ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #26 : - คนที่อยากเป็นเพื่อนด้วย - "ขอโทษทีนะ แต่พอดีข้ามีนัดแล้ว"

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.49K
      4
      2 ธ.ค. 53

    - คนที่อยากเป็นเพื่อนด้วย -

    “ขอโทษทีนะ แต่พอดีข้ามีนัดแล้ว”

     

                แดเนียลใฝ่ฝันอยากมีเพื่อนมากมายมาตั้งแต่เด็ก

                เขาเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ดี มีพ่อแม่ที่เข้าอกเข้าใจ มีเพื่อนพ้องในตอนเด็กๆ ที่รักใคร่กัน ทว่านั่นก็เป็นแค่ช่วงเวลาแห่งความสุขสั้นๆ ในชีวิตตอนเยาว์วัยเท่านั้น โตขึ้นมาอีกหน่อยแดเนียลก็ต้องแยกจากเพื่อนๆ กลุ่มเก่าไป แม่อยากให้เขาเป็นทหาร พ่อที่ไม่ได้คาดหวังในตัวลูกชายเป็นพิเศษก็ไม่ได้ว่าอะไร พาเขาเข้าโรงเรียนทหารตามใจแม่ เพราะแดเนียลในตอนนี้ยังเด็กเกินว่าจะเลือกเส้นทางอาชีพในอนาคตของตัวเองได้ ให้ลองเรียนดูก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย

                ครอบครัวเขาไม่ได้มีฐานะใหญ่โต แต่ดูเหมือนอาชีพการงานของพ่อเขาจะทำให้พวกขุนนางทั้งหลายอยากซื้อใจเอาไว้ แดเนียลจึงเข้าโรงเรียนทหารได้โดยไม่มีปัญหา

                เพื่อนๆ ที่นั่นผูกมิตรยากน่าดู ทว่าแดเนียลก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาเชื่อว่าถ้าทำดีต่อใครด้วยความหวังจะช่วยเหลือคนผู้นั้นด้วยใจจริงแล้ว...อีกไม่นานอีกฝ่ายก็ต้องยอมเป็นมิตรกับเขาเอง เด็กชายใช้เวลา และอดทน ทำดีกับทุกคนไปเรื่อยๆ จนในที่สุดคนอื่นก็เห็นแล้วว่าเขาเป็นคนดีแค่ไหน และก็ยากที่จะปฏิเสธหรือพยายามทำไม่ดีกับเขาตอบได้

                แต่ก็มีเด็กใหม่อีกคนที่ดูเหมือนจะไม่อยากให้เขาช่วยสักเท่าไร

                “ทำไมเจ้าถึงต้องมาช่วยข้าด้วยล่ะ ไม่กลัวพวกนั้นจะเกลียดเอาไปด้วยหรือ” วิลเลียมถามขึ้นตอนที่เห็นเด็กชายผมสีทรายยื่นมือมาจะช่วยดึงเขาที่ล้มเพราะมีคนสกัดขาให้ลุกขึ้น เขารู้สึกไว้ใจใครไม่ได้แม้แต่คนเดียวในโรงเรียนนี้ แม้แต่น้ำใจที่มีคนหยิบยื่นให้ในทีแรก ก็อาจกลายเป็นน้ำพิษในภายหลัง... เขาทราบดีเพราะเคยโดนมาแล้ว

                “ไม่ต้องห่วงหรอก พวกนั้นยังเห็นข้าเป็นเพื่อน ไม่ทำอะไรข้าหรอก” แดเนียลตอบพร้อมยิ้มให้อย่างไม่ถือสา

                ถึงกระนั้น วิลเลียมก็ยังเอามือยันพื้น แล้วลุกขึ้นยืนด้วยตนเอง

                “จะบอกว่าเจ้ามีผลประโยชน์ที่พวกนั้นต้องการมากกว่าที่จะหันมาทำร้าย หรือไม่เป็นลูกคนใหญ่คนโตอย่างนั้นหรือ”

