดดูแล้ว ฉันไม่รู้จักเขาเลยจริงๆ

    ...มือของฉันเริ่มสั่นเมื่อฉันคิดถึงเขา

    ทำไมกันนะ... เป็นเพราะฉันกลัวเขาอย่างนั้นหรือ...

    ฉันกลัวเขาไปเพื่ออะไร

    “เอสซี่” เร็กซัสเรียกฉันอีกครั้ง “เธอดูยังไม่ค่อยหายเครียดนะ”

    “...ฉันคิดว่าฉันไปเปิดกล่องของแพนโดร่าโดยบังเอิญ” ฉันลองพยายามเปรียบเทียบให้เขาฟัง “ถึงฉันจะไม่เห็นทุกอย่าง แต่แค่แวบเดียวของมันก็เพียงพอที่จะทำให้ฉันสั่นได้ พอรู้ตัวอีกที ฉันก็กลัวที่จะก้าวต่อไป”

    ฉันควรทำอย่างไรดี... ฉันไม่อยากจะหนี...แต่ว่า...

    “...ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าผมเข้าใจไหมว่าเกิดอะไรขึ้น” เร็กซัสเอ่ย “แต่ความจริงคือสิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดจริงๆ หรือ”

    ฉันเงยหน้ามองเขา “ฉันไม่เข้าใจว่าคุณพยายามจะบอกอะไร”

    “เมื่อผมโกหกใครบางคน มันเป็นธรรมดาสำหรับผมที่จะกลัวว่าสักวันหนึ่งคนคนนั้นอาจค้นพบความจริง” ชายหนุ่มอธิบาย “แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ผมกังวลที่สุดก็คือผมอาจจะสูญเสียคนคนนั้นไป”

    คำพูดนั้นทำให้ฉันคิดขึ้นได้... เร็กซัสพูดถูก ฉันไม่ได้กลัวที่จะรู้ความจริง ฉันกลัวว่าฉันอาจเกลียดเขาหากฉันรู้ทุกอย่างต่างหาก ฉันไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ฉันถึงเอาแต่หนี

    “นี่คือสาเหตุว่าทำไมทุกคนถึงโกหกกันอย่างนั้นเหรอ” ฉันถามเสียงอ่อน “มันเป็นเพราะว่าเรากลัวที่จะปล่อยให้คนอื่นรู้ตัวตนที่แท้จริงของเรา?

    “ผมไม่สามารถยืนยันได้ แต่นั่นคงเป็นจริงสำหรับบางคน”

    “แต่...นั่นไม่ได้หมายความว่าเราไม่มีศรัทธาอยู่แต่แรกเหรอ”

    เพราะเราไม่มีศรัทธาในตัวเองถึงต้องปิดบัง?

    เพราะเราไม่มีศรัทธาว่าผู้อื่นจะยอมรับในสิ่งที่เราเป็นถึงต้องปิดบัง?

    คิดดูแล้ว ฉันก็ต้องพึมพำออกมาว่า “ฉันไม่ชอบเลย”

    ถ้าอยากรู้ความจริงก็ต้องยอมรับมันได้ ยอมรับและเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองและคนอื่นเป็น

    “บางทีมันอาจเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันอยากลองพยายามดู” ฉันประกาศออกมา “ฉันอยากจะลองเชื่อในคนที่ฉันห่วงใย”

    เร็กซัสฟังแล้วก็พยักหน้ารับรู้

    “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะ” ฉันบอกเขาไป

     

    วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน

    ฉันตั้งใจไปโรงเรียนเพื่อไปคุยกับโอเรเป็นการเฉพาะ หวังว่าวันนี้เขาจะอารมณ์ดีขึ้นและยอมคุยกับฉัน

    โอเรที่ฉันรู้จักเป็นคนที่หายโกรธง่ายและไม่ค่อยติดใจอะไรนัก เขาคงให้อภัยฉันได้ ทว่าฉันก็ไม่เจอเขาอยู่ที่ระเบียง

    โอเร... นายอยู่ไหนกัน นายไปที่ไหนแล้ว

    ฉันจะเจอนายที่นี่เสมอนี่นา... นอกจากที่ระเบียงนี้แล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะหานายที่ไหนอีก

    ฉันพยายามเดินหารอบๆ โรงเรียน แต่ก็ไม่เจอเขาที่ไหนเลย

    พอลองถามนักเรียนคนอื่น ก็ไม่มีใครรู้จักหรือเคยเห็นโอเรสักคน มันเหมือนกับว่าเขาไม่เคยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรก

    สุดท้ายฉันก็พาตัวเองมาจบลงที่ระเบียงอันเป็นจุดเริ่มต้น และมองไปยังท้องฟ้าอันว่างเปล่าเพียงลำพัง

    โอเร ฉันควรทำยังไงดี...

