ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers (2)

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 3 ความจริงที่ตอกย้ำ [1]

    • อัปเดตล่าสุด 31 พ.ค. 53


    บทที่ 3 ความจริงที่ตอกย้ำ

    ‘...รู้ไหม ทำไมคนเราถึงโศกเศร้า ...

    ‘...เพราะเรารักสิ่งนั้นมากไป จนไม่อยากให้มันเปลี่ยนแปลงไป...

    ‘...ยิ่งรักมากก็ยิ่งโศกมาก...’

    ----------------------

    จันทร์เพ็ญ

    กลางเวิ้งฟ้ายามราตรีมีจันทร์จรัสส่องแสงนวลละออง นภากาศไร้ม่านหมอกหม่นเมฆ ราวกับความมืดแห่งรัตติกาลได้ดูดกลืนสิ่งทั้งปวงไปไว้เบื้องหลัง เหลือเพียงดวงจันทร์แจ่มรัศมีสาดแสงแก่ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่

    สรรพสำเนียงเงียบสงัด นภาไร้ดาวพราว มีเพียงจันทร์เพ็ญดวงกลมมนประดับไว้ แลดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาเดียวดาย

    เด็กหญิงเหม่อมองดวงจันทร์ ช่างงามตายิ่งนัก งดงามจับใจ สะกดสายตาให้จดจ้อง ลืมเลือนความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ลืมความทุกข์ความโศกสลดสิ้น แหงนหน้ามองนภารับแสงจันทร์นวลประหนึ่งดอกไม้บานรับแสงอาทิตย์

    จันทร์มีเพียงดวงเดียว ฉายแสงโดดเด่นกระจ่างใสอยู่เบื้องบน แสงขาวนวลแสนอ่อนโยน ชโลมจิตใจของเด็กน้อยให้บริสุทธิ์ สะอาด สว่าง สดใส ดั่งสีของมัน

    ชีวิตก็เท่านั้น มีอยู่และจากไป ไม่มีสิ่งใดจริงแท้แน่นอน ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน

    ร่างกายนี้กำลังฝืนกฎธรรมชาติอยู่ เธอรู้ตัวดี และรู้ว่าสักวันความตายย่อมมาเยือนเธอเช่นนั้น เหมือนกับสหายที่จากไป จึงได้ตั้งปณิธานแน่วแน่ ปณิธานดั้งเดิมที่ไม่เคยเสื่อมคลาย จะคืนร่างนี้กลับสู่ธรรมชาติ สู่สภาพเดิมที่ควรเป็น

    จันทร์เพ็ญ ไยช่างงดงามเช่นนี้

    ----------------------

    ในเวลาเดียวกัน ใต้จันทร์ดวงเดิม

    จงชิวรีบวิ่งออกจากป่า ย่ามคู่กายยังสะพายอยู่ที่ข้างตัว สองมือว่างเปล่าไร้อาวุธ เขาละทิ้งสิ่งอื่นไว้เบื้องหลัง หากสิ่งที่ติดตามเขามากลับเป็นความกังวลที่สลัดเท่าใดก็ไม่หลุด

    เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย... เด็กหนุ่มผู้ช่วยชีวิตเขาไว้นั้นตัวใหญ่และหนักกว่าเขา หากเคลื่อนย้ายโดยลำพังก็อาจกระเทือนบาดแผลเป็นอันตรายได้ เขาต้องไปตามคนอื่นมาช่วย แต่ก่อนหน้านั้น ...

    ได้โปรด อย่าเพิ่งเป็นอะไรไป...

