ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #9 : - คำทำนาย - "แล้วข้าควรทำอย่างไร"

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.28K
      7
      19 ต.ค. 53

    - คำทำนาย -

    “แล้วข้าควรทำอย่างไร”

     

                วิลเลียมก้าวขาฉับๆ อย่างรวดเร็วไปตามอารมณ์คุกรุ่น ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าสุดท้ายตนเองจะไปหยุดอยู่ที่ไหน หากขณะที่กำลังเดินเร็วปานวิ่งอยู่บนถนนสายหลักที่อยู่ติดรั้วพระราชวังนั้น สายตาก็พลันไปสะดุดกับป้ายชื่อร้านรับทำนายดวงชะตาแห่งหนึ่งเข้า ทำให้ไพล่ไปคิดถึงคำทำนายที่เพิ่งได้รับมา...ว่ามันช่างตรงจริงๆ

                ไม่ใช่คำทำนายที่ว่า ผู้ที่จะนำพันธะแห่งดาเรนไลน์กลับมาได้มีแต่สายเลือดที่ต้องการการยอมรับจากดาเรนไลน์ผู้จะย้อนกลับมายังลูซแวร์เท่านั้นอะไรนั่นหรอกนะ ชายหนุ่มยังทำใจเชื่อไม่ได้เลยว่านั่นหมายถึงตัวเขา คำทำนายที่เขากำลังนึกถึงคือคำทำนายเกี่ยวกับตัวเขาเองที่ได้ฟังมาเมื่อคืนก่อนต่างหาก

     

                คืนวันอาทิตย์...เมื่อวานนี้

                วิลเลียมแวะไปเยือนที่บาร์ของมาร์กาเรตตามนัดหมาย

                เสียงครึกครื้นที่ดังให้ได้ยินตั้งแต่อยู่ด้านนอกทวีความเริงรื่นขึ้นไปอีกเมื่อก้าวเข้ามาข้างใน เสียงเหล่านี้เกิดจากการผสมผสานของเสียงเครื่องแก้วกระทบกัน เสียงหัวเราะหนักๆ หลายเสียง และเสียงพูดคุยที่ทับถมกันจนยากจะจับใจความได้

                ชายหนุ่มสอดส่ายสายตามองหาโต๊ะว่างในมุมสงบ กระนั้น...ก็ไม่พบสิ่งดังกล่าวแต่อย่างใด

                โต๊ะทุกโต๊ะ เก้าอี้ทุกตัว ล้วนถูกจองเต็ม แม้แต่โต๊ะที่ตั้งอยู่ในมุมมืดที่สุด อยู่ในซอกหลืบที่สุดก็มีคนนั่งแล้ว

                ขณะที่วิลเลียมกำลังสงสัยว่าควรจะเอาอย่างไรกับชีวิตตนต่อไปดี มาร์กาเรตที่เพิ่งยกแก้วเครื่องดื่มมาตั้งบนเคาน์เตอร์เสร็จก็สังเกตเห็นเขาพอดี นางรี่ออกจากหลังเคาน์เตอร์มาทักทายเขาอย่างสนิทสนมในระยะประชิด

                “วิลเลียม! มาได้เสียที เจ้ามาสายนะรู้ไหม ดูสิ คนเต็มร้านหมดแล้ว” นางไม่ว่าเปล่า จูงมือพาเขาเดินดิ่งตามไปด้วย

                “ก็เมื่อเช้าท่านบอกให้ข้ามาเวลานี้” วิลเลียมอดแย้งไม่ได้

                “นั่นมันเวลาของแขกทั่วไป คราวนี้เจ้าเป็นแขกพิเศษของร้านนะ ต้องมาก่อนเวลานั้นสิ”

                “ท่านหมายถึง เวลาเดียวกับที่เด็กเสิร์ฟของร้านควรจะมาใช่ไหม” ชายหนุ่มกระเซ้า แต่ก่อนเขามาที่ร้านเวลานั้นประจำ

                “ใช่ เวลานั้นแหละ”

                พูดคุยจบมาร์กาเรตก็พาเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่มีชายสี่คนนั่งอยู่ โต๊ะนี้อยู่ในตำแหน่งที่ดี มีไฟส่องสว่าง อยู่ใกล้เวทีแสดง และสามารถมองเห็นรอบร้านได้ง่าย คนทั้งสี่ที่กำลังคุยสรวลเสเฮฮาเริ่มรู้สึกตัวก็เมื่อเงาร่างค่อนไปทางหนาของเจ้าของร้านมาบังแสงที่โต๊ะพวกเขา

                “ออร์แลนด์ เรย์ เคลวิน วินเซนต์” มาร์กาเรตขึ้นเสียงดุเล็กน้อยขณะขานชื่อของสี่หนุ่มเรียงตัว “ค่าเหล้าและอาหารของเดือนนี้ พวกเจ้ายังไม่ได้จ่ายข้าสักกะเหรียญหนึ่งเลยใช่ไหม”

                ชายทั้งสี่มองหน้ากันเหลอหลา แล้วกะพริบตาปริบๆ

                “ดังนั้นพวกเจ้าก็ควรรู้ดีนะว่าถ้าข้าอยากให้โต๊ะนี้ว่าง พวกเจ้าควรทำอย่างไร”

