คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 1 สถาบันเซ็น -- 2 - ข้อมูลคดี
2 - ข้อมูลคดี
เดินมาจนสุดทางเดินฉันก็ยังไม่พบทางกลับไปยังห้องรับรอง แต่กลับพบห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์หรือที่คนส่วนใหญ่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่า‘ห้องคอม’ แทน
ฉันหลวมตัวเดินเข้าไปสำรวจในห้องโดยใจหนึ่งก็ยังหวั่นว่า จะหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าวแล้วปล่อยให้ยูออนรอนานหรือเปล่า แต่คิดในอีกแง่ หมอนั่นก็ไม่ได้บอกให้ฉันอยู่รอเขาหรือห้ามไปไหน เขาเป็นฝ่ายผิดเองที่อยู่ๆ ก็เดินหนีไปโดยไม่ยอมตอบคำถามฉัน ถ้าฉันจะมาเถลไถลในห้องคอมเอาคืนเสียหน่อยคงไม่เป็นไร
เฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งรวมทั้งตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่อยู่ให้ห้องก็ยังคงคอนเซปต์นำสมัยด้วยดีไซน์เช่นเดิม
มีบางเครื่องที่ถูกเปิดทิ้งไว้ หน้าจอแสดงให้เห็นเดสต์ท็อปของระบบปฏิบัติการ Doors 8 ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์รุ่นล่าสุดของตระกูล Doors ที่ครองตลาดผู้ใช้ส่วนใหญ่
แผ่นป้ายที่ติดอยู่บนบอร์ดที่ผนังด้านข้างบอกให้รู้ว่านักเรียน อาจารย์ และบุคคลากรของโรงเรียนสามารถเข้ามาใช้เครื่องที่นี่ได้โดยไม่จำเป็นต้องล็อกอินหรือลงทะเบียนใช้งานก่อน แบบนี้ก็สะดวกดีเหมือนกัน
ฉันสงสัยมาตลอดว่า 'X' ใน 'X-note' หมายถึงอะไร
มันจะหมายถึงสถาบันเซ็นหรือเปล่า ชื่อภาษาอังกฤษของสถาบันเซ็นก็เขียนว่า Xen Institute โดยใช้ตัว 'X' ด้วย
มันไม่น่าจะใช่เพียงเรื่องบังเอิญ...
ด้วยเหตุนั้นฉันจึงเสียบแฟลชไดร์ฟที่ห้อยคออยู่เข้าไปในคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งดู โดยคาดหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่า บางทีคอมพิวเตอร์ที่สถาบันเซ็น...สถาบันที่แม่ฉันเป็นคนก่อตั้ง...อาจจะช่วยปลดล็อก X-note ได้...
ทว่าผลลัพธ์ก็ยังคงเหมือน ความหวังลมๆ แล้งๆ ของฉันแห้งเหือดกลายเป็นเศษธุลีที่ถูกลมพัดปลิวกระจายไปในพริบตา
โฟลเดอร์ยังเปิดไม่ได้อยู่ดี
อย่างไรมันก็ไม่น่าจะง่ายอย่างนั้นอยู่แล้ว
ฉันเก็บแฟลชไดร์ฟเข้าที่อย่างเศร้าๆ มองที่หน้าจออีกทีก็เห็นเงาสะท้อนของตัวเองกับอีกคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ฉันรีบหันขวับไป
“เฮ่! ฉันเคยเจอเธอมาก่อนนี่!”