    ทำยังไงถึงจะได้เจอนาย...

    นั่นคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เจอนายใช่ไหม...

    รู้สึกคล้ายโดนน้ำเย็นสาดใส่หน้าปลุกให้สะดุ้งตื่น นี่ฉันทำอะไรลงไป ฉันต้อนเขาจนจนมุมแล้วบีบให้เขาหนีหายไปจริงๆ หรือ

    นี่ฉันทำตัวของฉันเอง...ทำให้ตัวเองต้องเสียเพื่อนไปอีกคนแล้วใช่ไหม

    มันมากเกินไปแล้วสำหรับฉัน...

    ฉันขอโทษ โอเร กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่านายหมายความว่าไง

    ขอให้ฟ้าส่งเสียงกระซิบของฉันนี้ไปถึงเขาด้วย

     

    ย่ำเท้าเดินเตร็ดเตร่มาถึงสวนเพกาซัส ฉันมาที่สวนแห่งนี้ทุกครั้งที่ฉันรู้สึกแย่

    คิดว่าฉันก็น่าจะรู้สึกดีขึ้นบ้างถ้ามาที่นี่ แต่ฉันก็ทำได้เพียงฆ่าเวลาด้วยการฝึกพลังจิตเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูจะไม่คืบหน้านักเท่านั้น ดูเหมือนฉันจะทำมันจะเป็นกิจวัตรประจำเสียแล้ว

    “เอสซี่”

    ฉันหันไปมองคนเรียก แล้วพบว่าเป็นชายหนุ่มผมแดงที่คุ้นเคยดี

    “เกิดอะไรขึ้นหรือ เธอยังดูหดหู่อยู่เลย”

    ไม่อยากบอกเขาเลยว่าฉันยังไม่สามารถสะสางปัญหาให้คืบหน้าได้ แต่เมื่อคิดว่าเขาคือเร็กซัส...คนที่รู้เรื่องมากมายเกี่ยวกับฉัน บางทีเขาอาจจะรู้จักโอเรด้วยก็ได้ ฉันลองถามเขาดูอีกคนคงไม่เสียหาย

    “เร็กซัส คุณรู้จักโอเรไหม ฉันอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา”

    “ใครนะ”

    “คุณไม่รู้ก็ไม่แปลกอะไร ฉันก็แค่...”

    ฉันกำลังทำอะไรอยู่นี่... ไม่มีทางที่เร็กซัสจะรู้อะไรเกี่ยวกับโอเร

    “รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวผมกลับมา” เร็กซัสบอกฉันแล้วจากไป

    แม้จะยังงงๆ กับคำพูดของอีกฝ่าย แต่ฉันก็ไม่ได้มีอะไรทำ และไม่คิดจะไปไหนอยู่แล้ว ดังนั้นจึงรออยู่ที่เดิมตามเขาบอก

    “เธอเอานี่ไปได้” ชายหนุ่มยื่นสมุดปกหนังเล่มหนึ่งที่มีสายรัดพาดจากปกหลังมาด้านหน้าให้ฉันเมื่อเขากลับมาอีกครั้ง

    “นี่คือ...” ฉันรับมาถือและพิจารณาดู “ไดอารีงั้นเหรอ”

    สมุดบันทึกเล่มนี้ดูค่อนข้างเก่าอยู่

    “มันเป็นของพ่อของโอเร” เร็กซัสบอก

    “คุณได้มันมาจากไหน” ฉันรีบถามด้วยความตกใจ

    “ผมรู้จักพ่อเขามานานแล้วเพราะอาชีพของผม” เร็กซัสบอก “เขาบังเอิญลืมมันไว้ตอนที่เราพบกัน โชคร้ายที่ผมไม่มีโอกาสได้คืนสิ่งนี้ให้เขา”