                “โธ่...ท่านป้า อีกเดี๋ยวโรซาลินด์ก็จะขึ้นแสดงแล้ว ให้พวกเราดูกันจบก่อนไม่ได้หรือ” ชายคนหนึ่งต่อรอง

                “ใช่ท่านป้า เดี๋ยวค่าอาหารมื้อนี้พวกข้าจะจ่ายให้” อีกคนหนึ่งรีบเสริม

                “แล้วมื้อก่อนๆ ล่ะ” มาร์กาเรตแค่นเสียง กอดอก ถาม

                “ท่านป้า ถ้าท่านมีแขกมาแค่คนเดียว ก็ให้เขานั่งร่วมกับพวกข้าก็ได้นี่” ชายคนแรกชวนเปลี่ยนเรื่อง พลางหันมายิ้มให้วิลเลียมอย่างหวังจะจับมือเป็นพันธะมิตร

                ทว่ามาร์กาเรตก็ขัดขวางขึ้นก่อนว่า

                “พวกเจ้าจะยอมออกไปดีๆ หรือจะให้ข้าหยิบไม้กวาดมาไล่ หา!

                พริบตานั้นใบหน้าของนางก็กลายจากหน้ามนุษย์ธรรมดาเป็นถมึงทึงดุร้ายปานปีศาจ สี่หนุ่มเห็นดังนั้นก็รู้ว่าไม่เข้าเค้าแล้วถึงรีบพากันเผ่นหนีไป อีกคนที่กำลังกินอยู่ยกจานอาหารติดมือไปด้วย

                “กลัวแล้วครับ... กลัวแล้วครับ...” เสียงแว่วมาให้ได้ยินสองครั้ง ก่อนจะถูกเสียงอื่นในร้านกลบไป

                “แหม ให้ตายสิ ต้องให้ข้าลงแรงขู่ทุกที เด็กสมัยนี้นี่ ไม่ไหวจริงๆ” มาร์กาเรตบ่นกับตัวเอง ก่อนลงมือเก็บกวาดของที่เหลือบนโต๊ะให้เรียบร้อย “ขโมยจานข้าไปอีกแล้ว ขอให้เอามาคืนโดยไม่มีบิ่นแตกก็แล้วกัน”

                “ท่านป้า ให้ข้าช่วยก็ได้นะ” วิลเลียมเสนอตัวด้วยความเต็มใจ ไหนๆ เขาก็เคยเป็นเด็กเสิร์ฟร้านนี้มาก่อนนี่

                “ไม่ต้องหรอก เจ้าไม่ใช่พนักงานร้านนี้อีกต่อไปแล้วนะวิลเลียม จะให้แขกพิเศษที่โรซาลินด์ออกปากชวนเองมาช่วยข้าเก็บโต๊ะได้อย่างไร แต่ก็ขอบใจเจ้านะ”

                เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้นแล้ว วิลเลียมจึงได้แต่ยิ้มแหย แล้วยอมนั่งลงที่โต๊ะแต่โดยดี แต่ถึงแม้จะพยายามวางตัวสบายๆ ตามเดิม ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าบรรยายกาศรอบตัวเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีดวงตาที่มองไม่เห็นกำลังจับตามองเขาอยู่จากทุกทิศทุกทางอย่างใดอย่างนั้น

                หากเป็นยามที่ต้องปลอมตัวเข้าไปในพื้นที่ต่างถิ่นหรือแดนศัตรู เขาจะไม่แปลกใจเลยที่มีบรรยากาศเช่นนี้อยู่ ทว่าตอนนี้เขาอยู่ที่บาร์ของมาร์กาเรต อยู่ที่ลูซแวร์ บ้านเกิดของเขา ที่ที่น่าไว้วางใจได้มากที่สุดนี่นา เหตุใดจึงได้รู้สึกอย่างนี้เล่า

                แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเก็บงำความสงสัยเอาไว้ มิได้เผยพิรุธออกไป ยังคงทำตัวเหมือนปกติ บางทีเขาคงใช้ชีวิตอยู่กับเรื่องเหล่านี้จนคิดมากไปเองก็ได้กระมัง ลูกค้าที่เพิ่งมาเยือนแล้วสามารถทำให้ท่านป้าไล่ตะเพิดสี่หนุ่มขาประจำนั่นออกไปได้คงชวนให้คนสนใจว่าเป็นใครอยู่บ้างล่ะ

                ที่วิลเลียมกำลังถูกมองสำรวจโดยคนในร้านอย่างลับๆ นั้นเป็นความจริง แต่นั่นก็หาใช่เพราะเขาเป็นลูกค้าหน้าใหม่ที่ไม่คุ้นเคยเพียงอย่างเดียว ใครที่มีสายตาปกติย่อมสังเกตเห็นเป็นธรรมดาว่า ชายหนุ่มมีหน้าตาคมคายเพียงใด และการที่มาร์กาเรตลงมาดูแลใกล้ชิดเป็นอย่างดีนั้นย่อมมีความหมายบางอย่าง หลายคนพากันคิดว่าเขาคงเป็นลูกค้าสูงศักดิ์ที่มียศหรือตำแหน่งสำคัญ ไม่เช่นนั้นก็คงกระเป๋าหนักเป็นพิเศษ หากทว่าการวางตัวง่ายๆ แลสบายๆ ของเขากลับขัดกับข้อสันนิษฐานเหล่านั้นมากทีเดียว

                ยิ่งคนที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ที่ว่า โรซาลินด์เป็นคนเอ่ยปากเชิญเขามาด้วยตนเอง ยิ่งทำให้สงสัยใคร่รู้เข้าไปใหญ่

                ไอ้หมอนี่เป็นใครกันแน่...