เด็กหนุ่มร่างสูงในชุดเขียวยิ้มยิงฟันทัก เขารวบผมสีชากระเซิงๆ ที่ยาวพอจะมัดเป็นจุกสั้นๆ ได้พอดีมัดไว้ที่ท้ายทอย เขาสวมเสื้อยืดแขนยาวลายทางสีเขียวสลับขาวเป็นเสื้อตัวใน เสื้อนอกเป็นแจ็กเกตแขนกุดคอตั้งสีเขียวเข้ม ท่อนล่างเป็นกางเกงยีนสีซีดกับรองเท้าวิ่งสีส้มสด
“ฉันเป็นนักเรียนใหม่น่ะ เรียกฉันว่า เอสซี่ก็ได้” ฉันแค่นยิ้มทักทายตอบ พลางหวังว่าเขาคงไม่ทันเห็นโฟลเดอร์ X-note ในแฟลชไดร์ฟ ถ้าไม่ทันเห็นว่าสร้อยคอของฉันที่จริงคือแฟลชไดร์ฟหรือนึกติดใจอะไรด้วยยิ่งดี
“อะไรกัน ฉันไม่ยินข่าวเกี่ยวกับนักเรียนใหม่จะย้ายเข้ามาก่อนเลย ฉันพลาดข่าวมีน้ำมีเนื้อน่าสนใจขนาดนี้ไปได้ไงนี่”
เขาเอามือจับคาง พูดเหมือนคิดกับตัวเองมากกว่าจะคุยกับฉัน ก่อนจะเปลี่ยนมาเอามือทุบอกแนะนำตัวเองพร้อมสรรพคุณว่า
“ยังไงก็ตาม ฉันชื่ออาน่อน อินฟอร์แมนต์*ที่ดีที่สุดสำหรับเธอในโรงเรียนนี้ ฉันรู้เกือบทุกอย่างที่เกิดขึ้นในละแวก เธอมาหาฉันได้ทุกเมื่อถ้าหากอยากรู้อะไร”
สรรพคุณของเขาดูน่าสนใจดี แต่อาน่อนดูทำตัวเป็นมิตรมากเกินไป ฉันรับมือคนประเภทนี้ไม่ค่อยถูกเสียด้วย...
ดังนั้นฉันจึงปฏิเสธไป
“ไม่ล่ะ ขอบคุณ ฉันต้องไปแล้ว”
“เฮ่! อย่าทำเป็นไม่สนใจฉันอย่างนั้นสิ” ประโยคแรกฟังดูเอาเรื่องจริงจัง แต่ประโยคถัดมากลับพูดเป็นเล่นพร้อมขยิบตาให้ “ฉันสัญญาว่าฉันไม่กัดหรอกน่า เขาว่ากันว่าฉันเป็นคนดีตั้งเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แน่ะ”
ฉันทำหน้าเอือมระอาไม่อยากจะเชื่อนัก
“แล้วอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ล่ะ”
“ผู้ชายก็ต้องมีส่วนที่ไม่ดีบ้างสิ ไม่งั้นก็ไม่ได้ความรักจากผู้หญิงร้อก” อาน่อนลงท้ายลงท้ายประโยคด้วยเสียงสูง
ฉันหัวเราะ ใจหนึ่งนึกขำคำพูดของจริงๆ เพราะเคยอ่านหนังสือเรื่องหนึ่งที่บอกมาเหมือนกันว่า ‘ผู้หญิงชอบผู้ชายเลวๆ’ และตัวเอกในเรื่องก็พยายามเหลือเกินที่จะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนเลวทั้งที่ความจริงมีจิตใจดีงาม นึกถึงเรื่องนั้นก็ทำให้ฉันขำแล้ว แต่อีกใจหนึ่งฉันแค่หัวเราะไปตามน้ำ และคิดว่าจะลองเล่นอีกไม้หนึ่งดู
“เอาเป็นว่าฉันเข้าใจละ ฉันจะมาหานายเมื่อฉันมีคำถามก็แล้วกัน ตกลงไหม”
ฉันแค่นยิ้มเล็กน้อย...พยายามไม่ให้ดูเจ้าเล่ห์เกินไป
เมื่ออีกฝ่ายดันทุรังอยากให้ฉันรับความช่วยเหลือจากเขา ฉันก็เล่นละครรับไปก่อนก็ได้