                “ไม่ใช่อะไรซับซ้อนอย่างนั้นหรอกน่า ข้าเป็นแค่ แดเนียล ลูกโจนาธาน คนเฝ้าห้องเก็บเอกสาร เท่านั้นเอง”

                “อย่างน้นถ้าเจ้าอยากช่วยข้าจริงๆ ก็ลองหาวิธีทำให้พวกนั้นหยุดแกล้งข้าดูก็แล้วกัน” วิลเลียมว่า “มาคอยลูบหลังข้าหลังโดนตบหัวอย่างนี้แล้วก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นนักหรอก”

                “ข้าก็พยายามคุยกับไลนัสให้อยู่ แต่ข้ายังไม่ค่อยสนิทกับเขานัก”

                “ไลนัสหรือ” เด็กชายผมน้ำตาลเลิกคิ้วสงสัย

                “ใช่ ไลนัสก็คนผมเงินที่เก่งๆ น่ะ” แดเนียลบอก

                วิลเลียมผุดยิ้มขึ้น ดูเหมือนจะได้ข้อมูลอะไรดีๆ มาแล้วสิ ไลนัสน่าจะเป็นตัวการเบื้องหลังเรื่องนี้ หมอนั่นชอบมองเขาอย่างเหยียดหยามอยู่ด้วย

                “ขอบใจเจ้ามากนะ แดน ข้าทำให้ข้าได้ความคิดดีๆ แล้วละ”

                วิลเลียมบอกพลางจับมือเด็กชายผมสีทรายมาเขย่า

                แดเนียลแปลกใจในท่าทีที่เปลี่ยนมาเป็นมิตรขึ้นโดยกะทันหันของอีกฝ่ายอยู่บ้าง ไม่ทันไรก็เรียกชื่อเขาย่อๆ ว่า แดนเสียแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังดีใจอยู่ดีที่ได้เพื่อนเพิ่มขึ้นมาอีกคน

     

                ไม่กี่วันถัดจากนั้นวิลเลียมก็สามารถกู้สถานการณ์ในโรงเรียนของตัวเองให้กลับมาเป็นปรกติได้สำเร็จ ตอนนี้ไม่มีคนคอยแกล้งเขาแล้ว

                “เจ้าเก่งมากจริงๆ กล้าไปท้าทายไลนัสเช่นนั้นด้วย” แดเนียลเอ่ยขณะเดินคู่ไปกับเพื่อน

                วิลเลียมหัวเราะเบาๆ และเอามาถูจมูก แล้วบอกว่า ไม่เท่าไหร่หรอก

                ถึงจะแก้สถานการณ์ได้แล้วก็ตาม แต่สภาพของเด็กชายก็ยังดูไม่จืดเลย บาดแผลต่างๆ ยังมีอยู่เต็มตัว เหมือนจะไม่มีใครคอยช่วยดูแลรักษาหรือทำแผลดีๆ ให้ด้วย

                แดเนียลเห็นเช่นนั้นแล้วก็นึกเป็นห่วง

                “วิลเลียม วันนี้หลังเลิกเรียนเจ้าไปเที่ยวบ้านข้าไหม จะได้ไปถามข้อมูลสำหรับทำรายงานจากพ่อข้ากัน และจะได้ให้แม่ข้าช่วยดูแผลให้เจ้าด้วย”

                “ข้อมูลทำรายงานเหรอ... ก็ดีนะ แต่ว่าทำแผลคงไม่ต้องหรอก...” เขาอยากเก็บมันไว้ประชดคนที่บ้านเล่นๆ เจ้าชายอาเธอร์เห็นเขามีแผลมาทุกวัน แต่ไม่เคยคิดจะถามเลยว่าไปโดนอะไรมา พวกคนใช้ในบ้านก็เป็นห่วงอยู่หรอก ทว่ากลับถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้ามาดูแลช่วยเหลือ คิดแล้วก็น่าแค้นนัก จนอยากปล่อยให้เป็นแผลเป็น จดจำไปอีกนาน

