ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2 เด็กชายผู้ช่วยชีวิต [1]

    • อัปเดตล่าสุด 15 เม.ย. 52


    บทที่ 2 เด็กชายผู้ช่วยชีวิต

    [1]

     

     

                    ณ ริมทะเลสาบที่เงียบสงบ เด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งพักผ่อนอย่างสุขสบาย เอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ ข้างกายเป็นคันเบ็ดไม้ที่ทำขึ้นอย่างลวก ๆ ที่จริงเขาตั้งใจจะมาตกปลา แม้จะเป็นกิจกรรมยามว่างที่เคยทำอยู่ไม่กี่หนเมื่อครั้งยังเล็กก็ตาม ฝีมือของเขาก็ยังใช้ได้อยู่ ตกได้ปลาตัวเล็กถึงสองตัวแล้ว แต่ตอนนี้เขาเกิดอยากพักผ่อนขึ้นมา เลยหาที่ยึดคันเบ็ดเอาไว้ เอนตัวลงนอน เปลือกตาปิดสนิท ปล่อยสายเบ็ดให้ลอยน้ำอยู่อย่างนั้น

                    สายลมยามบ่ายโชยผ่านเย็นสบาย กระแสลมอ่อนพัดพลิ้วไล่ไปตามเส้นผมสีทองของเขา สัมผัสนั้นช่างอ่อนโยน ราวกับนิ้วเรียวของผู้เป็นมารดากำลังลูบไล้ศีรษะของลูกน้อย บรรยากาศช่างเหมาะแก่การนอนยิ่งนัก

                    เด็กชายผู้กำลังพักผ่อนสบายอารมณ์อยู่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าบ่ายอันผาสุกของเขาใกล้สิ้นสุดลงเต็มที เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่วิถีชีวิตของเขาอย่างใหญ่หลวง...

                    เสียงน้ำกระเซ็นจากตำแหน่งห่างออกไปดังเข้ามาปะทะโสตประสาท ดึงสติคนที่ยังไม่ได้หลับไปเสียทีเดียว แค่เพียงกำลังเคลิ้ม ๆ อยู่เท่านั้น ให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลอำพันทอดมองไปยังทิศที่มาของเสียง ไกลออกไปเบื้องหน้า คล้ายเห็นเงาคนบริเวณกลางทะเลสาบ ผืนน้ำที่เคยนิ่งสงบกลับปรากฏหน้าคลื่นเป็นวงกลมหลายระลอกออกมาจากตำแหน่งนั้น

                    มีคนตกน้ำ !

                    ยังไม่ทันที่สมองจะคิดอ่านให้รอบคอบ ร่างของเขาก็กระโจนลงน้ำไปเสียแล้ว

    ----------------------

                    “อว้าว !” ไมอาส่งเสียงกรีดร้องไม่เป็นภาษา ด้วยความตื่นตกใจ มวลอากาศที่ทะลักเข้าปอดทำให้เสียงของเธอขาดหายไป

                    เด็กหญิงกำลังร่วงหล่นจากท้องฟ้า...

                    ร่วง !

                   
    ร่างของเธอกำลังตกลงมาด้วยความเร็วที่สูงขึ้น ๆ อันเนื่องมาจากแรงโน้มถ่วงของมิติ ซึ่งมีระดับใกล้เคียงกันแทบจะทุกดินแดนที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ไม่มีการลอยตัว หรือเวทมนตร์ใดคอยค้ำจุนเหมือนครั้งที่แล้ว เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะหันไปกลับตะโกนต่อว่าผู้ที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในสภาพนี้ด้วยซ้ำ

                    มวลอากาศที่พัดขึ้นปะทะใบหน้าทำให้เธอต้องหลับตาปี๋ มิเช่นนั้นดวงตาของเธออาจจะบาดเจ็บ และเนื่องจากไม่สามารถมองเห็นพื้นเบื้องล่างแต่อย่างใด ไมอาจึงได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ...

