คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 3 การสืบสวน -- 4 - เอ็กซ์
4 - เอ็กซ์
เมื่อกลับมาถึงบ้านฉันก็รีบเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของฉันขึ้นมาแล้วก็เสียบแฟลชไดร์ฟที่เคยเป็นจี้ห้อยคอเข้าไป
มือของฉันถือกระดาษไว้สองแผ่น ขนาดไม่เท่ากัน แผ่นแรกคือใบปลิวมิราจที่เพิ่งได้มา อีกแผ่นที่มีขนาดเล็กกว่ามากคือนามบัตรซึ่งมีรายชื่อของผู้ก่อตั้งสถาบันเซ็น
“Scid, Emma, Acia, Loil…”
ฉันอ่านชื่อที่พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในนามบัตรนั้นทีละชื่อ
สาเหตุที่ต้องเรียงลำดับแบบนี้เป็นเพราะ...
“S.E.A.L.”
อักษรตัวแรกของชื่อพวกเขารวมกันเป็นรหัสผ่าน...!
Seal มีความหมายว่า ผนึก ฉันมั่นใจว่ามันต้องใช่ จึงพิมพ์กรอกเข้าไปในช่องที่รอรับรหัสผ่านเพื่ออ่าน X-note
พาสเวิร์ดถูกต้อง...
ปลดล็อก X-note...
“มันถูกต้อง!” ฉันโห่ร้องดีใจเมื่อเห็นข้อความที่หน้าจอหลังจากฉันกดยืนยันรหัสผ่าน
ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะง่ายขนาดนี้
มิสอาเซียพูดถูกที่ว่ามันอยู่ใกล้ตัวฉันจริงๆ มีคนพูดถึงชื่อผู้ก่อตั้งสถาบันเซ็นตามลำดับนี้ตั้งกี่ครั้งแล้วแต่ฉันก็ไม่เคยคิดเอ๊ะใจมาก่อน
ฉันรอคอยให้ถึงวันนี้มาตลอดตั้งแต่สองปีก่อนที่ฉันค้นพบโฟลเดอร์นี้...
รู้สึกตื่นเต้นจนอยากที่จะสงบจิตสงบใจให้เย็นลง แต่ฉันก็รวบรวมความกล้า แล้วค่อยๆ เปิดเนื้อหาในโฟลเดอร์ X-note ขึ้นมาดู...
ฉันเปิดไฟล์ที่มีชื่อว่า ‘Dear Essi’ ก่อนเป็นอันดับแรก และนี่คือเนื้อหาภายในนั้น
ถึง เอสซี่...
ถ้าลูกได้อ่านข้อความนี้ นั่นหมายความว่าลูกสามารถเปิด X-note ได้แล้วในท้ายที่สุด
แม่ทิ้งสิ่งนี้ไว้ให้ลูกเพราะว่านี่คือสิ่งที่แม่อยากให้ลูกรู้เมื่อโตขึ้น
แม่เริ่มเขียนบันทึกนี้ตอนลูกอายุได้สามปี นั่นคือช่วงเวลาตั้งแต่ที่ลูกค้นพบว่าลูกมีพลังจิต จนกระทั่งเราได้พบเด็กชายคนนั้น
...เด็กชายที่เราเรียกว่าเอ็กซ์
ใช่แล้ว เอสซี่ บันทึกนี้คือเรื่องของเอ็กซ์
เมื่ออ่านไฟล์แรกที่เหมือนเป็นบันทึกข้อความจากแม่ถึงฉันจบ ฉันก็เปิดไฟล์อื่นที่คล้ายอนุทินอ่านต่อ
หลังจากที่แม่กลับจากที่ทำงานมาถึงบ้าน แม่เห็นว่าลูกสีหน้าไม่ค่อยดี พอลองจับหน้าผากดูก็พบว่าลูกตัวร้อนมาก
ลูกอายุแค่สามปีตอนที่ลูกป่วยเป็นไข้หนักอยู่ทั้งอาทิตย์
พอลูกหายดี แม่ก็โล่งใจ คิดว่าลูกปลอดภัยแล้ว... แต่แม่คิดผิดไป
เมื่อย้อนนึกดูอีกที ความสามารถพิเศษของลูกน่าจะตื่นขึ้นตอนที่ลูกล้มป่วยนั่นเอง
แม่สังเกตเห็นว่าลูกแปลกไปในครั้งแรกก็ตอนที่ลูกเอาชุดช้อนส้อมของแม่ของมาเล่น นั่นไม่ใช่การเล่นธรรมดา ช้อนส้อมทั้งหลายลอยไปลอยมาในอากาศอยู่รอบตัวลูก ลูกบังคับพวกมันโดยไม่รู้ตัว
แม่คิดว่านั่นคือพลังจิต...
