ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 3 การสืบสวน -- 4 - เอ็กซ์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 328
      1
      7 ม.ค. 55

    4 - เอ็กซ์

    เมื่อกลับมาถึงบ้านฉันก็รีบเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของฉันขึ้นมาแล้วก็เสียบแฟลชไดร์ฟที่เคยเป็นจี้ห้อยคอเข้าไป

    มือของฉันถือกระดาษไว้สองแผ่น ขนาดไม่เท่ากัน แผ่นแรกคือใบปลิวมิราจที่เพิ่งได้มา อีกแผ่นที่มีขนาดเล็กกว่ามากคือนามบัตรซึ่งมีรายชื่อของผู้ก่อตั้งสถาบันเซ็น

    Scid, Emma, Acia, Loil…

    ฉันอ่านชื่อที่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในนามบัตรนั้นทีละชื่อ

    สาเหตุที่ต้องเรียงลำดับแบบนี้เป็นเพราะ...

    S.E.A.L.

    อักษรตัวแรกของชื่อพวกเขารวมกันเป็นรหัสผ่าน...!

    Seal มีความหมายว่า ผนึก ฉันมั่นใจว่ามันต้องใช่ จึงพิมพ์กรอกเข้าไปในช่องที่รอรับรหัสผ่านเพื่ออ่าน X-note

    พาสเวิร์ดถูกต้อง...

    ปลดล็อก X-note...

    “มันถูกต้อง!” ฉันโห่ร้องดีใจเมื่อเห็นข้อความที่หน้าจอหลังจากฉันกดยืนยันรหัสผ่าน

    ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะง่ายขนาดนี้

    มิสอาเซียพูดถูกที่ว่ามันอยู่ใกล้ตัวฉันจริงๆ มีคนพูดถึงชื่อผู้ก่อตั้งสถาบันเซ็นตามลำดับนี้ตั้งกี่ครั้งแล้วแต่ฉันก็ไม่เคยคิดเอ๊ะใจมาก่อน

    ฉันรอคอยให้ถึงวันนี้มาตลอดตั้งแต่สองปีก่อนที่ฉันค้นพบโฟลเดอร์นี้...

    รู้สึกตื่นเต้นจนอยากที่จะสงบจิตสงบใจให้เย็นลง แต่ฉันก็รวบรวมความกล้า แล้วค่อยๆ เปิดเนื้อหาในโฟลเดอร์ X-note ขึ้นมาดู...

    ฉันเปิดไฟล์ที่มีชื่อว่า ‘Dear Essi’ ก่อนเป็นอันดับแรก และนี่คือเนื้อหาภายในนั้น

     

    ถึง เอสซี่...

    ถ้าลูกได้อ่านข้อความนี้ นั่นหมายความว่าลูกสามารถเปิด X-note ได้แล้วในท้ายที่สุด

    แม่ทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้ลูกเพราะว่านี่คือสิ่งที่แม่อยากให้ลูกรู้เมื่อโตขึ้น

    แม่เริ่มเขียนบันทึกนี้ตอนลูกอายุได้สามปี นั่นคือช่วงเวลาตั้งแต่ที่ลูกค้นพบว่าลูกมีพลังจิต จนกระทั่งเราได้พบเด็กชายคนนั้น

    ...เด็กชายที่เราเรียกว่าเอ็กซ์

    ใช่แล้ว เอสซี่ บันทึกนี้คือเรื่องของเอ็กซ์

     

    เมื่ออ่านไฟล์แรกที่เหมือนเป็นบันทึกข้อความจากแม่ถึงฉันจบ ฉันก็เปิดไฟล์อื่นที่คล้ายอนุทินอ่านต่อ

     

    หลังจากที่แม่กลับจากที่ทำงานมาถึงบ้าน แม่เห็นว่าลูกสีหน้าไม่ค่อยดี พอลองจับหน้าผากดูก็พบว่าลูกตัวร้อนมาก