                เมื่อเป็นเช่นนั้น ตอนบ่ายหลังเลิกเรียน วิลเลียมก็แวะไปที่บ้านของแดเนียล และได้พบกับโจนาธาน คนเฝ้าของเก็บเอกสาร หรือลุงจอห์นเป็นครั้งแรก

                แดเนียลเห็นเพื่อนคุยกับพ่อได้สนุกดี ดูเข้ากันได้มากกว่าที่เขาคุยกับพ่อยามปรกติเสียอีก วิลเลียมมีความรู้รอบตัวอยู่เยอะพอสมควร แต่ต่อให้เป็นเรื่องที่ไม่รู้ก็สามารถเออออไปจนกว่าจะพอรู้เรื่อง หรือทำเป็นสนใจ สอบถามไปได้เรื่อย พ่อของเขาที่มีความรู้ประหลาดๆ กว้างขวางจึงถูกใจนิสัยของเด็กชาย คงเป็นน้อยครั้งนักที่พ่อจะมีคนมาสนทนาด้วยยาวเช่นนี้

                “นี่ลุงจอห์นพอจะแนะนำสถานที่ฝึกวิชาดีๆ แถวๆ นี้ให้ข้าได้บ้างไหม” วิลเลียมถามอย่างสนิทสนมหลังคุยเรื่อยเปื่อยมาหลายเรื่อง

                “ฝึกวิชาเหรอ” ชายสวมแว่นย้อนคำ

                “ใช่ๆ พอดีว่าข้าต้องเตรียมความพร้อมไว้เพื่อที่จะเอาชนะในการประลองครั้งหน้า”

                “ถ้าที่เมื่อก่อนได้ยินว่ามีคนชอบไปฝึก ก็พอจะรู้อยู่หรอกนะ แต่สมัยนี้เหมือนจะมีอาถรรพณ์ จนคนไม่กล้าเข้าไปกันแล้ว”

                “ที่ไหนหรือลุง” วิลเลียมฟังแล้วสนใจ

                “ก็ที่ป่าด้านทิศตะวันออกของเมืองอย่างไร” โจนาธานบอก

                “ป่าด้านทิศตะวันออก...” เด็กชายพึมพำ แล้วยิ้มกว้าง “ฝึกวิชาในป่าก็น่าจะดี จะได้เหมือนพวกพระเอกผู้กล้าในนิทาน พวกนั้นก็อยู่กับป่าเขาลำเนาไพรมาตลอดนี่นะ”

                ชายสูงวัยกว่าได้ยินเด็กชายพูดแล้วก็ยิ้ม คิดจะเลียนแบบเหล่าผู้กล้าในนิทาน ฟังดูไม่เจียมตัวเลยจริงๆ แต่ก็เป็นเด็กอยู่ละนะ ค่อยๆ ให้เรียนรู้ไปว่าชีวิตจริงมีอะไรต่างจากที่คิดจินตนาการไว้เยอะก็แล้วกัน

                “แล้วไม่กลัวอาถรรพณ์หรือ” เขาถามต่อ

                “ข้าไม่เคยเจอผีมาก่อน อยากลองดูว่าเป็นอย่างไรเหมือนกัน” เด็กชายว่า

                ได้ยินคำตอบนั้นแล้ว โจนาธานก็หัวเราะ เขายังไม่ทันบอกเลยว่าอาถรรพณ์ที่ว่านั่นคืออะไร เจ้าเด็กนี่ก็คิดไกลว่าเป็นผีแล้ว อย่างไรตาม คงต้องนับถือในความใจกล้าของเด็กนี่อยู่เหมือนกัน บางทีลองปล่อยให้ไปพิสูจน์เรื่องอาถรรพณ์นั่นเสียหน่อยคงดี

     