    แววตาของเขาดูเศร้าๆ อยู่บ้าง

    “ตอนแรกผมรู้สึกคุ้นๆ ชื่อ โอเรอยู่ แต่นึกไม่ออกว่าเคยได้ยินมาจากไหน” เขาเล่า “เมื่อผมนึกขึ้นได้ จึงรีบเอาไดอารีนี่มาให้เธอ”

    “คุณแน่ใจนะว่าฉันอ่านมันได้” ฉันถาม

    “เจ้าของไดอารี่นี้ไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว มันขึ้นอยู่กับเธอว่าจะอ่านมันไหม”

    เพราะเหตุนี้เองเขาถึงบอกว่า ไม่มีโอกาสคืนไดอารีนี้ให้พ่อของโอเร

    ฉันตัดสินใจรับมันไว้ แล้วบอกขอบคุณเขา

     

    ฉันกลับมาที่บ้านเพื่อเริ่มต้นอ่านไดอารี โดยไม่ลืมกล่าวขออนุญาตและขออภัยเจ้าของอยู่ในใจ

    ฉันรู้ว่าฉันไม่ควรจะอ่านไดอารี่ของคนอื่น แต่ว่าฉันต้องการจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโอเรกันแน่

     

    XX-XX-XXXX

    วันนี้ ฉันซื้อร้องเท้าโรลเลอร์สเก็ตคู่หนึ่งให้โอเร เขาอยากได้มันตั้งแต่ครั้งแรกที่เพื่อนร่วมชั้นใส่

    โอเรหลงใหลในกีฬามาตลอด น่าเสียดายที่เขามีร่างกายที่อ่อนแอเหมือนแม่ของเขา

    ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังอยากที่จะเล่นกีฬาได้เหมือนเด็กทั่วไป ฉันหวังว่าว่าโรลเลอร์สเก็ตจะช่วยทำให้สิ่งที่เขาปรารถนาเป็นจริงขึ้นมาได้บ้าง

    แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในโลกง่ายดายอย่างที่คิด โอเรไม่สามารถเล่นสเก็ตได้โดยไม่ล้มไม่ว่าเขาจะพยายามเท่าไหร่ก็ตาม

    ฉันได้แต่บอกให้เขาอย่าเพิ่งยอมแพ้

     

    XX-XX-XXXX

    วันนี้ฉันพาโอเรไปกินพาร์เฟต์ ภรรยาที่จากไปแล้วของฉันก็ชอบของหวานๆ ดังนั้นฉันจึงคิดว่าเขาน่าจะชอบเหมือนกัน

    ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เหมือนกับเธอในแทบทุกด้าน แม้แต่เส้นผมสีขาวที่งดงามนั้นก็เช่นกัน

    แล้วฉันก็คาดการณ์ได้ถูกต้อง เขาดูมีความสุขมากที่ได้ลิ้มรสพาร์เฟต์และก็กินมันไปถึงสองถ้วยภายในเวลาเพียงห้านาที

    ฉันก็ลองสั่งมากินด้วยถ้วยหนึ่ง แต่มันไม่มีรสอื่นนอกจากช็อกโกแลต สตรอว์เบอร์รี และวนิลา

    ฉันไม่ชอบรสชาติของมิลค์ช็อกโกแลตนักเพราะว่ามันหวานเกินไป ถ้าหากว่ามีรสดาร์กช็อกโกแลตก็คงดี

    ในความเห็นฉัน ของหวานที่ดีควรจะมีรสขมเจืออยู่เล็กน้อยก่อนที่จะได้ชิมรสความหวานของมัน

    แต่ถึงฉันจะบ่นไป ตราบใดที่โอเรมีความสุขมันก็ถือว่าดีแล้ว

     

    อ่านถึงตรงนี้ฉันก็คิดว่าพ่อของโอเรดูแปลกๆ อยู่บ้าง แต่ว่าเขาก็ดูใส่ใจโอเรมาก และโอเรในไดอารีนี่ก็น่าจะมีคนเดียวกับโอเรที่ฉันรู้จัก ไม่ใช่คนที่บังเอิญมีชื่อซ้ำกัน