    ลูกอายุแค่สามปีตอนที่ลูกป่วยเป็นไข้หนักอยู่ทั้งอาทิตย์

    พอลูกหายดี แม่ก็โล่งใจ คิดว่าลูกปลอดภัยแล้ว... แต่แม่คิดผิดไป

    เมื่อย้อนนึกดูอีกที ความสามารถพิเศษของลูกน่าจะตื่นขึ้นตอนที่ลูกล้มป่วยนั่นเอง

    แม่สังเกตเห็นว่าลูกแปลกไปในครั้งแรกก็ตอนที่ลูกเอาชุดช้อนส้อมของแม่ของมาเล่น นั่นไม่ใช่การเล่นธรรมดา ช้อนส้อมทั้งหลายลอยไปลอยมาในอากาศอยู่รอบตัวลูก ลูกบังคับพวกมันโดยไม่รู้ตัว



     

    แม่คิดว่านั่นคือพลังจิต...

    หลังจากนั้นแม่ก็ตัดสินใจไปพบซิด เพื่อนนักจิตวิทยาและอดีตเพื่อนร่วมชั้นที่แม่รู้จักมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับอาการของลูก

    แม่เล่าถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัวลูกให้เขาฟัง เขาวิเคราะห์ว่าพลังของลูกน่าจะเรียกว่าพลังจิตจลน์หรือพลังจิตเหนือวัตถุ

    ซิดดูกระตืนรือร้นเกี่ยวกับเรื่องของพลังจิตมากกว่าแม่เสียอีก

    พอแม่ถามเขา เขาก็บอกว่า นั่นเป็นเพราะลูกชายคนโตของเขาก็มีพลังจิตเช่นกัน

    เมื่อหลายเดือนก่อน ลูกชายของเขาเล่าให้เขาฟังถึงประสบการณ์คล้ายจิตหลุดออกจากร่าง ตอนแรกซิดก็ไม่เชื่อที่ลูกบอก เข้าใจว่าเด็กคงฝันไปเอง แต่พอเขาลองทดสอบดู ก็พบว่าลูกของเขาสามารถบรรยายลักษณะภายในของห้องที่ปิดล็อกไว้ได้ถูกต้องแม่นยำโดยที่ยังไม่เคยเข้าไปในนั้นมาก่อน

    ซิดจึงค่อยเชื่อว่าพลังของลูกเขาเป็นของจริง และได้ทำการค้นคว้าเพิ่มเติมหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของพลังเหนือธรรมชาติและพลังจิตต่างๆ เขาสรุปได้ว่าลูกเขามีความสามารถในการถอดจิต

    หลังจากนั้นซิดก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะคิดว่าพลังของลูกเขาคงหายไปเองในอีกไม่นานตามข้อมูลที่ได้รู้มา ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นไปในทางที่เขาคิด ลูกเขามีอาการจิตหลุดออกจากร่างบ่อยครั้งกว่าเดิม แล้วระยะเวลาที่เด็กหลับก็ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ

    ซิดตระหนักได้ว่าเขาต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง...

    แม่เข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะแม่เองก็ไม่ต่างกัน

    ลูกเป็นสิ่งเดียวที่พ่อของลูกเหลือไว้ให้แม่ และแม่ก็อยากให้ลูกมีชีวิตธรรมดาที่มีความสุข

    แต่ในตอนนั้นลูกไม่สามารถควบคุมพลังได้ และถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ลูกคงไม่สามารถเข้าไปเรียนในโรงเรียนได้อย่างเด็กทั่วไป

    ซิดเล่าให้แม่ฟังว่าเขาเพิ่งคุยกับ ดร. ลอยล์มาเมื่อไม่นานนี้ ลอยล์เป็นผู้บริหารของ ORZ Corporate ที่ดูจะสนใจในการค้นคว้าด้านพลังเหนือธรรมชาติอย่างมาก

    ก่อนหน้านี้แม่เคยเจอเขามาบ้างเหมือนกัน แต่แม่ก็ไม่ค่อยชอบความคิดที่จะไปขอความช่วยเหลือจากเขานัก เพราะแม่เห็นว่าดวงตาของชายคนนั้นเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ที่ยุ่งเหยิง มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้มาจากโลกนี้ ไม่ได้มีอารมณ์เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป

    ซิดเห็นด้วยกับแม่ว่าลอยล์ดูไม่น่าไว้ใจ แต่เขาก็ยังยืนยันความคิดที่จะให้ลอยล์ออกเงินทุนสำหรับการวิจัยให้

