คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 ทำความรู้จัก -- 1 - โรงเรียนใหม่
บทที่ 2 ทำความรู้จัก
1 - โรงเรียนใหม่
บรรยากาศรอบตัวมีแต่โทนสีแดงและดำของท้องฟ้ายามโพล้เพล้และพุ่มไม้รอบๆ
เด็กชายผู้ไว้ผมยาวปรกหน้ายืนอยู่ตรงหน้าฉัน
“เธออีกแล้ว”
เสียงพูดนั้นเป็นของฉันเอง แต่ก็ไม่ใช่ของฉันในปัจจุบันเสียทีเดียว มันเป็นเสียงในวัยเด็กของฉัน
“ทำไมเธอถึงปรากฏตัวในความฝันของฉันตลอดเลยล่ะ”
ฉันถามเขาไป แต่เด็กชายก็ยังไม่ตอบ
“ตอบฉันมาสิ!”
ถึงแม้จะเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงกดดันไป เด็กชายก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน
ฉันงัวเงียตื่นขึ้นมาก่อนนาฬิกาที่ตั้งปลุกไว้จะดังไม่กี่นาที และก็ใช้เวลาไม่กี่นาทีนั้นย้อนนึกถึงสิ่งที่สัมผัสเมื่อครู่
ความฝันวันนี้ต่างจากทั่วไปเล็กน้อย… ครั้งนี้ฉันไม่ได้รับชมเรื่องราวในมุมมองของบุคคลที่สามเช่นครั้งก่อนๆ ฉันอยู่ในร่างของฉันเองในวัยเด็ก
ดูเหมือนฉันจะควบคุมร่างนั้นได้ด้วย ฉันจึงไม่แน่ว่าความฝันครั้งนี้เป็นความทรงจำ หรือว่าเป็นสิ่งที่จิตใต้สำนึกของฉันปรุงแต่งขึ้นเอง
สาเหตุที่ความฝันของฉันเปลี่ยนไปจะเป็นเพราะฉันได้ไปเยือนที่สถาบันเซ็นเมื่อวานนี้หรือเปล่านะ
ฉันอดรู้สึกไม่ได้ว่ากำลังคืบหน้าเข้าใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ชีวิตประจำวันก็ยังต้องดำเนินต่อไปเลิกระลึกความฝันได้แล้ว
ฉันเตือนตัวเอง กดสวิตช์นาฬิกาปลุก แล้วลุกขึ้นจากเตียง
หลังจัดการธุระส่วนตัว เปลี่ยนมาใส่ชุดดำ และทานมื้อเช้าเรียบร้อย ฉันก็ตรงไปที่รูปคู่ของฉันกับแม่ที่วางรับแสงอยู่ข้างหน้าต่าง
“หนูไปก่อนนะคะแม่”
นอกจากจะกล่าวประโยคที่พูดอยู่ทุกวันนี้แล้ว ฉันยังเสริมให้แม่ฟังว่า
“หนูไม่รู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือเปล่า แต่ว่า...หนูอยากรู้ความจริงค่ะ”
จากนั้นก็กล่าวคำอธิษฐาน...
“ช่วยปกป้องหนูจากข้างบนด้วยนะคะ”
แล้วมุ่งหน้าไปโรงเรียนใหม่ของฉัน
ฉันมาถึงสถาบันเซ็นก่อนเวลาพอเวลาเข้าเรียนพอสมควร เลยคิดว่าจะลองแวะไปหายูออนสักหน่อย วันนี้ฉันเตรียมแฟลชไดร์ฟอีกอันมาด้วย ถ้าเขาอยู่ที่ห้องทำงานฉันจะได้ขอคัดลอกไฟล์ไปได้เลย
“ขอโทษนะคะ” ฉันบอกก่อนค่อยๆ แง้มประตูห้องเปิดเข้าไป
ปรากฏว่าในห้องไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่ายูออนหรือใครคนอื่นเลย
“อ้าว... ไม่มีใครอยู่หรอกเหรอ”
ทว่ากลับมีคนร้องทักฉันจากด้านหลังแทน
“นั่นใครน่ะ”
ฉันหันไปมองเจ้าของเสียง แล้วก็พบหญิงสาวผมทองในชุดทำงานที่ดูกระฉับกระเฉงคนเดียวกับที่เจอเมื่อวาน
“โอ้ เธอนั่นเอง เอสซี่” ดูเหมือนมิสอาเซียจะจำฉันได้ “เธอมาทำอะไรที่นี่หรือ”
“หนูมาหายูออนน่ะค่ะ” ฉันตอบ
“เขาน่าจะไปที่ห้องเรียนของเขาแล้วนะ” มิสอาเซียบอก
“...ยูออนเป็นนักเรียนด้วยเหรอคะ”
มิสอาเซียลอบถอนหายใจเบา ก่อนพูดอย่างปลงๆ ว่า
“ฉันว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะบอกเรื่องนี้กับเธอสักหน่อย”
เมื่อนั้นฉันจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยบอก…
“หนูจำได้ล่ะ เขาเคยบอกหนูที่จริงแล้ว เขาบอกหนูตั้งแต่แรกๆ ที่เราพบกันเลยแล้วหนูก็ลืมมันไปเสียสนิท ก็เขาน่ะทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของโรงเรียนนี้แน่ะ”
คิดแล้วก็น่าโมโหหมอนั่นนัก ชอบทำตัววางท่าเป็นผู้ใหญ่...เป็นคนมีอำนาจในโรงเรียน แล้วก็ไม่ค่อยอธิบายอะไร ทำให้สมองฉันสับสนไปหมด
