คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : เนฮีเดีย
- 5 -
เนฮีเดีย
อยู่กับเชนได้ไม่นาน ผมเริ่มรู้สึกว่าความองอาจในฐานะจอมยุทธของผมถูกข่มขวัญเสียหดหายหมด บางทียุทธภพอาจรับความเลวร้ายของผมไม่ได้ก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลซับซ้อนประการใดก็ตาม เพื่อความสะดวกลิ้นและคล่องปาก ขอกลับมาใช้คำแทนตัวเองว่า 'ผม' ทั้งที่ยังอยู่ในชุดขาวนี่ไปก่อนล่ะกัน ไหนๆ ก็มาถึงที่ห้างแล้วน่าจะหาซื้อชุดตัวร้ายใหม่ได้ไม่ยาก
ผมจำยอมเดินมาจนถึงที่ห้างกับเชนอย่างเสียมิได้ ห้างที่นี่ก็น่าจะคล้ายๆ ห้างในยุคของพวกคุณ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นห้างสรรพสินค้า ในห้างจึงมีทุกสรรพสิ่งที่ขายได้มาขาย พูดอย่างสำนวนโบราณคงต้องบอกว่าตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ อย่างสำนวนวิทยาศาสตร์ก็ต้องบอก ตั้งแต่อนุภาคพื้นฐานไปจนถึงเอกภพก็ยังมีขายหากมีเงินพอที่จะซื้อ
ผมเสนอให้เชนมาที่ห้าง เพราะถึงอย่างไรที่นี่ก็อยู่ในสายตาผู้คนรวมถึงสายตาของกล้องวิดีโอ หากผมเป็นอะไรขึ้นมาจริงการย้อนดูภาพที่บันทึกไว้กล้องวิดีโอของที่นี่ก็ง่ายกว่าการย้อนดูภาพเหตุการณ์จากกล้องของดาวเทียม
“เมื่อกี้เจ้าบอกว่าจะยึดครองโลกเหรอ” ผมลองชวนเชนคุยเพื่อผูกสัมพันธ์
“ช่าย” เขาตอบยานคาง แขนสองข้างยกหนุนศีรษะ เดินเรื่อย แล้วอธิบายเสริมว่า “ก็โลกนี้มันบิดเบี้ยวและเพี้ยนไปหมด ทางเดียวที่จะแก้ไขได้ก็คือทำลายทิ้งแล้วสร้างใหม่ซะ”
นัยน์ตาของผมเบิกกว้างขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับคนที่คิดเหมือนผมและได้คุยกันตรงๆ เช่นนี้ แต่ที่ว่าเหมือนน่ะก็แค่ส่วนที่ว่าโลกนี้บ้าไปแล้วเท่านั้นนะ ผมยังไม่ได้คิดจะทำลายล้างโลก อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป
“แล้วเจ้าว่ามันเพี้ยนไปอย่างไรล่ะ” ผมถามต่อ
“ก็ลองมองไปรอบๆ ตัวดูสิ” เชนผายมือออก ชี้ให้ผมดูรอบลานกว้างของห้าง “ใครๆ ต่างก็ว่าโลกนี้เป็นแดนสวรรค์ แดนแห่งอิสระเสรี ทุกคนทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ แต่ที่จริงแล้วทุกคนไม่ได้เป็นอิสระหรอก แต่ละคนก็มีกรอบควบคุมทั้งนั้น ยังคงมีการแบ่งชนชั้นวรรณะ แบ่งสูงต่ำ แบ่งชั่วดี แข่งกันและแก่งแย่งกันอยู่วันยังค่ำ”
ผมพยักหน้าคล้อยตามนิดๆ เห็นด้วยอยู่กลายๆ แต่ก็ยังข้องใจอยู่บ้าง
“แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วนี่”
“ไอ้งั่งเอ๊ย” เชนว่า “มันธรรมดาเสียที่ไหนเล่า แกคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเห็นมันจนชาชินอยู่ทุกวัน แต่ความจริงมนุษย์เราควรอยู่อย่างไร้กรอบไร้กฎเกณฑ์ ทำอะไรต่างๆ ได้ตามความต้องการของตัวเองต่างหาก เมื่อเทคโนโลยีพัฒนามาถึงขั้นนี้แล้วทำไมจะทำอย่างนั้นไม่ได้ล่ะ จะคงกรอบคงกฎเกณฑ์เอาไว้ทำไม”