    เด็กชายอธิษฐานพลางวิ่งต่อไป จนกระทั่งพบแสงไฟสว่างวาบ แวบแรกเขานึกยินดีที่ในที่สุดก็กลับถึงหมู่บ้านแล้ว แต่เมื่อเห็นใบหน้าของกลุ่มคนที่รอเขาอยู่ ความเย็นชาก็ก่อตัวเป็นหน้ากากให้เขาสวมโดยทันที

    ณ ที่นั้นไม่ได้มีเพียงพ่อค้าที่รอคอยอยู่ ชาวบ้านมากหน้าหลายตาต่างมาชุมนุมกัน

    เจ้าไปทำอะไรมา” ชายร่างสูงใหญ่ไว้หนวดเคราครึ้มถามขึ้นเป็นคนแรก ขณะที่คนอื่นยังคงตะลึงงัน

    สภาพของเด็กชายทำให้ทุกคนตกใจ เสื้อขาวที่เขาสวมเปื้อนคราบโลหิตเป็นดวงใหญ่หลายแห่ง แสงไฟจากโคมและคบเพลิงยิ่งย้อมร่างเขาเป็นสีส้มแดงไปแถบหนึ่ง ภาพที่เห็นนั้นเตือนให้หลายคนนึกถึงเหตุการณ์ในวันวิปโยคเมื่อสองปีก่อนขึ้นมา

    จงชิวยืนนิ่งไม่ตอบ เขาเพิ่งเห็นว่าเสื้อและผิวตนเปื้อนเลือดจนน่ากลัว แต่นั่นหาใช่เลือดของเขาเอง

    ข้าถามว่า เจ้าไปทำอะไรมา” ชายคนเดิมถาม ด้วยเสียงอันดังขึ้น สีหน้าแปลกใจของเด็กชายที่ปรากฏให้เห็นเพียงชั่วขณะยามเหลือบมองสภาพตัวเองทำให้เขารู้แล้วว่าเจ้าตัวไม่ได้บาดเจ็บ

    เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะท่านฉี” ว่านซันเฉวียนพูดแทรกแล้วก้าวขึ้นมายืนข้างคนแซ่ฉี ก่อนจะถามหาสิ่งที่เขาต้องการที่สุดในตอนนี้

    สามจันทร์ล่ะ”

    สิ้นเสียงถามอย่างคาดเค้นจากพ่อค้า จงชิวกวาดสายตามองเหล่าคนที่มาชุมนุมกันอยู่ที่ลานหมู่บ้านในยามดึกนี้ แล้วตระหนักได้ว่า ถ้าเขาไม่ได้สามจันทร์มา คงหนีไม่พ้นชะตากรรมเลวร้ายเป็นแน่แท้ ว่านซันเฉวียนเชิญทั้งท่านผู้เฒ่าที่นั่งพริ้มตา ไม่ทราบหลับหรือตื่นอยู่ ทั้งเถ้าแก่ร้านขายยา คาดว่าคงมาเพื่อพิสูจน์สมุนไพร ทั้งฉีเหลียง พรานใหญ่ประจำหมู่บ้าน ทั้งลูกน้อง คนติดตาม และชาวบ้านที่สนใจเหตุการณ์อีกมากมาย ทุกคนต่างมีใบหน้าคร่ำเคร่ง ตัวกาลกิณีคงได้รับความอัปยศอย่างสุดจะหลีกเลี่ยงจริง ดังคำที่พ่อค้าเคยขู่

    สามจันทร์อยู่นี่แล้ว” จงชิวคว้าสมุนไพรในย่ามขึ้นมากำมือหนึ่ง แสงเรืองอ่อนๆ จากสามจันทร์นั้นเรียกให้สายตาทุกคู่จับจ้อง หลายคนส่งเสียงฮือฮาด้วยความยินดีระคนประหลาดใจ พืชที่เคยพรากหลายชีวิตให้จากไปเมื่อเสี่ยงภัยไปเอา บัดนี้จะมาช่วยรักษาลูกหลานของพวกเขาแล้ว

    เถ้าแก่ร้านขายยาลูบเคราขาวเบาพลางพยักหน้ายืนยันว่า สมุนไพรเป็นของจริงให้กับพ่อค้า ปากกล่าวกับตัวเองเบาๆ ว่า