                วันต่อมา

                แดเนียลชวนวิลเลียมไปที่บ้านด้วยอีก แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมาอย่างสุภาพ วิลเลียมบอกว่าวันนี้เขาจะลองไปวิชาในป่า...เน้นย้ำด้วยว่าจะไปเพียงลำพัง แดเนียลไม่ต้องไปเป็นเพื่อนด้วย

     

                วันถัดมา

                วิลเลียมที่ไม่มีใครแกล้งแล้วกลับมาโรงเรียนในสภาพที่น่าอนาถยิ่งกว่าทุกวัน พอแดเนียลถามว่า ไปทำอะไรมา ก็ได้รับคำตอบที่น่าเหลือเชื่อกลับมาว่า

                “พอดีเมื่อวานข้าไปเจอนางฟ้ามา นางโกรธที่ถูกข้าพบเห็นเข้า เลยสาปข้าให้มีบาดแผลเต็มตัวอย่างนี้ แล้วรีบหนีจากไป”

                แดเนียลฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายศีรษะ พยายามถามอีกหลายครั้งวิลเลียมก็ยังไม่ตอบความจริงมาอยู่ดี บางครั้งก็ยังบอกอีกว่า เรื่องนางฟ้าน่ะพูดจริง

                ไม่แน่บางทีที่ป่านั่นจะมีอาถรรพณ์อยู่อย่างที่พ่อบอกไว้ก็ได้

                เด็กชายผมสีทรายนึกสงสัย แต่เย็นนี้เขาติดภารกิจช่วยเหลือเพื่อนๆ คนอื่น จึงไม่มีโอกาสได้แวะไปพิสูจน์

     

                วันรุ่งขึ้น

                วิลเลียมคลี่ยิ้มแจ่มใสมาที่โรงเรียน บาดตามตัวหายไปหมดไม่มีเหลือ จนหลายคนแปลกใจในการฟื้นตัวที่รวดเร็วของเด็กชาย

                “คราวนี้เจ้าไปทำอะไรมาอีกล่ะนี่” แดเนียลถาม แล้วพอเห็นสีหน้าเหมือนจะไม่พูดความจริงของอีกฝ่ายก็รีบขัดไว้ก่อนว่า “อย่าบอกว่าเป็นนางฟ้าอีกนะ”

                วิลเลียมที่กำลังตอบว่าเป็นนางฟ้ารักษาให้พอดี ปิดปากลง คิดใหม่อย่างรวดเร็ว แล้วตอบ

                “เคยได้ยินเรื่องที่ว่า ลมหายใจมังกรจะรักษาคนที่พูดความสัตย์ได้ไหม”

                “ไม่เคย” แดเนียลตอบตรงทันที แต่ก็สมควรที่เขาจะไม่เคยได้ยิน เพราะเรื่องนี้วิลเลียมเพิ่งแต่งขึ้น

                “พอดีข้าไปเจอมังกรที่มีความสามารถเช่นนั้นมา ข้าพูดความจริงไป มังกรเลยช่วยรักษาแผลให้”

                แดเนียลไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เพื่อนเล่ามาเป็นความจริงเลยสักนิด

     

                หลายวันถัดมา

                “โธ่เอ๊ย ทำไมถึงได้ช้า ไม่ได้เรื่องอย่างนี้นะ”

                เสียงบ่นของวิลเลียมลอยมาให้แดเนียลที่กำลังฝึกอยู่ด้านข้างได้ยิน

                “ช้าอย่างไรหรือวิลเลียม ครั้งนี้มีท่านนักบวชมาช่วยให้ร่ายมนตร์เสริมความเร็วให้ ข้าว่าก็เร็วขึ้นกว่าปรกติตั้งเยอะแล้วนะ”

                วิลเลียมอ้าปาก ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบอกไป เขาอยากบอกว่า นี่มันช้ากว่าเวทเสริมความเร็วที่แคสซานดราร่ายให้เขาตั้งเยอะ ทว่าพอนึกขึ้นได้ว่าเรื่องนั้นต้องเก็บเป็นความลับไว้ จึงบอกไปว่า