    ตั้งแต่ภรรยาของเขาเสียไป ซิดก็ตั้งใจจะดูแลลูกของเขาให้ดีที่สุดตามที่สัญญาไว้กับเธอ เขาบอกแม่ว่า ต่อให้ต้องขายวิญญาณให้ปีศาจเขาก็จะยอมทำเพื่อลูกของเขา

    ซิดดูมุ่งมั่นมากจนแม่ยอมคล้อยตาม และแม่เองก็อยากทำเพื่อลูกเช่นกัน

    นอกจากนี้ยังมีอาเซีย...เพื่อนของแม่และซิดอีกคนที่พวกเราชวนให้มาร่วมงานด้วย ซึ่งเธอก็ดูกระตือรือร้นที่จะช่วย

    แม่ดีใจที่มีเธอมาร่วมงาน แล้วเริ่มรู้สึกว่าเราสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ

    สุดท้ายเราทั้งสามคน พร้อมด้วยเงินทุนสนับสนุนจาก ดร. ลอยล์ ก็ก่อตั้งสถาบันเซ็นขึ้นมา

    คนภายนอกรู้จักที่นี่ในนามของโรงเรียนสำหรับเด็กมีพรสวรรค์ ทว่าความจริงแล้ว ที่นี่คือห้องทดลองสำหรับโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเด็กที่มีพลังจิต

    พวกเราลาออกจากงานที่เคยทำพร้อมๆ กัน แล้วก็อุทิศชีวิตที่เหลือเพื่อช่วยเด็กเหล่านั้น

     

    พออ่านจบอีกไฟล์ ฉันก็หยุดพักเพื่อเรียบเรียงความคิดเล็กน้อย

    นี่เองเป็นสาเหตุที่แม่ช่วยก่อตั้งสถาบันเซ็น... แม่ทำไปเพื่อฉัน...

    มิสอาเซียพูดถูกทั้งหมด แต่เธอไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องที่ฉันมีพลังจิตเลย...ทั้งๆ ที่เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้ว

    “อ๊ะ! นี่ดึกขนาดนี้แล้วหรือนี่”

    ฉันตกใจเมื่อเห็นตัวเลขบอกเวลาที่มุมล่างของหน้าจอ ตอนนี้คงไม่ต้องคิดจะทานมื้อเย็นแล้ว

    ดีที่ฉันไม่ได้รู้สึกหิวอะไร แต่อย่างน้อยฉันก็น่าจะไปอาบน้ำและพักสายตาเสียหน่อยก่อนมาอ่านไฟล์พวกนี้ต่อ

    เมื่อคิดวางแผนเรียบร้อยแล้วฉันก็ลงมือทำตามนั้นทันที

     

    วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน

    เมื่อฉันกลับมานั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกทีก็เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว ที่จริงป่านนี้ฉันควรนอนหลับอยู่บนเตียง ทว่าฉันยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หายเลยไม่ห่วง ดังนั้นฉันจึงเปิดไฟล์ขึ้นมาอ่านต่อ

     

    มีเด็กกลุ่มใหม่เข้ามาในสถาบัน

    พวกเขาเป็นผู้รอดชีวิตจากสงครามที่ภาคเหนือ

    อาเซียเล่าให้แม่ฟังว่า ดร. ลอยล์เป็นคนไปพบเด็กเหล่านี้ระหว่างเดินทาง เขาว่าเขาเห็นระเบิดขนาดใหญ่ลงที่ใกล้หนองน้ำ เมื่อไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าน้ำในนั้นกลายเป็นสีแดงทั้งหมดคล้ายบ่อเลือด แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุดกลับเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิต พวกเขาล้วนเป็นเด็ก

    ตอนแรกแม่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะเด็กมีแนวโน้มจะเสียชีวิตมากที่สุดในระหว่างช่วงสงคราม

    ทว่าพออาเซียเล่าต่อว่า เด็กพวกนั้นบอกว่ามีพลังประหลาดช่วยพวกเขาไว้ แม่ก็เริ่มเข้าใจ

    การตื่นของพลังจิตมีส่วนเกี่ยวพันอย่างมากกับอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ที่เกิดจากการทรมาน

