ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรื่องบ้าๆ ของผม

    ลำดับตอนที่ #23 : อดีตอันแสนรันทด (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 578
      1
      8 เม.ย. 53

    หลังจากกลัดกลุ้มกุมขมับอยู่เป็นเวลานาน ผมก็ตัดสินใจคลายเครียดด้วยการเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนที่ไว้วางใจได้แทน ซึ่งเพื่อนที่ว่านั่นก็หนีไม่พ้นเชนกับเนฮีเดียอยู่ดีนั่นแหละ แต่ผมจะพยายามถามอ้อมๆ ไม่บอกไปตรงๆ หรอกนะ

    ผมตั้งใจว่าจะลองไปถามเนฮีเดียซึ่งดูพึ่งพาได้มากกว่าก่อน จึงตรวจดูให้แน่ใจว่า เวลานี้เธอว่างจากการสอนหรือยัง เพราะหญิงสาวและนักเรียนของเธอห้ามไม่ให้ผู้อื่นเข้าไปรบกวนในเวลาเรียนอย่างเด็ดขาด ขืนบุ่มบ่ามเข้าไปคงไม่มีทางรอดกลับมาได้อย่างสบายๆ ต่อให้เป็นผมที่เป็นหัวหน้าก็เถอะ

    ครั้งหนึ่ง ผมเคยสงสัยใคร่รู้ว่า เนฮีเดียจะสอนพวกมารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนหรือไม่ อย่างไรกันแน่ เลยลองเลียบเคียงถามจากนักเรียนคนหนึ่งดูว่า เรียนอะไรมาบ้าง

    แล้วก็ได้คำตอบกลับมามีใจความว่า

    การเป็นคนดีย่อมมีทุกข์ของคนดี คนที่พยายามทำตัวเป็นคนดีมักมีความคับข้องใจอยู่เสมอ คนเหล่านี้มักสงสัยว่า ทำไมตนทำความดีแล้วจึงไม่ได้ดี คนทำชั่วแล้วได้ดีมีอยู่ถมไป และก็ได้แต่ปลอบใจตนว่า อีกเดี๋ยวผลกรรมของสิ่งที่ทำไป ก็จะตามสนองในอนาคตเอง...”

    ฟังแล้วน่าจะเป็นวิธีสอนให้ลูกศิษย์เข้าใจว่า การเป็นคนดีมีข้อเสียอย่างไร แล้วชักชวนให้หันมาเป็นคนชั่วน่ะสินะ ว่าแต่... ทำไมเสียงของเด็กคนนี้ถึงเหมือนเนฮีเดียจังเลยล่ะ แถมวิธีการเว้นจังหวะ การเน้นคำ รวมถึงระดับความดัง และอัตราเร็วของการพูดยังไม่ต่างกันอีกด้วย... หรือว่า เนฮีเดียจะลงมือล้างสมองนักเรียนทุกคนเสียแล้ว... ช่างสมเป็นยอดตัวร้ายหญิงจริงๆ เชียว

    หากแต่ขณะที่ผมกำลังตั้งสมมติฐานอยู่นั้นเอง เด็กคนนั้นก็กล่าวด้วยเสียงเนฮีเดียเสริมอีกว่า

    การเป็นคนชั่วก็มีทุกข์อยู่เช่นกัน คนที่หมายจะเป็นคนเลวย่อมมีความหวาดระแวง และกริ่งเกรงเกินกว่าเหตุเสมอ คนเหล่านี้จะกลัวว่า สิ่งไม่ดีที่ตนกระทำไว้จะถูกเปิดเผยออกมาสักวันหนึ่ง และก็เป็นกังวลกับความคิดนั้น จิตไร้ความสงบ ไม่มีความสบายใจ...”