                “ไม่ใช่อะไรหรอก ข้าแค่ยังปรับตัวให้เข้ากับความเร็วใหม่นี้ไม่ได้น่ะ” เขายิ้มแหยๆ ให้คนถาม “เลยคิดว่ามันค่อนข้างช้า และตัวข้าเองไม่ค่อยได้เรื่อง”

                “แต่ข้าดูแล้ว ในการฝึกครั้งนี้เจ้าทำได้ดีกว่าทุกคนอีกนะ”

                มองไปรอบด้านในขณะนั้น จะเห็นว่ามีเด็กอีกหลายคนที่สะดุดหกล้มเพราะยังไม่ชินกับความเร็วใหม่ที่เพิ่มขึ้นทว่าวิลเลียมเพิ่งจะสังเกตเห็นสิ่งนี้ เพราะตอนแรกมั่วแต่รำคาญความเร็วที่ไม่ได้ดั่งใจหวัง

                “อ้อ...”

                ตอนนี้วิลเลียมก็เห็นประโยชน์ของการฝึกร่วมกับแคสซานดราอีกอย่างหนึ่งแล้ว เขาสามารถปรับตัวให้สอดรับกับเวทสนับสนุนได้ดีกว่าคนอื่น แต่นี่ก็เป็นเพราะเคยฝึกมาก่อนเท่านั้น พอคนอื่นเริ่มคุ้นเคยกันแล้ว ความได้เปรียบนี้ก็จะหมดไป

                แต่ถ้าบางที... เขาลองเปลี่ยนการส่งเสริมให้เป็นการถ่วงดูบ้างล่ะ ถ้าสามารถเอาชนะความหน่วงที่เพิ่มขึ้นมาได้ เวลาปรกติก็อาจจะเร็วขึ้นด้วยเหมือนกัน

                วันนี้คงต้องไปลองให้แคสซานดราร่ายคำสาปใส่ดูบ้างละ...

                พอมีความคิดดีๆ เช่นนี้แล้ว วิลเลียมก็ยิ้มแล้วตั้งใจฝึกต่อไป

                แดเนียลมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเพื่อนแล้วก็ไม่เข้าใจ ท่าทางครุ่นคิดก่อนเปลี่ยนสีหน้าแบบนั้นคงไม่ใช่เพราะดีใจที่เห็นว่าตนทำได้ดีกว่าคนอื่นเป็นแน่ สำหรับเขาแล้ว...เพื่อนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่นั่นช่างเป็นสิ่งที่อ่านยากยิ่งกว่าผู้ใด

     

                ยามเช้าของอีกสองวันให้หลัง

                “ทำไมเจ้าถึงเดินด้วยท่าประหลาดๆ อย่างนั้นล่ะ” แดเนียลถามขึ้นเมื่อเห็นเพื่อนเดินตัวเกร็ง ลงฝีเท้าหนัก และเชื่องช้ากว่าปกติมา

                วิลเลียมแค่นยิ้มให้ สีหน้าไม่ต่างจากคนที่แบกของหนักกำลังฝืนทน

                “ข้ากำลังทดลองการเคลื่อนไหวแบบใหม่อยู่ เจ้าอย่าสนใจเลย” เขาตอบ

                อย่างน้อยจังหวะการพูดก็ยังมีความเร็วเท่าเดิม อีกทั้งน้ำหนักความน่าเชื่อถือก็ดูมีความเป็นไปได้มากกว่าเรื่องอื่นๆ ที่เคยเล่ามา แดเนียลจึงพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าเข้าใจ และไม่ถามอะไรต่อมาก ดูเหมือนเพื่อนเขาจะจริงจังกับสิ่งที่ทำอยู่อย่างมาก