    สงครามสามารถทรมานทุกคนได้ง่ายๆ อยู่แล้วไม่ใช่แค่เด็ก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะมีเด็กที่มีพลังตื่นขึ้นมา

    แต่แม่ก็ยังคับข้องใจอยู่ แม่เอ่ยออกไปว่า คงไม่ใช่ทุกคนในกลุ่มเด็กเหล่านั้นที่จะมีพลังจิต

    จังหวะนั้นเองก็มีคนเข้ามาร่วมวงสนทนาของแม่กับอาเซียเพิ่มขึ้นอีกคน

    ลอยล์ที่เพิ่งเข้ามาทีหลังก็แทรกขึ้นกลางคันว่า มันเป็นหน้าที่ของแม่ที่ต้องหาว่าใครเป็นผู้มีพลังจิตบ้าง เขาจำเป็นต้องพาทุกคนมาเพราะเขาไม่มีพิสูจน์ได้ในทันที แล้วบอกให้แม่รายงานเขาด้วยเมื่อทำงานสำเร็จแล้ว

    แม่ถามเขาไปว่า แล้วจะทำอย่างไรกับเด็กที่ไม่มีพลัง

    กำจัดทิ้ง... นั่นคือคำตอบของลอยล์ในทีแรก ทว่าภายหลังเขาก็ยิ้มแล้วบอกว่า เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้น

    เขาอนุญาตให้แม่ทำอะไรก็ได้ตามต้องการกับเด็กที่ไม่มีพลัง เพราะเขาไม่สนใจพวกนั้นอยู่แล้ว

    แม่บอกไปว่า แม่อยากให้พวกเด็กๆ อยู่ที่สถาบันต่อ

    อาเซียแย้งว่า สถาบันเซ็นไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะให้เด็กที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการอยู่ที่นี่

    เธอไม่เข้าใจ... แม่เถียงเธอไป ...เพราะลูกของแม่ และลูกชายของซิดก็เป็นส่วนใหญ่ของโครงการ สำหรับเธอ พวกเขาอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของงานวิจัย แต่สำหรับแม่ แม่พาลูกมาที่นี่เพราะอยากช่วยลูก ไม่ใช่มากักขังไว้ในที่แห่งนี้ ลูกดูไม่มีชีวิตชีวามากขึ้นทุกวันตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ แม่มั่นใจว่าถ้ามีเพื่อนเพิ่มขึ้นคงเป็นการดีสำหรับลูก...

    สุดท้ายลอยล์ก็ช่วยคลี่คลายโดยการบอกอาเซียว่า ปล่อยให้แม่ทำไปเถอะ สถาบันเซ็นใหญ่มาก มีพื้นที่มากเกินพอ

    อาเซียตั้งท่าจะแย้งอีกครั้ง ทว่าลอยล์ก็พูดต่อก่อนว่า มันก็น่าสนุกดีที่จะศึกษาว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้างระหว่างเด็กที่มีพลังกับไม่มี

    แล้วเด็กๆ ก็น่ารักดีไม่ใช่หรือ... นั่นคือคำพูดที่เขาทิ้งท้ายไว้ก่อนปลีกตัวจากไป

    หลังจากนั้นแม่เริ่มอารมณ์เย็นลง จึงบอกขอโทษกับอาเซีย เธออุตส่าห์ลาออกจากงานมาเพื่อมาช่วยดูแลที่นี่ แต่แม่กลับพูดเช่นนั้นกับเธอไป

    อาเซียบอกว่า เธอไม่เป็นไร แต่ก็ยังออกความเห็นว่า แม่ต่างหากที่แปลกไป เอ็มม่าที่เธอชื่นชมคือผู้หญิงที่เข้มแข็ง ไม่ใช่คนที่ปล่อยให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล

    เธอถามแม่ว่า นักจิตวิทยาต้องใช้วิจารญาณในการตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของคนไข้...นั่นเป็นสิ่งที่แม่เคยบอกกับเธอเองไม่ใช่หรือ

    แม่ยอมรับว่าแม่เคยพูดเช่นนั้นจริง แต่...เอสซี่...เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกแล้ว แม่ก็ไม่ใช่นักจิตวิทยาอีกต่อไป แม่เป็นเพียงแม่คนหนึ่งเท่านั้น