    ฉันลองกวาดตามองคร่าวๆ แล้วเลือกอ่านเฉพาะวันที่ดูมีเนื้อหาเกี่ยวกับโอเรที่น่าสนใจ

     

    XX-XX-XXXX

    เมื่อฉันกลับมาถึงบ้านวันนี้ ฉันพบโอเรหมดสติอยู่ในห้องของเขา เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเด็กที่เปราะบางมากก็ตาม

    แล้วฉันก็นึกถึงภรรยาของฉันขึ้นมา ฉันเห็นความเชื่อมโยงในทันทีทันใดแล้วก็รีบส่งเขาไปโรงพยาบาลที่อยู่ในละแวก

    มันเป็นอย่างที่ฉันคิดไว้ เขาเป็นเบาหวานประเภทที่หนึ่ง...โรคเดียวกันที่พรากชีวิตภรรยาของฉันไป

    พอคิดว่าฉันเพิ่งซื้อพาร์เฟต์ให้เขากินเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อน ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าฉันจะไม่ระวังได้ขนาดนี้ ฉันไม่สังเกตเห็นถึงอาการล่วงหน้ามาก่อนเลย

     

    XX-XX-XXXX

    เท่าที่ฉันรู้ ถ้าหากมีการดูแลที่เหมาะสมและรัดกุมในการฉีดอินซูลิน โอเรก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างคนทั่วไป

    เป็นเพราะงานของฉัน ฉันยุ่งจนละเลยภรรยาไป กระทั่งมันสายเกินไป ฉันจะไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง

    ฉันจะให้โอเรได้รับการรักษาที่ดีที่สุด

     

    XX-XX-XXXX

    วันนี้โอเรร้องจะกินพาร์เฟต์

    หากมีการวางแผนที่รอบคอบและตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดอยู่สม่ำเสมอ เขาก็สามารถจะทานอาหารอะไรก็ได้

    อย่างไรก็ตาม ฉันไม่อยากเสี่ยง มันเจ็บปวดเหลือเกินสำหรับฉันที่จะได้บอกเขาว่าเขาไม่สามารถกินอะไรโดยไม่ระมัดระวังได้อีกแล้ว

    เขาดูจะเสียใจอย่างเห็นได้ชัด

     

    “โอเร...” ฉันเอามือสัมผัสหน้ากระดาษของไดอารีแล้วระลึกถึงเด็กหนุ่มผมขาว

    ฉันไม่รู้เลยว่าเขาต้องผ่านเรื่องพวกนี้มาเขาดูร่าเริงเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าฉัน

    ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้นหรือ...

    ฉันเก็บคำถามนั้นไว้แล้วอ่านบันทึกต่อ

     

    XX-XX-XXXX

    มันก็ปีหนึ่งแล้วตั้งแต่ฉันรู้ว่าโอเรเป็นเบาหวาน เราเริ่มคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในรูปแบบนี้แล้ว

    ฉันรู้สึกว่าฉันเอาใจจดจ่อกับโอเรจนเริ่มละเลยลูกอีกคน

    ฉันภูมิใจที่เขาสามารถดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องให้ฉันช่วยด้วยอายุเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ฉันพบว่ามันยากที่จะสื่อสารกับเขา

    ผิดกับโอเร เขาเหมือนฉันมากกว่า ฉันมักพบว่ามันยากที่จะติดต่อกับผู้คน เขาต้องได้นิสัยเช่นนั้นมาจากฉันแน่

    อย่างไรก็ตาม เราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันหวังว่าเราจะสามารถใกล้ชิดกันมากขึ้นได้

     

    XX-XX-XXXX

    เมื่อเร็วๆ นี้โอเรบอกว่า จิตเขาถูกแยกออกจากร่างทุกครั้งที่เขาหลับ

    ฉันสงสัยว่าเขาจะมีปัญหาทางจากจิตใจเพราะอาการป่วยของเขาหรือไม่

    ฉันหวังว่ามันคงจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว

     

    XX-XX-XXXX

    โอเรชอบเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ที่จิตเขาหลุดออกจากร่าง เขาเชื่อจริงๆ ว่าสิ่งที่เขาสัมผัสเป็นเรื่องจริง

    ฉันเริ่มเป็นห่วงว่าปัญหานี้จะยิ่งหนักกว่าเดิม

    ฉันต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง

     