                ทว่าเมื่อพวกพนักงานเริ่มออกมาวุ่นวายอยู่ตรงบริเวณเวทีการแสดง ความสนใจของผู้คนก็กลายไปอยู่ที่อื่น เสียงต่างๆ ทยอยเบาลง นี่เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า การแสดงของกุหลาบแห่งลูซแวร์จะเริ่มต้นในอีกไม่นานนี้

                ทันทีที่ไร้สรรพสำเนียงในร้าน ม่านแดงหนาหนักก็เลิกขึ้น เผยให้เห็นหญิงสาวโฉมงามในเสื้อเกาะอกและกางเกงผ้าเนื้อบางขาป่องสีสดใส ที่บนศีรษะนั้นก็มีดิ้นทองร้อยมุกมณีต่างๆ เป็นร่างแหคลุมไว้ ข้อมือบางสวมกำไลแนบเนื้อโยงแพรพรรณ

                น้อยคนในลูซแวร์จะรู้จักเครื่องแต่งกายชนิดนี้ เพราะนี่เป็นชุดของหญิงสาวในชนเผ่าเร่รอนที่อาศัยตามแนวชายแดนของอาณาจักร เทียบศักดิ์แล้วก็ต้องว่าต่ำนัก หากเมื่อมันมาอยู่บนตัวโรซาลินด์แล้ว ก็ราวกับจะรังสรรค์ออกมาเป็นความงามแปลกตาที่เย้ายวนให้หลงใหล

                หญิงสาวไม่ปล่อยให้ผู้ชมตื่นตะลึงกับชุดของนางนานนัก ในพริบตาถัดมาแววตาสีมรกตก็เปลี่ยนมาเป็นมาดมั่นดั่งคนที่เตรียมพร้อมเผชิญกับทุกอย่างแล้ว โรซาลินด์ขยับเรือนร่างไหลลื่นไปตามจังหวะเสียงเพลงที่ประดังอยู่ข้างในมโนจิตของนาง และถ่ายทอดออกมาให้ทุกคนได้รับทราบถึงเสียงเพลงนั้นเช่นกัน

                ไม่มีเครื่องดนตรีประกอบใดนอกจากกำไลข้อเท้าที่ติดกระบวนของนางที่คอยช่วยสร้างจังหวะให้บ้างเท่านั้น ทว่าด้วยลีลาการเคลื่อนไหวประหนึ่งเทพเนรมิต แม้ไม่มีเสียงเพลงเอื้อหนุน ทุกผู้คนที่รับชมการแสดงอยู่ก็สามารถได้ยินดนตรีที่เข้ากับท่าร่างของนาง ราวกับความเงียบนั้นกำลังบรรเลงทำนองเพื่อนางอยู่

                สายแพรพรรณยาวที่ต่อจากกำไลข้อมือโบกสะบัดพลิกพลิ้ว เรือนผมหยักศกแผ่สยายปานเกลียวคลื่นและกวาดรัศมีโดยรอบยามนางหมุนตัวด้วยปลายเท้า อัญมณีประดับทั้งหลายบนเรืองร่างสะท้อนประกายแวววาวเมื่อต้องแสง แม้แต่การย่างเท้าแต่ละครั้งก็ยังเป็นจังหวะจะโคนชวนให้ติดตามตลอด

                เวลาการแสดงผ่านไปเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเมื่อโรซาลินด์หยุดนิ่งลง แต่กระนั้น ผู้ชมต่างพากันรู้สึกว่ามันช่างเป็นประสบการณ์ที่ไม่อาจพลาดได้แม้เพียงเสี้ยวเดียวจนต้องหยุดหายใจรับชม

                เป็นการระบำที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่ามหรสพใดที่เคยมีมา

                ผู้คนต่างโห่เฮด้วยความชื่นชมนิยมเมื่อรู้ตัวว่าการแสดงได้จบลงแล้ว หลายคนผิวปาก บางคนบอกว่ายังไม่หนำใจ อยากขอดูอีก คนที่ไม่ได้กล่าวอะไรก็ต่างปรบมือให้เกียรติด้วยความยอมรับในฝีมือการแสดงของนางอย่างหมดใจ

                โรซาลินด์เพียงคลี่ยิ้มรับ นวลแก้มเรื่อสีแดงนิดๆ ด้วยความเอียงอาย นัยน์ตาสีมรกตของนางไม่มีแววมุ่งมั่นอย่างตอนแสดงอีกแล้ว หญิงสาวจับจีบที่ขากางเกงพองๆ นั้นแล้วย่อตัวลงเพื่อขอบคุณเหล่าผู้ชม ก่อนหลบออกไปที่หลังม่าน