“ตกลง” อาน่อนยิ้มระรื่น
“แต่ตอนนี้ฉันต้องขอตัวก่อน”
“รับทราบ แล้วเจอกันนะ” ชายหนุ่มทำท่าวันทยหัตถ์รับคำสั่ง
ถือว่าฉันปิดฉากการแสดงได้ดีอีกฉากหนึ่งก็แล้วกัน
แต่ไม่ว่าจะมองมุมไหน...นายนั่นแปลกอยู่ดี เรื่องทำตัวร่าเริง ทำตัวเป็นมิตร โอเวอร์แอ็กติงที่ฉันไม่ค่อยชอบก็ส่วนหนึ่ง ยังมีเรื่องที่เขาเข้ามาจากฉันจากทางด้านหลังโดยที่ฉันไม่รู้ตัวด้วยอีกส่วนหนึ่ง ปรกติฉันต้องรู้ตัว...ถ้ามีใครเข้ามาในระยะประชิดขนาดนั้น
บางทีเขาอาจจะรู้บางอย่างเกี่ยวกับโรงเรียนจริงๆ ฉันจะหาโอกาสมาถามเขาทีหลังตามคำพูดก็แล้วกัน
เมื่อกลับมาถึงห้องรับรอง ยูออนก็มารอฉันอยู่ก่อนแล้ว
เขายังคงทำหน้านิ่ง ริมฝีปากเหยียดเป็นเส้นตรง แล้วใช้สายตาเย็นๆ มองฉันเช่นเคย
“โทษที พอดีว่าฉันเบื่อที่จะต้องรอ เลยไปเดินดูรอบๆ น่ะ” ฉันออกตัวขอโทษและอ้างเหตุผลก่อน
ยูออนเงียบ ไม่พูดอะไร
เขาคงไม่โกรธฉันด้วยเรื่องแค่นี้ใช่ไหม...
สุดท้ายเขาก็เอ่ยสั้นๆ ไม่สื่อความนักว่า
“มาเถอะ” ก่อนเดินนำไป
ฉันแปลได้ว่าเขาคงอยากให้ฉันเดินตาม...
เร่งจังหวะก้าวย่างขึ้นไปทันขายาวๆ ของเขาที่เคลื่อนไปเร็วจนพอสามารถเห็นหน้าเขาได้แล้วก็ลองโยนหินถามทางเสี่ยงทายอารมณ์เขาดู
“นายโกรธเหรอ”
“ทำไมฉันต้องโกรธด้วยล่ะ” เขาตอบนิ่งๆ เหมือนไม่ใส่ใจ แต่สีหน้าก็ไม่ได้บ่งชี้เช่นนั้นนักเลยยังสรุปไม่ได้
“ก็ฉันเดินไปเดินมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนาย ...ทำให้นายต้องรอ”
“นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องโกรธด้วยเหรอ”
ฉันล่ะเหนื่อยใจกับหมอนี่จริงๆ
สารภาพจากใจจริง ฉันดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังโกรธอยู่หรือไม่ได้โกรธด้วยสีหน้าเรียบเฉยและปากเป็นเส้นตรงแบบนั้น
ถ้าจะว่ากันตามหลักเหตุผล... ฉันมีเหตุผลสนับสนุนตั้งมากมายยกมาอ้างได้ว่าฉันไม่ได้ทำผิดที่ปล่อยให้เขารอ ดังนั้นเขาจึงไม่ควรโกรธ แต่แน่ละว่า มนุษย์ที่มีอารมณ์ปรกติเมื่อเป็นฝ่ายต้องรอนานเกินไปมักจะโกรธ แล้วเหตุผลก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงเหนืออารมณ์พอจะควบคุมมันได้ตลอดเวลาแต่หมอนี่ทำเหมือนตนเองสามารถแบ่งแยกอารมณ์กับเหตุผลได้อย่างชัดเจนทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จนการกระทำดูขัดๆ เหมือนเก็บซ่อนอารมณ์ลึกๆ ไว้ข้างในมากกว่า
เอาเถอะ ฉันคงไม่มีสิทธิ์อะไรไปวิพากษ์วิจารณ์เขานี่...
