คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ch3 "thunderclap" { } คืนชีพคัมภีร์มรณะ
อุณหภูมิเริ่มลงหนาวเสียจนขาสั่น ครั้นจะก้าวต่อไปก็รังแต่จะทำให้ขาแข็งเสียจนก้าวไม่ออก บัดนี้ขนทั่วกายของคิมหันต์ลุกชูชัน ปลายจมูกเริ่มแสบและแดง มีน้ำมูกไหลเยิ้มออกมา จนต้องหายใจฮืดฮาด เนื้อตัวที่เปียกปอนเมื่อสัมผัสกับอากาศเย็นๆประกอบกับเสื้อบางๆที่แนบแผ่นหลังทำให้มันเป็นดั่งเข็มนับพันเล่มที่ค่อยๆทิ่มมาที่หลังของคิมอย่างช้าๆ เจ็บปวด และทรมานอย่างแรง
เฉกเช่นเดียวกับลลิตและกวี ทั้งคู่เดินนำหน้าเขาอยู่ ลลิตดูไม่สบอารมณ์อย่างมากที่ต้องตามกวีไปซึ่งไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ส่วนกวีนั้นนิ่งเงียบไม่แสดงอาการใดๆ เขาไม่แสยะยิ้มมีเลศนัยน์แบบทุกที บางทีเขาคงกำลังคิดอะไรอยู่
ก้าวพ้นขั้นบันไดขั้นบนสุดของชั้นที่สี่ของตึก ความหนาวเริ่มก่อตัวขึ้นทั่วบริเวณ คิมสาบานได้ว่ามีไอเย็นพวยพุ่งออกมาจากปากตอนที่เขาหอบ กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายเริ่มขดเกร็ง เขารู้สึกง่วงอย่างกะทันหันจนตาแทบจะปิด แต่ก็ฝืนก้าวต่อไปแม้แรงจะเริ่มเหือดหายไปกับอากาศหนาวยะเยือกนี้ทีละน้อย
คิมหันต์แปลว่า ฤดูร้อน และแน่นอนคิมไม่ชอบอากาศหนาวอย่างมากเสียด้วย เขารู้สึกหงุดหงิดและอารมณ์เสียอย่างไม่มีสาเหตุ บางทีอาการนี้อาจจะเป็นเฉกเช่นเดียวกับที่คนส่วนใหญ่รังเกียจอากาศร้อนก็ได้
“จะเดินไปอีกกี่ชั้นกัน” คิมเอ่ยขึ้นมาในความเงียบ ฟันบนฟันล่างกระทบกันเบาๆ
“ชั้นแปด” กวีหันมาตอบด้วยสีหน้านิ่งๆ เลือดที่มุมปากของเขาซึ่งเกิดจากหมัดของคิมหันต์กำลังแข็งเป็นคราบ คิมหันต์เริ่มรู้สึกเล็กๆว่าตัวเองทำเกินไป
“แต่ตึกมีเจ็ดชั้นนะ” ลลิตเอ่ยแทรก คิมหันต์เพิ่งนึกได้ว่าลลิตพูดถูก แล้วอีกอย่างเขาเริ่มตระหนักว่าอากาศเย็นกำลังทำให้เขาอารมณ์เสียขึ้นทุกที ขาที่ถูกทิ่มด้วยปากกาจนปักลึกเข้าไปตอนนี้แม้จะถูกดึงออกแต่ก็ยังมีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา แรกๆมันเจ็บ ไปจนถึงปวด แต่ตอนนี้มันชาและแข็ง เลือดที่ไหลออกมาเหมือนจะหยุดและจับกรังอยู่ในกางเกงนักเรียนสีดำ