                    ขอให้ข้างล่างเป็นพื้นน้ำทีเถอะ...



                    หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้รอดจากสถานการณ์นี้ได้ ! ...



                    จะให้เป็นหนี้บุญคุณนักเวทก็ยอม ! ...


                    ความหวังของเธอพอจะเป็นจริงอยู่บ้าง เพราะที่สุดแล้วร่างเล็กก็ตกลงไปในทะเสสาบ แต่ถึงกระนั้นแรงกระแทกที่รุนแรงมหาศาลก็ทำให้ปวดระบมไปทั่วทั้งกาย อากาศที่อุตส่าห์กักเก็บเอาไว้ในปอดเผื่อจะเกิดปาฏิหาริย์ถูกนำออกมาใช้อย่างรวดเร็ว เรี่ยวแรงที่เคยมีอยู่มากมายบัดนี้กลับมหลายสิ้น เป็นผลกระทบจากเดินทางข้ามมิติที่แม้ทราบอยู่แก่ใจก็มิอาจแก้ไขใด ๆ ได้ ร่างเล็กเริ่มจมดิ่งลงไป...

                    รู้แบบนี้ตกพื้นดีกว่า เลวร้ายสุดก็แค่เจ็บตัวเท่านั้น ไม่ต้องมาจมน้ำตาย...

                    ตาย...

                    ...

                    ตาย !

                    ไม่ !

                    ยังตายไม่ได้ ! ฉันยังไม่ยอมตายตอนนี้หรอกน่า !

                    เหมือนกับจะรู้ทันความคิด พละกำลังเริ่มกลับคืนมา แขนขาจึงทำการแหวกว่ายขึ้นไป ทว่าเท่านั้นยังไม่พอ ตอนนี้อากาศในปอดหมดสิ้นแล้ว !

                    ไม่นะ ไม่ยอมหรอก ยังไงก็ไม่ยอม...


                    กัดฟันทนได้สักพัก ความคิดก็เริ่มขาดช่วงไป ดวงตาที่เบิกกว้างอยู่ค่อย ๆ หรี่เล็กลง

                    กลั้นหายใจไว้... กลั้นหายใจไว้...


                    จากประสบการณ์ที่เคยเรียนรู้มาทำให้ไมอายังคงกลั้นหายใจอย่างสุดฤทธิ์ ไม่ว่าร่างกายจะขัดขืนคำสั่งนั้นแค่ไหนก็ตาม...

                    ภาพที่มองเห็นยิ่งเลือนราง คล้ายเห็นเงาคนว่ายเข้ามาใกล้ แต่ทว่าก่อนจะรู้ว่าคิดฝันไปเองหรือเป็นเรื่องจริงประการใด เปลือกตาของเธอปิดสนิทลงเสียแล้ว

    ----------------------

                    ไมอาลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งพร้อมอาการสำลักน้ำ สิ่งแรกที่ปรากฏให้เห็นคือแสงแดดที่ส่องสว่างแยงตา เธอเห็นภาพใบหน้าของคนคนหนึ่งกำลังจ้องมองเธออยู่ แต่ภาพนั้นมัว และไม่ชัดเจน คงเป็นเพราะแสงแดดที่ทำให้รูม่านตายังปรับตัวไม่ทัน บวกกับอาการสะลึมสะลือของเธอเอง

                    “นายเป็นใคร ?” เธอส่งเสียงถามออกไป แม้ยังคงมึนงง แต่ก็มองออกว่าคนข้างหน้านั้นเป็นเด็กผู้ชาย

                    “ฉัน โคเซฟ ยินดีที่ได้รู้จัก” เด็กชายยิ้ม ท่าทางของเขาดูดีใจมาก

                    ไมอาที่เรี่ยวแรงยังไม่ฟื้นคืนมาดีได้แต่โวยวายอยู่ในใจ

                    ยินดีที่ได้รู้จักบ้าบออะไรกัน คนเกือบจะตายอยู่แล้ว

                    แม้จะคิดเช่นนั้น แต่ไมอาก็ยิ้มตอบเด็กชาย

                    “อืม” เธอตอบเสียงอู้อี้ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง คงเป็นรอยยิ้มของเด็กชายที่ทำให้เธอสบายใจ จึงสามารถพริ้มตาหลับลงอีกครั้งได้อย่างไร้กังวล

