คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 สถาบันเซ็น -- 1 - สำรวจ
บทที่ 1 สถาบันเซ็น
1 - สำรวจ
แม่ของฉันตายไปในอุบัติเหตุรถยนต์เมื่อสิบปีก่อน แต่คดีไม่ได้ถูกจัดไว้ภายใต้แฟ้ม 'อุบัติเหตุ' กลับกัน...มันถูกจัดเข้าแฟ้ม ‘ฆาตกรรม’
ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมตำรวจถึงทำอย่างนั้น พวกเขาไม่เคยบอกว่าใครเป็นคนทำ
แม่ให้สร้อยคอเส้นหนึ่งไว้กับฉันก่อนเกิดเหตุ เมื่อสองปีก่อนฉันเพิ่งค้นพบว่าจริงๆ แล้วจี้ห้อยที่สร้อยคอเส้นนั้นคือยูเอสบีแฟลชไดร์ฟ
ภายในนั้นมีโฟลเดอร์ที่เข้ารหัสป้องกันเอาไว้ชื่อว่า X-note ซึ่งฉันไม่เคยเปิดมันได้
พอยูออนพูดถึง X-note และแม่ของฉัน มีหรือฉันจะไม่สนใจ
ฉันอยากรู้เรื่องของแม่ให้มากกว่านี้ และของที่แม่ทิ้งไว้ให้ฉัน X-note ที่อยู่ในสร้อยคอก็คงมีความสำคัญมาก
เพื่อไขปริศนาในอดีตที่ถูกทิ้งไว้ ฉันตัดสินใจไปเยือนสถาบันเซ็นตามคำเชิญ...
วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน
เมื่อมองจากภายนอก สถาบันเซ็นดูเหมือนสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์หรือไม่ก็โรงพยาบาลมากกว่าจะเป็นโรงเรียน ตัวตึกใหญ่ที่อยู่ตรงกลางเป็นรูปโดมครึ่งทรงกลม อาคารรอบๆ ก็มีทั้งที่เป็นทรงกระบอกสูง ทรงสี่เหลี่ยม และตึกที่มียอดเป็นรูปพีรามิด ทั้งหมดล้วนเป็นสีขาวและติดกระจกมากมาย แต่ส่วนใหญ่เป็นกระจกแบบที่มองผ่านจากอีกด้านหนึ่งไม่ได้อาณาบริเวณทั้งหมดของสถาบันก็มีรั้วล้อมอยู่มิดชิด
หลังตัดสินใจได้เด็ดขาดเมื่อวันก่อน ฉันก็เลือกจะมาที่นี่วันอาทิตย์เพราะเป็นวันที่ไม่มีการเรียนการสอน นั่นหมายถึงฉันไม่ต้องไปเรียน ที่นี่เองก็คงมีคนไม่เยอะเท่าวันธรรมดา
นี่ก็สองวันหลังคล้อยหลังจากที่ฉันพบกับยูออน ฉันไม่แน่ใจนักว่ายูออนจะรอเจอฉันอยู่ไหม อย่างไรก็ตาม ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยว ฉันจึงบอกกับเจ้าหน้าที่ที่ห้องรับรองว่า จะมาขอพบยูออน ซึ่งอีกฝ่ายก็บอกให้ฉันรอสักครู่ แล้วช่วยดำเนินการติดต่อให้
ไม่นานนัก ยูออนก็ปรากฏตัว เขาแต่งกายด้วยชุดโทนสีน้ำเงินที่เข้ากับผมสีดำตัดสั้นของเขาและยังคงพกพาใบหน้าเคร่งครึมเกินจำเป็นติดตัวมาด้วยเช่นเดิม
“ฉันรู้ว่าเธอต้องมา ยินดีต้อนรับสู่สถาบันเซ็น”
คำทักทายของเขาก็ฟังดูเป็นยูออนมากทีเดียว รวบรัดตัดความได้หมดจดและไม่ค่อยสื่ออารมณ์นัก
“เรื่องที่เคยพูดมา นายไม่ได้โกหกใช่ไหม” ฉันถามเข้าเรื่องตั้งแต่ต้น
“นั่นเป็นเรื่องจริง” เขาตอบ ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอก “เธออาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่ว่าแม่เธอเป็นหนึ่งในสี่ผู้ก่อตั้งสถาบันเซ็น”
ฉันอ้าปากค้าง สีหน้าตกใจของฉันคงบอกยูออนไปเต็มๆ ว่า เขาคาดได้ถูกต้อง ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนจริงๆ
“ถ้าหากว่าอุบัติเหตุรถยนต์ในครั้งนั้นเป็นการฆาตกรรมจริง โรงเรียนนี้อาจเป็นเบาะแสเพียงเดียวที่เธอมี”
“นายรู้เกี่ยวกับการตายของแม่ฉันด้วย?”