หลังจากนั้นแม่ก็ตัดสินใจไปพบซิด เพื่อนนักจิตวิทยาและอดีตเพื่อนร่วมชั้นที่แม่รู้จักมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เพื่อปรึกษาเกี่ยวกับอาการของลูก
แม่เล่าถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นรอบตัวลูกให้เขาฟัง เขาวิเคราะห์ว่าพลังของลูกน่าจะเรียกว่าพลังจิตจลน์หรือพลังจิตเหนือวัตถุ
ซิดดูกระตืนรือร้นเกี่ยวกับเรื่องของพลังจิตมากกว่าแม่เสียอีก
พอแม่ถามเขา เขาก็บอกว่า นั่นเป็นเพราะลูกชายคนโตของเขาก็มีพลังจิตเช่นกัน
เมื่อหลายเดือนก่อน ลูกชายของเขาเล่าให้เขาฟังถึงประสบการณ์คล้ายจิตหลุดออกจากร่าง ตอนแรกซิดก็ไม่เชื่อที่ลูกบอก เข้าใจว่าเด็กคงฝันไปเอง แต่พอเขาลองทดสอบดู ก็พบว่าลูกของเขาสามารถบรรยายลักษณะภายในของห้องที่ปิดล็อกไว้ได้ถูกต้องแม่นยำโดยที่ยังไม่เคยเข้าไปในนั้นมาก่อน
ซิดจึงค่อยเชื่อว่าพลังของลูกเขาเป็นของจริง และได้ทำการค้นคว้าเพิ่มเติมหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของพลังเหนือธรรมชาติและพลังจิตต่างๆ เขาสรุปได้ว่าลูกเขามีความสามารถในการถอดจิต
หลังจากนั้นซิดก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะคิดว่าพลังของลูกเขาคงหายไปเองในอีกไม่นานตามข้อมูลที่ได้รู้มา ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นไปในทางที่เขาคิด ลูกเขามีอาการจิตหลุดออกจากร่างบ่อยครั้งกว่าเดิม แล้วระยะเวลาที่เด็กหลับก็ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ
ซิดตระหนักได้ว่าเขาต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง...
แม่เข้าใจความรู้สึกของเขา เพราะแม่เองก็ไม่ต่างกัน
ลูกเป็นสิ่งเดียวที่พ่อของลูกเหลือไว้ให้แม่ และแม่ก็อยากให้ลูกมีชีวิตธรรมดาที่มีความสุข
แต่ในตอนนั้นลูกไม่สามารถควบคุมพลังได้ และถ้ายังเป็นเช่นนี้ต่อไป ลูกคงไม่สามารถเข้าไปเรียนในโรงเรียนได้อย่างเด็กทั่วไป
ซิดเล่าให้แม่ฟังว่าเขาเพิ่งคุยกับ ดร. ลอยล์มาเมื่อไม่นานนี้ ลอยล์เป็นผู้บริหารของ ORZ Corporate ที่ดูจะสนใจในการค้นคว้าด้านพลังเหนือธรรมชาติอย่างมาก
ก่อนหน้านี้แม่เคยเจอเขามาบ้างเหมือนกัน แต่แม่ก็ไม่ค่อยชอบความคิดที่จะไปขอความช่วยเหลือจากเขานัก เพราะแม่เห็นว่าดวงตาของชายคนนั้นเต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ที่ยุ่งเหยิง มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้มาจากโลกนี้ ไม่ได้มีอารมณ์เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป
ซิดเห็นด้วยกับแม่ว่าลอยล์ดูไม่น่าไว้ใจ แต่เขาก็ยังยืนยันความคิดที่จะให้ลอยล์ออกเงินทุนสำหรับการวิจัยให้
ตั้งแต่ภรรยาของเขาเสียไป ซิดก็ตั้งใจจะดูแลลูกของเขาให้ดีที่สุดตามที่สัญญาไว้กับเธอ เขาบอกแม่ว่า ต่อให้ต้องขายวิญญาณให้ปีศาจเขาก็จะยอมทำเพื่อลูกของเขา
ซิดดูมุ่งมั่นมากจนแม่ยอมคล้อยตาม และแม่เองก็อยากทำเพื่อลูกเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีอาเซีย...เพื่อนของแม่และซิดอีกคนที่พวกเราชวนให้มาร่วมงานด้วย ซึ่งเธอก็ดูกระตือรือร้นที่จะช่วย