    จบประโยคนั้นผมก็ต้องกลับมาครุ่นคิดอีกครั้ง... หรือเนฮีเดียกำลังใช้โอกาสนี้ช่วงชิงมาให้เผยแพร่ปรัชญาของเธอ ไม่ได้ตั้งใจจะเป็นตัวร้ายจริงๆ ล่ะนี่

    ดังนั้น การเป็นตัวร้ายที่ดีต้องกระทำไปโดยไม่คิดอะไร” เด็กคนนั้นบอกต่อ “ไม่ต้องคำนึงถึงดีชั่ว แค่ทำออกมาจากใจจริงก็พอ”

    อ้อ... ที่แท้หมายถึงอย่างนี้นี่เอง... เนฮีเดียนำเอาข้อคิดที่ได้จากการหามาดตัวร้ายที่เหมาะสมกับผมมาสอนเหล่านักเรียน ถือว่าใช้ได้ ผ่านเลยล่ะกัน

    ขอบใจเธอมากนะ” ผมบอกขอบคุณเด็กคนนั้นไป

    ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบ คราวนี้เป็นอีกเสียงหนึ่งแล้ว ไม่ใช่เสียงของเนฮีเดียดังแต่ก่อน ฟังแล้วคิ้วผมก็เริ่มผูกเป็นปมขึ้นมา

    เหมือนเธอจะเห็นผมขมวดคิ้วทำหน้าฉงน จึงช่วยอธิบายเสริมว่า

    เมื่อครู่เป็นเสียงของอาจารย์ที่บันทึกไว้น่ะค่ะ คิดว่าให้ฟังเสียงของอาจารย์ไปเลยน่าจะดีกว่า”

    เข้าใจล่ะ” ผมตอบอย่างไว้มาดอยู่เล็กน้อย เดี๋ยวนี้คนที่ก้าวไม่ทันเทคโนโลยีออกจะมีอยู่เยอะ พลาดไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก

    หลังจากนั้นผมก็ติดตามการทำงานของเนฮีเดียอยู่ห่างๆ ถามพวกนักเรียนทีไรก็ได้คำตอบมาคล้ายๆ กับคนแรก เป็นคำพูดยากๆ ทำนองเนฮีเดียนั่นแหละ แต่ก็ดูเหมือนนักเรียนทุกคนจะพอใจดี ไม่มีใครขัดข้องอะไร ผมก็เลยวางใจ

    อาจมีผู้หญิงบางคนที่อยากเป็นตัวร้ายในหลักสูตรของผมหรือเชนอยู่บ้าง หรือผู้ชายที่อยากเรียนกับเนฮีเดียอยู่บ้างก็ตาม พวกเราก็อนุญาตให้พวกเขาเลือกเรียนได้ตามที่ชอบ ไม่ได้บังคับ การได้ทำอะไรที่ใจรักย่อมดีกว่าอยู่แล้ว

    ส่วนหลักสูตรฝึกกองทัพเพื่อเตรียมไว้สำหรับยึดครองโลกของเชนนั้น... ผมคงไม่ต้องให้รายละเอียดมากนักกระมัง แค่คุณนึกภาพเชนและนึกภาพเหล่านักเรียนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเขาก็คงพอจะเดาออกแล้วใช่ไหมว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร การไปเยือนห้องเรียนของเชนก็ไม่ต่างจากการไปเยือนสนามรบ ทั้งคนสอนและคนเรียนก็ดูจะสนุกกับการใช้ความรุนแรงและการทำลายร้างสิ่งต่างๆ กันดี

    ย้อนความนอกเรื่องไปไกล กลับมาที่ปัจจุบันกันก่อน...