“กรอบมีเมื่อเจ้ายึดถือว่ามี กรอบมีก็เหมือนไม่มีเมื่อเจ้าไม่ยึดติดกับมัน”
โอ้ ช่างลึกซึ้งดีแท้... แต่นั่นไม่ใช่คำพูดของผมหรอกนะ เป็นอีกเสียงหนึ่งที่ลอยมาแทรกระหว่างบทสนทนาของผมกับเชน เราทั้งคู่ต่างหันไปมองหาเจ้าของเสียง แล้วก็พบว่าเป็นหญิงสาวร่างบางผู้นั่งอยู่ที่ม้านั่งหน้าน้ำพุ เธอซ่อนหน้าของตนไว้ใต้ฮู้ดคลุมศีรษะสีเหลืองซึ่งติดกับเสื้อนอกของเธอ บนฮู้ดนั้นทำเป็นรูปหูแมวคู่หนึ่งยื่นออกมา ทั้งยังวาดตากลมสองข้างและปากหยักน่ารักเอาไว้ หญิงสาวนั่งนิ่งก้มหน้าเล็กน้อย เธอกอดหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเล่มหนาไว้แนบอก ทำท่าทางราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เธอเป็นคนพูด
แต่เชนก็ยังมั่นใจว่าเป็นเธอ
“พูดได้ดีนี่ ถูกต้องแล้วล่ะที่ว่าทุกคนไม่ควรยึดติดกับกรอบ”
แหม... ทีกับผู้หญิงน่ารักไม่เรียกไอ้เรียกแก สุภาพเชียวนะ... ผมอดประชดในใจไม่ได้
ฝ่ายหญิงสาวยังคงนิ่ง คำพูดของเชนลอยเก้อไป เจ้าตัวได้แต่เกาหัวแกรกๆ แล้วหันมาสั่งผม
“นายลองเข้าไปคุยกับเธอซิ”
เชนคงกลัวว่าหน้าตาดีแบบผู้ร้ายอย่างตนจะทำให้อีกฝ่ายตกใจ เลยให้ผมไปรับหน้าแทน บอกแล้วนะว่าผมไม่อยากเป็นลูกน้องใคร แต่เมื่อเชนอุตส่าห์ยกระดับสรรพนามที่ใช้เรียกแทนตัวผมขึ้นมาแล้ว ยอมไปสักหน่อยก็ได้
“สวัสดีครับ” ผมทักเธอ เธอผงกศีรษะรับรู้เล็กน้อย พร้อมหมวกหน้าแมวที่กระดกขึ้นลง
“เมื่อครู่ที่พูดถึงเรื่องกรอบที่ว่ามีก็เหมือนไม่มี เป็นคำพูดของคุณใช่ไหมครับ” พอเปลี่ยนคนคุยผมก็ลืมไปเสียสนิทเลยว่ากำลังอยู่ในชุดจีนโบราณอยู่ กลับมาใช้คำพูดเป็นปัจจุบันไม่เข้ากับรูปลักษณ์
“ทั้งใช่และไม่ใช่” เธอพูดเรียบๆ เนือยๆ แต่ก็ฟังไพเราะชื่นใจ ใช่เสียงเดียวกับที่เคยกล่าวก่อนหน้านี้แน่ ทว่าทำไมถึงบอกเช่นนี้ล่ะ
“หมายความว่ายังไงหรือครับ ช่วยขยายความหน่อยได้ไหม”
“ดิฉันเป็นคนกล่าวก็จริง แต่คำพูดนั้นมีมาก่อนแล้ว ดิฉันแค่ขอยืมเขามากล่าวต่ออีกที”
“อา... เช่นนี้นี่เอง”
ฟังได้ความจบผมก็กลับมารายงานเชน
“เธอว่าไงบ้าง”
เชนถาม ทั้งๆ ที่น่าจะได้ยินที่ผมคุยกับเธอแล้ว เราก็ไม่ได้ยืนห่างกัน และก็ไม่ได้คุยกันด้วยเสียงกระซิบสักหน่อย แต่ผมก็ยังมีน้ำใจเรียบเรียงให้เขาฟังใหม่อีกครั้งว่า
“เธอบอกว่าเป็นคนพูดประโยคนั้นจริง แต่เคยมีคนพูดประโยคนั้นไว้ก่อนเธอแล้ว เธอแค่ยืมมาใช้เท่านั้น”
“ฟังแล้วเวียนหัวดีแฮะ” เชนโคลงศีรษะ
ผมโคลงตามไปด้วย ก็ถูกของเขา แต่ก็ถูกของเธอ
“แล้วอย่างอื่นล่ะ”
“อ้อ... ไม่มีแล้วล่ะ”
“หมายความว่าไงวะ”
“ก็ถามมาเท่านี้”
“ข้าบอกให้ไปคุยกับเธอโว้ย! ไม่ได้แค่ให้ไปถามว่าเป็นคนพูดหรือเปล่า” เชนโวยวาย แล้วผลักไสผมมาอีกที
“แล้วไอ้ที่ให้ไปคุยนี่หมายความว่าไงกันแน่ล่ะ” ถ้าแกอยากจีบสาวก็จีบเองสิฟะ มาใช้คนอื่นแทนได้ไง... ข้างท้ายนี่ผมแค่บ่นต่อในใจ