แม่ดีใจที่มีเธอมาร่วมงาน แล้วเริ่มรู้สึกว่าเราสามารถทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ได้สำเร็จ
สุดท้ายเราทั้งสามคน พร้อมด้วยเงินทุนสนับสนุนจาก ดร. ลอยล์ ก็ก่อตั้งสถาบันเซ็นขึ้นมา
คนภายนอกรู้จักที่นี่ในนามของโรงเรียนสำหรับเด็กมีพรสวรรค์ ทว่าความจริงแล้ว ที่นี่คือห้องทดลองสำหรับโครงการวิจัยขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเด็กที่มีพลังจิต
พวกเราลาออกจากงานที่เคยทำพร้อมๆ กัน แล้วก็อุทิศชีวิตที่เหลือเพื่อช่วยเด็กเหล่านั้น
พออ่านจบอีกไฟล์ ฉันก็หยุดพักเพื่อเรียบเรียงความคิดเล็กน้อย
นี่เองเป็นสาเหตุที่แม่ช่วยก่อตั้งสถาบันเซ็น... แม่ทำไปเพื่อฉัน...
มิสอาเซียพูดถูกทั้งหมด แต่เธอไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องที่ฉันมีพลังจิตเลย...ทั้งๆ ที่เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้ว
“อ๊ะ! นี่ดึกขนาดนี้แล้วหรือนี่”
ฉันตกใจเมื่อเห็นตัวเลขบอกเวลาที่มุมล่างของหน้าจอ ตอนนี้คงไม่ต้องคิดจะทานมื้อเย็นแล้ว
ดีที่ฉันไม่ได้รู้สึกหิวอะไร แต่อย่างน้อยฉันก็น่าจะไปอาบน้ำและพักสายตาเสียหน่อยก่อนมาอ่านไฟล์พวกนี้ต่อ
เมื่อคิดวางแผนเรียบร้อยแล้วฉันก็ลงมือทำตามนั้นทันที
วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน
เมื่อฉันกลับมานั่งที่หน้าจอคอมพิวเตอร์อีกทีก็เลยเวลาเที่ยงคืนมาแล้ว ที่จริงป่านนี้ฉันควรนอนหลับอยู่บนเตียง ทว่าฉันยังรู้สึกตื่นเต้นไม่หายเลยไม่ห่วง ดังนั้นฉันจึงเปิดไฟล์ขึ้นมาอ่านต่อ
มีเด็กกลุ่มใหม่เข้ามาในสถาบัน
พวกเขาเป็นผู้รอดชีวิตจากสงครามที่ภาคเหนือ
อาเซียเล่าให้แม่ฟังว่า ดร. ลอยล์เป็นคนไปพบเด็กเหล่านี้ระหว่างเดินทาง เขาว่าเขาเห็นระเบิดขนาดใหญ่ลงที่ใกล้หนองน้ำ เมื่อไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าน้ำในนั้นกลายเป็นสีแดงทั้งหมดคล้ายบ่อเลือด แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุดกลับเป็นกลุ่มผู้รอดชีวิต พวกเขาล้วนเป็นเด็ก
ตอนแรกแม่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะเด็กมีแนวโน้มจะเสียชีวิตมากที่สุดในระหว่างช่วงสงคราม
ทว่าพออาเซียเล่าต่อว่า เด็กพวกนั้นบอกว่ามีพลังประหลาดช่วยพวกเขาไว้ แม่ก็เริ่มเข้าใจ
การตื่นของพลังจิตมีส่วนเกี่ยวพันอย่างมากกับอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ที่เกิดจากการทรมาน
สงครามสามารถทรมานทุกคนได้ง่ายๆ อยู่แล้วไม่ใช่แค่เด็ก ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่จะมีเด็กที่มีพลังตื่นขึ้นมา
แต่แม่ก็ยังคับข้องใจอยู่ แม่เอ่ยออกไปว่า คงไม่ใช่ทุกคนในกลุ่มเด็กเหล่านั้นที่จะมีพลังจิต
จังหวะนั้นเองก็มีคนเข้ามาร่วมวงสนทนาของแม่กับอาเซียเพิ่มขึ้นอีกคน