ยูออนนำฉันไปยังอีกห้องหนึ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นห้องสำนักงานธรรมดา เพียงแต่ว่ามันรกเกินกว่าจะเรียกได้ว่า ‘ธรรมดา’
เอกสาร หนังสือ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ เศษกระดาษกองกันเต็มพื้นอย่างไร้ระเรียบ
“นี่คือห้องทำงานของฉัน” ยูออนบอก “เชิญนั่งได้ตามสบาย”
“ถึงนายจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ...” กวาดสายตามองไปมองมาหลายรอบแล้วยังไม่พบที่นั่งว่างสักจุด “นี่ที่มีที่ให้นั่งที่ไหนกันเล่า” พูดแล้วก็อดเสริมไม่ได้ว่า “นายน่าจะทำความสะอาดบ้างนะ”
“ฉันก็ทำความสะอาดที่ทำงานของฉันประจำอยู่แล้ว” ยูออนเถียง
ฉันมองไปยังเจ้าของคำพูดก็เห็นเขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ตรงนั้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นบริเวณเดียวที่หลุดมิติออกไปหากถือว่ามิติดั้งเดิมของห้องนี้คือมิติแห่งความรก
“ฉันเห็นแล้วล่ะ พื้นที่ของนายเป็นที่เดียวที่มีระเบียบ ไม่มีแม้แต่เศษผง” ฉันพูดด้วยเสียงกึ่งชมเชยกึ่งประชดประชัน “เผอิญว่าพื้นที่ที่เหลือของห้องไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ”
“ฉันไม่ได้ใช้พื้นที่ที่เหลือ ดังนั้นเลยไม่ได้ไปยุ่งด้วย”
ฉันนิ่งสนิทไปชั่วครู่ ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ...ไม่เข้าใจทั้งตัวหมอนี่หรือตรรกะบิดเบี้ยวของเขาเลยจริงๆ
“กลับมาที่เรื่องของเรากันเถอะ”
ยูออนเกริ่น ก่อนสรุปสิ่งที่เขาเพิ่งทำไปให้ฉันฟังจบภายในรวดเดียวว่า
“ฉันลงทะเบียนให้เธอเรียบร้อยแล้ว ต่อไปนี้เธอเป็นนักเรียนของเซ็นอย่างเป็นทางการ” พูดพลางหยิบบัตรนักเรียนและเอกสารที่ต้องใช้ออกมาให้ “ห้องเรียนของเธอคือห้อง 2A อยู่ชั้นสอง เธอเริ่มเรียนได้ตั้งแต่พรุ่งนี้ เรื่องค่าเรียนกับของจำเป็นอื่นๆ เดี๋ยวฉันจะจัดการให้เองเธอสามารถเริ่มสืบคดีได้หลังจากที่เรียนเสร็จแล้ว”
ฉันลองเปิดดูผ่านๆ เห็นว่าทุกอย่างเป็นที่น่าพอใจ แม้แต่ค่าจ้างที่ยังไม่ได้ตกลงคุยรายละเอียดกันก็สูงเกินกว่าที่ฉันจินตนาการไว้ มีลาภลอยมาอย่างนี้คงได้แต่ปล่อยให้เลยตามเลยไป
“นายจัดการทุกอย่างเรียบร้อย?” ฉันกล่าวขณะค่อยๆ ละสายตาจากเอกสารในมือ
ยูออนพยักหน้ารับ แล้วเปลี่ยนมาถามว่า
“เธอสัมผัสถึงอะไรบ้างหรือเปล่าตอนที่เข้ามาในโรงเรียน”
“อันที่จริง...ฉันไม่ได้ใช้พลังของฉันมานานแล้ว” ฉันสารภาพตามตรง “แล้วฉันก็ต้องการเวลากลับไปรื้อฟื้นสัมผัสพวกนั้นสักระยะก่อน”