หมอนี่กำลังจะพาไปที่ไหน หมอนี่จะก่อเรื่องอะไรอีก กวีหัวหมอกำลังจะโกหกและพาเราไปเกี่ยวพันกับเรื่องอะไรกันแน่ โกหกสินะคัมภีร์มรณะอะไรนั่น ทุกอย่างก็แค่จัดฉากใช่มั้ย หิมะนี่เป็นความบังเอิญหรือเปล่า หรือบางทีหมอนี่อาจจะโยนความผิดให้เรา คิมหันต์ครุ่นคิด ยิ่งคิดใจก็ยิ่งค่อยๆอุ่นและร้อนรุ่ม เขาลากสังขารขาที่ปวดและชาให้เร็วขึ้น วิ่งกระแทกเท้าแซงหน้าลลิตขึ้นมาแล้วกระชากไหล่กวีอย่างแรง
กวีตวัดสายตากลับมา มองคิมด้วยความนิ่งเฉยไม่แสดงท่าที แต่อารมณ์ที่ขึ้นๆลงๆไม่แน่นอนของคิมก็พลันค่อยๆหายไป เขาเริ่มรู้สึกว่าอารมณ์ตัวเองใกล้เดือดในสภาวะเยือกแข็ง เขาไม่ควรระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อนตัวเอง เอ่อ...แม้กวีจะไม่นับว่าเป็นเพื่อนก็ตาม
“มีอะไร...” กวีถาม
“นายเป็นอะไรหรือเปล่าคิม...หนาวมั้ย” น้ำเสียงลลิตบ่งบอกความเป็นห่วงเป็นใยได้ดี เธอสังเกตเห็นเสื้อเปียกๆที่แทบจะแนบติดกับลำตัวของคิม บางทีต่อให้ถอดเสื้อออกก็ยังหนาวน้อยกว่าสวมเสื้อแฉะๆที่ราดด้วยของเหลวอุณหภูมิติดลบแบบนี้
“ไม่หรอกสบายๆ” คิมหันต์โกหก ยิ้มแป้นเป็นคำตอบ แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่สั่นเกร็งและมีเสียงกึกๆของกรามก็ตามที
“เป็นการสบายๆที่เสียงสั่นมากนะยะ” ลลิตว่า
“แหะๆ”
ว่าไม่ทันขาดคำ กวีก็สะบัดแขนของคิมออกแล้วเดินกระแทกเท้าหายวับเข้าไปในห้องน้ำครูข้างซ้ายมือ ทั้งลลิตและคิมมองหน้ากันอย่างงงๆ หรือว่าหมอนี่จะปวดฉี่ขึ้นมาแบบกะทันหันซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ไม่นานกวีก็เดินออกมาพร้อมกับหอบเอาอะไรบางอย่างมาด้วย เขาโยนมันให้คิม และเมื่อคิมคลี่มันออก เขาพบว่ามันเป็นเสื้อกล้ามบางๆสีขาว ที่ห่อมีดคัตเตอร์เล่มหนึ่งเอาไว้ด้วย คิมมองหน้ากวีแบบงงๆ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยืนให้มองนานนัก เขาเดินขึ้นบันไดต่อไปอย่างไม่พูดอะไร
“อะไรวะ” คิมพึมพำ ทว่าลลิตกลับหัวเราะคิกๆใส่ “เป็นไรของเธอ”
“คิก คิก เปล่า! แต่มันตลกดีตอนที่หมอนั่นอุตส่าห์ถอดเสื้อให้นายใส่”
“เฮ่ย นี่เสื้อมันหรอ!”