มิสอาเซียไม่แสดงความคิดเห็นอะไรต่อคำพูดของฉัน ในแง่หนึ่งก็ดูเหมือนเธอจะเห็นด้วยอยู่กลายๆ ว่ายูออนทำตัวแบบนั้นจริง
“ใกล้เวลาเข้าเรียนได้” อาจารย์สาวมองนาฬิกาที่ข้อมือ “เธอเรียนห้องฉันด้วยใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ”
“อย่างนั้นก็ตามฉันมา ฉันจะแนะนำเธอให้ทุกคนรู้จัก”
ต่อจากนั้นไม่นานฉันก็ยืนอยู่หน้าชั้นเรียนคู่กับมิสอาเซีย เธอแนะนำฉันให้นักเรียนทั้งห้องก่อนจะเริ่มสอน
เนื่องจากสถาบันเซ็นมีขนาดใหญ่และดูโออ่ามากกว่าโรงเรียนทั่วไป ฉันจึงกังวลอยู่บ้างว่า จะสามารถปรับตัวเข้ากับวิธีการสอนของที่นี่ได้ดีไหม แต่ปรากฏว่าเนื้อหาที่เรียนก็ไม่ได้ต่างอะไรกับที่โรงเรียนเก่าของฉันนัก อุปกรณ์ไฮเทคที่ใช้ในชั้นก็ช่วยสื่อให้เห็นภาพรวมของบทเรียนได้ง่ายยิ่งขึ้น เรื่องการเรียนจึงถือว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
สำหรับเพื่อนร่วมห้องก็ดูตั้งใจเรียนกันดี และแต่ละคนก็ดูจะมีโลกส่วนตัวสูงด้วยกันทั้งนั้น เด็กส่วนใหญ่จะมีกลุ่มของตนและจับกลุ่มกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ค่อยมีใครสนใจฉันที่เพิ่งย้ายมานัก ซึ่งฉันถือว่านี่เป็นเรื่องดี ปรกติฉันก็ไม่ค่อยมีเพื่อนและไม่ค่อยอยากให้ใครมาใกล้ชิดอยู่แล้ว
ถ้าไม่มีใครมากวน...ฉันจะได้สืบคดีได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องคอยหาข้ออ้าง
พอถึงเวลาพักกลางวัน ฉันก็ตามฝูงชนไปโรงอาหาร ซื้อของที่ชอบนั่งกินเงียบๆ เด็กที่นั่งร่วมโต๊ะด้วยชวนฉันคุยนิดหน่อย ฉันก็ตอบเขาไปบ้างตามมารยาท พลางพยายามสอดส่ายสายตามองหายูออนไปด้วย จนใกล้หมดเวลาพักแล้วก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ชอบแต่งชุดสีน้ำเงินนั่น ฉันจึงตัดใจ ยกจานไปเก็บ แล้วกลับเข้าห้องเรียน
เรียนต่ออีกประมาณสองสามชั่วโมง คาบบ่ายก็จบลง
“ในที่สุดก็จบเสียที” ฉันกล่าวกับตัวเองขณะเก็บสมุดจดใส่กระเป๋า
ถึงครูที่นี่จะสอนดีก็จริง แต่ก็ไม่ได้ดีขนาดจะทำให้ฉันลืมความง่วงในช่วงบ่ายไปได้ การต้องต่อสู้กับมันและพยายามตั้งใจเรียนไปด้วยนั้นถือเป็นเรื่องยากเอาการทีเดียว
“เอสซี่” มิสอาเซียเรียกฉันไว้ตอนที่ฉันกำลังจะออกจากห้อง “เป็นอย่างไรบ้างฉันหวังว่าเธอจะตามชั้นเรียนของฉันทันนะ”
“หนูคิดว่าหนูพอไปได้ละค่ะ อาจกลับไปอ่านเองบ้างบางวิชาเพื่อให้ต่อติดกับเนื้อหาที่เคยเรียนมา มีบางอย่างที่ที่นี่สอนเร็วกว่าน่ะค่ะ”
หญิงสาวสวมแว่นผงกศีรษะ “สถาบันเซ็นเป็นโรงเรียนเอกชนก็จริง แต่หลักสูตรก็จัดตามมาตรฐานของประเทศ”
“ค่ะ มิสอาเซีย ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ”
มิสอาเซียทำท่าเหมือนมีบางอย่างที่อยากพูดต่อ ฉันจึงนิ่งรอฟังอยู่และลองถามเธอดู
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“...เธอเป็นลูกของเอ็มม่าใช่ไหม”
“ครูรู้ชื่อแม่หนูได้ไง”
ฉันทั้งสงสัยทั้งแปลกใจ จริงๆ การที่ครูประจำชั้นจะรู้ประวัติของฉันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แค่เปิดแฟ้มข้อมูลนักเรียนดูก็รู้แล้ว แต่ว่ามิสอาเซียกลับถามมาเหมือนไม่มั่นใจ...เหมือนกับว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
“เหมือนที่ฉันคิดไว้เลย” หญิงสาวบอก “เธออาจจะจำไม่ได้ แต่ว่าเราเคยพบกันตอนที่เธอยังเด็กมากเอ็มม่าและฉันจบจากโรงเรียนเดียวกัน เธอเป็นรุ่นพี่...ที่ฉัน...ชื่นชมมาตลอด”
“หนูได้ยินมาว่าแม่เป็นนักจิตวิทยาที่ยอดเยี่ยม”
“ใช่จ้ะ เอ็มม่ามีพรสวรรค์ที่โดดเด่น งานของเธอชนะรางวัลมามากมาย มีเพียงน้อยคนที่มีผลงานสูสีกับเธอ