                ทว่าเขาก็ยังคงเป็นห่วง วันนั้นทั้งวัน วิลเลียมทำทุกอย่างเฉื่อยช้า แลแข็ง และขัดข้องไปหมด แม้แต่การฝึกดาบที่วันก่อนเห็นได้ชัดว่าคืบหน้าไปได้ด้วยดี กลับกลายเป็นเลวร้าย พัฒนาถอยร่น แย่ยิ่งกว่าตอนเริ่มต้นเสียอย่างนั้น อาจารย์ยังทนดูไม่ได้ เอ่ยปากตำหนิไปหลายคำ แต่เจ้าตัวคนถูกดุก็เพียงยิ้มรับแล้วยังไม่เลิกทำตัวประหลาด

                “เจ้าต้องทดลองการเคลื่อนไหวแบบใหม่นี้ตลอดเวลาเลยหรือ”

                ขณะนี้พวกเขาอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ณ โรงครัวของโรงเรียน แดเนียลเห็นวิลเลียมยกช้อนขึ้นมาด้วยท่าทียากเย็นไม่ต่างจากยกอาวุธหนักแล้วก็อดสงสัยไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้กว่าจะกินเสร็จคงหมดเวลาพักพอดี...หรือไม่ก็อาจเลยไปกว่านั้นก็ได้

                “จำเป็นสิ ไม่อย่างนั้นการทดลองก็จะล้มเหลว” ตอบแล้วก็ตักอาหารเข้าปากได้เป็นคำแรก

                แดเนียลพอจะทราบแล้วว่าวิลเลียมเป็นคนดันทุรังเพียงใด ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายตอบมาเช่นนี้แล้วก็ได้แต่ปลง แล้วดูเพื่อนจัดการมื้อกลางวันต่อไป อย่างน้อยถ้ามีเขาอยู่ด้วยก็คงไม่มีใครกล้าเข้ามาแกล้งเจ้าของการทดลองประหลาดนี้

                ถึงไลนัสจะไม่สั่ง แดเนียลก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากเพื่อนเป็นเช่นนี้ต่อไป คงหนีไม่พ้นเด็กคนอื่นแกล้งแน่ๆ พฤติกรรมการแสดงออกเช่นนี้มันดูน่าสมเพช เหมาะแก่การเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้งอย่างยิ่ง

                โชคยังดีที่วันต่อๆ มา การทดลองของวิลเลียมดูจะมีปัจจัยควบคุมที่เปลี่ยนไป เขาค่อยๆ เคลื่อนไหวเร็วขึ้นทีละขั้น...ทีละขั้น จนท้ายที่สุดก็เหมือนจะกลับมาเป็นปรกติแล้ว

                “ผลการทดลองว่าเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” แดเนียลคาดเดาว่า เพื่อนน่าจะทดลองเสร็จแล้ว จึงลองถึงผลลัพธ์ดู เขาพอจะได้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาจากพ่อผู้สนใจทางด้านนี้อยู่บ้าง

                วิลเลียมบอกยิ้มๆ ว่า

                “การทดลองยังไม่จบเลย แต่ดูจากปฏิกิริยาของเจ้าแล้ว ผลของการทดลองน่าจะเป็นไปด้วยดีอย่างที่ข้าตั้งสมมติฐานไว้นะ”

                ตอนนั้นเองแดเนียลจึงได้เรียนรู้อีกอย่างหนึ่งว่า ต่อให้เป็นเรื่องที่ดูจะมีเหตุผลรองรับดีอย่างการทดลอง หรือวิทยาศาสตร์ก็ตาม วิลเลียมก็จะเปลี่ยนมันเป็นเรื่องที่เป็นความลับได้

     

                สัปดาห์ต่อมา

                เด็กชายผมน้ำตาลเข้มยิ้มเริงรื่นมาโรงเรียนอีกแล้ว

                รอยยิ้มของเขาในวันนี้ดูเปี่ยมความสุขยิ่งกว่าวันใด จนแดเนียลอดถามถึงไม่ได้

                “วันนี้เจ้าดูเบิกบานกว่าปรกตินะ มีเรื่องอะไรให้ยินดีหรือ”