    XX-XX-XXXX

    ฉันตัดสินใจทำการทดสอบ ฉันวางของห้าอย่างไปในห้องที่ล็อกเอาไว้และให้โอเรบอกว่าฉันว่าในนั้นมีอะไรบ้าง

    ฉันตกใจมากที่เขาตอบได้ถูกต้องทั้งหมด

    ฉันไม่อยากจะยอมรับ แต่สิ่งที่เขาบอกเป็นความจริง

     

    XX-XX-XXXX

    ฉันไม่เคยสนใจเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติมาก่อน ดังนั้นฉันจึงไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับปัญหาของโอเรที่เพิ่งพบ

    ฉันตัดสินใจใช้เวลาค้นคว้าและก็ทราบว่าพลังที่เขามีคล้ายๆ กับความสามารถของผู้มีพลังจิตที่เรียกว่าการถอดจิต

    มันเป็นหนึ่งในความสามารถที่เก่าแก่ที่สุดที่มีการบันทึกไว้ และมันก็มีเกี่ยวพันกับความฝันเป็นอย่างมาก

    เมื่อเร็วๆ นี้ ฉันค้นพบว่าสาเหตุที่ทำให้ลูกชายของฉันมีพลังดังกล่าวเป็นเพราะว่าเขาถูกตัดขาดจากโลกของความจริง

    เด็กล้วนมีสิทธิ์ที่มีความฝัน แต่ดูเหมือนว่าความฝันของเขาก็ถูกพรากไปตั้งแต่แรกแล้ว

    เขาปรารถนาที่จะหลบหนีออกจากโลกอันแสนโหดร้ายนี้

    ความสามารถที่เขามีคงช่วยหล่อเลี้ยงความปรารถนาของเขาและบ่มเพาะมันให้แข็งแกร่ง

     

    นี่ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่า เรื่องนี้เหมือนกับที่ฉันอ่านเจอใน X-note

    มันเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นหรือ...

    ฉันต้องการข้อมูลมากกว่านี้จึงจะสรุปได้ ทว่าทันทีที่ฉันพลิกหน้าถัดไป ฉันก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าหน้ากระดาษจำนวนหนึ่งต่อจากนั้นถูกฉีกขาดไป

    “เกิดอะไรขึ้น ใครดึงมันไป”

    ฉันถามกับตัวเอง และคิดว่าไม่น่าจะใช้ฝีมือเร็กซัส เพราะถ้าเขาไม่อยากให้ฉันรู้เรื่องพวกนี้ เขาคงไม่เอาสมุดบันทึกนี่ให้ฉันอ่านตั้งแต่แรก

    ฉันข้ามหน้ากระดาษที่ฉีกขาดพวกนั้นไปอ่านหน้าสุดท้ายที่มีร่องรอยการเขียน

     

    XX-XX-XXXX

    โอเร! โอเรของฉัน! ลูกชายที่รักของฉัน! โอเร!

    นี่ต้องไม่ใช่ความจริง! นี่ไม่มีทางเป็นไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!

    ฉันสัญญากับเธอไว้ว่าจากดูแลเขา...

    นี่มันอะไรกัน นี่มันอะไรกัน นี่มันอะไรกัน

    มันจบสิ้นแล้ว! ทุกอย่างจบสิ้น!

    ชีวิตของเขาจบสิ้นแล้ว!

    เขาตายแล้ว...

    ฉันปล่อยให้เขาตาย...

     

    ข้อความนั้นเต็มไปด้วยความสับสนและเสียงกรีดร้อง และมันก็ทำให้ฉันรู้สึกสับสนและอยากกรีดร้องออกมาเช่นกัน

    “ไม่...” ฉันพึมพำด้วยเสียงที่แทบไม่ได้ยิน “มันไม่น่าจะเป็นไปได้... โอเรไม่น่า...”