ลอยล์ที่เพิ่งเข้ามาทีหลังก็แทรกขึ้นกลางคันว่า มันเป็นหน้าที่ของแม่ที่ต้องหาว่าใครเป็นผู้มีพลังจิตบ้าง เขาจำเป็นต้องพาทุกคนมาเพราะเขาไม่มีพิสูจน์ได้ในทันที แล้วบอกให้แม่รายงานเขาด้วยเมื่อทำงานสำเร็จแล้ว
แม่ถามเขาไปว่า แล้วจะทำอย่างไรกับเด็กที่ไม่มีพลัง
กำจัดทิ้ง... นั่นคือคำตอบของลอยล์ในทีแรก ทว่าภายหลังเขาก็ยิ้มแล้วบอกว่า เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้น
เขาอนุญาตให้แม่ทำอะไรก็ได้ตามต้องการกับเด็กที่ไม่มีพลัง เพราะเขาไม่สนใจพวกนั้นอยู่แล้ว
แม่บอกไปว่า แม่อยากให้พวกเด็กๆ อยู่ที่สถาบันต่อ
อาเซียแย้งว่า สถาบันเซ็นไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะให้เด็กที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการอยู่ที่นี่
เธอไม่เข้าใจ... แม่เถียงเธอไป ...เพราะลูกของแม่ และลูกชายของซิดก็เป็นส่วนใหญ่ของโครงการ สำหรับเธอ พวกเขาอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของงานวิจัย แต่สำหรับแม่ แม่พาลูกมาที่นี่เพราะอยากช่วยลูก ไม่ใช่มากักขังไว้ในที่แห่งนี้ ลูกดูไม่มีชีวิตชีวามากขึ้นทุกวันตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ แม่มั่นใจว่าถ้ามีเพื่อนเพิ่มขึ้นคงเป็นการดีสำหรับลูก...
สุดท้ายลอยล์ก็ช่วยคลี่คลายโดยการบอกอาเซียว่า ปล่อยให้แม่ทำไปเถอะ สถาบันเซ็นใหญ่มาก มีพื้นที่มากเกินพอ
อาเซียตั้งท่าจะแย้งอีกครั้ง ทว่าลอยล์ก็พูดต่อก่อนว่า มันก็น่าสนุกดีที่จะศึกษาว่าจะมีปฏิกิริยาอะไรบ้างระหว่างเด็กที่มีพลังกับไม่มี
แล้วเด็กๆ ก็น่ารักดีไม่ใช่หรือ... นั่นคือคำพูดที่เขาทิ้งท้ายไว้ก่อนปลีกตัวจากไป
หลังจากนั้นแม่เริ่มอารมณ์เย็นลง จึงบอกขอโทษกับอาเซีย เธออุตส่าห์ลาออกจากงานมาเพื่อมาช่วยดูแลที่นี่ แต่แม่กลับพูดเช่นนั้นกับเธอไป
อาเซียบอกว่า เธอไม่เป็นไร แต่ก็ยังออกความเห็นว่า แม่ต่างหากที่แปลกไป เอ็มม่าที่เธอชื่นชมคือผู้หญิงที่เข้มแข็ง ไม่ใช่คนที่ปล่อยให้อารมณ์มาอยู่เหนือเหตุผล
เธอถามแม่ว่า นักจิตวิทยาต้องใช้วิจารญาณในการตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของคนไข้...นั่นเป็นสิ่งที่แม่เคยบอกกับเธอเองไม่ใช่หรือ
แม่ยอมรับว่าแม่เคยพูดเช่นนั้นจริง แต่...เอสซี่...เมื่ออยู่ต่อหน้าลูกแล้ว แม่ก็ไม่ใช่นักจิตวิทยาอีกต่อไป แม่เป็นเพียงแม่คนหนึ่งเท่านั้น
ช่วงหลังมานี่ แม่เริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่าแม่ตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่พาลูกมาที่นี่ ลอยล์ไม่ได้มีเจตนาจะช่วยเหลือพวกเด็กๆ เขาเห็นเด็กพวกนี้เป็นแค่ของเล่นที่น่าอัศจรรย์เท่านั้น และเมื่อคิดว่าลูกของแม่ก็ยังอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว... แม่เริ่มรู้สึกรับไม่ได้
ยังดีที่แม่ยังมีซิดและอาเซียอยู่ฝั่งเดียวกัน ถ้ามีพวกเราคอยค้านอยู่ ลอยล์คงไม่สามารถทำอะไรตามที่เขาต้องการได้ทุกอย่าง ดังนั้นแม่จึงพอคลายความกังวลลงไปบ้าง
ในช่วยระยะเวลาสั้นๆ นั้น ทุกอย่างดูจะดำเนินไปได้ด้วยดี...