    ช่วงหลังมานี่ แม่เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าแม่ตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่พาลูกมาที่นี่ ลอยล์ไม่ได้มีเจตนาจะช่วยเหลือพวกเด็กๆ เขาเห็นเด็กพวกนี้เป็นแค่ของเล่นที่น่าอัศจรรย์เท่านั้น และเมื่อคิดว่าลูกของแม่ก็ยังอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว... แม่เริ่มรู้สึกรับไม่ได้

    ยังดีที่แม่ยังมีซิดและอาเซียอยู่ฝั่งเดียวกัน ถ้ามีพวกเราคอยค้านอยู่ ลอยล์คงไม่สามารถทำอะไรตามที่เขาต้องการได้ทุกอย่าง ดังนั้นแม่จึงพอคลายความกังวลลงไปบ้าง

    ในช่วยระยะเวลาสั้นๆ นั้น ทุกอย่างดูจะดำเนินไปได้ด้วยดี...

    แล้วเราก็ค้นพบเอ็กซ์...

    เขาเป็นเด็กร่างผอมที่ไว้ผมด้านหน้ายาวลงมาปิดตา

    เขาคือเด็กคนนั้น...คนที่ใช้พลังจิตสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นด้วยตัวของเขาเพียงลำพัง เขาได้ช่วยชีวิตเด็กคนอื่นอีกหลายคนตั้งแต่วัยเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

    เขาไม่ค่อยพูด และไม่ยอมบอกชื่อของเขาให้รู้ไม่ว่าจะถามไปกี่ครั้งก็ตาม

    เราจึงเรียกเขาว่า เอ็กซ์กันตามที่ซิดเสนอ

    ถึงเอ็กซ์ดูจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือนัก แต่ซิดก็คิดว่าเด็กคนนี้จะเป็นก้าวใหญ่ในงานวิจัย เนื่องจากเขาไม่เคยเจอใครที่มีพลังยิ่งใหญ่เท่าเอ็กซ์มาก่อน

    หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มดำเนินการวิจัยกับเอ็กซ์อย่างจริงจัง

    ทุกคนต่างเข้าใจกันว่า งานวิจัยกำลังดำเนินไปถูกทางแล้ว

    ไม่มีใครจะคาดคิดว่าจะมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากนั้น...

    วันที่เอ็กซ์ได้สังหารลูกชายของซิด...

     

    เนื้อหาในโฟลเดอร์ X-note หมดลงเพียงเท่านี้ แต่ความคิดและความสงสัยของฉันยังไม่สิ้นสุด

    เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ทำไมเอ็กซ์ต้องฆ่าลูกชายของซิดด้วย เอ็กซ์เป็นใครกัน

    ...แวบหนึ่งนั้น ภาพเด็กชายผมปรกหน้าที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำปรากฏขึ้นมาในใจฉัน

    เด็กชายในความฝันของฉันคือเอ็กซ์อย่างนั้นหรือ เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาเป็นตัวการที่ทำให้แม่ ซิด และมิสอาเซียตายอย่างนั้นหรือ

    แล้วลอยล์ล่ะ

    เกิดอะไรขึ้นกับสถาบันเซ็นต่อจากนั้น ยังคงมีการวิจัยอยู่หรือไม่

    ...

    คำถามมากมายพลั่งพรูออกมา ยังมีชิ้นส่วนอีกหลายชิ้นที่หายไปจนฉันไม่อาจเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดได้

    ที่สำคัญคือ...ฉันไม่เข้าใจนักว่าทำไมแม่อยากให้ฉันอ่านบันทึกนี้ แม่อยากให้ฉันเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ แต่ว่าคืออะไรล่ะ ข้อความช่วงสุดท้ายก็ดูไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นัก

    ฉันรู้สึกว่านี่ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน... บางทีสาเหตุที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นอาจเป็นเพราะฉันยังไม่ได้นอนเลยก็ได้

    ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจพักนอนหลับสักหน่อย หวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งความคิดของฉันอาจจะกระจ่างขึ้นและช่วยฉันได้บ้าง

     