“ก็หมายถึงให้ไปทาบทามมาเข้าพวกไง”
“อ่อ” ผมเริ่มเข้าใจ แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มสงสัยว่าผมตกลงไปเป็นพวกกับเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
แล้วเชนก็พลิกตัวผมให้หันกลับมาเผชิญหน้ากัน เอามือทั้งสองข้างกดไหล่ผม นัยน์ตาสีทองจ้องผมปานจะสะกดจิตให้จำคำพูดของเขาจนฝังใจ
“ฟังนะ อันเวส” เขาขึ้นต้น “ถ้าเราคิดจะยึดครองโลก...”
“เอ่อ คิดเป็นตัวร้ายที่ร้ายกาจที่สุด” ผมแก้ นี่คือความตั้งใจของผม
“เออ นั่นแหละ” เขากลอกตา ยอมรับ แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง “ถ้าเราคิดเป็นตัวร้ายที่ร้ายกาจที่สุดโดยมีแผนการคือการยึดครองโลกให้ได้ เราก็ต้องมีทีมงาน ทีมงานหมายถึงคนจำนวนมากกว่าสองคนขึ้นไป เข้าใจไหม”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก ผมไม่ได้โง่ถึงขนาดต้องมาอธิบายความหมายของคำทุกคำให้ฟังหรอกนะ
“และเธอคนนี้ก็เหมาะสมที่จะมาร่วมงานกับพวกเรา” เชนกล่าวต่อ
“ยังไง”
“นายคิดว่าเธอเหมือนอะไรล่ะ” เชนจับหัวผมหมุนกลับไปดูเธอ ผมได้ยินเสียงกระดูกคอตัวเองลั่น
“ผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่ฮู้ดหน้าแมวนั่งกอดหนังสืออยู่” ผมเค้นเสียงตัวเองพูดออกมาโดยเร็วตามที่เห็น หวังให้เชนหมุนหัวผมกลับไปคุยในทิศเดิมให้ถูกทาง ไม่ใช่หมุนจนครบรอบ
“เธอเป็นมันสมองให้พวกเราได้โว้ย!” เชนตะโกนใส่หูผม
“อ้อ...” หมายความว่าพวกเราไม่มีสมองงั้นสิ... ดีนะที่ผมหมดแรงจะขยับปากพูดประโยคนี้ออกไป
“ถ้าเราจะยึดครองโลก” เชนตัดความตั้งใจส่วนของผมทิ้งไปอีกแล้ว “เราต้องเผยแพร่อุดมการณ์ออกไป ในการเผยแพร่ก็ต้องมีคำพูดที่โดนใจผู้คน และคนอย่างเธอนี่แหละที่จำเป็นสำหรับพวกเรา ดังนั้นนายก็ไปชวนเธอมาเข้าร่วมกลุ่มซะ”
ว่าแล้วเขาก็เตะโด่งผมมาล้มอยู่หน้าม้านั่งที่เป้าหมายนั่งอยู่โดยที่ผมไม่มีโอกาสได้เถียงเลยสักนิด อยากรู้จริงๆ ว่าเชนคิดแผนการนี้ล่วงหน้าเอาไว้นานแล้ว หรือเพิ่งมาปิ๊งไอเดียสดๆ ร้อนๆ เมื่อครู่นี้ ถ้าเป็นอย่างหลังก็ต้องขอยกย่องให้เขาเป็นคนที่แถได้เก่งเป็นวรรคเป็นเวรแบบสุดๆ
หลังจากผมลุกขึ้น ยืดตัวตรง และดัดคอตัวเองให้กลับมาเป็นปรกติเรียบร้อยแล้ว ผมก็ก้าวเข้าไปหาเธอเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ด้วยหัวสมองที่กลวงเปล่า
“ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรหรือครับ”
“แค่ถามชื่อทำไมต้องขอโทษก่อนด้วยวะ ทำตามกรอบอยู่ได้” ได้ยินเสียงเชนแว่วบ่นมา อย่างนี้แสดงว่าหมอนี่ต้องได้ยินบทสนทนาของผมกับเธอในคราวก่อนอยู่ก่อนแล้วด้วย
แม้สภาพแวดล้อมจะไม่ค่อยเป็นใจนัก แต่ผมก็ยังพยายามฉีกยิ้มให้เธออยู่ ...มารยาทน่ะมารยาท เข้าใจไหม เวลาถามชื่อผู้หญิงต้องขอโทษเอาไว้ก่อน...