    ฉันไม่อยากเชื่อเรื่องที่ฉันค้นพบจึงรีบตรวจดูวันที่ หน้าสุดท้ายถูกบันทึกไว้เมื่อประมาณสิบปีก่อน นั่นหมายความว่า โอเรตายไปเมื่อสิบปีที่แล้ว

    ในไดอารีไม่มีบันทึกชื่อคนเขียน และเขาก็ไม่เคยเอ่ยถึงชื่อลูกชายอีกคน

    หน้าที่ถูกฉีกออกไปน่าจะเป็นฝีมือของตัวเขาเอง เหมือนเขาโกรธแค้นความพยายามทุกอย่างที่ได้ทำมาจนอยากทำลายมันทิ้ง ไม่ต้องให้พลังจิตอ่านฉันก็มั่นใจ

    ภาพเหตุการณ์ทุกอย่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมาในใจฉัน

    ในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าโอเรหมายถึงอะไรที่กล่าวคำพวกนั้น...

    ฉันลุกจากโต๊ะเขียนหนังสือไปทรุดนั่งลงที่โซฟา กอดหมอนอิงปลอบใจตัวเองเงียบๆ เพียงลำพัง

    “มิสเตอร์พัฟฟี่...” ฉันเอ่ยกับเจ้าสิ่งที่กอดไว้อยู่ “นายนี่นุ่มดีจังแล้วก็รู้สึกดีที่ได้กอดด้วย”

    ใจฉันลอยไปถึงคนที่มอบเจ้านี่ให้ฉัน

    ดูแลมันให้ดีละ

    ยูออน... นายรักพี่ชายของนายใช่ไหม... นายชอบมิสเตอร์พัฟฟี่ก็เพราะพี่ชาย...

    ดังนั้น...ฉันเชื่อว่าของขวัญชิ้นนี้ที่นายมอบให้มาจากใจจริง...

    ฉันจะไม่หนีอีกแล้ว

    กริ๊ง...ง!

    เสียงกริ่งดังขึ้นเพื่อทดสอบความตั้งใจของฉันทันที

    มองออกไปก็พบว่าเป็นคนเดียวกับที่มาหาเมื่อวานนี้

    “เอสซี่ ขอฉันเข้าไปหน่อยได้ไหม ฉันจะเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง” ยูออนร้องบอกอยู่หน้าประตู

    ฉันปลดล็อกกุญแจแล้วปล่อยให้เขาเข้ามาโดยที่ยังไม่พูดอะไร ฉันอยากฟังเรื่องจากปากเขาก่อน

    “...ขอบคุณที่ยอมให้ฉันเข้ามา”

    ยูออนบอกหลังจัดการเก็บรองเท้าวางเข้าที่เรียบร้อย

    “ฉันคิดมาเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ฉันจะพูดต่อไปนี้อาจฟังคล้ายข้อแก้ตัว แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้ อย่างน้อย ฉันก็ควรให้คำอธิบายกับเธอ เธอมีสิทธิ์ที่จะรู้”

    ฉันนิ่งรับแล้วก็ย้ายไปคุยที่โต๊ะทานข้าว

    “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว...” เขาเริ่มต้นเล่า “แม่ของฉันตายตอนที่ฉันยังเป็นทารกอยู่ ดังนั้นครอบครัวที่ฉันรู้จักและเลี้ยงดูฉันมาก็มีเพียงพ่อและพี่ชาย”

    เรื่องนี้...

    “ผิดกับพี่ชายของฉัน ฉันมักจะมีปัญหาในการเข้าหาผู้อื่นเสมอ สิ่งที่ฉันคิด สิ่งที่ฉันพูด และสิ่งที่ฉันทำไม่เคยเป็นไปในทางเดียวกัน ฉันไม่เข้าใจว่าผู้คนสื่อสารถึงกันโดยง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร มันยากเกินไปสำหรับฉัน เพราะฉะนั้นฉันจึงชื่นชมพี่ชายของฉันมาก เขาคือทุกอย่างที่ฉันอยากเป็น”

    ...ฉันเคย...

    “และแล้ววันหนึ่ง... พี่ฉันก็บอกว่าเขามีประสบการณ์ที่คล้ายวิญญาณหลุดออกจากร่างอยู่บ่อยครั้ง หลังจากที่ได้ทำการทดลองและวิจัยสองสามอย่าง พ่อก็พบว่าพลังของเขาเกี่ยวข้องการความสามารถของผู้มีพลังจิตทีเรียกว่า การถอดจิต ตอนนั้นเองเขาก็ตัดสินใจก่อตั้งสถาบันเซ็นขึ้นเพื่อที่จะช่วยพี่จัดการกับความสามารถใหม่ของเขา”

    ...อ่าน...