    ข้ากะแล้วไม่มีผิด ...กะแล้วไม่ผิด”

    ว่านซันเฉวียนล้วนทองคำขึ้นมาสามแท่ง ยื่นให้เด็กชาย

    นี่เป็นค่าจ้างของเจ้า แลกกับสามจันทร์ทั้งหมดที่เจ้ามี”

    หากแต่ผู้ว่าจ้างก็ต้องเลิกคิ้วประหลาดใจ เมื่อจงชิวยังไม่ยอมส่งสมุนไพรให้ กลับกล่าวว่า

    ข้าขอเพิ่มเงื่อนไขอีกอย่างหนึ่ง...จะได้ไหม” เสียงเขาฟังดูแข็งๆ อย่างคนที่ถือไพ่เหนือว่าในตอนแรก แต่ก็อ่อนลงประหนึ่งจะขอร้องในตอนท้าย

    เจ้าคิดจะโก่งราคาหรือ ไม่ได้ เราตกลงกันไว้แล้ว ข้ารวบรวมเงินทั้งหมดของข้ามาจ่ายเจ้าเพื่อการนี้แล้วด้วย”

    จงชิวรีบกล่าวอธิบายเสริมว่า

    หามิได้ ข้าไม่ได้คิดจะโก่งราคาแต่อย่างใด สามจันทร์ทั้งหมดที่หามาได้นี้จะแลกกับทองสามแท่งเช่นเดิม ข้าแค่อยากจะขอยืมกำลังพวกท่านสักคนสองคนเข้าไปในป่า ...มีคนบาดเจ็บหนักอยู่ในนั้น เขาช่วยให้ข้ารอดปลอดภัยออกมา...” จงชิวพูดเสียงเนือยลงเนือยลง และหยุดค้างชะงักไป ด้วยความไม่มั่นใจว่าจะกล่าวอย่างไรต่อดี เขาไม่เคยขอให้คนในหมู่บ้านช่วยมาก่อน ไม่ว่าจะเรื่องหนักหนาสาหัสเพียงใดก็ตาม เพราะครั้งสุดท้ายนั้น แม้ตอนจีตงป่วยหนักกะทันหันใกล้ความตายเต็มที ก็ไม่มีใครหันมาสนใจเขา กว่าจะตามหมอมาได้ก็สายเกินแก้แล้ว...

    ทว่าว่านซันเฉวียนไม่เปิดโอกาสให้จงชิวเล่าต่ออีก

    เอาสามจันทร์มาก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน ถ้าไม่รีบปรุงยารักษา ลูกข้าอาจอยู่ไม่พ้นคืนนี้”

    ว่านซันเฉวียนกระชากย่ามจากตัวจงชิวมาโดยพลันหลังกล่าวจบ ความยึดมั่นผูกพันในสิ่งที่เป็นของรักของตนในให้พ่อค้าผู้นี้ทำได้ทุกอย่าง เขายัดเงินค่าจ้างใส่มือเด็กชายเหมือนจะไล่ให้เขาไปพ้นๆ แล้วรีบขอให้เถ้าแก่ช่วยปรุงยา ชาวบ้านเลิกสนใจตัวกาลกิณีเปลี่ยนไปตามพ่อค้าและเถ้าแก่ร้านขายยาแทน บางคนเห็นว่าจบเรื่องแล้วก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน

    ข้าจ้างพวกท่านก็ได้นะ ด้วยทองสามแท่งนี่แหละ ข้าจะนำทางให้ เข้าไปในป่ากับข้า...” เสียงเด็กชายอ่อนลงเรื่อยๆ ชาวบ้านแค่ปรายตามองเล็กน้อยก่อนหันหนี ไม่มีใครคิดเหลือบมองเจ้าของลางร้ายอย่างจริงจัง

    ชั่วขณะที่เห็นสายตาและสีหน้าเหล่านั้น จงชิวจึงรู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่

    ...เขาเป็นตัวกาลกิณีที่ทำให้คนที่ข้องเกี่ยวกับเขาต้องเคราะห์ร้าย ตกตายไปตามกัน คำขอของเขา ก็ไม่ผิดกับคำเชิญชวนให้ไปตาย ไยต้องสนใจด้วยเล่า...