ยูออนผงกศีรษะอีกครั้งเป็นการอนุญาต เขาไม่ได้ตำหนิอะไร
“แล้วนายก็ยังไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรที่จำเป็นต่อการสืบแก่ฉันเลย” ฉันระบุปัญหาไปอีกอย่าง
“ก็จริง...” ยูออนรับ แล้วเปิดคอมพิวเตอร์บนโต๊ะและเปิดไฟล์บางอย่างให้ฉันดู “นี่คือเหยี่อในคดี...ผู้อำนวยการ ดอกเตอร์ซิด และหัวหน้าแผนกวิทยาศาสตร์ ดอกเตอร์ลอยล์”
บนหน้าจอแสดงภาพถ่ายขนาดเล็กของเหยื่อแต่ละคน ประกอบกับข้อมูลคร่าวๆ
ดร. ซิด (Scid)
ผู้อำนวยการสถาบันเซ็น
อายุ: 40
พบศพที่ห้องแลบวิทยาศาสตร์
สาเหตุการตายเกิดจากบาดแผลร้ายแรงที่สมอง
ดร. ลอยล์ (Loil)
หัวหน้าแผนกวิทยาศาสตร์
อายุ: 35
มีรายงานว่าหายตัวไปวันเดียวกับที่มิสเตอร์ซิดถูกฆ่า
ฉันบอกยูออนว่าอยากได้ข้อมูลมาไว้อ่านทีหลัง เขาก็ปรินท์ไฟล์ทั้งหมดออกมาแล้วเอาใส่แฟ้มให้ฉันเก็บไว้เขาเสริมว่าถ้าอยากได้ไฟล์แบบดิจิตอลด้วยให้หาอุปกรณ์มาคัดลอกไปวันหลัง เขาไม่ไว้ใจระบบสื่อสารของโรงเรียนจึงไม่อยากส่งข้อมูลให้ทางอีเมล์
นอกจากแฟลชไดร์ฟที่เป็นสร้อยคอแล้ว ฉันก็ไม่มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นที่พอจะเก็บข้อมูลได้ติดตัวมาด้วย และฉันก็ไม่อยากเอาแฟลชไดร์ฟที่แม่ให้มาใช้ ดังนั้นฉันจึงบอกเขาว่าคราวหน้าจะเตรียมอุปกรณ์มา
“ซิดถูกฆ่าเมื่อวันที่ 1 ตุลาฯ ลอยล์หายไปในวันเดียวกัน” ยูออนย้ำข้อมูลที่เขาเห็นว่าสำคัญให้ฉันฟัง
“สาเหตุการตายเกิดจากบาดแผลร้ายแรงที่สมอง...?” ฉันอ่านรายงานแล้วสงสัยในจุดนี้
“ใช่ แต่ไม่มีบาดแผลที่เห็นได้ภายนอกบนศพของซิด” ยูออนกล่าว “มันเหมือนกับว่าสมองของเขาถูกโจมตีด้วยพลังลึกลับนี่ไม่ใช่การตายโดยธรรมชาติหรือการตายอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์ ...ผลจากฝ่ายนิติเวชบอกเช่นนั้น แต่นั่นก็แค่ในกรณีที่คนลงมือเป็นมนุษย์ธรรมดา”
“ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาก็ต้องเป็น...ผู้มีพลังจิต...เหมือนกับฉัน...” ฉันพึมพำ เริ่มจับเค้าลางได้แล้ว “นั่นคือสาเหตุที่นายมาขอให้ฉันช่วยสินะ”
“ถูกต้อง” ยูออนผงกศีรษะ “ฉันสงสัยว่าตัวการน่าจะเป็นคนในโรงเรียน ฉันต้องการพลังของเธอเพื่อตามหาตัวคนคนนั้น” เขามองตรงมาที่ฉันอย่างจริงจัง สายตาหวังพึ่งเต็มที่
“ตกลง ฉันจะทำ” ฉันรับคำ แต่ก็ยังไม่วายสงสัย “แต่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องแม่ของฉันกันล่ะ”
หวังว่าคราวนี้คงถึงเวลาที่เขาจะยอมบอกเรื่องนี้กับฉันแล้วนะ...