    ผมตรวจดูเรียบร้อยแล้วว่า เนฮีเดียเลิกสอนแล้ว ดังนั้นผมก็จะเข้าไปปรึกษาเธอดูล่ะ

    สวัสดีครับ” ผมทัก

    สวัสดีค่ะ” เธอค้อมศีรษะลงเล็กน้อย

    แล้วเราก็แลกเปลี่ยนคำทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุขกันนิดหน่อย จากนั้นผมก็หันเหหัวข้อสนทนาเข้ามาสู่เรื่องที่ต้องการอย่างอ้อมๆ

    พอดีว่า ผมตรวจการบ้านของพวกลูกศิษย์แล้วไม่ค่อยพอใจ เลยอยากมาปรึกษาหาทางแก้ไขกับคุณเนฮีเดียหน่อยน่ะครับ”

    เธอนิ่งรับฟังผมกล่าวต่อ

    ก่อนหน้านี้ผมให้การบ้านพวกเขาไปคิดอดีตที่แสนรันทดของตนมา ซึ่งพวกเขาก็ทำได้ดีเกินคาดเสียอีก แต่พอคราวนี้ ผมให้การบ้านให้ไปคิดว่า เหตุการณ์ที่เหมาะสมจะเปิดเผยอดีตนั้นควรจะมีลักษณะเป็นเช่นไร คำตอบของพวกเขากลับดูไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ได้จริงสักเท่าไหร่ ผมเลยอยากทราบความคิดเห็นของคุณเนฮีเดียว่า ถ้าคุณเนฮีเดียต้องการรู้อดีตอันแสนเศร้าของใครสักคน คุณเนฮีเดียจะทำอย่างไรหรือครับ”

    หญิงสาวในฮู้ดคลุมศีรษะรูปหน้าแมวใช้เวลาคิดประมวลผลอยู่นาน แล้วจึงตอบว่า

    ก็คงไม่ทำอะไรหรอกค่ะ”

    เอ๋?”

    ดิฉันไม่ได้อยากรู้อดีตของใคร แล้วก็คิดว่า ถ้ามีสิทธิ์จะได้รู้แล้ว...เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็คงได้รู้เองล่ะค่ะ เรื่องบางอย่างก็ไปบังคับให้เป็นไปตามที่ต้องการไม่ได้”

    ที่เธอพูดนั้นถูกก็จริง แต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้เลย ดูท่าผมคงจะต้องผิดหวังเสียแล้ว

    ทว่าก่อนที่ผมจะตัดใจ และกล่าวขอบคุณเธอไปนั่นเอง หญิงสาวก็เอ่ยถามเรียบๆ ขึ้นมาก่อนว่า

    แล้วคุณอันเวสทราบอดีตของคุณเองดีแล้วหรือคะ”

    อดีตของผมเองน่ะหรือ... ถ้าเป็นความทรงจำตั้งแต่ยังแบเบาะก็ยังไม่มีหรอก ช่วงชีวิตตอนเด็กๆ ก็จำได้เฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆ แต่พอโตขึ้นมาก็จำได้มากขึ้น ส่วนพวกวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟาก หมู่เลือด หรือข้อมูลทางพันธุกรรมพวกนี้ก็พอรู้จากพ่อแม่มาบ้าง

    ก็คิดว่าพอรู้เท่าที่คนธรรมดาทั่วไปรู้นะครับ” ผมตอบเธอไป

    ถ้าเช่นนั้น คุณอันเวสทราบไหมคะว่า คุณกำลังพูดภาษาอะไร”

    ภาษา...ม” ผมกำลังจะตอบว่า ภาษาแม่ ไปแล้ว แต่ฉุกคิดขึ้นได้ว่า นั่นเป็นการเปรียบเทียบแบบสัมพัทธ์ ไม่ใช่ชื่อแบบสัมบูรณ์ที่คนรู้จักนี่นา

    แล้วนี่ผมกำลังพูดภาษาอะไรอยู่กันแน่ล่ะนี่... พ่อแม่ผมไม่เคยบอก อาจารย์ที่โรงเรียนก็ใช้ภาษาสากลสอนไม่เคยเน้นย้ำเรื่องนี้ ผมรู้สึกราวกับกำลังอับจน แต่ทันใดนั้นก็นึกถึงอีกคนหนึ่งที่ใช้ภาษาเดียวกับผมขึ้นมาได้ ร่างทรงของผมนั่นเอง เธอเรียกภาษานี้ว่า...