    จงชิวทรุดเข่าลงกระแทกพื้น น้ำตาที่แห้งเหือดไปนานไหลลงอาบหน้า ไม่ทราบจะบรรยายความรู้สึกในตอนนี้อย่างไรดี ที่ผ่านมาเขาหลอกตัวเองมาตลอด หลอกว่าตัวเขานั้นไม่มีลางร้าย ไม่ใช่ตัวกาลกิณี ยึดถือตามคำสั่งของจีตง ผู้มีพระคุณที่ตายจากไปเพราะเขาเองนั่นแหละ ยามนี้ความจริงจึงย้อนกลับมาเล่นงาน กระหน่ำย้ำความเจ็บปวดให้ฝังลึกลงไป

    “...ขอร้องละ ใครก็ได้ ช่วยข้าที...”

    เด็กชายเหม่อมองทองแท่งในมือ ภาพที่เห็นนั้นเลอะเลือนไปด้วยน้ำตาที่นองในจักษุ แล้วพลันนึกถึงเด็กหนุ่มผู้มีพระคุณผู้มีผมสีเดียวกับทองคำนี้ แต่ค่าของสิ่งที่เขาได้มากลับเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว

    ข้าผิดเองใช่ไหม ผิดที่ละเลยชีวิตผู้อื่นก่อน จึงได้รับผลกรรมเช่นนี้...

    แต่ทำไมล่ะ ทำไมไม่ให้เขาเองที่ต้องตาย ไยสวรรค์จึงต้องพรากทุกสิ่งไปจากเขา ความฝันพร่ามัว ความปวดร้าว ความทรงจำในอดีตอะไรนั่นเขาไม่สนแล้ว ที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือความจริงที่ว่า

    พี่ชายท่านนั้น... กำลังจะตาย...

    ใครกันที่ช่วยเจ้าไว้” เสียงหนึ่งแว่วถาม จงชิวค่อยตื่นจากภวังค์ความคิด นัยน์ตาที่เคยเลื่อนลอยย้ายมามองชายเจ้าของเสียงแทน นายพรานใหญ่ ฉีเหลียง ยังไม่จากไป ไม่ทราบว่าเขาเห็นเด็กชายตกอยู่ในสภาพท้อแท้สิ้นหวังนานแค่ไหนก่อนจะกล่าวคำถามนี้

    “...เป็นคนจากต่างแดน ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน” จงชิวตอบตามจริง ด้วยเสียงที่พยายามให้เป็นปกติที่สุด แต่ก็ทราบดีว่าปิดบังฉีเหลียงไปก็เท่านั้น

    อย่างนั้นก็ภาวนาให้เจ้านั่นอยู่รอดถึงพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน คืนนี้ข้าไม่เข้าป่าละ มันอันตรายเกินไป”

    แต่ว่า...” ก่อนที่จงชิวจะหาเหตุผลมาชักจูงได้สำเร็จ พรานใหญ่ผู้ชำนาญก็กล่าวขัดขึ้นก่อนว่า

    ข้ายอมรับว่า เจ้าเก่งที่เข้าป่าเงี้ยวไปเก็บสามจันทร์แล้วรอดกลับมาได้ แต่หากรอยเลือดที่เห็นตามตัวเจ้า เป็นของคนที่ช่วยเจ้าไว้ละก็ ข้าเกรงว่าแผลขนาดนั้น และถูกทิ้งไว้ในป่าเงี้ยวนานเช่นนี้ด้วยแล้ว เข้าไปช่วยก็เปล่าประโยชน์” สิ้นวาจานายพรานก็หันไปกล่าวกับอีกคนที่เหลืออยู่ที่ลานนั้น ไม่คิดเหลือบแลเด็กชายอีก

    แต่ข้าเห็นว่าพวกงูไม่เข้ามาทำอันตรายพี่ชายท่านนั้น...