แล้วเราก็ค้นพบเอ็กซ์...
เขาเป็นเด็กร่างผอมที่ไว้ผมด้านหน้ายาวลงมาปิดตา
เขาคือเด็กคนนั้น...คนที่ใช้พลังจิตสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นด้วยตัวของเขาเพียงลำพัง เขาได้ช่วยชีวิตเด็กคนอื่นอีกหลายคนตั้งแต่วัยเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
เขาไม่ค่อยพูด และไม่ยอมบอกชื่อของเขาให้รู้ไม่ว่าจะถามไปกี่ครั้งก็ตาม
เราจึงเรียกเขาว่า ‘เอ็กซ์’ กันตามที่ซิดเสนอ
ถึงเอ็กซ์ดูจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือนัก แต่ซิดก็คิดว่าเด็กคนนี้จะเป็นก้าวใหญ่ในงานวิจัย เนื่องจากเขาไม่เคยเจอใครที่มีพลังยิ่งใหญ่เท่าเอ็กซ์มาก่อน
หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มดำเนินการวิจัยกับเอ็กซ์อย่างจริงจัง
ทุกคนต่างเข้าใจกันว่า งานวิจัยกำลังดำเนินไปถูกทางแล้ว
ไม่มีใครจะคาดคิดว่าจะมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากนั้น...
วันที่เอ็กซ์ได้สังหารลูกชายของซิด...
เนื้อหาในโฟลเดอร์ X-note หมดลงเพียงเท่านี้ แต่ความคิดและความสงสัยของฉันยังไม่สิ้นสุด
เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ทำไมเอ็กซ์ต้องฆ่าลูกชายของซิดด้วย เอ็กซ์เป็นใครกัน
...แวบหนึ่งนั้น ภาพเด็กชายผมปรกหน้าที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำปรากฏขึ้นมาในใจฉัน
เด็กชายในความฝันของฉันคือเอ็กซ์อย่างนั้นหรือ เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เขาเป็นตัวการที่ทำให้แม่ ซิด และมิสอาเซียตายอย่างนั้นหรือ
แล้วลอยล์ล่ะ
เกิดอะไรขึ้นกับสถาบันเซ็นต่อจากนั้น ยังคงมีการวิจัยอยู่หรือไม่
...