    ภาษาไทย!” ผมโผ่งออกไปในที่สุด

    ใช่แล้วค่ะ ภาษาที่คุณอันเวสใช้คือภาษาไทย เป็นภาษาที่เหลือผู้ใช้อยู่ไม่มากนัก” เนฮีเดียบอก “ถ้าพ่อแม่ของคุณอยากให้คุณเป็นคนธรรมดา ก็น่าแปลกนะคะพวกท่านเลือกภาษานี้เป็นภาษาแม่ของคุณ”

    อืม... นั่นสิ ถ้าความทรงจำของผมไม่ผิดพลาด จากที่เรียนวิชาสังคมมา ผมก็พอจำได้ว่ากลุ่มวัฒนธรรมไทยเป็นเพียงกลุ่มวัฒนธรรมเล็กๆ เท่านั้น มีประชากรในกลุ่มที่ค่อนข้างคงที่ ถือเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่มีการพยายามช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้อยู่

    แต่ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับผมหรือการเปิดเผยอดีตอันแสนรันทดตรงไหนล่ะนี่...

    แม้ภาษาหรือวัฒนธรรมนี้จะตายไปก็ดูไม่น่าจะกระทบอะไรผมนัก เพราะในสมัยนี้ ถึงจะมีคนใช้ภาษานั้นนั้นเพียงคนเดียว ด้วยความช่วยเหลือจากเทคโนโลนีการสื่อสารต่างๆ ก็ยังสามารถก่อให้เกิดวิวัฒนาการทางภาษาได้อยู่ดี และถ้าหากผมไม่ชอบที่จะใช้ภาษานั้นเพียงลำพัง ผมก็สามารถเรียนรู้ภาษาแม่อื่นๆ แทนได้ แล้วก็ตั้งค่าคลื่นแปลภาษาให้เหมาะสมเสีย ก็มิได้สร้างความลำบากแต่อย่างใด

    สุดท้ายผมก็ยังคงไขปริศนาไม่ออกว่า ทำไมเนฮีเดียถึงได้หยิบเอาเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวถึง จึงได้แต่ถามเธอกลับ

    แล้วเรื่องนี้เกี่ยวกับปัญหาเรื่องอดีตอันแสนรันทดอย่างไรหรือครับ”

    ภาษาที่ใช้สามารถบอกได้หลายอย่างค่ะ” หญิงสาวชี้แจง “ภาษาเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการคิด ดังนั้นถ้ารู้ว่า ภาษาที่คนคนนั้นใช้มีลักษณะอย่างไร ก็สามารถเข้าใจคนคนนั้นได้ดียิ่งขึ้นค่ะ”

    อ้อ อย่างนี้เองสินะครับ ผมก็ลืมคิดไป”

    ต้องยอมรับว่าผมไม่เคยสังเกตเลยว่าเนฮีเดียกับเชนที่จริงแล้วพูดภาษาอะไรกันแน่ อีกทั้งยังไม่เคยจะศึกษารากฐานวัฒนธรรมต่างๆ ในเชิงลึก ผมมักมองทุกสิ่งโดยภาพรวมอย่างกว้างๆ แล้วตีความคร่าวๆ เอาเท่านั้น ดูเหมือนผมจะพึ่งพาความสะดวกสบายของเทคโลโนยีจนเคยชินไปเสียแล้วสิ

    นาม 'อันเวส' นั้น แท้จริงแล้วก็มาจากภาษาเก่าแก่ภาษาหนึ่งซึ่งวัฒนธรรมไทยรับเอามาใช้อีกที”

    เธอออกเสียงชื่อผมว่า 'อันเวด' ได้ถูกต้อง ทั้งๆ ที่ผมจำได้ว่าไม่เคยบอกเรื่องนี้ให้ใครในกลุ่มฟังเลยสักครั้ง

    ไม้ใหญ่ทุกต้นย่อมมีราก เช่นเดียวกับมนุษย์ผู้มีความทรงจำก็ย่อมมีอดีต แม้ต้นไม้อาจมองไม่เห็นรากของมัน แม้มนุษย์จะละเลยอดีตไป ทั้งรากและอดีตนั้นก็ยังคงอยู่เช่นเดิม”

    เนฮีเดียพูดอะไรยากๆ ให้ผมต้องขบคิดอีกแล้วสินี่...