“น่าจะใช่ ฮ่าฮ่า ยิ่งนึกก็ยิ่งขำ” ลลิตหัวเราะไม่หยุด แล้วก็เดินนำหน้าคิมและตามกวีไปติดๆ คิมมองเสื้อในมือตัวเองแบบงงๆ ก่อนที่เขาจะถอดเสื้อเปียกๆออกแล้วเปลี่ยนไปสวมเสื้อกล้ามบางๆนี่แทน พร้อมกับเก็บมีดคัตเตอร์นั่นไว้ในกระเป๋ากางเกง
ทั้งสามเดินมาหยุดอยู่ที่ชั้นเจ็ดที่มืดมิดและปลอดคน คิมเพิ่งค้นพบว่าผู้คนหลบกันอยู่ในห้องเรียนที่ปิดทั้งหน้าต่างและประตูอย่างมิดชิด ทุกกิจกรรมถูกหยุดเนื่องจากมีหิมะประหลาดที่ตกลงมาแบบไร้วี่แวว นั่นทำให้ทั้งสามยืนอยู่บนทางโล่งๆ ที่แม้ในเวลาปกติก็ไม่มีใครกล้ามาในสถานที่มืดๆแบบนี้แล้ว
มันพื้นที่เล็กๆตรงสุดขั้นบันได ที่ตรงหน้าเป็นประตูเหล็กที่ถูกล็อคด้วยแม่กุญแจอันใหญ่ มันเป็นสถานที่ปิดตายที่ไม่เคยมีใครเข้าไปตั้งนานแล้ว คิมไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่หลังประตู แต่ลลิตเข้าใจว่าคงเป็นชั้นดาดฟ้าของอาคารเรียนที่เอาไว้เก็บของ กวีเดินไปและก้มลง ทำอะไรสักอย่างกับแม่กุญแจ รู้สึกเขาจะใช้ปากกาแงะเข้าไปในรูกุญแจและทันใดนั้น กลอนก็ถูกสะเดาะเบาๆเป็นเสียงกริ๊ก
แอ๊ด...! ประตูถูกแง้มออกช้าๆ และความหนาวเหน็บก็ทวีคูณสักสิบเท่าได้ คิมตัวชาไปเสี้ยววินาทีเมื่อประตูเปิดออก ตอนแรกเขาเข้าใจว่าหลังประตูเหล็กนั่นเป็นตู้เย็นที่เอาไว้เก็บของ แต่ไม่ใช่ อุณหภูมิข้างนอกนั่นไม่ได้ต่างจากตู้เย็นเลย ซ้ำร้ายที่ยังมีเกล็ดหิมะโปรยลงมา หิมะกองบนพื้นสักสองสามเซนติเมตรได้ นั่นแปลว่ามันตกมานานพอสมควรแล้ว คิมพบว่าที่แห่งนี้เป็นดาดฟ้าเก่าๆที่ล้อมรอบด้วยรั้วเหล็กสนิมเขรอะสูงราวๆเอว พื้นดินบางส่วนที่ยังไม่ได้ถูกหิมะคลุมไว้นั้นดำและมีตะไคร่จับหนา มันเก่าและถูกทิ้งร้างไว้อย่างเนิ่นนาน และดูเหมือนจะมีเพียงกวี และใครบางคนที่ยืนรออยู่แล้วเท่านั้นที่เคยเข้ามา
คนที่ปรากฏตัวตรงหน้าคิมเป็นเด็กหนุ่มที่ตัวสูงและหล่อเหลา ผมสีดำชี้ขึ้นกับสายตาคมๆใต้กรอบแว่น เขาดูฉลาดและภูมิฐาน ริมฝีปากดูคล้ายกับจะอมยิ้มตลอดเวลา ผิวที่ออกไปทางขาวเหลืองดูซีดลงในสภาวะเย็นเยียบ เขาหันมามองหน้ากวีและยิ้มทักทาย “ไง นึกแล้วว่าต้องตามมา”
ลลิตใจเต้นระรัวตอนที่สองคนนี้เอ่ยคำทักทาย เธอจำหน้าเด็กหนุ่มอีกคนได้ เขาเป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนมาหลายปีซ้อน เขาเรียนเก่งเสียจนลลิตเองยังเทียบไม่ติด ไม่สิเขาแทบจะเก่งที่สุดในประเทศเลยก็ว่าได้ หมอนี่ชื่ออะไรนะ สายตาอมภูมิและท่าทีเป็นมิตรแบบนี้มันคุ้นตาเหลือเกิน ดูคล้ายกับว่าเธอเคยเดินผ่านเขามาหลายทีแต่ก็ไม่เคยใส่ใจจะถามชื่อ