คำถามมากมายพลั่งพรูออกมา ยังมีชิ้นส่วนอีกหลายชิ้นที่หายไปจนฉันไม่อาจเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดได้
ที่สำคัญคือ...ฉันไม่เข้าใจนักว่าทำไมแม่อยากให้ฉันอ่านบันทึกนี้ แม่อยากให้ฉันเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ แต่ว่าคืออะไรล่ะ ข้อความช่วงสุดท้ายก็ดูไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นัก
ฉันรู้สึกว่านี่ช่างเป็นวันที่ยาวนานเหลือเกิน... บางทีสาเหตุที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นอาจเป็นเพราะฉันยังไม่ได้นอนเลยก็ได้
ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจพักนอนหลับสักหน่อย หวังว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้งความคิดของฉันอาจจะกระจ่างขึ้นและช่วยฉันได้บ้าง
หลายชั่วโมงหลังจากนั้น ฉันรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากได้นอนพักแต่ก็ยังไม่มีคำตอบของคำถามที่ค้างไว้เพิ่มขึ้นมาเลย
บางทีฉันว่าจะไปปรึกษาเรื่องเนื้อหาของ X-note กับยูออนในวันจันทร์
แต่ในตอนนี้เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ฉันจะออกไปสูดอากาศข้างนอก และแวะไปที่สวนเพกาซัสเพื่อไปฝึกพลังจิต
หลังจากฝึกพัฒนาทักษะมาได้หลายวัน ฉันก็เริ่มรู้สึกว่ามีความก้าวหน้าอยู่บ้าง อย่างการฝึกพลังจิตจลน์ในวันนี้ฉันสามารถยกหินขนาดประมาณกำมือได้แล้ว นี่ถือเป็นของที่หนักที่สุดเท่าที่ฉันเคยใช้พลังจิตบังคับเคลื่อนย้าย จึงน่าภูมิใจอยู่บ้างที่ได้ทำลายสถิติเก่าของตัวเอง
วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน
ฉันใช้เวลาเกือบทั้งวันอ่านเนื้อหาของ X-note ซ้ำอีกครั้ง และก็คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี
ฉันถอนหายใจออกมาดังๆ แล้วบ่นกับตัวเองว่า “นึกว่าความจริงจะปรากฏขึ้นเมื่อฉันเปิด X-note ได้ แต่นี่มันกลับทำให้ฉันยิ่งสับสน”
บ่นเสร็จก็เปลี่ยนมาเตือนตัวเองว่า “มันเปล่าประโยชน์ที่จะไปกังวล ฉันน่าจะใช้เวลาว่างสำหรับการฝึกแทน”
แล้วสุดท้ายฉันก็ไปจบลงที่สวนเพกาซัสเพื่อฝึกปรือทักษะด้านการควบคุมพลังจิตอีกครั้ง
“วันนี้เท่านี้ก่อนแล้วฉัน” ฉันพูดขึ้นหลังเห็นว่าดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า
จะว่าไปฉันไม่ได้เห็นเร็กซัสที่นี่นานแล้ว... ฉันอยากถามความคิดเห็นจากเขาดู
“หืมมม?”
น่าแปลกที่ฉันอยากได้ความเห็นของใครบางคนที่ฉันแทบไม่รู้จัก
ด้วยสาเหตุบางประการ ฉันคิดว่าเขาน่าจะช่วยฉันหาทางออกได้
ทันใดนั้นฉันก็สังเกตเห็นเงาคนวิ่งข้ามถนนแล้วหายลับไปตรงหัวมุม
“เร็กซัส นั่นคุณหรือเปล่า”
ลองร้องถามไป แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมา
ฉันตัดสินใจตามเงานั้นไป โดยใช้พลังสัมผัสของฉันจับกลิ่นอายเมื่อครู่ที่เหลือทิ้งไว้ ฉันค่อนข้างมั่นใจว่านี่ใช่กลิ่นอายของชายผมแดงที่ฉันรู้จัก
การตามเงานั้นพาฉันเดินอ้อมไปอ้อมมาและผ่านสถานที่ต่างๆ หลายที่ ฉันไม่แน่ใจว่าฉันได้หลงทางหรือคาดกับมันไปแล้วหรือเปล่า ทว่าก่อนที่ตัดใจเลิกล้มการติดตาม ฉันก็ต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อพบว่าตัวเองมาหยุดอยู่หน้าสถานที่ที่คุ้นเคย
“ที่นี่คือสถาบันเซ็นนี่”
ที่เห็นตรงหน้าคือโรงเรียนของฉันไม่ผิดแน่นอน
“ทำไมเงานั่นถึงมาที่นี่ล่ะ”
ความสงสัยที่ทวีขึ้นทำให้ฉันไม่ลดละความพยายาม
ฉันผ่านทางประตูที่ปิดแล้วเข้าไปโดยการกดรหัสผ่านที่แป้นตัวเลขตามที่ยูออนเคยทำ แน่นอนว่าเขาไม่ได้บอกรหัสผ่านกับฉัน และฉันก็ไม่ได้สังเกตจดจำไว้ด้วย แต่พลังจิตหยั่งรู้ที่ฉันฝึกมาตลอดก็ช่วยฉันเอาไว้อีกครั้ง การตามลอยสัมผัสที่แป้นตัวเลขไม่ยากเท่าใดนัก ฉันกรอกรหัสถูกตั้งแต่ครั้งแรก
เข้ามาในตึกแล้วก็อดรู้สึกขนลุกซู่ไม่ได้ ยามราตรีที่สถาบันเซ็นนี่ช่างน่ากลัวจริงๆ แล้วแล้วยูออนก็ไม่อยู่กับฉันในครั้งนี้ด้วย แต่ว่า...