                แต่ละวันนางจะแสดงเพียงแค่ครั้งนี้ ไม่ว่าจะมีใครเรียกร้องอย่างไรก็ไม่มีการแสดงครั้งที่สองแน่นอน ลูกค้าประจำของร้านย่อมทราบเรื่องนี้ดีแต่ก็ยังอดวิงวอนอยู่ร่ำไปไม่ได้

                “ท่านป้า ขอเบียร์อีกสองแก้ว” ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นจากมุมหนึ่งของร้าน พลางชูแก้วเปล่าขึ้นสูง

                “คิดเงินด้วย” ที่อีกโต๊ะหนึ่งมีคนตะโกนบอกเด็กเสิร์ฟ

                “เฮ้ เนื้อชิ้นใหญ่ในจานข้าหายไปไหน เจ้าแอบขโมยกินไปใช่ไหม”

                หันไปมองโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนจะมีแววทะเลาะกัน เมื่อเจ้าคนที่ถูกกล่าวหากำลังเคี้ยวอะไรหงับๆ อยู่เต็มปาก ทว่าก็ยังอุตส่าห์เปิดปากพูดพร้อมเผยหลักฐานชิ้นโต

                “...ข้าเปล่านะ”

                มีเสียงดังโครมเมื่อเพื่อนร่วมโต๊ะกระโจนเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยความโมโห

                แล้วความคึกครื้นที่ถูกหญิงสาวผู้หนึ่งลิดรอนไม่ชั่วคราวก็มาเยือนยังบาร์ของมาร์กาเรตอีกครั้ง

                วิลเลียมสั่งอาหารและเครื่องดื่มมาพลางนั่งดื่มด่ำบรรยากาศในร้านอย่างปลอดโปร่ง ตอนนี้ไม่มีใครจับตามองเขาอีกแล้ว แต่นั่นก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะในทันทีที่ของกินมาถึง เขาก็ได้ของแถมมาอีกอย่างหนึ่ง ...ตัวคนยกอาหารมาให้ที่สวมเสื้อคลุมตัวยาวทับชุดที่ใส่แสดงเมื่อกี้นี่เอาไว้นั่นเอง

                “ของที่สั่งมาแล้วค่ะ”

                วิลเลียมที่กำลังมองผัดผักกับเนื้อร้อนๆ กลิ่นหอมยั่วน้ำลายซึ่งเพิ่งถูกวางลงบนโต๊ะจำต้องเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียงหวานที่นำอาหารมาให้ ก่อนจะพบว่าที่แท้ก็ไม่ใช่ใครอื่นที่ไหนไกล

                “อ้าว สวัสดีโรส เมื่อครู่นี้แสดงได้ดีทีเดียวนะ” เขาเอ่ยทัก ก่อนหยิบช้อนส้อมขึ้นมาถือ เตรียมลงมือเอาอาหารใส่ปาก “ข้าได้ยินคำเล่าลือถึงฝีมือการแสดงของเจ้ามานาน แต่ไม่นึกว่าจะเก่งถึงขนาดไม่ได้ใช้เสียงดนตรีช่วยเลย”

                “เจ้ายอข้าเกินจริงไปแล้ว วิลเลียม” โรสซาลินด์ทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “การแสดงชุดนี้ข้าเพิ่งนำมาลองใช้วันนี้เป็นครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าจะออกมาดีหรือเปล่าเลย” นางอธิบายต่อ หยุดวรรคไปเล็กน้อย แล้วค่อยเอียงคอถามว่า “ข้าขอนั่งด้วยได้ใช่ไหม”

                “ก็เอาสิ ข้านั่งคนเดียว ไม่มีเพื่อนร่วมโต๊ะคนอื่นอยู่แล้ว” ชายหนุ่มกล่าวโดยไม่ดูสถานการณ์รอบข้างเลยว่าตอนนี้โต๊ะเขากลายเป็นโต๊ะที่มีคนอยากมานั่งด้วยมากที่สุด แต่ก็ยังไม่มีใครอาจหาญพอ

                “ว่าแต่ เจ้าไม่กินอะไรหน่อยหรือ” เขาเอาส้อมจิ้มเนื้อขึ้นมา

                “ไม่ล่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆ “ข้ากินมาแล้วก่อนแสดง เชิญเจ้ากินตามสบายเถอะ”

                ความจริงโรซาลินด์ไม่ใช่คนที่ชอบรับประทานอะไรเยอะอยู่แล้ว ด้วยนิสัยรักสวยรักงามและอยากรักษารูปร่างของตนไว้ในระดับนี้ หญิงสาวจึงหลีกเลี่ยงที่จะทานอาหารมื้อเย็น แล้วที่ว่ากินมาก่อนหน้านี้แล้วก็มื้อเที่ยงซึ่งก็เป็นเพียงอาหารเบาๆ เท่านั้น ยิ่งชายหนุ่มชาวดาเรเนียนิยมชมชอบสาวน้อยอ้อนแอ้นบอบบางมากกว่าสาวเจ้าเนื้อ นางก็ยิ่งต้องคำนึงถึงน้ำหนักที่จะเพิ่มตามมามากกว่าอาหารที่อยากกิน