                    “อ้าว หลับไปซะแล้ว” เด็กชายผู้มีนามว่าโคเซฟกล่าวเสียงเบา ใบหน้ายังคงเปื้อนรอยยิ้ม เขาจ้องหน้าเด็กหญิงอยู่นาน

                    ในตอนแรกเขาเองก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าจะเด็กหญิงจะเป็นอะไรร้ายแรงหรือไม่ แต่ระหว่างที่กำลังจ้องหน้าเธอ แล้วคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปอยู่นั่นเอง นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่สวยนั้นก็ลืมขึ้นมามองหน้าเขา ความกังวลทั้งหมดจึงมลายสูญ คงเหลือแต่ความยินดีแทน ยินดีที่ช่วยชีวิตเธอไว้ได้สำเร็จ

                    ก็น่ารักดี...
    เด็กชายสรุปในใจก่อนจะลุกขึ้นไปทำสิ่งอื่น

                    โคเซฟกลับมาพร้อมกองกิ่งไม้แห้งในอ้อมอก เขาคิดว่าควรจะก่อกองไฟเพื่อช่วยให้เสื้อผ้าแห้งเร็วขึ้น แต่พอกลับมาถึง ชุดที่เด็กหญิงสวมใส่อยู่ก็แห้งสนิท ในขณะที่เสื้อของเขายังคงเปียกชื้นอยู่เลย เด็กชายสงสัย แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรนัก เนื่องด้วยคนที่ตอบคำถามได้ยังคงนอนนิ่งอยู่ เขาจึงผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่ที่พกมาด้วย แล้วนำชุดเก่าไปผึ่งแดด

                    ไมอาฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเย็น ยังคงมีอาการมึนงงค้าง ความรู้สึกอื้ออึงวนเวียนอยู่ภายใน

                    ปวดหัวจัง เสียงอะไรก็ไม่รู้ก้องอยู่ในหัวตลอดเลย

                    ชั่วยามนี้เป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงมาอยู่ ณ ริมขอบฟ้า ถึงแม้จะอ่อนกำลังความร้อน ทว่ากลับส่องแสงสีแดงเจิดจ้า ส่งผลให้ทุกสิ่งที่ต้องแสงล้วนเป็นสีแดงเสียซีกนึ่ง ทิ้งอีกซีกที่เหลือให้ตกอยู่ภายใต้เงามืด ประกายสีแดงส้มเต้นระริกอยู่บนผิวน้ำกว้างไกลสุดสายตาของทะเลสาบ

                    ไมอาตั้งสติ ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นึกถึงสาเหตุที่ทำให้เธอเกือบจมน้ำตาย

                    ‘เวทที่สามารถส่งคนข้ามมิติ... ข้าพอจะมีอยู่บ้าง’

                    เธอจำได้ว่าท่าทางของรูริตอนนั้นส่อเค้าไม่มั่นใจเท่าใดนัก

                    พอจะมีอยู่บ้าง... งั้นหรือ... !?

                    ใบหน้าของเด็กหญิงฉายแววโกรธเกรี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างครุ่นคิด

                    ฉันน่าจะเอะใจเสียแต่แรก...

                    ไม่น่าจะไปหลงเชื่อยายนั่นเลย ! ...

                    ในขณะที่ความโกรธพุ่งถึงขีดสุด เด็กหญิงตั้งท่าจะระบายอารมณ์ด้วยการตะโกนใส่ท้องฟ้าตามธรรมเนียมส่วนตัว เสียงหนึ่งก็ขัดขึ้นก่อน...

                    “ฟื้นแล้วหรือ ?”