ถึงอย่างไรฉันก็ต้องไป
พยักหน้าทีหนึ่งเป็นยืนยันการตัดสินใจและเป็นกำลังใจให้ตัวเองแล้วก็ออกเดิน
ฉันเดินสำรวจมาจนถึงห้องแล็บวิทยาศาสตร์อันเป็นสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นถึงสองครั้ง
บรรยากาศแห่งความตายยังคงตกค้างอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกแย่อะไรเหมือนครั้งก่อน ดังนั้นฉันจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปตรงกลางห้องอย่างระมัดระวัง
ถึงจะอยู่กลางความมืด แต่รูม่านตาที่เริ่มขยายกว้างเป็นการปรับตัว และสัมผัสพิเศษของฉันก็บอกให้รู้ว่าไม่มีใครอยู่ที่นี่
ฉันเริ่มคลายใจลง แล้วก็ผ่อนลมหายใจตัวเอง
“นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่นี่... มาเดินเที่ยวที่โรงเรียนเวลานี้งั้นเหรอ” ฉันว่าตัวเองเบาๆ ที่ทึกทักเอาเงาที่เห็นเป็นจริงเป็นจังจนเกินไป
ดูเหมือนว่าฉันจะพบอะไรที่นี่แล้ว ทว่าทันใดนั้น...
“นั่นใครน่ะ” ฉันถามขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายคนที่กำลังเข้ามาในห้อง
“โอ้ ที่รัก นั่นน่าจะเป็นคำพูดของฉันนะ” ชายคนที่เพิ่งปรากฏตัวกล่าว
อย่างน้อยฉันก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นผู้ชาย แม้เขาจะมีรูปร่างผอมสูง ไว้ผมยาว และมีเสียงพูดที่ค่อนข้างแหลม
“คุณเป็นใคร” ฉันถามเขา
“นั่นก็น่าจะเป็นคำพูดของฉันเช่นกัน” เขาพูดเสียงสดใส “ที่รักจ้ะ เธอรู้หรือเปล่าว่าการบุกรุกเข้าในพื้นที่ของคนอื่นทำให้เธอติดคุกได้นะ”
“คุณพูดอย่างกับว่าคุณเป็นเจ้าของที่นี่อย่างนั้นแหละ”
เขาแค่นเสียงหัวเราะที่ฟังรื่นเริงจนน่ารังเกียจ ก่อนตอบว่า
“ใช่จ้ะ ใช่แล้ว”
“อย่าบอกนะว่า คุณคือ...”
ฉันพยายามเพ่งมองหน้าเขาให้ชัดๆ ใบหน้าเรียวยาว ดูไม่น่าไว้ใจแบบนี้ฉันเคยเห็นมาก่อน
“ดร. ลอยล์?”