นั่นทำให้หลายคนรู้สึกเสียดายที่เธอลาออกจากงานทั้งๆ ที่อายุยังน้อย”
ดวงตาคู่สีน้ำเงินของมิสอาเซียขณะที่เล่านั้นเป็นประกาย ฉันคิดว่านั่นคือประกายแห่งความหลังอันงดงาม แต่ก็มีแววโศกเศร้าแทรกอยู่ในนั้นด้วย
เธอคงเสียใจที่แม่ตายจากไปเช่นเดียวกับฉัน... ความคิดนั้นทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผูกพันกับเธอมากขึ้น อย่างน้อยเธอก็รักแม่ของฉันเหมือนกัน
“ทำไมแม่ถึงลาออกจากงานล่ะคะ”
“เพราะเธอยังไงล่ะ เอสซี่”
“เพราะหนูงั้นเหรอคะ” ฉันออกจะตกใจเล็กน้อย
มิสอาเซียพยักหน้ารับ “ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์สักเท่าไร เอ็มม่าก็ยังคงเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเธอจึงอยากอุทิศเวลาของเธอให้กับลูก”
“แม่...” นั่นคือคำเดียวที่ฉันเปล่งเสียงออกมาได้ในยามนั้น
“ฉันดีใจที่ฉันมีโอกาสได้พบกันเธออีกครั้งนะ” มิสอาเซียกล่าวต่อ “เอ็มม่าก็คงภูมิใจที่ลูกสาวเติบโตเป็นขึ้นเป็นสาวน้อยที่น่ารักเช่นนี้”
“ขอบคุณค่ะ” ฉันพูดจากใจจริง ขณะที่ตาเริ่มชื้นขึ้นมา
มิสอาเซียคลี่ยิ้มบางๆ “ฉันยังมีงานต้องทำเจอกันพรุ่งนี้นะ” เธอบอกฉันเหมือนเป็นการขอตัวกลายๆ
“ค่ะ” ฉันรับคำ เดินออกจากห้อง แล้วพยายามตั้งสติใหม่
หากอยากมองเห็นภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันต้องพิจารณาเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ใช้อารมณ์เป็นจุดยืน...
ตั้งแต่ฉันได้เหยียบเท้าเข้าสู่โรงเรียนนี้ ฉันได้ค้นพบอะไรมากมายทั้งเรื่องของแม่และเรื่องเกี่ยวกับคดีที่เหมือนจะความเกี่ยวโยงกัน
แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง...
ทำไมฉันไม่เคยรู้เรื่องของมิสอาเซียมาก่อนจนกระทั่งวันนี้ล่ะ
นี่ฉันเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ต้องออกจากงานอย่างกะทันหันจริงๆ หรือ
ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย การด่วนเชื่อคำพูดของมิสอาเซียอาจไม่ใช่เรื่องดี เธออาจจะกำลังหลอกฉันก็ได้ แต่ว่าถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เธอจะทำไปเพื่ออะไรกันล่ะ
แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่ามิสอาเซียเป็นหนึ่งในสี่ผู้ก่อตั้งสถาบันเซ็น ผู้ก่อตั้งอีกสามคนที่เหลือไม่ตายก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ดังนั้นเธอก็ถือเป็นผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งด้วยเช่นกัน ถ้าเธอรู้ว่ายูออนจ้างฉันมาช่วยสืบ เธออาจจะพยายามขัดขวางหรือหาทางเข้าฉันเพื่อบิดเบือนความจริงก็ได้
แต่คำพูดของเธอก็น่าเชื่อถืออยู่ เธอกับแม่ต่างเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันเซ็นจึงไม่แปลกอะไรที่เธอจะรู้จักกับแม่อย่างที่บอก
บันทึกคดีที่ยูออนให้ฉันมาก็บอกชัดเจนว่าเธอมีพยานยืนยันที่อยู่ตอนเกิดเหตุ...
สมมุติว่ามิสอาเซียเป็นผู้มีส่วนรู้เห็นจริง...ก็อาจเป็นไปได้ว่า เธอไม่ได้เป็นคนลงมือก่อคดีเอง แต่ให้คนอื่นทำ หรือไม่เธอก็รู้จักกับคนร้าย แล้วกำลังช่วยกลบเกลื่อนอยู่
ถ้าอย่างนั้นแล้วเธอมีแรงจูงใจอะไรบ้างล่ะ
ความขัดแย้งทางผลประโยชน์...?
ฉันนึกถึงสาเหตุอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนลงมือก่อคดีแล้วลองคิด...
หากตัดแม่ฉันที่เสียชีวิตไปตั้งแต่สิบปีก่อน ทั้งซิดและลอยล์ต่างก็รั้งตำแหน่งใหญ่ในโรงเรียน แต่มิสอาเซียกลับเป็นแค่อาจารย์ธรรมดา บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้...