    “ตอนนั้นสถาบันเซ็นต่างไปจากที่เป็นอยู่ในตอนนี้มาก ผู้คนทั่วไปคิดว่าที่นั่นคือโรงเรียน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันคือสถานทดลองค้นคว้าวิจัยสำหรับเด็กที่มีความสามารถทางด้านพลังจิต”

    ...มาแล้ว

    ใช่... ฉันเคยอ่านมันมาแล้วจากสองแหล่งด้วยกัน... จาก X-note และไดอารีนั่น

    “ฉันถูกพาตัวไปที่นั่นเมื่อเริ่มแสดงสัญญาณของการมีความสามารถแบบเดียวกันกับพี่ อย่างไรก็ตาม ความสามารถของฉันก็มีชีวิตสั้นนัก”

    แต่เรื่องนี้ฉันเคยได้ฟังจากคนที่พูดอยู่นี่เท่านั้น

    “หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็ค้นพบว่าฉันมีความสามารถที่ต่างจากพี่ชายโดยสมบูรณ์ปรับตัว’… นั่นคือคำที่เขาใช้เรียกมัน ความสามารถที่ได้รับเอาความสามารถของผู้มีพลังจิตคนอื่นมาเป็นคนตัวเอง เมื่ออยู่ใกล้กับคนคนนั้นมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง มันเป็นชื่อเรียกที่เหมือนจะตั้งมาประชดกันเมื่อคิดว่าฉันไม่เคยสามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งรอบตัวได้”

    ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าเสียงของยูออนฟังดูเศร้ามาก แววตาของเขาก็เช่นกัน

    “ด้วยความสามารถนั้น ตราบใดที่ฉันอยู่ใกล้ผู้มีพลังจิตคนอื่นในระยะที่เหมาะสม ฉันก็จะได้รับพลังของพวกเขามาใช้เป็นเวลาประมาณสองสามสัปดาห์โดยไม่หลีกเลี่ยงได้” เขาเล่าต่อโดยหลุบตาลง “ฉันสะสมพลังหลากหลายรูปแบบเอาไว้มากมายในช่วงสั้นๆ ที่ฉันอยู่ที่สถาบันเซ็น แล้วในตอนท้าย ฉันก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ พวกเขาสรุปว่ามันอันตรายเกินไปถ้าจะปล่อยให้ฉันอยู่ในความดูแลต่อและส่งฉันกลับบ้าน”

    ฉันนิ่งฟังเรื่องจากมุมของยูออนต่อไป

    “เรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นจึงอยู่เหนือการรับรู้ของฉัน ข่าวต่อมาที่มาถึงฉันก็คือความตายของพี่ชาย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาพ่อก็เปลี่ยนไป ฉันไม่สามารถคุยกับเขาได้เหมือนเมื่อก่อน”

    การที่เด็กเล็กๆ ต้องสูญเสียพี่ชายไป และไม่สามารถสื่อสารกับพ่อของตัวเองได้จะเจ็บปวดแค่ไหนกันนะ

    “ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันคิดเสมอว่าพี่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างพ่อกับฉัน ไม่มีเขาแล้ว ก็ไม่มีอะไรเชื่อมเราถึงกันได้อีก”

    มันคงเจ็บปวดจนบรรยายไม่ถูก...

    “ฉันไม่อยากจะยอมรับความจริงนั้น ฉันอยากจะเรียกคืนสิ่งที่สูญเสียไป ดังนั้นฉันจึงฝังตัวเองอยู่กับการเรียน ทำผลงานทางการศึกษาให้ดีที่สุด และก็ได้รับรางวัลมามากมาย... หวังเพียงพ่อจะภูมิใจในตัวฉัน... ฉันทำทุกอย่างเท่าที่ฉันสามารถทำได้ แต่ระยะห่างระหว่างเราก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ถึงอย่างนั้น...ฉันก็ยังเชื่อว่าตราบใดที่ฉันยังทำงานหนักต่อไป บางที สักวันหนึ่งพ่อจะกลับมามองฉันในแบบเดิม”

    ฉันเห็นผลลัพธ์จากความพยายามที่ผ่านมาของเขาได้อย่างชัดเจนผ่านทางตัวยูออนเอง...