                “อย่างนั้นข้าไม่เกรงใจละนะ” แล้วชิ้นเนื้อก็เคลื่อนเข้ามาในปากวิลเลียมที่อดทนมีมารยาทชวนคุยอยู่นาน ชายหนุ่มเคี้ยวหงับๆ อย่างเอร็ดอร่อย พอกลืนลงไปหนึ่งคำแล้วจึงชวนหญิงสาวสนทนาต่อว่า

                “ข้าว่าการแสดงออกมาดีนะ ทุกคนก็ออกจะชอบ ข้าเห็นแล้วยังทึ่งเลยว่าเจ้าทำได้อย่างไร”

                “จริงหรือ เจ้าเห็นว่ามันดีจริงๆ หรือ” โรซาลินด์ถามย้ำอย่างไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือตัวเอง

                “ก็จริงสิ ข้าจะโกหกเจ้าทำไม เจ้านี่พอลงมาจากเวทีดูเป็นคนละคนเลยนะโรส ตอนแสดงเห็นสีหน้ามั่นใจเสียขนาดนั้น”

                “...ก็ข้า...ไม่รู้สึกตัวตอนแสดงนี่นา...” หญิงสาวเอ่ยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน

                “หืม... เจ้าว่าอะไรนะ”

                “ไม่มีอะไรหรอก” นางคลี่ยิ้มงดงามกลบเกลื่อน “ก็แค่ตอนแสดงน่ะเหมือนมีวิญญาณนักแสดงมาเข้าสิงข้าเท่านั้นแหละ”

                “อ้อ อย่างนั้นหรอกหรือ” ชายหนุ่มตักอาหารเข้าปากอีกคำ

                “แต่ข้าดีใจนะที่วิลเลียมชอบการแสดงของข้า การแสดงนี้ข้าตั้งใจเตรียมมาให้วิลเลียมเป็นพิเศษเลย” โรซาลินด์บอก

                “เจ้าเพิ่งฝึกซ้อมการแสดงวันนี้หรือ”

                “เปล่า ข้าซ้อมมาได้พักหนึ่งแล้วล่ะ” นัยน์ตาสีเขียวคู่สวยฉายแววสงสัย “ถามทำไมหรือ”

                “ก็ถ้าเจ้าซ้อมมานานแล้วก็หมายความว่าไม่ได้เตรียมไว้ให้ข้าโดยเฉพาะ เพราะข้าเพิ่งมาถึงที่ลูซแวร์เมื่อเช้านี้เอง” วิลเลียมแถลงไข “เจ้าไม่ต้องพูดเอาใจข้าหรอกน่า ข้ารู้จักเจ้ามาตั้งแต่เด็กแล้วนะ โรส” ชายหนุ่มขยิบตาให้อย่างรู้ทัน “บอกมาตรงๆ ก็ได้นี่นาว่า ข้าบังเอิญกลับมาในวันที่เจ้าทดลองการแสดงนี้เป็นครั้งแรกพอดี”

                ดวงหน้างามล้ำของโรซาลินด์ปรากฏแววขุ่นเคืองขึ้นมา หัวคิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กน้อย ส่วนพวงแก้มก็ป่องลมขึ้นมานิดหน่อย ปากสีแดงเหมือนลูกเชอร์รีระบายลมออกมาเป็นคำว่า

                “ใจร้าย”

                ต่อให้เป็นยามโกรธ กิริยาอาการของโรซาลินด์ก็ยังดูเพริศแพร้วน่าเอาอกเอาใจสำหรับบุรุษทั่วไป และน่าแกล้งยิ่งสำหรับวิลเลียมอยู่ดี ดังนั้นชายหนุ่มจึงกล่าวต่อว่า

                “ข้าพูดความจริงถือว่าผิดตรงไหน หรือว่าเจ้ารู้ล่วงหน้าว่าข้าจะมาวันนี้ จึงเตรียมซ้อมแสดงไว้ก่อน”

                “ถึงไม่ผิด แต่ก็ใจร้ายอยู่ดี” หญิงสาวยังไม่ยอมแพ้ “ก็ข้าน่ะ ซ้อมการแสดงนี้มาตั้งนาน แต่ก็คิดว่ายังไม่กล้านำออกมาใช้จริง พอเจ้ากลับมาก็อยากทำอะไรพิเศษให้หน่อย จึงยอมเอาการแสดงนี้มาแสดงนะ”

                “อ้อ อย่างนี้นี่เอง ข้าขอโทษด้วยที่เข้าใจเจ้าผิดไป” พอยั่วขึ้นได้เล็กน้อยแล้ว วิลเลียมก็ยอมลดลงให้บ้าง ปล่อยให้โกรธมากไปก็คงไม่ดีหรอก ว่าแล้วก็ยกน้ำขึ้นดื่มดับกระหาย ก่อนถามเปลี่ยนเรื่อง “ว่าแต่ เจ้าคิดอย่างไรถึงแสดงโดยไร้เสียงเช่นนี้หรือ ข้าได้ข่าวว่า เจ้าเก่งทั้งร้องเล่นเต้นรำ แต่ไม่คิดมาก่อนเลยว่า เจ้าจะระบำโดยไร้เสียงเช่นนี้ได้”