แต่การสรุปแบบอุปนัยโดยปราศจากหลักฐานที่ชัดเจนแบบนี้คงไม่มีตำรวจที่ไหนเชื่ออยู่แล้ว ฉันจำเป็นต้องหาหลักฐานไม่ก็จับตัวคนลงมือมาให้ได้
อย่างน้อยก็น่าจะลองตรวจสอบเงินเดือนค่าจ้างของบุคลากรแต่ละระดับในโรงเรียน และสืบประวัติการสร้างโรงเรียนนี่หน่อยล่ะนะ
ข้อมูลที่ยูออนให้ฉันมาเมื่อวันก่อนไม่ได้ครอบคลุมถึงส่วนนี้เสียด้วย
เขาบอกว่าฉันสามารถทำอะไรก็ได้หลังเลิกเรียน
นี่ก็หลังเลิกเรียนแล้ว ฉันน่าจะลองแวะไปหาเขาเพื่อขอข้อมูลเพิ่มดีกว่า ตอนนี้ฉันมีเขาเป็นแหล่งข้อมูลเดียวที่ไว้ใจได้
แต่ยูออนก็ไม่ได้อยู่ที่ห้องของเขา... นี่คือความจริงที่ฉันค้นพบด้วยตนเองหลังเดินมาที่ออฟฟิศอีกครั้ง
บางทีเขาอาจจะยังอยู่ที่ห้องเรียน แต่ฉันก็ไม่รู้อยู่ดีกว่าเขาเรียนห้องไหน ป่วยการที่จะเดินทั่วโรงเรียนเพื่อจะตามหาเขา
ฉันออกจะรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าอยู่บ้างที่ปล่อยให้ยูออนจัดการเรื่องต่างๆ ให้เกือบทั้งหมดจนลืมถามถึงช่องทางติดต่ออื่นๆ ไปเสียสนิท แต่ยูออนก็ผิดด้วยเช่นกัน เขาบอกให้ฉันมาติดต่อที่ห้องทำงานของเขาเท่านั้น ถ้าเขาไม่ได้อยู่ที่นั่นตลอดเวลาก็น่าจะบอกหน่อยว่าอยู่เวลาไหนบ้าง หรืออย่างน้อยก็ให้เบอร์มือถือไว้ก็ยังดี
ระหว่างที่คิดต่อว่ายูออนในใจ ฉันก็สาวเท้าพาตัวเองไปที่ห้องคอมด้วย
ฉันเคยเจอคนที่ประกาศตนเป็นอินฟอร์แมนต์ชั้นเลิศที่นั่น ถึงฉันจะไม่ไว้ใจเขา แต่ลองแวะไปดูหน่อยก็ไม่เสียหาย
แต่ฉันก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อพบว่า ห้องคอมถูกใช้เป็นห้องสอบปฏิบัติของนักเรียนปีสูงห้องหนึ่งอยู่ และก็ไม่มีวี่แววของอาน่อนอยู่แถวนั้นเลย
สุดท้ายฉันก็มาจบลงที่ระเบียบโค้งด้านนอกเพื่อสูดอากาศเย็นๆ และเคลียร์หัวตัวเอง
การเดินไปที่ต่างๆ เพื่อหวังจะพบใครบางคนแล้วไม่ได้พบตามต้องการนี่ทำให้รู้สึกเหนื่อยจริงๆ
“เอสซี่!”
เจ้าของเสียงสดใสร่าเริงแบบนี้ต้องเป็นเขาแน่ๆ … ฉันคิดแล้วก็หันไปมอง
“โอเร!” รอยยิ้มทักทายกลับส่งไปพร้อมความยินดีที่ทายถูก
“ชั้นเรียนเป็นไงบ้าง” โอเรถาม
วันนี้เขาก็อยู่ในชุดสีขาวล้วนเหมือนเดิม ราวกับว่านั่นเป็นเครื่องแบบของเขา แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะฉันก็ชอบแต่งชุดดำเพราะเป็นสีที่ชอบ แล้วก็ยังมียูออนอีกคนที่ชอบสวมชุดโทนสีน้ำเงิน
“ก็ปรกติแหละ ไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นนัก”
“ของผมก็เหมือนกัน” เด็กหนุ่มบอกพลางยิ้มให้
ฉันหัวเราะเบาๆ รู้สึกโล่งใจอย่างน่าประหลาด
ก่อนหน้านี้ฉันคงเอาแต่คิดถึงเรื่องคดี จนลืมไปว่าฉันเพิ่งมาเรียนที่นี่วันแรกเอง เมื่อได้คุยโอเร ฉันถึงรู้สึกว่าได้กลับเป็นนักเรียนธรรมดาอีกครั้งและลืมเลือนเรื่องราวอันหนักอึ้งเอาไว้เบื้องหลังชั่วคราวได้
คงไม่ผิดอะไรใช่ไหมถ้าฉันจะรู้สึกสบายใจที่ได้คุยกับเขาขนาดนี้ทั้งๆ ที่ฉันเพิ่งจบเขาเมื่อวานนี้เอง
“นายนี่ชอบเดินเที่ยวตามระเบียงจริงๆ เลยนะ” ฉันแซวเขาเล่น เพราะฉันพบเขาที่ระเบียงทั้งสองครั้ง
“ผมชอบที่ระเบียง” โอเรหยีตายิ้ม “อยู่ที่ระเบียงนี่ผมสามารถมองเห็นเมฆได้ชัด”
เด็กหนุ่มหันหน้าออกไปมองฟ้า ฉันหันมองตามเขา
ที่เบื้องหน้ามีปุยเมฆสีขาวใสลอยล่องประดับฟ้าสีคราม ภาพนั้นดูสวยและงดงามเกินฟ้าวันธรรมดาทั่วไปอย่างน่าประหลาด
“ผมชอบเมฆ” เด็กหนุ่มบอก “เมฆน่ะเปลี่ยนรูปร่างอยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยเจอเมฆสองก้อนที่รูปร่างเหมือนกันเลยสักครั้งแล้วก็ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่...เมื่อใดที่เธอมองขึ้นไปบนฟ้า เธอก็ยังคงเห็นมันอยู่ ...เหล่าเมฆที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