ยูออนหลับตาลงชั่วขณะราวกับต้องการรวบรวมสมาธิชั่วคราว ไม่นานก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วอธิบาย
“ก่อนหน้านี้ ฉันเคยบอกแล้วว่ามีผู้ก่อตั้งสถาบันเซ็นทั้งหมดสี่คน ทั้งซิดและลอยล์ก็เป็นผู้รับผิดชอบในการจัดตั้งโรงเรียนนี้เช่นเดียวกับแม่ของเธอ”
ฉันเผยอปากออกมาด้วยความตกตะลึง
“เธอคงไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญที่ผู้ก่อตั้งทั้งสามคนไม่ตายก็หายตัวไปตามๆ กันหรอกใช่ไหม” ยูออนถาม
ฉันส่ายหน้าปฏิเสธช้าๆ
“นายบอกว่ามีทั้งหมดสี่คนนี่ คนสุดท้ายเป็นใครล่ะ”
“มิสอาเซีย อาจารย์คนปัจจุบันของห้อง 2A”
“นั่นมันห้องเรียนของฉันไม่ใช่เหรอ” ฉันโพล่งถามด้วยความตกใจ
ครั้งนี้ยูออนพยักหน้ารับช้าๆ ฉันสังเกตเห็นด้วยว่ามุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย
“ฉันไม่ชอบเลยที่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามแผนของนาย
“ฉันอยากให้เธอเรียกมันว่ากลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมมากกว่า” ยูออนกล่าวยิ้มๆ “หมากรุกเป็นกิจกรรมยามว่างอย่างหนึ่งที่ฉันโปรดปราน”
เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้ว่าเขามีความชอบอย่างมนุษย์คนอื่นด้วย
“ฉันเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งของนายงั้นสิ” ฉันกล่าวกึ่งประชด
“ไม่ใช่” อีกฝ่ายปฏิเสธ “เธอคือควีน* ตัวหมากที่ทรงพลังที่สุดของฉัน ฉันเอาชนะศึกนี้โดยไม่พึ่งพาความสามารถของเธอไม่ได้หรอก”
ถูกเปรียบเทียบเป็นควีนที่มีพลังมากที่สุด แต่ก็ยังไม่พ้นต้องเป็นหมากให้หมอนี่อยู่ดี ได้ยินแล้วไม่รู้ควรจะดีใจหรือเสียใจเลยจริงๆ
“นี่ฉันควรจะรับคำชมนี้ไหมนะ”
ยูออนยักไหล่เหมือนต้องการจะสื่อว่า ‘เรื่องของเธอ’
“อย่างไรก็ตาม เธอต้องเริ่มเรียนพรุ่งนี้ ควรกลับไปพักเสียก่อนดีกว่า”
อย่างน้อยก็ยังดีที่เขานึกเป็นห่วงสุขภาพของฉันบ้างเหมือนกันละนะ
“แล้วก็มาหาฉันได้ทุกเมื่อถ้าเธอต้องการความช่วยเหลือหรือมีความคืบหน้าอะไร” ยูออนกำชับปิดท้าย
ฉันพยักหน้ารับ บอกลาเขา แล้วเดินทางออกจากสถาบันเซ็น
การตกลงทำงานกับยูออนทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังทำงานอยู่กับเจ้านายที่เข้มงวดที่ทุกอย่างต้องเป็นงานเป็นการไปหมดมากกว่าจะเป็นการทำงานกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน จนฉันไม่อยากอยู่รบกวนเขาต่อนานนัก เหมือนเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำต่อ
เมื่อคิดดูแล้ว วันนี้มีหลายอย่างเกิดขึ้น... และฉันก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีกว่าฉันพร้อมสำหรับอะไรที่ต้องเผชิญในเส้นทางที่ฉันเลือกเดินหรือไม่
แต่ฉันรู้ดีว่ามัวแต่กังวลไปก็ไร้ประโยชน์วันนี้ยังพอมีเวลาเหลือฉันว่าจะเริ่มฝึกทันที
ที่ที่ฉันเลือกใช้เป็นสนามฝึกคือที่โปรดของฉัน...สวนเพกาซัส
เมื่อก่อนที่นี่เคยเป็นสวนสาธารณะที่สวยงาม มีลูกกรงสำหรับปีนป่าย กระบะทราย ม้าลื่นสำหรับเด็ก ม้ากระจก ม้านั่ง และเครื่องเล่นสปริงหมุนที่ทำเป็นรูปม้ามีปีกเช่นเดียวกับเครื่องเล่นอื่นๆ ทั้งหลายที่มีการตกแต่งด้วยรูปเพกาซัสเช่นกัน
ในอดีตเคยมีเด็กๆ หลายคนมาเล่นที่นี่ แต่ปัจจุบันไม่มีใครใช้มันอีกแล้ว
เครื่องเล่นส่วนใหญ่จึงอยู่ในสภาพชำรุด สีหลุดลอก สนิทจับอยู่บ้าง ต้นไม้ก็ขึ้นรกรุงรังไร้การตัดแต่ง เพราะไม่มีใครเข้ามาปรับปรุงที่นี่
แต่อย่างไรฉันก็ชอบที่นี่และมีความทรงจำในอดีตที่ดีต่อมัน และในเมื่อไม่มีคนใช้ ที่นี่จึงเป็นที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการฝึก
เอาละ มาเริ่มกันเลยดีกว่า...
ฉันบอกตัวเองในใจ แล้วก็นึกทบทวน
พลังความสามารถพิเศษของฉันแบ่งออกเป็นสามสาขา ได้แก่
พลังจิตจลน์ (Psychokinesis) – ความสามารถที่อาศัยอำนาจของจิตในการบังคับวัตถุที่อยู่ใกล้ๆ การฝึกพลังจิตจลน์จำเป็นต้องเพิ่มทักษะในการควบคุม
พลังจิตหยั่งรู้ (Clairvoyance) – ความสามารถที่ต้องเปิดจิตให้กว้างเพื่อรับรู้ข้อมูลที่นอกเหนือจากทางประสาทสัมผัสทั้งห้า จำเป็นต้องพัฒนาประสารทสัมผัสอื่นๆ ให้เฉียบคมและคงจิตใจให้ปลอดโปร่ง
พลังจิตสัมพันธ์ (Telepathy) – ความสามารถที่ใช้พลังจิตเพื่ออ่านและแลกเปลี่ยนความคิด ต้องเพิ่มสมาธิและการจดจ่อในการฝึกฝน
เนื่องจากยูออนอยากให้ฉันช่วยสืบคดี ฉันจึงคิดว่าควรจะเริ่มฝึกพลังจิตหยั่งรู้ก่อน เผื่อจะช่วยหาข้อมูลเพิ่มเติมได้บ้างจากวัตถุแวดล้อม แต่ว่าการฝึกอย่างอื่นก็จำเป็นเช่นกัน พลังจิตจลน์น่าจะช่วยฉันป้องกันตัวเองได้ในระดับหนึ่งหากเกิดอันตราย และอาจจะช่วยพาฉันเข้าถึงที่ยากๆ ได้ ส่วนพลังจิตสัมพันธ์หรือโทรจิตนั้นอาจจำเป็นในการติดต่อสื่อสาร หรือสอบสวนผู้ต้องสงสัย