    หลายชั่วโมงหลังจากนั้น ฉันรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากได้นอนพักแต่ก็ยังไม่มีคำตอบของคำถามที่ค้างไว้เพิ่มขึ้นมาเลย

    บางทีฉันว่าจะไปปรึกษาเรื่องเนื้อหาของ X-note กับยูออนในวันจันทร์

    แต่ในตอนนี้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันจะออกไปสูดอากาศข้างนอก และแวะไปที่สวนเพกาซัสเพื่อไปฝึกพลังจิต

    หลังจากฝึกพัฒนาทักษะมาได้หลายวัน ฉันก็เริ่มรู้สึกว่ามีความก้าวหน้าอยู่บ้าง อย่างการฝึกพลังจิตจลน์ในวันนี้ฉันสามารถยกหินขนาดประมาณกำมือได้แล้ว นี่ถือเป็นของที่หนักที่สุดเท่าที่ฉันเคยใช้พลังจิตบังคับเคลื่อนย้าย จึงน่าภูมิใจอยู่บ้างที่ได้ทำลายสถิติเก่าของตัวเอง

     

    วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน

    ฉันใช้เวลาเกือบทั้งวันอ่านเนื้อหาของ X-note ซ้ำอีกครั้ง และก็คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี

    ฉันถอนหายใจออกมาดังๆ แล้วบ่นกับตัวเองว่า “นึกว่าความจริงจะปรากฏขึ้นเมื่อฉันเปิด X-note ได้ แต่นี่มันกลับทำให้ฉันยิ่งสับสน”

    บ่นเสร็จก็เปลี่ยนมาเตือนตัวเองว่า “มันเปล่าประโยชน์ที่จะไปกังวล ฉันน่าจะใช้เวลาว่างสำหรับการฝึกแทน”

    แล้วสุดท้ายฉันก็ไปจบลงที่สวนเพกาซัสเพื่อฝึกปรือทักษะด้านการควบคุมพลังจิตอีกครั้ง

     

    “วันนี้เท่านี้ก่อนแล้วฉัน” ฉันพูดขึ้นหลังเห็นว่าดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า

    จะว่าไปฉันไม่ได้เห็นเร็กซัสที่นี่นานแล้ว... ฉันอยากถามความคิดเห็นจากเขาดู

    “หืมมม?

    น่าแปลกที่ฉันอยากได้ความเห็นของใครบางคนที่ฉันแทบไม่รู้จัก

    ด้วยสาเหตุบางประการ ฉันคิดว่าเขาน่าจะช่วยฉันหาทางออกได้

    ทันใดนั้นฉันก็สังเกตเห็นเงาคนวิ่งข้ามถนนแล้วหายลับไปตรงหัวมุม

    “เร็กซัส นั่นคุณหรือเปล่า”

    ลองร้องถามไป แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา

    ฉันตัดสินใจตามเงานั้นไป โดยใช้พลังสัมผัสของฉันจับกลิ่นอายเมื่อครู่ที่เหลือทิ้งไว้ ฉันค่อนข้างมั่นใจว่านี่ใช่กลิ่นอายของชายผมแดงที่ฉันรู้จัก

    การตามเงานั้นพาฉันเดินอ้อมไปอ้อมมาและผ่านสถานที่ต่างๆ หลายที่ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันได้หลงทางหรือคาดกับมันไปแล้วหรือเปล่า ทว่าก่อนที่ตัดใจเลิกล้มการติดตาม ฉันก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อพบว่าตัวเองมาหยุดอยู่หน้าสถานที่ที่คุ้นเคย

    “ที่นี่คือสถาบันเซ็นนี่”

    ที่เห็นตรงหน้าคือโรงเรียนของฉันไม่ผิดแน่นอน

    “ทำไมเงานั่นถึงมาที่นี่ล่ะ”

    ความสงสัยที่ทวีขึ้นทำให้ฉันไม่ลดละความพยายาม

    ฉันผ่านทางประตูที่ปิดแล้วเข้าไปโดยการกดรหัสผ่านที่แป้นตัวเลขตามที่ยูออนเคยทำ แน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกรหัสผ่านกับฉัน และฉันก็ไม่ได้สังเกตจดจำไว้ด้วย แต่พลังจิตหยั่งรู้ที่ฉันฝึกมาตลอดก็ช่วยฉันเอาไว้อีกครั้ง การตามลอยสัมผัสที่แป้นตัวเลขไม่ยากเท่าใดนัก ฉันกรอกรหัสถูกตั้งแต่ครั้งแรก

    เข้ามาในตึกแล้วก็อดรู้สึกขนลุกซู่ไม่ได้ ยามราตรีที่สถาบันเซ็นนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ แล้วแล้วยูออนก็ไม่อยู่กับฉันในครั้งนี้ด้วย แต่ว่า...