                    ไมอาชะงัก ความประหลาดใจทำให้เธอลืมสิ่งที่คิดจะทำไป เด็กหญิงหันไปตามทิศทางของเสียงนั้น เด็กชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนก้อนหินใหญ่ ข้างกองไฟ ห่างจากตำแหน่งที่เธออยู่เล็กน้อย

                    เด็กคนนั้น...

                    ชื่อ... โคเซฟ

                    โคเซฟมีผมสีทอง เป็นสีทองที่คล้ายทองคำแท้ ๆ ไม่ใช่ทองบลอนด์แบบที่เธอพบเห็นอยู่บ่อย ๆ ผมด้านหลังของเด็กชายไว้ยาวประบ่า และออกจะกระเซิงอยู่เล็กน้อย ส่วนผมด้านหน้านั้นตัดสั้นรับกับใบหน้าดี นัยน์ตาใต้คิ้วคมเข้าสีเดียวกับเส้นผมสะท้อนเปลวไฟสีส้มแดงจากกองไฟที่จุดอยู่ข้างกาย จึงไม่สามารถมองเห็นสีตาที่แท้จริงได้ เขามีผิวสองสีค่อนไปทางโทนอ่อน ซึ่งถือว่าเข้มกว่าสีผิวของเธอเล็กน้อย

                    “หิวไหม ?” โคเซฟถามพร้อมทั้งยื่นก้านไม้เสียบปลาย่างมาให้ ปลามีขนาดเล็ก แต่ถูกย่างอย่างพอดี ไม่ดิบหรือไหม้เกินไป

                    เด็กหญิงเพิ่งรู้ตัวว่ายังไม่ได้กินอะไรเลย ตั้งแต่ที่มิติก่อนแล้ว จึงคว้าปลามากินอย่างไม่เกรงใจ ทั้งยังไม่ว่ากล่าวใด ๆ สักคำ ใช้เวลาเพียงไม่นานนักการรับประทานก็สิ้นสุดลง โคเซฟมองเด็กหญิงแบบอึ้งปนทึ่งเล็กน้อย

                    เธอคงจะหิวมากจริง ๆ

                    “อร่อยจัง ขอบคุณมากนะเด็กน้อย นายนี่ช่วยได้เยอะเลย -- อ้อ ! จริงสิ ขอบคุณที่ช่วยฉันไว้ด้วย” ไมอาเอ่ยขอบคุณอย่างลืมตัวไปชั่วขณะ

                    “เด็กน้อย ?” ความตั้งใจจะผูกมิตรของโคเซฟพลันถดถอยทันทีที่ได้ยินคำนั้น เขาไม่ชอบให้ใครมาทำเหมือนเขาเป็นเด็ก ๆ หนำซ้ำคราวนี้ฝ่ายคนพูดก็ยังดูเด็กกว่าเขาเสียอีก

                     “นี่เธอคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่กัน ?” เด็กชายขมวดคิ้วกอดอกถาม

                    ร่างเล็กของคู่สนทนาผงะเล็กน้อย การที่รูริจากมิติที่แล้วปฏิบัติกับเธออย่างเท่าเทียม ทำให้เธอลืมสภาพของตัวเองไปชั่วขณะ แต่เมื่อคิดว่า

                    ถึงบอกความจริงไป เจ้าเด็กนี่ต้องไม่เชื่อเป็นแน่
                    เด็กหญิงจึงกล่าวไปอีกทาง

                    “อายุมากกว่านายก็แล้วกัน” เธอเลือกตอบแบบเลี่ยง ๆ แล้วสะบัดหน้าหนี

                    “เหรอ ฉันอายุสิบสามปี แล้วเธอล่ะ ?” เจ้าคนที่เธอเรียกว่า ‘เด็กน้อย’ ยังคงไม่ยอมแพ้

                    โธ่เอ๊ย ! เจ้าเด็กดื้อด้าน !