                “ที่จริงการแสดงชุดนี้มีดนตรีประกอบนะ แต่ว่านักดนตรีโดนท่านแม่ไล่ออกไปแล้วน่ะสิ”

                “ทำไมอย่างนั้นล่ะ”

                “ก็หมอนั่นมาทำรุ่มร่ามกับข้าน่ะสิ” โรซาลินด์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงความเคืองไว้ไม่หาย

                “อ้อ มิน่าล่ะ” ถ้าเขามีลูกสาวสวยอย่างโรซาลินด์ ก็คงแสนหวงสุดห่วงไม่ต่างจากท่านป้ามาร์กาเรตหรอก “ท่านป้าน่าจะจ้างนักดนตรีหญิงมานะ”

                “ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่นักดนตรีเก่งๆ ก็หายากเหลือเกิน”

                วิลเลียมฟังแล้วก็ต้องผงกศีรษะรับอย่างเสียมิได้ เขาเคยได้ยินโรซาลินด์ฝึกซ้อมเล่นดนตรีมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นนางก็ถือได้ว่ามีฝีมือระดับอัจฉริยะ ไม่ว่าจะหยิบจับเครื่องดนตรีชนิดไหนก็เล่นได้เพราะพริ้งไปหมด จึงคิดว่าไม่ผิดแต่อย่างใด หากหญิงสาวจะเข้าใจว่าฝีมือผู้คนไม่เป็นที่น่าพอใจ ด้วยเหตุว่าหากนางลงมือบรรเลงเองแล้ว คงไม่มีใครทัดเทียมได้สักคน

                “แล้วอีกอย่างนะ” โรซาลินด์ว่าต่อ “ข้าก็รู้ด้วยล่ะว่า เจ้าจะกลับมายังลูซแวร์ในช่วงนี้” นางคลี่ยิ้มกว้าง ไม่เหลือแววที่เคยขัดข้องไม่พอใจแล้ว

                “รู้ได้อย่างไรหรือ” ชายหนุ่มอดถามไม่ได้

                “ก็ไพ่บอกข้าอย่างไร”

                “ไพ่รึ” วิลเลียมฟังคำเฉลยแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี

                “ช่วงนี้ข้าหัดศึกษาด้านโหราศาสตร์ ทำนายทายทักอยู่น่ะจ้ะ” หญิงสาวเล่า “แล้วที่ชอบมากที่สุดก็คือการพยากรณ์จากไพ่นี่แหละ ข้าลองถามไพ่ดูว่าเจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วก็ได้คำตอบเป็นช่วงนี้พอดีเลย แม่นมากใช่ไหมล่ะ”

                “อ่าฮะ” เขาเออออไป ด้วยทราบความชอบของผู้หญิงทั่วไปดี หากไม่ใช่เรื่องผ้าเสื้อและความงาม หรือเรื่องชายหนุ่มรูปงามทรงเสน่ห์ทั้งหลายแล้ว ความอยากรู้อยากเห็นของสาวน้อยทั้งหลายก็หนีไม่พ้นดวงชะตาราศี ศาสตร์ลี้ลับ หรือชีวิตในอนาคตหรอก

                “เจ้าตอบว่า อ่าฮะแต่สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยยอมรับเลยนะวิลเลียม” นางมองใบหน้าเขาอย่างพินิจพิจารณา

                วิลเลียมได้แต่แสร้งตักอาหารเข้าปากอีกคำเพื่อปิดบังความจริง พลางสงสัยว่าฝีมือการโกหกของเขาจะตกไปแล้วหรือนี่ คิดแล้วก็หมายจะหาอะไรใส่ท้องอีก ทว่ากลับไปพบว่า คำที่เพิ่งกินไปนั่นก็เป็นสิ่งสุดท้ายในจานที่พอจะกินได้แล้ว

                “พอดีเลย เจ้ากินเสร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวข้าจะลองทำนายดวงชะตาให้เจ้าละกัน จะได้ลองทดสอบฝีมือตัวเองดูด้วยว่าตีความจากไพ่ได้ดีแค่ไหน” โรซาลินด์กล่าวเสียงระรื่น แล้วเรียกคนมาเก็บจาน โดยไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความเห็นบ้างเลย

                วิลเลียมฟังแล้วอยากเรียกเจ้าสิ่งที่เพิ่งกลืนลงไปกลับมาอยู่บนจานเสียจริง แต่กระนั้น ชายหนุ่มก็จำใจต้องยอมรับสภาพนั้น เพราะสิ่งนี้ช่วยยืนยันให้เขารู้ว่า

                กุหลาบแห่งลูซแวร์ก็ยังคงเป็นโรสที่เขารู้จักคนเดิม แต่ก่อนนางชอบชวนเขาเล่นตุ๊กตา พยายามจับเขาหวีผมแต่งตัวเป็นเพื่อน หรือบังคับให้มาซ้อมดนตรีด้วยกันอย่างไร เดี๋ยวนี้นางก็ยังคงชอบอะไรทำนองนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

                นั่นทำให้วิลเลียมรู้สึกเหมือนได้หวนกลับคืนสู่อดีตอันแสนสุขที่เขายังมีท่านแม่อยู่อีกครั้ง...รู้สึกเหมือนได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าจริงๆ ...