    ถึงอย่างไรฉันก็ต้องไป

    พยักหน้าทีหนึ่งเป็นยืนยันการตัดสินใจและเป็นกำลังใจให้ตัวเองแล้วก็ออกเดิน

    ฉันเดินสำรวจมาจนถึงห้องแล็บวิทยาศาสตร์อันเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นถึงสองครั้ง

    บรรยากาศแห่งความตายยังคงตกค้างอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกแย่อะไรเหมือนครั้งก่อน ดังนั้นฉันจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปตรงกลางห้องอย่างระมัดระวัง

    ถึงจะอยู่กลางความมืด แต่รูม่านตาที่เริ่มขยายกว้างเป็นการปรับตัว และสัมผัสพิเศษของฉันก็บอกให้รู้ว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่

    ฉันเริ่มคลายใจลง แล้วก็ผ่อนลมหายใจตัวเอง

    “นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่นี่... มาเดินเที่ยวที่โรงเรียนเวลานี้งั้นเหรอ” ฉันว่าตัวเองเบาๆ ที่ทึกทักเอาเงาที่เห็นเป็นจริงเป็นจังจนเกินไป

    ดูเหมือนว่าฉันจะพบอะไรที่นี่แล้ว ทว่าทันใดนั้น...

    “นั่นใครน่ะ” ฉันถามขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคนที่กำลังเข้ามาในห้อง

    “โอ้ ที่รัก นั่นน่าจะเป็นคำพูดของฉันนะ” ชายคนที่เพิ่งปรากฏตัวกล่าว

    อย่างน้อยฉันก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชาย แม้เขาจะมีรูปร่างผอมสูง ไว้ผมยาว และมีเสียงพูดที่ค่อนข้างแหลม

    “คุณเป็นใคร” ฉันถามเขา

    “นั่นก็น่าจะเป็นคำพูดของฉันเช่นกัน” เขาพูดเสียงสดใส “ที่รักจ้ะ เธอรู้หรือเปล่าว่าการบุกรุกเข้าในพื้นที่ของคนอื่นทำให้เธอติดคุกได้นะ”

    “คุณพูดอย่างกับว่าคุณเป็นเจ้าของที่นี่อย่างนั้นแหละ”

    เขาแค่นเสียงหัวเราะที่ฟังรื่นเริงจนน่ารังเกียจ ก่อนตอบว่า

    “ใช่จ้ะ ใช่แล้ว”

    “อย่าบอกนะว่า คุณคือ...”

    ฉันพยายามเพ่งมองหน้าเขาให้ชัดๆ ใบหน้าเรียวยาว ดูไม่น่าไว้ใจแบบนี้ฉันเคยเห็นมาก่อน

    “ดร. ลอยล์?

    แม้จะอยู่ในความมืดฉันก็พอจะบอกได้ว่าหน้าของเขาเหมือนรูปที่ฉันเคยเห็นในแฟ้มคดีที่ได้จากยูออน

    “บิงโก”

    ขณะกล่าวคำลอยล์ก็เอาฝ่ามือตบกัน แล้วประสานค้างไว้เช่นนั้น พร้อมหยีตาลงเล็กน้อย

    “ทีนี้ก็ถึงตาเธอบ้างแล้ว ที่รัก”

    เขาเดินเข้ามาอีกสองสามก้าว ร่นระยะห่างระหว่างฉันกับเขา ก่อนเบิกตากว้างขึ้นแล้วถามว่า

    “เธอเป็นใคร”

    “หนูชื่อเอสซี่ เป็นนักเรียนของสถาบันเซ็น”