                    ถ้าไม่ติดที่ว่านายเป็นคนช่วยชีวิตไว้นะ ฉันซัดนายไปนานแล้ว !

                    แม้คิดร้ายอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงฉีกยิ้ม กล่าวเสียงอ่อนเหมือนสำนึกผิดว่า

                    “ฉันอายุสิบเอ็ดปี เมื่อกี้มันมึน ๆ เลยสับสนไปหน่อย ขอโทษด้วยนะ”

                    คำโป้ปดใหญ่โตถูกสร้างขึ้นเพื่อปิดปังฐานะที่แท้จริง

                    ยังไงซะร่างนี้ก็อายุสิบเอ็ดแหละน่า แล้วเมื่อกี้ก็มึนเลยลืมสภาพของตัวเองไป...

                    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยอมขอโทษโดยดี โคเซฟจึงไม่คิดใส่ใจเอาความอะไร ยอมยกโทษให้โดยง่าย

                    “อืม ไม่เป็นไร เธอเพิ่งจะฟื้นขึ้นมานี่นา แต่ว่า...” โคเซฟหยุดพูดแล้วแสร้งทำสีหน้าเคร่งเครียด

                    “แต่อะไร ?”

                    “ฉันยังไม่รู้ชื่อเธอเลยนะ” เด็กชายผมทองเปลี่ยนมายิ้มร่า

                    ไมอาเพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำตัวเลย เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาทมากไปกว่านี้ เธอจึงรีบตอบไปทันควัน

                    “ฉันชื่อไมอา”

                    “ส่วนฉัน...”

                    “โคเซฟ” ไมอาแทรก

                    “จำได้ด้วยเหรอ นึกว่าเธอจะจำชื่อฉันไม่ได้ซะอีก” เจ้าของนามดีใจที่มีคนจำชื่อตนได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน ใบหน้ายิ้มแป้นแบบเด็ก ๆ

                    ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ ก็ประโยคแนะนำตัวของนายมันก้องอยู่ในหัวฉันตลอดเลยนี่นา...

                    ไม่น่าถามชื่อนายตอนนั้นเลย...

                    ไมอารู้แล้วว่าเสียงที่ก้องอยู่ในหัวตอนที่สลบอยู่นั้นคืออะไร

                    “ความจำฉันดีน่ะ” คิดแล้วก็เปลี่ยนเป็นชมตัวเองแทน ก่อนกล่าวถามต่อว่า

                    “แล้วนายเป็นใครกัน ? มืดค่ำขนาดนี้ยังไม่กลับบ้านอีก”

                    “ฉันต่างหากละที่ควรจะเป็นฝ่ายถามเธอว่า อยู่ดี ๆ มาว่ายน้ำเล่น ให้จมน้ำ เดือดร้อนคนอื่นทำไมกัน ? ...” โคเซฟพูดใส่อารมณ์ในทีแรก แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนของไมอา เขาจึงรีบกล่าวเสริมไปอีกทาง

                    “...แต่เอาเถอะ ฉันจะตอบเธอก่อนก็ได้ ฉันอยู่ในระหว่างเดินทาง เกวียนสินค้าของฉันก็จอดอยู่โน่น” นิ้วโป้งของเขาชี้ไปทางขวามือ

                    เบื้องหลังหมู่พุ่มไม้สีเขียวเข้ม เป็นเกวียนสินค้าพร้อมสัตว์หน้าตาประหลาด รูปร่างคล้ายม้า แต่มีเขาโค้งแหลมคู่หนึ่งอยู่บนหัวเทียมไว้อยู่ เกวียนนั้นเหมือนกับจงใจซ่อนเอาไว้ ทว่าก็ยังไม่แนบเนียนนัก ดูลักษณะแล้ว คงตั้งใจป้องกันการมองเห็นจากอีกด้านมากกว่า

                    ที่สีหน้าไมอาเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะน้ำเสียงกล่าวหาในถ้อยคำของเขาอย่างที่โคเซฟเข้าใจไปเอง เธอกลัวความลับเรื่องที่เธอมาจากต่างมิติจะหลุดออกไปต่างหาก และเนื่องจากไม่ต้องการจะตอบคำถามเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของตนเองอยู่แล้ว เมื่อสบโอกาสเด็กหญิงเลยกระตุ้นถามต่อ

                    “อย่างนั้นนายคงเป็นพ่อค้าสินะ ?”