                “พอดีเมื่อคืนนี้ข้าฝันดีน่ะ” วิลเลียมตอบเพื่อนง่ายๆ

                พอฟังเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้แล้ว แดเนียลก็ถามต่อว่า

                “ฝันถึงอะไรหรือ”

                “ข้าฝันว่าถูกเจ้าชายอาเธอร์จับไปเผชิญหน้ากับวิงด์ไลออนของเขาเพื่อพิสูจน์ดูว่าข้ามีโซหรือไม่”

                คนฟังกลับไม่คิดว่านั่นจะเป็นฝันดีที่ตรงไหน

                “แล้วเจ้าทำอย่างไรต่อล่ะ”

                “ข้าก็สู้เต็มที่ ไม่มีหนีน่ะสิ”

                “แล้วฝันนั้นจบลงแบบไหน”

                บางทีถ้าตอนจบดี อย่างเช่น วิลเลียมค้นพบโซสุดวิเศษ แล้วอาจชนะสัตว์อสูรได้ ฝันที่ว่าก็อาจถือเป็นฝันดีก็ได้ แดเนียลคิดเช่นนั้นจึงได้ถาม

                “ข้าสู้จนสลบไป แล้วก็ตื่นขึ้นมาบนเตียง”

                เด็กชายผมทรายยังไม่คิดว่า ฝันที่เพื่อนเล่าให้ฟังนั้นจะเป็นฝันดีไปได้เลย นัยน์ตาสีน้ำตาลจึงยังฉายแววฉงนสงสัย...

                แต่สิ่งที่แดเนียลไม่รู้จริงๆ ก็คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับวิลเลียมนั้นหาใช่ความฝันอย่างที่บอกมา

                วิลเลียมที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงในทีแรกก็สงสัยเช่นกันว่าตนได้ฝันไปหรือไม่ แต่พอเห็นว่า มีดพกของตนสะอาดเอี่ยมเกินกว่าปรกติ และบาดแผลตามตัวที่ควรมีอยู่บ้างก็หายไป ครั้นย่องไปแอบดูที่กรงสิงโตให้แน่ใจอีกที ก็เห็นชัดว่าบนหน้าของวิงด์ไลออนเพิ่มรอยบากใหม่ๆ ขึ้นมารอยหนึ่ง ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนย่อมไม่ใช่ความฝัน และการที่เขากลับมานอนอยู่เป็นเตียงมีผ้าห่มสบายไร้รอยแผลเช่นนี้ก็หมายความได้อย่างเดียว... นั่นคือต้องมีคนพาเขากลับมาและรักษาให้... และหากคนที่มีอำนาจบังคับเขามาสู้กับวิงด์ไลออนได้ไม่อนุญาตแล้ว ก็คงมีใครทำเช่นนั้นไม่ได้แน่นอน

                พอขบคิดเข้าใจเช่นนี้แล้วนั่นเอง วิลเลียมจึงยิ้มสดใสยิ่งนักในวันนั้น

                ทว่าแดเนียลก็ยังไม่เข้าใจที่มีของรอยยิ้มปริศนานั้นเช่นเดิม

     

                หลังเลิกเรียน

                “วิลเลียม วันนี้เจ้าว่างไหม ข้าว่าจะชวนเจ้าไปฝึกดาบต่อด้วยกัน”

                การสอบก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วในขณะนี้ แดเนียลนึกเป็นห่วงเพื่อนที่เพิ่งเข้ามาเรียน จึงอยากช่วยเป็นคู่ซ้อมให้

                “ขอโทษทีนะ แต่พอดีข้ามีนัดแล้ว” เด็กชายบอกปัดพลางเก็บของเข้ากระเป๋า วิชาสุดท้ายนี้เป็นภาคบรรยาย จึงต้องมีการขีดๆ เขียนๆ บันทึกลงสมุดบ้าง

                “นัดใครเอาไว้หรือ”