                “มื้อนี้ข้าจะบอกให้ท่านแม่เลี้ยงเอง เจ้าขึ้นไปห้องรับรองข้างบนกับข้าเถอะ ด้านล่างนี่คนเยอะ ข้าไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่” หญิงสาวบอก แล้วเดินนำขึ้นบันไดไป

                วิลเลียมก็ได้แต่ติดตามนางไปอย่างเสียมิได้ แต่ขณะที่เดินไปนั้น สายตาหลายคู่ก็จับจ้องเขาอยู่อย่างไม่วางตา

                เป็นที่ทราบกันดีว่า ห้องรับรองชั้นบนเป็นที่ของแขกพิเศษที่ประสงค์ความเป็นส่วนตัว และมีเส้นสายกับทางร้านจริงๆ เท่านั้นจึงจะไปนั่งได้ และแขกเหล่านี้ก็มักจะไม่เปิดเผยตัวสักเท่าใดนัก แต่ก็มีคนสังเกตและเก็บสถิติเอาไว้ว่า ในเดือนหนึ่งๆ มีคนใช้งานห้องนี้จริงเพียงแค่สองหรือสามครั้งเท่านั้นเอง ดังนั้นคนที่โรซาลินด์ชวนให้ขึ้นไปยังห้องรับรองชั้นบนย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป

                ห้องข้างบนตกแต่งด้วยเครื่องเรือนที่ดูหรูหรากว่าส่วนอื่นของร้าน ทั้งโต๊ะไม้แกะสลัก เก้าอี้บุหนัง ภาพวาดทิวทัศน์งดงาม และแหล่งกำเนิดแสงที่ให้แสงตกกระทบเป็นมุมกำลังดี

                เมื่อวิลเลียมขึ้นมาถึงก็เห็นโรซาลินด์ก็จัดแจงคลี่ไพ่สำรับหนึ่งเป็นครึ่งวงกลมไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เขานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามตามคำชวน จากนั้นหญิงสาวก็บอกให้เขาทั้งสับไพ่ แบ่งกอง แล้วสลับกองตามขั้นตอนต่างๆ จากนั้นจึงเริ่มต้นการทำนาย

                “เจ้าถามได้เจ็ดคำถาม” โรซาลินด์กล่าว

                ตั้งเจ็ดเชียวหรือ...

                ชายหนุ่มคิดว่าเลขจำนวนนั้นช่างเยอะเหลือเกิน แค่คำถามเดียวเขาก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะถามอะไรดี

                “ข้าควรถามเกี่ยวกับอะไรดีล่ะ”

                “อะไรก็ได้ที่เจ้าอยากรู้ ถามในสิ่งที่เจ้าสงสัย แล้วไพ่จะตอบเอง” น้ำเสียงที่ออกจะเป็นงานเป็นการมากขึ้นของคนอาสาพยากรณ์ทำให้บรรยากาศดูจริงจังมากกว่าเดิม

                เมื่อนั้นวิลเลียมก็ใคร่ครวญถึงสิ่งที่เขาอยากรู้จริงๆ ...

                เขากลับมายังลูซแวร์ก็เพราะหมายจะพิสูจน์ตัวเอง เขาเชื่อว่าตนเองมีความสามารถพอแล้ว จึงอยากให้พวกคนที่เคยดูถูกดูแคลนเขาในกาลก่อน ได้เห็นฝีมือที่แท้จริงของเขาเสียที และเพื่อการนั้นเขาก็จำเป็นต้องสร้างชื่อเสียงโด่งดังให้เป็นที่รู้จักขึ้นมา แต่ตอนนี้เขายังไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร

                ดังนั้นชายหนุ่มจึงเอ่ยคำถามออกไปว่า

                “ข้าจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่ข้าตั้งใจจะทำที่ลูซแวร์ไหม” แล้วหยิบไพ่ขึ้นมาสามใบจากกองไพ่ที่วางคว่ำเป็นรัศมีโค้งอยู่ โรซาลินด์อธิบายไว้แล้วว่า เขาต้องทำเช่นนี้หลังจากถามเสร็จ

                หญิงสาวพิจารณาหน้าไพ่ทั้งสามครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยเย็นที่ราบเรียบว่า

                “เจ้าจะเป็นที่ต้องการตัว เป็นที่สนใจของผู้คนทั้งหลาย แต่ไม่ค่อยมีชีวิตเป็นของตัวเองสักเท่าใด”

                วิลเลียมรู้สึกสะดุดใจทั้งในเสียงและคำตอบของเธอ คำตอบนั้นไม่ได้บอกตรงๆ ว่าเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ หากแต่กลับสามารถเข้ากันได้ดีกับคำถามที่เขาซ่อนไว้ในใจ นั่นคือ เขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังในลูซแวร์หรือไม่

                เขาสังเกตเห็นว่าสีหน้าโรซาลินด์ดูเปลี่ยนไป นางนิ่ง นัยน์ตาสีมรกตก็แลแน่วแน่และเลื่อนลอยในขณะเดียวกับ ราวกับนางกำลังจดจ่ออยู่กับบางสิ่งที่ในมิติลี้ลับที่เขามองไม่เห็น