ไม่แปลกที่กวีกับธารินจะรู้จักกันและดูจะมีความคิดความอ่านที่ตรงกันเหลือเกิน สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทกันและยังอยู่ห้องเดียวกันด้วย ทั้งสองคนเรียนเก่งและหน้าตาดี เขาเป็นดั่งดาราในหมู่นักเรียนด้วยกัน และดูเหมือนแผนการนี้จะเริ่มเข้าเคล้าเมื่อทั้งสองมาพบกัน
“นึกแล้วไม่มีผิดต้องเป็นนาย ธาริน” กวีเอ่ยขึ้น
ธารินหรอ ใช่แล้ว! สองคนนี้รู้จักกันมาก่อนไม่ผิดแน่ ธาริน เด็กหนุ่ม ม.4 นักเรียนดีเด่นของโรงเรียนที่คว้ารางวัลมากมายมาขึ้นหิ้งให้โรงเรียน พร้อมกับผลการเรียนที่แทบไม่จำเป็นต้องพิมพ์เลขอื่นเลยนอกจากเลข 4 ทั้งรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลา ที่พลอยทำให้สาวๆทั้งโรงเรียนหลงใหล ต้องไม่มีใครไม่รู้จักธารินแน่ๆถ้าอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน
“ใครวะ” แต่ลลิตก็พลันสะอึกตอนที่คิมแสดงท่าทีว่าไม่รู้จักธาริน ใช่สิ...หมอนี่ไม่เคยรู้อะไรอยู่แล้ว
“ขอบคุณสำหรับหนังสือนะกวี” เขาก้าวห่างรั้วเหล็กเก่าๆและเดินเข้ามาหากวีใกล้ๆ “แล้วก็เอ่อ...สวัสดีครับ ผมชื่อธาริน ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เขาโค้งให้กับลลิตและคิมหันต์ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างงุนงงแต่ลลิตก็ถอยหนีด้วยความรู้สึกแปลกๆ
“ถอยไปไกลๆได้มั้ยธาริน เดี๋ยวเหยื่อก็กลัวแกหรอก” กวีเอ่ย
ลลิตรู้สึกถึงความรังเกียจเจอปนในน้ำเสียงของกวี เหยื่อหรอ หมอนี่หมายความว่าไง นี่ไม่ตลกเลยนะ
“ฮะฮะขอโทษทีคุณลลิตา แล้วก็เอ่อ...คิมหันต์ใช่มั้ย” ธารินว่าต่อดันแว่นขึ้นบนดั้งโด่งๆและหันหลังเดินไปยืนเกาะราวรั้ว “หิมะฉันสวยหรือเปล่ากวี นายคิดว่าไง”
“น่ารำคาญชะมัด พาลทำให้เป็นหวัดเอา” กวีตอบแบบรังเกียจๆ ยกมือขั้นมาอังกับเกล็ดหิมะที่โปรยลงมา
“ฝีมือคุณหรอ ธาริน คุณทำหรอ” ลลิตเอ่ยถาม เธอพยายามข่มน้ำเสียงให้ดูปกติที่สุด แม้เธอจะเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นทุกทีที่นึกสภาพอันน่าอนาถของแมวที่ถูกใครบางคนสับเป็นชิ้นๆ
นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากความเงียบ อากาศยังคงลงหนาวขึ้นทุกที คิมที่งุนงงกำลังถูกแขนของตัวเองอยู่ พลางหอบหายใจเอาไอเย็นออกมาทางปาก
“ครับ ผมเอง” แล้วธารินก็ยืนกราน
หัวใจลลิตแทบจะกระโจนออกมาจากอก เธอรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนเอาอะไรมาตีที่หัวใจ มันตื้อชาและเจ็บแปลบๆ หมอนี่เป็นฆาตกร! เป็นฝีมือหมอนี่ แล้วทำไมกวีนายถึงยังยืนคุยกับไอ้คนพรรค์นี้ได้อย่างใจเย็น