                    คำถามนี้ยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่งแอบแฝงอยู่ เพราะยังไม่รู้ความเป็นมาของที่นี่มากนัก เธอจึงต้องรวบรวมข้อมูลเอาไว้ก่อน ไม่แน่บางทีเด็กอายุสิบสามธรรมดาก็อาจจะมีอาชีพเป็นหลักเป็นฐานแล้วก็ได้

                    แต่ดูยังไงเจ้าเด็กนี่ก็ไม่น่าจะใช่...

                    “ก็ไม่เชิง แค่มีพ่อเป็นพ่อค้าเท่านั้น” โคเซฟตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ สายตามองทอดไปยังผิวทะเลสาบ

                    “งั้นหมายความว่ากำลังออกเดินทางค้าขายเพื่อฝึกเป็นพ่อค้าเต็มตัวน่ะสิ” ไมอาคาดเดาเรื่องจากประสบการณ์เอาเอง

                    “ก็ประมาณนั้นแหละ” เด็กชายยักไหล่ ท่าทางเหมือนไม่อยากจะคุยเรื่องนี้ต่อ

                    คำตอบที่ไม่ค่อยเต็มใจนักทำให้ไมอาขี้เกียจจะเซ้าซี้อีก เมื่อเจ้าตัวไม่อยากบอกจะไปยุ่งก็หาใช่หน้าที่ ทุกคนย่อมมีเรื่องที่ไม่อยากกล่าวถึง ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน

                    “แล้วที่นี่คือที่ไหนกันล่ะ ?” เด็กหญิงตีหน้าให้ใสซื่อไร้เดียงสาที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ซึ่งในสายตาคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอย่างโคเซฟ เขาหลงเชื่อสีหน้านั้นโดยสนิทใจ

                    “นี่เธอสมองเสื่อมหรือไง ? ...” คำพูดแรกกล่าวโดยไม่ทันยั้งคิด แล้วค่อยตระหนักได้ว่าไมอาเพิ่งฟื้นขึ้นมา จึงรีบถามต่อรวดเร็ว “...หรือว่าเป็นผลกระทบจากการจมน้ำ ! แม้แต่อาณาจักรรูลน์เธอก็ยังไม่รู้จัก ?”

                    เด็กชายแม้จะเป็นห่วงเด็กหญิงจริง ทว่าเนื้อความตอนต้นทำให้เธอเข้าใจผิดไปอีกทางเสียก่อนแล้ว

                    เจ้าเด็กนี่มาหาว่าฉันโง่หรือ !

                    หลงนึกว่าหลอกเด็กจะง่ายซะอีก...

                    เฮอะ ! อย่างน้อยก็ยังได้ข้อมูลมาบ้างแหละน่า...

                    “ก็... คงงั้นมั้ง” ไมอายิ้มแหย ๆ แล้วเออออตามไป ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ “นายลองเล่าเรื่องอาณาจักรนี้ให้ฟังหน่อยสิ เผื่อฉันจะนึกอะไรขึ้นมาได้”

                    เป็นคำพูดที่ฟังอย่างไรก็แปลก ๆ อยู่ ก็เธอเพิ่งชมว่าตัวเองความจำดีไปหยก ๆ

                    คงจะมีแต่เด็กและคนซื่อบื้อเท่านั้นแหละที่ไม่เอะใจ

                    ไมอานึกประชดเล่น ๆ แต่แล้วคำตอบที่ตามมาทำให้เธอต้องรีบเปลี่ยนความคิดทันที

     

                     

                     

                     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×