ฉันฟังเสียงนุ่มๆ ของเขาเล่าถึงเมฆอย่างเพลิดเพลินจนเริ่มเคลิ้มตามไปด้วย
“แต่ผมว่าการมองเมฆคงเป็นงานอดิเรกที่แปลกอยู่บ้างใช่ไหม” โอเรละสายตาจากฟ้าและเมฆแล้วหันมาถามฉันด้วยรอยยิ้มแหยๆ ท่าทางเขาดูเขินๆ กับสิ่งที่เพิ่งแสดงออกมา
ฉันรู้สึกว่าเขาชอบเมฆอย่างล้ำลึกจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง การแสดงออกในทุกอิริยาบถของเขาดูใสซื่อและบริสุทธิ์ จนฉันเผลอคิดไม่ได้ว่า เขาอาจเคยถูกเข้าใจผิดหรือถูกมองว่าประหลาดต่างจากคนอื่น เขาถึงได้ถามมาเช่นนั้น
“ไม่หรอก” ฉันส่ายหน้า“ฉันว่ามันเหมาะกับนายมากเลย”
“จริงเหรอ”
“ใช่แล้ว นายดูเหมือนเมฆพวกนั้นเลย...ขาวไปหมดทั้งตัว” ฉันเฉลยพร้อมยิ้มกว้าง
“โอ้ เรื่องนั้นไม่ต้องบอกผมก็ได้” เด็กหนุ่มพูดยิ้มๆ “เมื่อก่อนผมเล่นซ่อนหาเก่งมากเลยนะ โดยเฉพาะในฤดูหนาวทุกคนต่างบอกว่าผมดูกลมกลืนกับหิมะมากเกินไป”
แล้วฉันก็หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง
เราคุยกันต่อเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระทั้งหลายที่นึกขึ้นได้ และกว่าฉันจะรู้ตัวอีกทีท้องฟ้าก็เริ่มกลายเป็นสีแดง
“ตายละ! แบบนี้ไม่ดีแน่ ฉันต้องไปละนะ” ฉันดูเวลาแล้วรีบลุกขึ้น “ฉันยังต้องไปฝึกต่ออีก”
“ฝึกเหรอ” โอเรเอียงคอถาม
“เอ่อ...” ฉันรีบนึกหาอะไรมาอ้าง “การฝึกสำหรับการแข่งกีฬาที่กำลังจะมาถึงน่ะ”
โอเรพยักหน้ารับบอกว่า เข้าใจแล้ว
ขอโทษที่ต้องโกหกนะ โอเร แต่ฉันไม่สามารถบอกนายเกี่ยวกับการฝึกพลังจิตได้จริงๆ ... ฉันกล่าวขอโทษในใจ แล้วบอกลาเขา
“แล้วเจอกันพรุ่งนี้” โบกมือให้พร้อมรีบเดินจากไป
“อื้ม อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะ” เสียงเด็กหนุ่มไล่หลังส่งท้าย
ครึ่งชั่วโมงให้หลังฉันก็มาถึงสวนเพกาซัส
คิดๆ ดูแล้ววันนี้ฉันยังไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเกี่ยวกับคดีเลยนอกจากสมมุติฐานเพิ่มเติมที่ยังไม่มีอะไรมายืนยัน
แต่ว่านี่ก็ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น ฉันควรรีบฝึกก่อนดีกว่า
วันนี้ฉันตั้งใจจะฝึกพลังจิตจลน์โดยการลองใช้พลังบังคับกิ่งไม้ ใบไม้ และก้อนหินที่ตกอยู่รอบๆ สวนดู ของเล็กๆ น้ำหนักเบาเช่นนี้ควบคุมได้ไม่ยาก เหมาะที่จะได้ฝึกกะปริมาณแรงขั้นพื้นฐาน
พอเริ่มรู้สึกว่าเข้าที่แล้วฉันจึงค่อยเดินทางกลับบ้าน
ยังมีการบ้านที่ต้องทำ บทเรียนที่ต้องทบทวน แฟ้มคดีที่ต้องศึกษา และห้องน้ำที่ต้องล้างรอคอยอยู่...
วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน
ฉันลองแวะไปหายูออนที่ห้องทำงานของเขาก่อนเข้าเรียนอีกครั้งแต่ก็ยังไม่พบใครจึงกลับไปที่ห้องเรียน
ชั้นเรียนดำเนินไปตามปรกติ นี่เป็นอีกหนึ่งในไม่กี่ช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนธรรมดา…
ฉันคิดอยู่ว่าควรจะถามมิสอาเซียดีไหมว่า ยูออนเรียนอยู่ชั้นไหน ห้องอะไร เผื่อจะได้ไปหา
แต่คิดอีกทีก็อย่าดีกว่า ฉันยังไม่แน่ใจว่ามิสอาเซียรู้หรือเปล่าว่ายูออนจ้างให้ฉันช่วยสืบคดี ถ้ายังฉันก็ไม่อยากไปกระตุ้นให้เธอสงสัย เอาไว้ถ้าเย็นนี้ยังไม่เจอเขาค่อยว่ากันอีกที ฉันอาจถามหาเอาจากนักเรียนคนอื่นก็ได้
ครั้นสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียนดังขึ้น ฉันก็รีบเก็บของ แล้วตรงไปหายูออน
ระหว่างทางฉันสวนกับโอเรด้วย
“เอสซี่!” เขาร้องทัก
“ขอโทษนะ โอเร แต่ตอนนี้ฉันยุ่งนิดหน่อย แล้วไว้ค่อยคุยกันนะ” ฉันบอกโอเรขณะพุ่งผ่านเขาไป
โอเรยิ้มเจื่อนๆ พูดเบาๆ ว่า “ดูท่าการแข่งกีฬาคงจะดุเดือดน่าดู”
ห้องทำงานสุดรกยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม
หมอนั่นหายหัวไปทำอะไรอยู่นะ
ฉันได้แต่ถามตัวเองอย่างหัวเสีย และพาตัวเองไปยังที่สุดท้ายที่พอจะหวังพึ่งได้...