                “สาวสวยคนหนึ่ง” วิลเลียมตอบพร้อมคลี่ยิ้มกรุ้มกริ่ม

                แดเนียลทำตาโต ไม่ค่อยอยากเชื่อนักว่า เด็กวัยเดียวกับเขาอย่างวิลเลียมนี้จะไปหลงสาวที่ไหนแล้ว แต่ยังไม่ทันคิดจะพูดอะไรต่อ วิลเลียมก็แบกกระเป๋า โบกมือลา แล้วรีบจากไปโดยไม่เสียเวลารอแม้แต่น้อย

                “เฮอะ มัวแต่เที่ยวเล่นแบบนั้นไม่มีทางชนะข้าได้หรอก” ไลนัสที่บังเอิญนั่งโต๊ะใกล้ๆ กันพอ จึงได้ยินบทสนทนา กล่าวนินทาคนที่จากไปแล้ว

                “วิลเลียมแค่พูดล้อเล่นเท่านั้น จริงๆ เขาไม่ใช่คนแบบนั้นหรอกน่า” แดเนียลพยายามแก้ต่างแทนเพื่อน เด็กชายผมน้ำตาลชอบโกหกเพื่อปิดบังเรื่องที่ไม่อยากบอกเสมอๆ ดังนั้นเรื่องที่มีนัดกับสาวสวยคนหนึ่งนั่นก็อาจเป็นเรื่องโกหกได้          “อย่างนั้นข้าจะรอดูก็แล้วกัน” ไลนัสว่า เก็บอุปกรณ์การเรียนของตน แล้วเตรียมไปซ้อมอาวุธต่อ

                แดเนียลไม่อยากให้วิลเลียมแพ้ไลนัส จึงพยายามจะชวนวิลเลียมไปฝึกด้วยกันอยู่ทุกวันๆ แต่ในบางครั้งเด็กชายคนที่เขาอยากเป็นเพื่อนด้วยกลับรีบเผ่นออกจากโรงเรียนไปก่อนที่เขาจะได้เปิดปากชวนเสียอีก

                เมื่อเป็นเช่นนั้น แดเนียลแล้วก็ต้องคอตกกลับมาให้ไลนัสเยาะเย้ยเสียทุกครา

                เด็กชายรู้สึกว่า ถึงวิลเลียมจะดูเป็นคนง่ายๆ ไปกันได้กับทุกคน แต่หากจะพยายามเข้าถึงหรือสนิทสนมให้ลึกยิ่งกว่านี้นั้น ช่างเป็นเรื่องยากเย็นเสียเหลือเกิน

                ราวกับนับวัน เขาจะยิ่งดูอยู่ห่างไกลออกไปทุกที...ทุกที

    ---

    S.O.

    December 1, 2010

    คราวนี้ถึงทีเล่าเรื่องในมุมมองของแดเนียลบ้างแล้วสินะ...

    ตอนนี้เหมือนจะเป็นตอนที่ช่วยโยงเหตุการณ์ในอดีตหลายๆ ตอนเข้าด้วยกัน หวังว่าคงจะช่วยให้เห็นภาพรวมมากขึ้น

    อนึ่ง ช่วงนี้คนเขียนกำลังมึนงงสับสนกับชีวิตของตัวเองมาก งานถาโถมเข้ามาตั้งมากมาย...

    ผู้อ่านทุกท่านคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม หากจะขอลี้ภัยไปทำเคลียร์งานและโปรเจกต์ทั้งหลายก่อนชั่วคราว...

    ว่าง่ายๆ ก็คือ จะอัพช้าลงบ้าง...เท่านั้นเอง (เอ...แต่จริงๆ เราก็ค่อยข้างอัพตามอารมณ์ ไม่แน่ไม่นอนอยู่แล้วนี่นา)

    มีหลายคนบ่นมาว่า เคจอัพนิยายเร็วเกินไป ตามอ่านไม่ทันแล้วด้วย ดังนั้น ชะลอลงบ้างก็คงดีใช่ไหม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×