    คุณเนฮีเดียจะเตือนผมว่า การที่ลืมหรือไม่ใส่ใจวัฒนธรรมที่รากของตนเป็นสิ่งผิดหรือครับ” ผมถาม เมื่อแรกก็นึกสะทกสะท้อนใจอยู่บ้าง แต่พอคิดในมุมกลับ ถ้านี่ถือเป็นสิ่งผิดจริงก็แสดงว่าผมกำลังทำสิ่งชั่วช้าอยู่น่ะสิ

    ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นสิ่งผิดหรือถูก” เนฮีเดียตอบ “แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ความผิดของคุณอันเวสหรอกค่ะ” เธอกลับมาเรียกชื่อผมตามปรกติเหมือนเดิมแล้ว

    ยังไงหรือครับ” ผมยังคงสงสัย

    เพราะคุณอันเวสไม่ได้ทำผิดแต่อย่างใด คุณเป็นคนธรรมดาที่ถูกเลี้ยงดูมาให้เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว คุณเป็นไปตามที่คนส่วนใหญ่เป็น และในเมื่อคนส่วนใหญ่ก็ลืมเลือนรากของตนไปแล้ว ถ้ามองตามหลักประชาธิปไตย การลืมรากของตนไปจึงไม่ใช่สิ่งผิด”

    หลักประชาธิปไตยรึ... นั่นเป็นวิธีการปกครองที่เป็นที่นิยมก็จริง แต่หลักการนี้จะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อ คนส่วนใหญ่ที่ว่าเป็นคนดี

    แต่ถ้าหากว่า ความคิดของคนส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ผิดล่ะครับ” ผมเอ่ยถาม

    เนฮีเดียคลี่ยิ้มเล็กน้อย พลางกล่าว

    ถ้าไม่ใช้ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่แล้ว คุณอันเวสจะเอาอะไรมาชี้วัดล่ะคะว่า สิ่งใดถูกสิ่งใดผิด คนส่วนน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับคนส่วนใหญ่ก็ย่อมคิดว่า ความคิดของตนถูกต้องและมีเหตุผลของพวกเขาด้วยเช่นกัน”

    เนฮีเดียเล่นตอบกลับมาเป็นคำถามให้ผมต้องคิดต่ออีกแล้วสินี่ เรื่องการเมืองการปกครองนี่ชวนให้ปวดหัวจริงๆ เลย

    ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมคงเลิกคิดถึงส่วนน้อยหรือส่วนใหญ่ แต่จะคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวมแทน ไม่เอาตัวเองหรือใครเข้ามาเกี่ยวข้องอีก” ผมบอกแนวคิดที่ฟังดูเป็นอุดมคติไป ถ้าจำไม่ผิด นี่คงเป็นหลักของธรรมราชา

    ค่ะ” หญิงสาวตอบสั้นๆ แล้วยิ้มรับ

    เมื่อพิจารณาโดยคำนึงถึงส่วนรวมแล้ว การที่คนเราจะลืมเลือนรากฐานทางวัฒนธรรมที่เติบโตขึ้นมาไปก็คงไม่ใช่สิ่งผิด แม้อาจจะดูน่าเศร้าในสายตาของคนที่ผูกพันกันวัฒนธรรมนั้นก็ตาม แต่ต้นเหตุที่ทำให้เกี่ยวโยงของคนรุ่นหลังกับตัววัฒนธรรมลดลงก็คือผู้ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดไม่ใช่หรือ จะโยนความผิดไปให้คนรุ่นหลังที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยก็ใช่ที่ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ วัฒนธรรมและผู้คนเองก็เช่นเดียวกัน