“แกทำอะไรของแกรู้ตัวหรือเปล่าหือ!” คิมหันตวาดลั่น
“รู้สิครับ ผมแค่ลองอะไรสนุกๆเท่านั้นเอง ก็กวีเขาบอกจะให้ลองเล่นดู นักวิทยาศาสตร์น่ะต้องทดลองนะ หรือไม่จริง” ธารินเอ่ย แม้น้ำเสียงจะดูเป็นมิตรแต่เนื้อหานั้นดูน่ารังเกียจเหลือเกิน หมอนี่เห็นชีวิตสัตว์เป็นการทดลองหรอ
“เขาก็พูดถูกนา...” กวีเห็นพ้อง ตาของเขาหรี่เล็กเสียจนดูเหมือนเป็นขีดเล็กๆ แววตาชั่วร้ายสะท้อนแสงสีแดงออกมาชั่วขณะที่เขาแสยะรอยยิ้ม มันช่างทำงานประสานกันและทำให้เขายิ่งดูเหมือนซาตานมากขึ้น
“แล้วตอนนี้ผมก็ยังเหลือพรอีกสองข้อ และผมก็กำลังคิดอยู่ว่าจะใช้มันทำอะไรดี จนกระทั่งกวีพาเหยื่อมา” ธารินเอ่ย ก้าวเข้ามาหาลลิต แต่ลลิตเบิกตาด้วยความตกใจ หมอนี่น่ากลัวเหลือเกิน เธอกระถดตัวหนีและก้าวถอยหลัง ทว่าๆเธอก้าวไปจนหลังติดกับประตูเหล็ก เธอเอื้อมมือไปจับที่โยกแต่พบว่ามันถูกล็อกเอาไว้
“บ้าจริง” ลลิตสบถ
“นี่ก็ฝีมือแกด้วยสินะกวี เป็นหนึ่งในแผนของแก” คิมหันต์พูดอย่างเจ็บใจ
“นี่ธาริน ฉันขอเสนอได้ป้ะ...”
“ว่าไง”
“นายขอพรแต่ละข้อฆ่าสองคนนี้ แล้วนายก็จะได้พรเพิ่มอีก หกข้อต่อหนึ่งศพ นายสามารถใช้พรฆ่าคนได้แบบไม่ต้องลงมือด้วยนะ มือนายจะได้ไม่เปื้อนเลือดไง” กวีพูด
“หุบปากเลยนะไอ้กวี! เดี๋ยวฉันจะต่อยหน้าแกให้ยับเลยถ้าขืนแกกล้าพูดจาทุเรศๆแบบนั้นอีก!” คิมหันต์ตะโกนอย่างเดือดดาล
“เกรงว่าจะไม่ใช่กวีที่เป็นต้นคิดนะคุณคิม ผมก็กำลังคิดแบบเดียวกันอยู่ แต่ผมมีความคิดที่ดีกว่านั้น ผมกำลังคิดว่าจะฆ่าคุณสองคนยังไงดี โดยขอพรแค่ครั้งเดียว”
คิมหันต์สัมผัสได้ถึงอันตราย เขากระเถิบไปชิดกับลลิตและลลิตก็พลันเกี่ยวแขนเขาไว้อย่างหวาดกลัว เธอตัวสั่นเทิ้ม แต่ไม่รู้ว่าเพราะความกลัวหรือเพราะสภาพอากาศ
“เอาล่ะ ฉันจะคอยดูแกลงมือละกันพ่อคนเก่ง” กวีเยาะ เดินไปข้างหลังของธารินและรอคอยเพื่อนรักของตัวเองลงมือฆ่า
“เหมาะเหม็ง องศาได้ ตรงนี้น่าจะโอเคแล้ว ผมจะขอพรละนะ” ธารินหลับตา แต่หัวใจของคิมและลลิตเต้นรัว เขารู้สึกกลัวระคนงุนงงในคราวเดียวกัน แต่ดูเหมือนความกลัวจะมีมากกว่า ลลิตกอดแขนของคิมแน่น แน่นเสียจนเขารู้สึกปวดแขน
ธารินหลับตาไปสักห้าวินาที แล้วทันใดนั้นรอบกายของเขาก็ปรากฏแสงสีแดงขึ้น มันเปล่งออกมาจากพื้นดินเป็นภาพวงกลมที่สลักเสลาเอาอักขระประหลาดเอาไว้รอบๆ คิมหันต์รู้แน่ชัดว่าพรได้ถูกขอไปอีกครั้งนึงแล้ว และเขาก็ถึงเวลาที่จะตายในไม่ช้า หัวใจของเขาเต้นรัว มันสั่นและกระโดดอยู่ในอก ร่างกายของเขารู้สึกถึงความกดดัน เขารู้สึกเหมือนมันกดให้เขาล้มลงกับพื้น เขาหลับตาพริ้ม เป็นชั่ววินาทีที่ยาวนานและทรมานเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย
วาบ! แสงย่อมเกิดก่อนเสียง เมื่อจู่ๆท้องฟ้าก็พลันเปล่งแสงเหนือบริเวณดาดฟ้าเก่าๆ มันสว่างจ้าเหมือนถูกอาบด้วยแสงแฟลชถ่ายรูป ทว่ากลับกินเวลายาวนานกว่านั้น มันสว่างอยู่ราวสองวินาที และทันใดนั้นเองขนทั่วกายของคิมก็พลันลุกชูชัน หัวใจเขาเหมือนจะหยุดเต้นไปชั่ววินาทีที่เกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท
เปรี้ยง! ความคิดบางอย่างแล่นมาในหัว เขารู้ว่าไม่ควรยืนอยู่ใกล้ลลิตอีกต่อไป แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยมือจากเธอได้ในเสี้ยววินาทีสายฟ้าสว่างจ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่ร่าง กระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายของเขาลงไปยังพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะ กระจายไปทั่วบริเวณ ส่งเสียงแปลบปลาบ และทิ้งให้ทุกอย่างตกอยู่ในกลิ่นไหม้ๆและความเงียบงัน
ร่างของลลิตและคิมหันต์ล้มพับลงไปกับพื้นโดยมีควันพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย กระแสไฟฟ้าทำให้น้ำแข็งบนพื้นละลายเป็นหย่อมๆ และมีเสียงจี๊ดๆจากกระแสไฟที่แล่นไปตามราวรั้วเหล็ก ใช้เวลาสักห้าวินาทีก่อนที่กลิ่นไหม้และควันจะค่อยๆจางลง
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่าๆๆๆ!” ธารินระเบิดเสียงหัวเราะลั่นมองดูร่างที่แน่นิ่งไม่ไหวติงของทั้งสองคน เขารู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูกตอนที่สายฟ้าฟาดลงมา เขารู้สึกว่าการคำนวณของเขาถูกต้องอย่างแรง เมื่อเขาพูดจาขู่ให้ลลิตและคิมเกิดความกลัวจนต้องยืนอยู่ใกล้ๆกันมากขึ้น และกลับได้ผลดีเกินคาดเมื่อลิลกอดแขนของคิมเอาไว้อย่างแนบแน่นและไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย ตอนนั้นเอาเขาได้ขอพรให้สายฟ้าฟาดลงมาที่ร่างของลลิต และทั้งคู่ก็ถูกฟ้าผ่าไปพร้อมๆกัน เขาสามารถฆ่าคนสองคนได้ด้วยพรข้อเดียว และเขายังเหลืออีกข้อสำหรับการทำอะไรบางอย่างที่อยากได้ เมื่อเขาใช้เลือดของคนที่เขาฆ่าทั้งสองคนแต้มลงบนคัมภีร์ที่กวีถือไว้ เขาจะได้พรมาอีกหกข้อ รวมเป็นเจ็ดข้อ และที่ต้องทำก็แค่กรีดเลือดจากร่างกายไหม้เกรียมของสองคนนั้น
ธารินก้าวเดินไปยังร่างของคิมหันต์ช้าๆและหยิบมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกง หมายมั่นอย่างแรงกล้าที่จะกรีดเลือดมันออกมาชโลมบนคัมภีร์มรณะ “ฉันขอคัมภีร์ได้มั้ยกวี”