ยูออนผงกศีรษะ บอกเบาๆ “ก็พอรู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มากไปกว่าเธอ”
เห็นได้ชัดกว่าถ้าฉันถามไปว่าเขารู้ได้อย่างไร เด็กหนุ่มคงยังไม่ยอมบอกอะไรจนกว่าฉันจะยอมตกลงทำงานกับเขา
“แล้วฉันก็สงสัยว่าการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้กับการหายตัวไปอย่างลึกลับจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของแม่เธอ” เขาบอกต่อ
ฟังแล้วฉันก็นิ่งเงียบครุ่นคิดชั่วครู่
“ตกลงเธอจะมาช่วยฉันสืบคดีไหม”
ฉันพยักหน้ารับอย่างเหม่อลอยแทนคำตอบ ดูเหมือนจะไม่มีทางให้เลือกมากนัก
“มีอะไรสงสัยอีกบ้างหรือเปล่า”
เสียงยูออนกระตุ้นฉันให้เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย
“...นายเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยใช่ไหม” ฉันลองถามหยั่งเชิง
เขาต้องเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่ ไม่อย่างนั้นเขาคงมาขอให้ฉันช่วยสืบ...
ทว่ายูออนกลับถามความคิดฉันกลับเสียเองว่า
“ทำไมเธอถึงคิดงั้น”
“ที่จริงมันต้องเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องสงสัยอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ นายต้องมีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนใจในเรื่องนี้ไม่อย่างนั้นคงไม่ใช่ฉันมาช่วยสืบหรอก”
เมื่อเขายังทำตัวลึกลับไม่ยินดีที่จะเปิดเผยก็ยิ่งทำให้ฉันไม่ไว้ใจ
“เรื่องนี้ฉันคงยังบอกเธอไม่ได้...” เขาตีสีหน้าเรียบเฉยแต่ฉันรับรู้ได้ถึงความทรมานที่เก็บซ่อนไว้...นั่นอาจเป็นเพราะสัมผัสพิเศษของฉัน
ถึงแม้ฉันอาจจะพอเข้าใจความเจ็บของเขาได้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังที่แท้จริงอยู่ดี
“นายรู้อะไรตั้งมากมายแต่กลับเปิดเผยเพียงน้อยนิด ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่จะช่วยนายหากยังเป็นแบบนี้” ฉันบอกโดยเลี่ยงสายตาหลุบต่ำลง ก่อนสูดหายใจลึก กล่าวเน้นๆ พร้อมมองเขาตรงว่า “ฉันอยากรู้มากกว่านี้ นายต้องบอกทุกสิ่งที่นายรู้มา”
“ฉันจะบอกทุกอย่างกับเธอเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม” เขารับปากอ้อมๆ แล้วเสมองไปอีกทาง “ก่อนหน้านั้น ฉันต้องช่วยเธอลงทะเบียนเรียนกับโรงเรียนเสียก่อน”
“นายว่าไงนะ?”