    เด็กชายต่อประโยคที่ค้างไว้ของตนให้จบในใจ เพราะพูดไปก็ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีผู้ใดสนใจอีกแล้ว เหลือเพียงตัวเขาเองตามลำพังเช่นเคย

    ...ต้องพึงตัวเอง อย่าคิดหวังพึ่งผู้อื่น...

    เขาลุกขึ้นยืน มุ่งหน้าวิ่งกลับกระท่อม ไม่ไยดีจะเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า ปล่อยให้สายลมเย็นพัดพามันไปแทน

    ขณะที่จงชิวรีบจากไป ที่ลานหมู่บ้าน ฉีเหลียงโน้มตัวลง กระซิบข้างหูหญิงชราผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้สาน

    ท่านย่า จบเรื่องแล้วละ ข้าจะพาท่านกลับไปนอนนะ”

    ผู้เฒ่าสะดุ้งขึ้นนิดหนึ่ง ช่วงที่ผ่านมานี้นางหลับตลอด คนชราอย่างไรก็ยังแพ้สังขารตัวเองวันยังค่ำ

    ผู้มากวัยผงกศีรษะรับทราบ ก่อนจะงึมงำถามขึ้นว่า

    เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

    เจ้าเด็กนั่นเก็บสามจันทร์มาได้ ว่านซันเฉวียนจ่ายค่าจ้างตามจำนวน ตอนนี้กำลังไปปรุงยากันอยู่ ทุกอย่างจบลงด้วยดี”

    หญิงชราผงกศีรษะเบาๆ อีกครั้ง แต่แล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาก็แปรเปลี่ยนจากเรียบสงบเป็นขมึงขึ้นมา

    ข้าได้กลิ่นเลือด”

    เลือดจากตัวเจ้าเด็กเก็บสมุนไพรน่ะท่านย่า” ฉีเหลียงอธิบาย

    เด็กชายห่างไปไกลแล้ว แต่ผู้เฒ่ายังมีสัมผัสดีไม่เปลี่ยน มันไม่ใช่ประสาทสัมผัสทั่วไปอย่างที่ทุกคนมี ความชราพรากสิ่งเหล่านั้นไปจากนางนานแล้ว สิ่งที่นางมีคือสัมผัสที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ นางมักจะรู้อะไรบางอย่างล่วงหน้า และรู้มากกว่าใครๆ เสมอ และเรื่องทำนองนี้ยิ่งอาวุโสเท่าใด คนก็จะยิ่งให้ความเชื่อถือมากขึ้น

    ท่านไม่ต้องกังวลหรอก ไม่ใช่เลือดจากตัวมันเอง เป็นเลือดผู้อื่น เห็นว่าเป็นคนต่างแดน”

    ไม่... ไม่ใช่แค่เลือดคน...” หญิงชราว่า “...เป็นเลือดงู”

    เลือดงูหรือ” นายพรานกล่าวเสียงหนักอย่างสงสัย เขาเคยพิฆาตงูมาหลายตัว จำกลิ่นเลือดของพวกมันได้ดี และพอจะแยกออกจากเลือดคนได้บ้าง แต่ฉีเหลียงไม่ได้กลิ่นจำพวกนั้นจากตัวเด็กชาย ...หรือจะเป็นเพราะว่ามีโลหิตมนุษย์เยอะกว่าจึงกลบกลิ่นหมด

    เหนืออื่นใด ผู้เฒ่าทราบแน่แก่ใจอยู่อย่างหนึ่งว่า...

    งูตัวนั้นหาใช่งูธรรมดา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×