ฉึก! แต่จู่ๆความเจ็บปวดก็พลันแล่นปราบที่แผ่นหลังอย่างรุนแรง แรงเสียจนธารินต้องทรุดตัวลงไปกับพื้น ในสองวินาทีแรกเขางุนงงกับสิ่งที่เกิด ก่อนที่สติจะมาพร้อมๆกับความเจ็บปวด เขาพบว่ามีมีดเสียบทะลุแผ่นหลังของเขาและปักคาอยู่อย่างนั้น มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดทรมานสุดแสนจะพรรณนา ความรู้สึกโกรธแล่นมาในหัว เขาตวาดใส่ใครบางคนที่ยืนแสยะรอยยิ้มใส่เขาอย่างเลือดเย็น
“แกหักหลังฉัน! กวี!” เขาตวาดอย่างเดือดดาล เลือดสดๆเริ่มไหลรินออกมาจากแผ่นหลัง และเขาเริ่มรู้สึกว่าขยับตัวไม่ได้
“เปล่าๆ ไม่ได้หักหลัง แต่แทงหลังต่างหาก ฮะฮะฮะ อ้าวไม่ขำหรอ ‘โทษทีๆ แกนี่ไม่ฉลาดสมกับที่เป็นนักเรียนดีเด่นเอาซะเลย สุดท้ายก็วิ่งเต้นอยู่ในแผนของฉัน” กวีพูด ย่างก้าวมาใกล้กับร่างของธารินที่เริ่มอาบด้วยเลือด
ธารินใช้ศอกดันตัวเพื่อหนีห่างจากกวี เขาหนีไปจนหลังที่มีมีดปักอยู่เกือบจะติดกับราวรั้วเหล็ก หอบหายใจอย่างเจ็บปวด ในขณะที่กวีก้าวมาใกล้เรื่อยๆ “ฉันเป็นคนแนะนำให้แกรู้จักกับคัมภีร์มรณะนั่น แล้วแกคิดว่าฉันจะปล่อยแกไปง่ายๆหรอ ปล่อยให้แกใช้ของที่ไม่ใช่ของๆแกน่ะหรอ เฮ่อะ! ว่าเข้าไปนั่น! ฉันรู้ว่านิสัยแกเป็นยังไงธาริน แกชอบทดลอง กระหายความรู้ แกฉลาดเกินไปและดูเหมือนแกจะอิจฉาฉันเอามากๆเลยด้วย”
“หึ! อย่างแกน่ะหรือ คนแบบแกน่ะหรือที่ฉันจะอิจฉา!”
“ก็คนแบบฉันน่ะสิ ที่เรียนชนะแกมาทุกๆปี แกเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าแกไม่ชอบเป็นที่สองรองจากใคร แต่ขอโทษที่ฉันเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด แกแค้นฉันมากขนาดไหนฉันดูออก ดวงตาใต้แว่นหนาเตอะของแกมันสะท้อนความเกลียดชังออกมา แกคบกับฉันเพราะเห็นฉันเป็นศัตรูมาโดยตลอด คอยจับตาดูฉันใกล้ๆและดูว่าฉันจะทำอะไร แกจะคอยทำตามและทำให้เหนือกว่าฉัน ฉันเข้าใจถูกหรือเปล่า”
“แก...” ธารินไม่สามารถตอบได้ ไม่รู้ว่าเพราะน้ำมันท่วมปากหรือว่าความเจ็บปวดทำให้เขาตื้อชา แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ากวีพูดความจริงในทุกๆถ้อยคำ
“เร็วๆนี้แกแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากเหนือกว่าฉันเอามากๆ ก็ดีฉันก็เลยสนองแกด้วยคัมภีร์มรณะ ฉันแนะนำให้แกรู้จักกับมัน และดูเหมือนแกจะอยากใช้มันเอามากๆเลยล่ะ”
“หึ! แกโง่เองมากกว่าที่ยกมันให้ฉันใช้ อย่าพูดเหมือนว่าทุกอย่างอยู่ในแผนการของแกหน่อยเลย” ธารินเถียง