“เนฮีเดีย” เธอตอบผมโดยไม่สนใจเสียงนกเสียงกาเช่นกัน
“เนฮีเดีย ชื่อเพราะดีนะครับ” ผมหยอดคำหวานเอ่ยชม แล้วแนะนำตัวบ้าง “ผมชื่ออันเวส ส่วนที่ตะโกนแว่วๆ มาเมื่อกี้ก็เชน”
เธอก้มศีรษะรับรู้ โดยไม่คิดจะหันไปมองปลายนิ้วหัวแม่มือที่ผมชี้ไปยังชายผมส้มแต่อย่างใด
ผมควรพูดอะไรต่อดีล่ะ ผมหันไปมองหาคำแนะนำจากเชน แล้วค่อยสำนึกได้ว่านั่นคือเชน สิ่งเดียวที่ผมได้กลับมาจึงเป็นสายตาข่มขู่
ผมสูดหายใจเข้าลึก ในเมื่อผมมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อชวนเธอเข้าร่วมกลุ่ม งั้นก็ขอลุยตรงๆ เลยล่ะกัน
“คุณเนฮีเดียสนใจเข้าร่วมกลุ่มตัวร้ายที่หวังยึดครองโลกกลับมาไหมครับ” ผมคงถามตรงเกินไปจริงๆ จนได้ยินแม้แต่เสียงเชนตบกะโหลกตัวเอง ถ้ารอดกลับไปได้เขาคงฆ่าผมแน่
ชั่วครู่หนึ่งนั้นเหมือนผมจะเห็นรอยยิ้มภายใต้หมวกรูปแมว แต่มองอีกทีก็เหมือนจะตาฝาดไป ถึงอย่างไรถ้าใครได้ยินเรื่องนี้คงต้องหลุดขำกันบ้างแหละ
แล้วความมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น เมื่อเนฮีเดียพยักหน้าน้อยๆ แล้วตอบรับว่า
“ตกลงค่ะ”
กลายเป็นว่าคนที่แปลกใจจนยืนอ้าปากค้างเป็นคนบื้อกลับเป็นผมที่เป็นคนชวน ส่วนเชนตะโกนโห่ร้อง “เยส!” ด้วยความดีใจอยู่ด้านหลัง และเนฮีเดียก็กำลังยิ้มนิดๆ อยู่จริงๆ
ก็บอกแล้วว่าโลกนี้มันบ้าและผิดเพี้ยนไปหมดแล้ว คนบนโลกนี้ก็เช่นกัน กระทั่งคนที่ดูภายนอกเรียบร้อยอย่างเนฮีเดียก็อาจมีความบ้าลึกลับซ่อนอยู่ก็ได้ คนที่ธรรมดาที่สุดมักจะกลายเป็นคนที่พิสดารที่สุดเสมอ
แต่ว่า... แต่ก่อนผมเป็นคนธรรมดาที่สุดไม่ใช่หรือ
เฮ้อ... คิดแล้วปวดหัว เลิกคิดดีกว่า
เข้าเมืองคนบ้า ก็คงต้องบ้าตาม
ความคิดเห็น