    “แต่แล้ว...เขาก็ตายไปโดยไม่ทันได้บอกกล่าว... เหมือนกับพี่ชาย พวกเขาจากฉันไปในแบบเดียวกัน ฉันสับสนและหลงทาง ฉันไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร มันเหมือนกับว่าทุกอย่างได้ถูกพรากไปจากฉัน... ทั้งครอบครัว จุดมุ่งหมาย ความหวัง...”

    ยูออนสบสายตาฉันขณะกล่าวต่อว่า

    “บอกเธอตามตรง ฉันไม่สนอีกต่อไปแล้วว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นได้อย่างไร มันคงไม่มีอะไรเปลี่ยนถึงแม้ว่าฉันจะพบตัวคนสังหารพ่อ ฉันก็แค่อยากหาอะไรเบี่ยงเบนความสนใจ...อะไรก็ได้ทั้งนั้นตราบใดที่มันทำให้ฉันลืมทุกอย่างได้”

    แล้วเขาก็เรียกชื่อฉัน

    “เอสซี่... ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกใช้เธอ ฉันรู้ว่าฟังดูไร้สาระ แต่ว่า... ฉันไม่รู้แล้วว่าจะไปทางไหนต่อดี”

    ฉันแทบทนสายตาของเขาที่มองมาด้วยความเจ็บปวดเช่นนั้นไม่ได้

    ยูออน...

    ฉันนึกว่าเขาเป็นคนที่ดูเท่ สงบ และเยือกเย็น

    แต่เมื่อได้เข้ามารู้จักใกล้ชิด เขาไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่ว่านั่นเลย

    เหล่านั้นมันก็แค่หน้ากาก...ที่เขาสวมมาตลอด

    เบื้องหลังฉากกั้นนั้นก็คือชายผู้สูญเสียเส้นทางของตน

    เมื่อไม่มีใครที่เขาสามารถเปิดใจด้วยได้ เขาก็จบลงด้วยการแบกรับภาระปัญหาทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง

    และตรงหน้าฉันนี้ เขากำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว...

    ช่วยไม่ได้ที่ฉันจะอยากสวมกอดเขาเพื่อปลอบโยน

    ร่างกายฉันขยับตามความคิดนั้นโดยอัตโนมัติ

    ฉันไม่รู้ว่าเขาจะเปราะบางขนาดนี้


     

    “ฉันขอโทษ เอสซี่ ขอโทษจริงๆ”

    นั่นคือเสียงสะอื้นของลูกผู้ชายที่กำลังซบไหล่ฉันอยู่ ฉันทำได้เพียงแค่ลูบผมของเขาเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

    ฉันถอนตัวออกจากเขาเมื่อเห็นว่าเขาเริ่มสงบลง แล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

    “นายไม่เป็นไรนะ”

    ยูออนผงกศีรษะให้ แล้วกล่าว

    “ฉันขอโทษด้วย ฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครมาก่อน มีแต่เธอที่ฉันไว้ใจพอที่จะสามารถพูดทั้งหมดออกมาได้”

    ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรให้เขาไว้ใจแต่อย่างใด

    “อย่างก็ได้ตาม ฉันบอกเธอทุกอย่างแล้ว ฉันจะไปละ” เขาบอกแล้วลุกขึ้นยืน “เธอไม่จำเป็นต้องยกโทษให้ฉัน เธอจะเกลียดฉันไปเลยก็ได้ เพียงแต่...ช่วยไปเรียนพรุ่งนี้เถอะนะ”

    ฉันไม่ได้รับปากอะไรเขา แค่ส่งเขาออกไปเท่านั้น

    ยูออนไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันมีเรื่องที่ปิดบังเขาอยู่...เรื่องของโอเรและอาน่อนที่ฉันยังไม่กล้าบอกเขา

    แต่ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นเขาก็ยังมาเป็นห่วงเรื่องเรียนของฉันอีก...สมกับเป็นยูออนจริงๆ

    ฉันตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะไปเรียนเพื่อไม่ให้ยูออนเป็นห่วง แล้วก็จะเดินหน้าตรวจสอบเรื่องของโอเรกับอาน่อนให้มั่นใจจึงค่อยไปรายงานกับเขา

    อย่างไรฉันก็อยากรู้ความจริงให้ถึงที่สุด

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×