แม้จะอยู่ในความมืดฉันก็พอจะบอกได้ว่าหน้าของเขาเหมือนรูปที่ฉันเคยเห็นในแฟ้มคดีที่ได้จากยูออน
“บิงโก”
ขณะกล่าวคำลอยล์ก็เอาฝ่ามือตบกัน แล้วประสานค้างไว้เช่นนั้น พร้อมหยีตาลงเล็กน้อย
“ทีนี้ก็ถึงตาเธอบ้างแล้ว ที่รัก”
เขาเดินเข้ามาอีกสองสามก้าว ร่นระยะห่างระหว่างฉันกับเขา ก่อนเบิกตากว้างขึ้นแล้วถามว่า
“เธอเป็นใคร”
“หนูชื่อเอสซี่ เป็นนักเรียนของสถาบันเซ็น”
ด้วยเห็นว่าเขาเป็นผู้ก่อตั้งสถาบัน ฉันเลยคิดจะใช้ข้ออ้างว่าฉันเป็นนักเรียนของที่นี่ แล้วเลือกใช้คำพูดที่ดูเด็กลง
“นักเรียนมาทำอะไรที่นี่คนเดียวตอนกลางคืนล่ะ” ลอยล์ถาม “เธอไม่รู้หรือไงว่าโรงเรียนปิดตอนสองทุ่มในวันอาทิตย์”
เรื่องนั้นฉันรู้เพราะยูออนบอกไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน แต่เรื่องอะไรฉันจะยอมรับเล่า
“นะ...หนูไม่รู้ หนูแค่มาเอาโน้ตที่ลืมไว้ที่โรงเรียน”
ฉันเลือกใช้คำตอบที่เคยเห็นในการ์ตูนมาหลายครั้งแทน
“โอ้ อย่างนั้นเองหรือ” ถึงจะออกอุทาน แต่ลอยล์ก็ดูไม่ค่อยเชื่อคำพูดของฉันเท่าไหร่
“ใช่ หนูขอโทษที่บุกรุกเข้ามาในเวลานี้ หนูจะไปละ”
ว่าแล้วฉันก็รีบตั้งท่าจะเดินออกจากห้องไป ทว่าไม่ทันไรฉันก็ต้องชะงักด้วยสัมผัสน่าขยะแขยงที่ดึงฉันไว้จากด้านหลัง
ลอยล์ใช้มือซ้ายจับบ่าฉันไว้ ส่วนมือขวาก็อ้อมมาบีบคางฉันแน่น สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นรวดเร็วจนฉันไม่ทันจะขัดขืนและรู้สึกเหมือนโดนดูดพลังออกไปจากตัว
“เอสซี่ที่รัก...”
เสียงดังมาจากศีรษะของเขาที่วางอยู่ข้างศีรษะของฉัน เขาย่อตัวลงมาเพื่อให้ใบหน้าเราอยู่ในระดับเดียวกัน ใกล้กันมากจนชวนอึดอัดและขยะแขยง
“ทำไมเธอถึงดูรีบนักล่ะ”
เสียงจากปลายลิ้นของเขาฟังคล้ายอสรพิษ
“มันออกจะน่าเสียดายอยู่นะ แต่ฉันจะยอมปล่อยเธอไป” เขากระซิบ “แลกกับการที่เธอเก็บเรื่องที่เราพบกันไว้เป็นความลับ เข้าใจไหม”
“คะ...ความลับ?”
ฉันพยายามแค่นเสียงออกมา มันยากที่จะพูดถ้าคางถูกบีบไว้แบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า ฉันกำลังหวาดกลัวเพียงใด
“ใช่จ้ะ เป็นความลับ” ลอยล์บอก
“ดะ...ได้”
“ต้องอย่างนี้สิถึงจะสมเป็นเด็กของฉัน” ชายหนุ่มฉีกยิ้มหวานจนน่ากลัวให้ แล้วค่อยๆ ปล่อยมือออกจากฉัน “ฝันหวานนะจ๊ะ”
ทันทีที่หลุดพ้นจากจับกุมฉันก็รีบวิ่งกลับบ้านโดยเร็วที่สุดเท่าที่ฉันจะสามารถ
ถึงจะกลับมาถึงบ้านที่ฉันคิดว่าปลอดภัยแล้ว ใจฉันก็ยังไม่สงบลง
ทำไม
ทำไมถึงเป็นเขา
ฉันหลับตาลงขณะที่คว้าหมอนมากอดไว้แน่น
มือของฉันกำลังสั่นอย่างเห็นได้ชัด
ชายคนนั้น...
ดวงตาของเขา...
บรรยากาศรอบตัว...
ทุกสิ่งเกี่ยวกับล้วนเขาเป็นไปด้วยอันตราย และน่ากลัวจนฉันบรรยายไม่ถูก
ความรู้สึกเล่านั้นฝังลึกเข้าไปในวิญญาณของฉัน และได้ปลุกความทรงจำที่ลึกที่สุด...ที่จิตใต้สำนึกของฉันพยายามจะฝังไว้...
วันที่ทุกสิ่งได้กลายเป็นฝันร้าย...
ความคิดเห็น