    ถึงแม้ผมจะคิดว่าตัวเองไม่ผิดเช่นนี้ แต่เมื่อรู้แล้วว่าตนได้พลาดอะไรไป ผมก็น่าจะกลับไปศึกษารากของตนดู อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ใครมาครหาได้ ข้อดีอีกอย่างของการศึกษาก็คือทำให้คนดูมีภูมิความรู้น่าเชื่อถือขึ้นมานี่แหละ

    ขอบคุณนะครับคุณเนฮีเดีย” ผมยิ้มระรื่น “ผมเข้าใจอะไรมากขึ้นแล้วล่ะ ได้สนทนากับคุณนี่ช่วยให้ผมได้เปิดหูเปิดตามากขึ้นจริงๆ”

    แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ” เธอรับ

    ว่าแต่คุณเนฮีเดียมีคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องการเปิดเผยอดีตอันแสนรันทนเพิ่มเติมอีกไหมครับ” ผมตัดสินใจถามเธอไปตรงๆ เลย

    ถึงมนุษย์ทั้งหลายจะละเลยอดีตของตนไป แต่ก็ใช่ว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้ว อดีตจะเลือนหายไปเสีย อดีตคือสิ่งที่ก่อร่างสร้างเราให้เป็นเราในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าเรารู้จักตัวตนในปัจจุบันคนคนหนึ่งดีแล้ว ก็ลองคิดดูว่า อดีตของเขาควรเป็นเช่นไร ถึงได้ทำให้เขาเป็นเช่นปัจจุบันนี้ แล้วใส่ความรู้สึกร่วมลงไปในมโนภาพของอดีตที่ว่า เมื่อนั้นแล้ว คุณก็จะเข้าใจคนคนนั้นมากยิ่งขึ้น”

    เนฮีเดียกล่าวเนือยๆ ด้วยเสียงราบเรียบ หากแต่ฟังแล้วชวนให้ประทับใจจบจน

    แม้จะไม่ได้จดบันทึกไว้ ผมก็คิดว่า เสียงของเธอคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผมอย่างแม่นยำทีเดียว

    ผมกล่าวขอบคุณเธออีกครั้ง ก่อนขอตัวลาจากมาใช้ความคิดเพียงลำพัง ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้ว่าอะไร

    ผมลองใช้วิธีที่เนฮีเดียแนะนำมาจินตนาการถึงอดีตของเชนดู...

    เชนที่ผมรู้จักนั้นชอบการทำลายล้าง มุ่งหมายจะยึดครองโลก แต่ก็ไม่ชอบคิดอะไรยากๆ เอง การกระทำของเขาแม้ดูเหมือนจะตั้งใจเต็มที่กับทุกอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็เหมือนทำอะไรเล่นๆ เพื่อความพึงพอใจส่วนตัวไปวันๆ ตามวิถีชีวิตของคนในโลกบ้าๆ นี่ ถ้าใช้เชนคิดการใหญ่เองคงไม่ประสบผลสำเร็จ

    ภาพลักษณ์ของเชนที่แสดงออกมาก็คือนักเลงอันธพาล แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตัวเชนก็ไม่ได้มีนิสัยที่เลวร้ายนัก

    เมื่อแรกเริ่มรู้จัก ผมคิดว่าเขาพยายามทำตัวนอกกรอบโดยที่มองไม่เห็นว่าตัวเองก็ยังยึดติดกับกรอบอีกกรอบหนึ่งอยู่ แต่ไปๆ มาๆ ก็กลับยอมรับโดยง่ายว่า ถ้าจะอยู่ร่วมกันในสังคมแล้ว อย่างไรก็ต้องมีกรอบ แต่กรอบที่เขาอยากให้มีอยู่ในสังคมก็คือกรอบที่เขากำหนดขึ้นมาเอง เชนเลยคิดว่าจะยึดครองโลกและทำลายกรอบที่มีอยู่ทั้งหลายทิ้งเสีย แล้วค่อยสร้างกรอบของเขามาควบคุมแทน

    แต่ถึงผมจะรู้จักเชนในปัจจุบันถึงเพียงนี้ ผมก็ยังจินตนาการถึงอดีตอันแสนรันทดที่สอดรับกันกับความเป็นเชนในตอนนี้ได้ไม่ดีนัก จินตนาการที่ฟังดูดีที่สุดของผมก็คือ...