จำได้ว่าผู้มีความสามารถหลายด้านไม่ได้มีความสามารถโดดเด่นด้านเช่นฉันก็ควรฝึกทุกอย่างควบคู่กันไปจะได้ผลดีกว่า เพราะพลังจิตทุกด้านก็สัมพันธ์กัน แต่ตอนนี้จำเป็นต้องใช้พลังหยั่งรู้ก็ขอเริ่มจากจุดนี้ก่อนละ
โชคดีที่ฉันพกสำรับไพ่อันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ฝึกพลังจิตหยั่งรู้ได้ดีมาด้วย ยูออนเคยบอกก่อนหน้านี้ว่าจำเป็นต้องใช้พลังของฉันดังนั้นฉันจึงเตรียมมันมาล่วงหน้า แล้วที่สวนเพกาซัสก็พอมีโต๊ะม้าหินอ่อนที่ไม่สกปรกเกินไปพอให้ฉันใช้ได้อยู่ด้วย
ฉันเริ่มต้นการฝึกของฉันด้วยการจดจำไพ่แต่ละใบในสำรับ ค่อยๆ ดู ค่อยๆ พลิก ค่อยสัมผัสทั้งขอบ หน้าใบ และหลังไพ่ เชื่อมโยงไพ่แต่ละใบเป็นประสบการณ์และความรู้สึกเฉพาะตัว จากนั้นก็ค่อยเก็บไพ่เข้าสำรับ สับเสียใหม่ จั่วออกมาแล้วทายหน้าไพ่ดู
อาจฟังดูงี่เง่า แต่ฉันจะค่อยฝึกของฉันไปเช่นนี้ ครั้งแรกก็เริ่มจากสำรับเล็กๆ ไม่กี่ใบก่อนแล้วกัน ยังไม่ต้องครบห้าสิบสองใบก็ได้
ฉันฝึกซ้ำๆ จนกระทั่งได้ผลลัพธ์เป็นที่พอใจ นั่นคือฉันสามารถทายไพ่ในสำรับเล็กๆ ของฉันถูกทั้งหมดด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่การเสี่ยงทายแล้วบังเอิญเดาได้ถูกต้อง ฉันรู้สึกจริงๆ ว่าฉันรู้
“โอเค เท่านี้คงพอสำหรับวันนี้ละนะ”
บอกตัวเองเสร็จก็เก็บไพ่ แล้วเหยียดแขนยืดเส้นยืดเส้นเล็กน้อย
ฉันยังไม่ค่อยชินกับการใช้พลังพวกนี้เท่าไหร่ มันนานมากแล้วจริงๆ
ถึงจะอยากเร่งฝึกฝนเพื่อรื้อฟื้นสัมผัสเดิมที่เคยมี แต่การทำเช่นนั้นจะกินพลังงานฉันไปมากจนก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี การค่อยๆ ฝึกวันละนิดวันละหน่อยน่าจะให้ผลลัพธ์ในระยะยาวที่ดีกว่า ดังนั้นฉันต้องอดทนเอาไว้
ฉับพลันทันใดนั้น ฉันรีบหันขวับไปที่พุ่มไม้ริมสวนด้วยรู้สึกว่ามีคนกำลังมองฉันอยู่...
ทว่ามองไปก็ไม่มีอะไรผิดปรกติ พุ่มไม้ยังคงเป็นพุ่มไม้ธรรมดาเช่นเดิม
บางทีฉันอาจจะคิดมากไปเอง...
มองนาฬิกาอีกที เวลาก็ผ่านไปนานเกินกว่าที่คาดไว้
นี่สายขนาดนี้แล้วหรือนี่
ฉันกลับบ้านก่อนดีกว่า
ความคิดเห็น