พอมาถึงห้องคอมเด็กหนุ่มสวมแจ็กเกตสีเขียวก็เข้ามาทักฉันทันที
“เฮ่!” อาน่อนยิ้มแล้วทำท่าเหมือนจะพุ่งเข้ามาแปะมือกับฉัน แต่ฉันไม่เล่นด้วย การทำไฮไฟว์ของเขาจึงล้มเหลวไป ทว่าเขาก็ทำท่าเหมือนว่าไม่เป็นไร ไม่ใส่ใจถือสานัก
พอได้เจอตัวเขาจริงๆ แล้ว ฉันกลับรู้สึกไม่อยากคุยกับนายนี่เลย แต่นอกจากเขาแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีคนอื่นที่ฉันรู้จักมากพอจะคุยด้วยได้
“นายบอกว่านายรู้หลายเรื่องใช่ไหม” ฉันถาม
“ใช่แล้ว” อาน่อนรับพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “ฉันจะพิสูจน์ให้เธอดูก็ถ้าเธอไม่เชื่อฉัน”
“พิสูจน์ยังไง”
“ฉันได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเธอมาเมื่อวันก่อน”
“โอ้ จริงเหรอ” ถึงจะพูดไปอย่างนั้น แต่น้ำเสียงฉันไปละคนทาง ฉันไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่
“ไหนดูซิ...”
อาน่อนเอานิ้วชี้ทั้งสองคลึงขมับ ทำหน้าครุ่นคิดหนักมองมุมหนึ่งก็ดูเหมือนกำลังพยายามค้นข้อมูลในสมอง แต่มองอีกมุมก็เหมือนเขาเป็นนักมายากลที่กำลังใช้พลังลึกลับอ่านใจฉันอยู่ สุดท้ายก็ประกาศออกเสียน่าตื่นเต้นว่า
“เธอชื่อเอสซี่!”
ทว่า...
“เรื่องนี้ฉันก็เป็นคนบอกนายไปเองไม่ใช่เหรอไง” ฉันทำหน้าสุดเซ็ง
“ถ้างั้นลองข้อมูลนี้ไหม” อาน่อนยังไม่เลิกกระตือรือร้น ยังคงเอานิ้วชี้จิ้มศีรษะตัวเองเหมือนเดิม “เธอเกิดวันที่ 21 พฤศจิกาฯ และจะอายุสิบสี่ในปีนี้ สีที่ชอบคือสีดำ”
“ถูก...” ฉันรับ แต่ถึงจะถูกจริงฉันก็ไม่ได้ยินดีนัก
“เดี๋ยวก่อน!” คนกำลังใช้ความคิดหนักรีบห้าม “อย่าเพิ่งขัด ฉันรู้มากกว่านี้อีกนะ”
ฉันรอฟังเขาพูดต่อไป
“เธอเป็นเด็กกำพร้าและในตอนนี้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองของผู้ปกครองคนหนึ่งที่อุปการะเธอมา”
ไม่รู้ฉันคิดไปเองหรือเปล่า เขายิ่งพูดยิ่งเหมือนหมอดู ทว่ามัน...
“ก็ถูกอีก”
“และขนาดหน้าอกของเธอคือ...”
“เดี๋ยวสิ!” ฉันโพล่งขึ้นทันควัน “นายไปได้ข้อมูลนั่นมาจากไหน”
อาน่อนเอามือลง กลับมาทำท่าปรกติ สีหน้ายิ้มยียวน แต่ไม่ยอมตอบคำถามฉัน
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาฟังอะไรอย่างนี้หรอกนะ” ฉันว่า แล้วหมุนตัวหันหลังเตรียมเดินจาก “ฉันไปถามคนอื่นดีกว่า”
“โอ้ ฉันลืมบอกไปอีกอย่างหนึ่ง...”
เสียงของสะกดเท้าฉันไว้ได้ และคำพูดต่อมาของเขาก็ทำให้ฉันต้องหันกลับไป
“เธอเป็นผู้ใช้พลังจิต”
ใบหน้าเขาประดับด้วยรอยยิ้ม แต่แววตาของเขาดูจริงจัง มันบอกว่าเขาไม่ได้แค่พูดเล่น นั่นเป็นใบหน้าของคนที่เชื่อว่าพลังจิตมีอยู่จริงๆ
“นี่ฉันเพิ่งยิงกระสุนเข้าเป้าเต็มเปาเลยใช่ไหม” อาน่อนถาม สีหน้าเขากลับมาเป็นขี้เล่นอย่างเดิมโดยฉับพลัน สีหน้าก่อนหน้านี้ของฉันก็คงฟ้องไปเต็มๆ ว่า ฉันตกใจแค่ไหน
ในเมื่อเขารู้แล้วก็คงช่วยไม่ได้ ฉันจึงยอมรับและถามไปตรงๆ ว่า
“นายรู้ได้ไง”
“เธอก็รู้นี่ ฉันไม่ได้เก่งแค่ด้านรวบรวมข้อมูลอย่างเดียวหรอกนะ ฉันยังเป็นแฮ็กเกอร์ฝีมือดีอีกด้วย” อาน่อนอธิบาย “ฉันแฮ็กเข้าไปในคอมของยูออนเมื่อวานนี้ เขามีข้อมูลนักเรียนทั้งหมดอยู่ในนั้นแต่ของเธอน่ะค่อนข้างจะพิเศษกว่าคนอื่นอยู่บ้าง”
“พิเศษยังไง”
“ข้อมูลของเธอมีรายละเอียดมากกว่าของนักเรียนทั่วไปน่ะสิ”
ฉันขมวดคิ้วครุ่นคิด...
ยูออนจะเอาข้อมูลเกี่ยวกับฉันตั้งเยอะแยะไปทำอะไร...
แล้วยิ่งคิดถึงเรื่องขนาดหน้าอกที่อาน่อนพูดค้างไว้ก่อนหน้านี้...