    บางทีเชนอาจจะเป็นเจ้าชายรัชทายาทจากอาณาจักรสักแห่งหนึ่งที่หนีออกจากบ้านมาเรียนรู้โลกภายนอก ตอนแรกเลยเขาพยายามต่อต้านกรอบทั้งหลายที่เขาเคยต้องปฏิบัติตาม แต่ก็รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่มีกลุ่มรณรงค์ต่างๆ มาเชิญชวนให้เข้าร่วมทำดีด้วย เขาพยายามทำตัวเป็นนักเลงเพื่อหลีกเลี่ยงคนพวกนั้น และตั้งใจอย่างแผลงๆ ว่าจะยึดครองโลกไปเสียเลยจะได้หมดเรื่องหมดราว ต่อจากนั้นโชคชะตาก็ลิขิตให้เขาต้องมาเจอผมและเนฮีเดียซึ่งช่วยสอนให้เขาเข้าใจอะไรที่แปลกใหม่และแตกต่างจากเดิม เขาต้องปิดบังอดีตของตนจากคนรอบข้างและก็โกหกไปว่า ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่เรืองอำนาจแต่อย่างใด ขณะเดียวกันก็ยังคงมุ่งมั่นจะยึดครองโลกต่อไป จนกว่าจะมีคนที่บ้านคิดห่วงใยมาตามตัวให้กลับไปครองบัลลังก์

    อย่าเพิ่งนึกขำไป จินตนาการนี้เป็นอะไรที่เชนดูดีและมีภูมิฐานที่สุดแล้วนะ จินตนาการอื่นๆ ที่ผมคิดไว้น้ำเน่ายิ่งกว่านี้เสียอีก

    อย่างไรก็ตาม เมื่อผมทำตามขั้นตอนสุดท้าย...นั่นคือ ใส่ความรู้สึกร่วมลงไปในมโนภาพทั้งหลายที่คิดไว้ ผมก็รู้ซึ้งเลยล่ะว่า ทำไมเชนถึงเป็นเช่นนี้ในปัจจุบัน อาจจะรู้ดีเกินกว่าเจ้าตัวเสียด้วยซ้ำ เช่นนี้ผมก็ไม่จำเป็นต้องไปตะเกียกตะกายหาวิธีเปิดเผยอดีตของเขาโดยละม่อมอีกล่ะ บางทีจินตนาการที่ผมคิดไว้อาจจะรันทดกว่าอดีตจริงๆ ของเชนด้วย

    ตั้งแต่นั้นมา เมื่อผมเกินโมโหโกรธาไม่เข้าใจใครขึ้นมา ถ้าผมยังคงมีสติยั้งคิดได้ ผมก็จะนำวิธีนี้มาใช้กับคนคนนั้น พยายามเข้าใจอีกฝ่ายให้มากขึ้น แล้วก็ให้อภัย นี่ไม่ใช่วิธีการเอาใจเขามาใส่ใจเรา แต่เป็นการเอาใจเราไปใส่ใจเขาต่างหาก

    ถึงอย่างไร ผมก็ไม่กล้าพอจะพยายามทำความเข้าใจอดีตของเนฮีเดียเสียที แค่จินตนาการว่าเธอเป็นหุ่นยนต์ในคราวก่อนก็เกินพอแล้ว แต่ผมคิดว่าเธอไม่ใช่หุ่นยนต์หรอก เนฮีเดียเป็นอะไรที่เหนือกว่านั้น เป็นคนที่ลึกลับและก็เหนือกว่าผมยิ่งนัก


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×