“ต้องขอโทษจริงๆที่มันอยู่ในแผนการฉันจริงๆว่ะเพื่อน” กวีนั่งยองๆลงใกล้ๆกับธาริน “แกก็รู้ว่าถ้าภายในหนึ่งปีคัมภีร์นี้ไม่ถูกใช้จะเกิดอะไรขึ้น และบังเอิญว่ามันจวนเจียนจะถึงเวลาครบปีแล้ว ฉันก็เลยต้องหาทางทำอะไรสักอย่างกับมัน แล้วฉันก็มาเจอแก ฉันหลอกให้แกใช้และหวังว่าแกจะไปลองฆ่าใครดูสักคน และฉันก็รู้ว่าแกมีนิสัยชอบทดลอง เห็นได้ชัดจากการทดลองขอพรให้หิมะตกเพื่อดูว่าคัมภีร์นี้ใช้ได้จริงมั้ย แต่แกกลับโง่กว่าที่ฉันคิดเรื่องการใช้เหยื่อ”
“หึหึ...ใช่ ฉันใช้ศพแมว ขอโทษทีที่ทำให้แกผิดหวัง” ธารินตอบอย่างสะใจแต่ก็หอบหายใจรวยรินลงทุกที
“ฉันไม่ได้บอกแกว่าวิญญาณที่ใช้สังเวยต้องเป็นวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น เพราะฉะนั้นการใช้วิญญาณของแมวจึงไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ อาจจะแสดงผลก็แค่ชั่วคราว และไม่นานหิมะนี้ก็จะเริ่มหยุดตก พรทุกข้อที่แกขอก็จะเสื่อมสภาพไป ฉันก็เลยหิ้วเหยื่อมาให้แกฆ่าถึงสองราย ซึ่งดูเหมือนแกจะทำพลาดไปนิด”
“ดูเหมือนแกนั่นแหละที่พลาดนะ เพราะฉันยังเหลือพรอีกข้อนึง แกคงคิดไม่ถึงละสิ ว่าฉันจะฆ่าสองคนนั้นได้โดยไม่เสียพรไปสองข้อ และฉันยังสามารถใช้พรที่เหลือเพื่อฆ่าแกได้ตลอดเวลา!” ธารินพูดอย่างมั่นใจ เขาส่งเสียงหัวเราะปนมากับเสียงหอบ
“นั่นก็นับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของฉันมาก แต่ว่านายไม่กล้าใช้พรที่เหลือเพียงน้อยนิดเพื่อฆ่าฉันหรอกใช่มั้ยล่ะ ฉันว่านายเก็บพรกากๆของนายไว้รักษากระดูกสันหลังที่พิการของตัวเองดีกว่า โชคดีนะ” กวีพูดลุกขึ้นและไปยืนพิงราวรั้วเหล็กเอาไว้ราวกับท้าให้ธารินฆ่าเขา
“หึ! ฉันสามารถฆ่าแกได้แม้กระทั่งในตอนนี้ ฉันจะขอให้รั้วที่แกพิงอยู่หักและแกก็จะตกลงไปกระแทกกับพื้นโลกจากความสูงบนเจ็ดชั้นนี่ ต่อให้พรของฉันจะใช้ไม่ค่อยได้ผล แต่ยังไงแกก็ต้องตายอยู่ดี ใช่มั้ยล่ะ! แล้วฉันก็จะใช้เลือดของไอ้สองคนนั้นที่ฉันฆ่าไปแล้วเพื่อขอพรและรักษาตัวเอง และฉันก็ยังได้พรจากการที่ฆ่าแกได้ด้วย หึหึไม่ว่ามองมุมไหนฉันก็ไม่เห็นว่าฉันจะเป็นคนแพ้แกเลยนี่หว่า!” ธารินว่า
“เออนั่นก็จริง ในกรณีที่แกมั่นใจว่าสองคนนั้นมันตายจริงล่ะก็นะ” กวีพูดอย่างมั่นใจพลางหรี่ตามองไปยังร่างของคิมหันต์และลลิต
“ว่าไงนะ!” ธารินพึมพำอย่างไม่เชื่อหู
กวีหัวเราะและดันตัวนั่งบนราวรั้วเหล็กเก่าๆที่น่าหวาดเสียว
“เอาล่ะ!” เขาผายมือออก “ได้เวลาตื่นจากความตายแล้วสหายเอ๋ย! ลุกขึ้นมาเพื่อมีชีวิตต่อไปเฉกเช่นแฟร็งเกน สไตน์ที่คืนชีพเมื่อยามถูกฟ้าผ่า! ลุกขึ้นมาทำหน้าที่ตัวเองให้เสร็จเถิดเหล่าเบี้ยของฉัน!”
ความคิดเห็น