                อย่างไรก็ตาม วิลเลียมก็ลองถามและคอยสังเกตต่อไป

                “วันพรุ่งนี้ของข้าจะเป็นอย่างไร” เขาว่า

                การจะพิสูจน์ว่าคำทำนายของนางแม่นยำหรือไม่นั้น ใช้วิธีนี้น่าจะดีที่สุด ต้องลองถามถึงอนาคตใกล้ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วรอดูผล

                ชายหนุ่มเลือกไพ่ขึ้นมาอีกสามใบ

                “เจ้าจะมีงานสำคัญที่คาดคิดไม่ถึงและไม่อาจปฏิเสธได้มาเยือน” คราวนี้นางทำนายได้รวดเร็ว

                “ถ้าอย่างนั้นแล้ว...ข้าควรทำอย่างไร” วิลเลียมถามต่อ หงายไพ่ขึ้นอีก ชักรู้สึกสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว

                “สหายเก่าที่เจ้าเคยหลงลืมไปจะช่วยเหลือเจ้าได้”

                ฟังดูช่างกำกวมสมกับเป็นทำคำนาย ถ้าเขาลืมไปแล้วจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าสหายที่ว่านั่นเป็นใครกัน

                “แล้วภารกิจนี้จะสำเร็จลุล่วงหรือไม่” ถึงกระนั้น วิลเลียมก็ยังคงลองค้นลึกไปเรื่อยๆ ด้วยความอยากรู้ว่าศาสตร์แห่งการทำนายที่ว่าจะบอกอะไรได้มากแค่ไหน

                โรซาลินด์อ่านไพ่แล้วตอบว่า

                “สำเร็จด้วยดี แต่จะนำพาความพลิกผันมาสู่ชีวิตของเจ้า”

                “ฟังดูก็ไม่เลวร้ายนักนี่” วิลเลียมเปรยขึ้น โรซาลินด์ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เสมือนนางในตอนนี้จะได้ยินแค่คำถามของเขา และมองเห็นเพียงหน้าไพ่เท่านั้น

                ถ้าเช่นนั้น คำถามต่อไปของเขาขอถามตรงๆ เลยละกัน

                “แล้วเมื่อใดข้าจึงจะเป็นที่ยอมรับเสียที”

                “เมื่อเจ้าได้สะสางปัญหาทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจะนับถือเจ้า”

                วิลเลียมฟังแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจ คำตอบนี้ยังไม่กระจ่างสำหรับเขา ชายหนุ่มจึงซักต่อว่า

                “ปัญหาที่ว่านั่นคืออะไร” จากนั้นก็พลิกไพ่ขึ้นมาอีกสามใบ ตอนนี้บนโต๊ะก็เหลือไพ่ที่คว่ำอยู่อีกแค่สี่ใบเท่านั้น

                “ปัญหาของเจ้าเกิดจากผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่” โรซาลินด์บอกเพียงเท่านั้น ทำเอาวิลเลียมรู้สึกไม่คุ้มกับไพ่ที่อุตส่าห์เปิดขึ้นมาตั้งสามใบเลย

                แต่ชั่วชีวิตของเขานี้ วิลเลียมคิดว่าตัวเองมีดวงนารีอุปถัมภ์มาโดยตลอด เพราะเกิดมาเขาก็อยู่กับท่านแม่ พอท่านแม่เสียไปก็มีแต่ท่านป้ามาร์กาเรตเข้ามาช่วยดูแล ผู้ใหญ่ที่จะใจดีกับเขาก็มักจะเป็นเพศหญิงเสียส่วนใหญ่ ชายหนุ่มจึงไม่ค่อยเชื่อถือคำตอบนี้นัก จะจริงแท้อย่างไรคงต้องรอดูกันต่อไป

                “ผู้หญิงที่ว่าก็รวมถึงเจ้าด้วยน่ะสิ” เขาลองแหย่อีกฝ่ายดู ทว่าไม่ได้เลือกไพ่

                โรซาลินด์นิ่งสงบไม่ตอบอะไร ราวกับว่าคำถามนั้นลอยผ่านตัวเธอไปอย่างไร้เสียง

                “ข้าเหลืออีกกี่คำถามนะ” ชายหนุ่มทดลองอีกที

                “หนึ่งคำถาม” หญิงสาวตอบ เป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มการพยากรณ์ที่นางยอมเอ่ยสิ่งอื่นกับเขานอกเหนือจากการบอกคำทำนาย “ส่วนไพ่ที่เหลืออีกหนึ่งใบคือไพ่เจ้าชะตาที่จะบ่งบอกถึงสภาพโดยรวมของเจ้าในช่วงนี้”

                วิลเลียมพยักหน้าเข้าใจ แล้วเอ่ยคำถามสุดท้าย

                “ถ้าอย่างนั้น... ชีวิตข้าจะสงบสุขเมื่อใด”

                ผู้ทำนายมองไพ่แล้วกล่าวประโยคหนึ่งออกมา...

                คำตอบของคำถามสุดท้ายนี้ช่างฟังดูขัดแย้งกับคำตอบก่อนเป็นที่สุดแล้วสำหรับวิลเลียม...

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×