...จะไม่ให้ฉันเดือดได้อย่างไร!
“นี่ยูออนเป็นสตอล์กเกอร์ของเธอหรืออะไรทำนองนั้นหรือเปล่านะ” อาน่อนยิงคำถามกวนๆ แบบที่ช่วยกวนอารมณ์ให้ขุ่นขึ้นอีก
“บอกฉันมานะว่าในนั้นมีอะไรเขียนไว้อีก” ฉันตวาดสั่ง
“อย่าเวอร์ไปหน่อยเลยน่า ฉันไม่ได้อ่านรายละเอียดทั้งหมดหรอก ฉันแค่กวาดตาอ่านผ่านๆ เท่านั้นแหละ” อาน่อนบอก
“ก็ได้...” เสียงฉันสะกดอารมณ์เอาไว้บางส่วน “ฉันจะไปถามยูออนเอง”
ฉันเดินรี่ออกจากห้องคอม แต่ก็นึกขึ้นได้ เลยหันกลับมาชี้นิ้วไปที่หนุ่มแจ็กเกตเขียว สั่งเสียงเฉียบว่า
“และนายก็อย่าได้คิดจะหาข้อมูลเกี่ยวกับฉันเพิ่มเชียว”
“อ๋า?” อาน่อนร้องเสียงหลงประท้วง เหมือนจะบอกว่า อยู่ดีๆ ทำไมเขาถึงโดนลูกหลงด้วย
แต่ฉันส่งสายตาบังคับขู่เข็ญไปจนเขาต้องยอม
“ครับผม ทราบแล้วครับ ผมจะไม่ทำอีก”
“ดี!”
ว่าแล้วฉันก็เดินจากไป
“...น่ารักจริง”
อาน่อนที่มองส่งฉันอยู่พึมพำกับตัวเองพร้อมหยักยิ้ม
ฉันกระแทกประตูออฟฟิศเข้าไปแล้วตะโกนเรียกเขาทันที
“ยูออน!”
เด็กหนุ่มในเสื้อสีน้ำเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของเขา
“มีอะไรงั้นหรือ” เขาถามเหมือนทักทายทั่วไป ท่าทางจะยังไม่รับรู้ถึงอารมณ์คุกรุ่นของฉัน
“ในที่สุดก็หาตัวเจอเสียที” ฉันบอกพลางเดินตรงไปที่โต๊ะของเขา
“เธอไปกินอะไรผิดมาหรือไง” เขาคงเริ่มสังเกตเห็นความผิดปรกติแล้ว “ดูเหมือนเธอกำลังจะกัดหัวใครสักคนให้ขาดได้อย่างนั้นแหละ”
เปรียบเทียบได้แย่มาก แต่ฉันก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเถียงเรื่องนั้นเสียด้วย
“นายหายไปไหนมาทั้งวัน”
“ฉันมีหลายอย่างที่ต้องคอยดูแล”
นั่นอย่างไร เขาคอยเลี่ยงที่จะตอบคำถามของฉันอีกแล้ว
“ฉันต้องการคำอธิบาย” ฉันบอก
ยูออนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นการถามว่า ‘อธิบายเรื่องอะไรล่ะ’ โดยปราศจากเสียง
“ฉันได้ยินมาว่านายมีข้อมูลโดยละเอียดของฉันเก็บไว้ในคอมของนาย!”
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ที่หลังโต๊ะถอนหายใจเบาๆ ก่อนอธิบายอย่างใจเย็นว่า
“มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ ฉันคงไม่จ้างเธอหรอกถ้าฉันไม่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเธอมาแต่แรก”
ฉันนิ่งไปพักคล้ายโดนสาดด้วยน้ำเย็นจนอารมณ์เย็นลงเล็กน้อย
“นั่นก็จริง แต่...”
หยุดวรรคหาทำเติมลง แล้วก็นึกได้ถึงคำถามสำคัญ
“นายได้ข้อมูลของฉันมาจากไหนล่ะ”
“ฉันได้มันมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้” ยูออนตอบ “ฉันไม่สามารถบอกเธอได้ว่าคนคนนั้นเป็นใครกันแน่ เพราะอีกฝ่ายสั่งเอาไว้ว่าห้ามฉันบอกเรื่องนี้กับใคร”
“นายสัญญาไว้ว่าจะบอกฉันทุกอย่างไม่ใช่เหรอ” ฉันทวงถาม
“ก็ใช่” เด็กหนุ่มรับ “แต่ฉันสัญญากับคนคนนั้นไว้ก่อน”
“...อย่างน้อยนายก็น่าจะให้ฉันดูข้อมูลทั้งหมดที่นายมี”
ยูออนพิจารณาคำพูดของฉันครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า
“อย่างนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้มันเริ่มมืดแล้ว กลับมาอีกทีพรุ่งนี้หลังเลิกเรียนแล้วค่อยมาดูก็แล้วกัน เมื่อถึงตอนนั้นฉันจะให้เธอตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดเท่าที่เธอต้องการ”
ถ้ากลับมาดูพรุ่งนี้หลังเลิกเรียนเขาก็ยังมีเวลาอยู่ตั้งเกือบวันเพื่อที่จะจัดการเคลื่อนย้ายข้อมูลที่ไม่อยากให้ฉันเห็นออกไป แต่ที่เขาพูดมาก็มีเหตุผล แล้วฉันก็ผิดด้วยเหมือนกันที่โกรธจัดจนลืมคิดหน้าคิดหลังบุ่มบ่ามแล้วมาโวยวายใส่เขาเช่นนี้
ยูออนไม่ได้ใช้อารมณ์ตอบกลับฉันเลย… ดังนั้นฉันจึงยอมรับข้อเสนอของเขา ตอบกลับไปสั้นๆ ว่า
“ดี...”