    ด้วยเห็นว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งสถาบัน ฉันเลยคิดจะใช้ข้ออ้างว่าฉันเป็นนักเรียนของที่นี่ แล้วเลือกใช้คำพูดที่ดูเด็กลง

    “นักเรียนมาทำอะไรที่นี่คนเดียวตอนกลางคืนล่ะ” ลอยล์ถาม “เธอไม่รู้หรือไงว่าโรงเรียนปิดตอนสองทุ่มในวันอาทิตย์”

    เรื่องนั้นฉันรู้เพราะยูออนบอกไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน แต่เรื่องอะไรฉันจะยอมรับเล่า

    “นะ...หนูไม่รู้ หนูแค่มาเอาโน้ตที่ลืมไว้ที่โรงเรียน”

    ฉันเลือกใช้คำตอบที่เคยเห็นในการ์ตูนมาหลายครั้งแทน

    “โอ้ อย่างนั้นเองหรือ” ถึงจะออกอุทาน แต่ลอยล์ก็ดูไม่ค่อยเชื่อคำพูดของฉันเท่าไหร่

    “ใช่ หนูขอโทษที่บุกรุกเข้ามาในเวลานี้ หนูจะไปละ”

    ว่าแล้วฉันก็รีบตั้งท่าจะเดินออกจากห้องไป ทว่าไม่ทันไรฉันก็ต้องชะงักด้วยสัมผัสน่าขยะแขยงที่ดึงฉันไว้จากด้านหลัง

    ลอยล์ใช้มือซ้ายจับบ่าฉันไว้ ส่วนมือขวาก็อ้อมมาบีบคางฉันแน่น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นรวดเร็วจนฉันไม่ทันจะขัดขืนและรู้สึกเหมือนโดนดูดพลังออกไปจากตัว

    “เอสซี่ที่รัก...”

    เสียงดังมาจากศีรษะของเขาที่วางอยู่ข้างศีรษะของฉัน เขาย่อตัวลงมาเพื่อให้ใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน ใกล้กันมากจนชวนอึดอัดและขยะแขยง


     

    “ทำไมเธอถึงดูรีบนักล่ะ”

    เสียงจากปลายลิ้นของเขาฟังคล้ายอสรพิษ

    “มันออกจะน่าเสียดายอยู่นะ แต่ฉันจะยอมปล่อยเธอไป” เขากระซิบ “แลกกับการที่เธอเก็บเรื่องที่เราพบกันไว้เป็นความลับ เข้าใจไหม”

    “คะ...ความลับ?

    ฉันพยายามแค่นเสียงออกมา มันยากที่จะพูดถ้าคางถูกบีบไว้แบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ฉันกำลังหวาดกลัวเพียงใด

    “ใช่จ้ะ เป็นความลับ” ลอยล์บอก

    “ดะ...ได้”

    “ต้องอย่างนี้สิถึงจะสมเป็นเด็กของฉัน” ชายหนุ่มฉีกยิ้มหวานจนน่ากลัวให้ แล้วค่อยๆ ปล่อยมือออกจากฉัน “ฝันหวานนะจ๊ะ”

    ทันทีที่หลุดพ้นจากจับกุมฉันก็รีบวิ่งกลับบ้านโดยเร็วที่สุดเท่าที่ฉันจะสามารถ

    ถึงจะกลับมาถึงบ้านที่ฉันคิดว่าปลอดภัยแล้ว ใจฉันก็ยังไม่สงบลง

    ทำไม

    ทำไมถึงเป็นเขา

    ฉันหลับตาลงขณะที่คว้าหมอนมากอดไว้แน่น

    มือของฉันกำลังสั่นอย่างเห็นได้ชัด

    ชายคนนั้น...

    ดวงตาของเขา...

    บรรยากาศรอบตัว...

    ทุกสิ่งเกี่ยวกับล้วนเขาเป็นไปด้วยอันตราย และน่ากลัวจนฉันบรรยายไม่ถูก

    ความรู้สึกเล่านั้นฝังลึกเข้าไปในวิญญาณของฉัน และได้ปลุกความทรงจำที่ลึกที่สุด...ที่จิตใต้สำนึกของฉันพยายามจะฝังไว้...

    วันที่ทุกสิ่งได้กลายเป็นฝันร้าย...

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×