อย่างไรฉันก็ยังอยากจะเชื่อใจเขาต่อ ไม่เช่นนั้นเราคงทำงานร่วมกันไม่ได้
“ว่าแต่คนที่ให้ข้อมูลว่าฉันมีข้อมูลของเธอคือใคร” เด็กหนุ่มถาม
“นายมีแหล่งข้อมูลของนายที่บอกฉันไม่ได้ ฉันก็มีแหล่งข้อมูลของฉันที่บอกนายไม่ได้เหมือนกัน” ฉันว่า แม้อาน่อนจะไม่ได้บอกไว้ว่าให้ฉันปิดบังเกี่ยวกับเขา แต่การทำเช่นนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกเท่าเทียมกับยูออนขึ้นมาบ้าง
“ก็ได้...” อีกฝ่ายตัดสินใจไม่สืบสาวต่อ ทว่าดวงตาของเขาก็ยังทอแววครุ่นคิดไม่เลิก
ฉันไม่อยากอยู่ต่อให้เขาถามข้อมูลต่อขึ้นมาเกิดเปลี่ยนใจ ดังนั้นจึงบอกว่า จะขอตัวลาไปฝึกก่อน ซึ่งยูออนก็ยินยอมโดยดี
แม้จะมาถึงสวนเพกาซัสแล้วก็ตาม ฉันก็ยังจมอยู่ให้วังวนความคิดของตัวเอง มีหลายเรื่องให้ฉันต้องทบทวน มีคนมากมายเหลือเกินที่รู้ความลับของฉัน…
เพียงคิดว่า ในวัยเด็กฉันต้องใช้เวลาและความพยายามตั้งมากมายเพียงไรเพื่อที่จะปิดบังความสามารถของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ใครรู้...
...ฉันชอบอยู่คนเดียวและมีเพื่อนไม่มากก็เพราะต้องพยายามปิดบังเรื่องนั้นมาเสมอ
...ต้องเล่นคนเดียวเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็นหากฉันควบคุมพลังไม่ได้ หรือเผลอใช้พลังโดยไม่รู้ตัว
เนื่องจากโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เด็ก พอมีผู้ปกครองรับไปเลี้ยงก็ดันเป็นคนที่เก็บตัวลึกลับและห้ามไม่ให้ฉันถามว่าเขาเป็นใคร เพียงแค่ช่วยเหลือด้านเงินและจัดหาที่พักที่เล่าเรียนและสิ่งอำนวยความสะดวกให้แต่ไม่เคยเปิดเผยตัว ...ฉันจึงต้องดูแลตัวเองมาตลอด
แล้วฉันก็โตมาเป็นคนเช่นนั้นเอง ชอบอยู่คนเดียว พึ่งพาตัวเองเป็นหลัก ปรับตัวเก่ง และไม่เคยคาดหวังอะไรในความสัมพันธ์
ด้วยเหตุนี้ พอยูออนย้ายฉันให้มาเรียนที่สถาบันเซ็น ฉันที่ไม่ได้รู้สึกผูกพันกับเพื่อนร่วมห้องที่โรงเรียนเก่ามากนักอยู่แล้วจึงไม่ได้ตีโพยตีพายอะไรมาก
คิดๆ แล้ว ความพยายามที่ฉันเคยทำไปทั้งหมดนั่นดูช่างไร้ค่าเสียเหลือเกิน...
ช่างน่าหน่ายใจนัก...
...แล้วก็ยังมีเรื่องของคนที่ให้ข้อมูลของฉันกับยูออนอีก
ฉันสงสัยว่าจะเป็นใครได้...
น่าจะเป็นใครสักคนที่ฉันรู้จัก เพราะไม่อย่างนั้นคนคนนั้นก็ไม่จำเป็นต้องบอกให้ยูออนปิดเป็นความลับ
แต่ว่า...จะมีคนที่รู้จักฉันดีขนาดนั้นอยู่ด้วยหรือ
ดูเหมือนว่าฉันจะได้คำถามกลับมามากกว่าคำตอบอยู่ทุกที
แต่คิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก… ฉันสะบัดศีรษะสองสามครั้งเพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองออกไป ...ถ้ามีเวลาให้คิดก็สู้มาเวลามาตั้งใจกับการฝึกในวันนี้น่าจะดีกว่า
คิดแล้วฉันก็ตัดสินใจเริ่มการฝึกของวันนี้ด้วยลองรื้อฟื้นพลังจิตสัมพันธ์ดู
ที่จริงการฝึกพลังจิตประเภทนี้ถ้ามีผู้ร่วมฝึกได้จะให้ผลดีกว่า แต่ถ้าไม่มีคนก็พอจะฝึกกับวัตถุที่เป็นของคู่กันก็ได้ ฉันเตรียมไพ่มาสองสำรับก็เพื่อการนี้
วิธีการฝึกก็คล้ายๆ กับการเล่นเกมจับคู่ที่อาศัยการอ่านไพ่ที่มีคลื่นตรงกันแทนความจำ
แน่นอนว่าถ้าใช้พลังจิตหยั่งรู้ก็อาจจะทำให้รู้หน้าไพ่และจับคู่ได้เช่นกัน แต่นั่นจะไม่ถือเป็นการฝึกพลังจิตสัมพันธ์ หลักของพลังจิตสัมพันธ์คือการจับของที่มีคลื่นตรงกันเข้าคู่ด้วยกัน
ใบแล้วใบเล่า... คู่แล้วคู่เล่าผ่านไป...
ฉันใช้พลังฝึกจนรู้สึกหิวจึงค่อยเดินทางกลับ
ความคิดเห็น