“คนนอกไม่สามารถเข้ามาในเขตโรงเรียนได้ ถ้าเธออยากจะเดินไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เธอก็จำเป็นต้องลงทะเบียนเรียน” เด็กหนุ่มอธิบาย “ฉันเตรียมเอกสารที่จำเป็นไว้แล้ว พอดำเนินเรื่องเรียบร้อย เธอก็จะเป็นนักเรียนของสถาบันเซ็นภายในไม่นานนี้แหละ”
“รอเดี๋ยวก่อนสิ!” ฉันประท้วง “ฉันจำไม่ได้ว่าเราตกลงกันเรื่องนี้ด้วย แล้วโรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่ล่ะ”
“เธอตกลงทำงานนี้แล้วไม่ใช่หรือ” เขาถาม “ความจริงที่เธออยากรู้มีค่ามากพอให้เธอยอมสละเรื่องนี้ไปหรือเปล่าล่ะ”
ฉันกำมือแน่นที่ข้างตัว... ระลึกถึงเรื่องที่ตริตรองมาตลอดสองวันที่ผ่านมา...และจดหมายที่ได้ร่างไว้เตรียมส่งให้ผู้ปกครอง
“...ก็ได้ ฉันตกลง”
“ดีละ” แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ยูออนก็มองมาที่ฉันด้วยสายตาเย็นชา “เธอไม่ควรจะเสแสร้งทำตัวเป็นคนธรรมดาอีกต่อไป โรงเรียนธรรมดาน่ะไม่เหมาะกับเธอหรอก”
เขาจากไปโดยไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติม คาดว่าคงไปจัดการเรื่องเอกสาร
เมื่อเหลืออยู่เพียงลำพัง ฉันก็ได้มีเวลาย้อนนึกถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เพียงไม่นานก็มีคำถามมากมายที่เพิ่มพูนขึ้นมาในใจ
ยูออนไปเอาข้อมูลทั้งหมดมาจากไหน...
เขารู้ความสามารถของฉันได้อย่างไร...
เขาสามารถย้ายฉันออกจากโรงเรียนที่ฉันเรียนอยู่มาที่นี่ได้ง่ายดายขนาดนั้นเชียวหรือ...
ถึงเขาจะถามฉันว่ามีคำถามอะไรที่อยากถามเพิ่มเติมไหนในตอนแรกเหมือนเป็นการเปิดโอกาสให้ แต่พฤติกรรมที่เขาทำนั้นกลับตรงกันข้าม ฉันรู้สึกเหมือนเขารอดตัวไปได้โดยไม่ได้ตอบคำถามพวกนั้นแม้แต่น้อย...
ฉันได้แต่ถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที
...คิดไปก็เสียแรงเปล่า
ถึงยูออนจะทำตัวมีลับลมคมในไปบ้าง แต่ฉันก็ใช้เวลาถึงสองวันเต็มๆ นั่งคิดและตัดสินใจแล้วนี่นาว่าจะร่วมมือกับเขา เขาอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่อยากพูดถึงความสัมพันธ์ของเขากับคดี หรือไม่เช่นนั้นก็คงแค่อยากจัดการให้เรื่องเรียบร้อยไปจะได้ไม่ค้างคาใจ ดังนั้นฉันจะพยายามเต็มที่ก็แล้วกัน
ระหว่างนี้ฉันน่าจะใช้เวลาให้คุ้มค่าโดยการทำตัวให้คุ้นเคยกับสถานที่ดีกว่า
แล้วฉันจะไปไหนดีล่ะนี่...
หลังจากผ่านห้องรับรองเข้ามาในรั้วของโรงเรียนได้สำเร็จเพราะรู้จักกับยูออน หรือเจ้าหน้าที่ห้องรับรองไม่สนใจก็ไม่ทราบ ฉันก็กวาดตามองไปทั่วทุกสารทิศในอาณาเขตสถาบันเซ็น แล้วตัดสินใจ
เริ่มต้นจากระเบียบโค้งรอบๆ ตัวโดมตรงกลางก่อนแล้วกัน
ระเบียบโค้งทอดตัวยาวขนาดพื้นเป็นรูปกลมรอบตัวโดม หากเดินเป็นเรื่อยๆ จนครบรอบก็จะเห็นพื้นที่ด้านนอกทั้งหมดของสถาบันเซ็น ฉันคิดว่าเริ่มต้นจากที่นี่น่าจะดี
เดินชมวิวทิวทัศน์อยู่ได้สักพักฉันก็เริ่มสับสน โรงเรียนนี้ใหญ่ที่ฉันคิดไว้มาก แล้วฉันก็จำไม่ได้เสียแล้วสิว่า ฉันโผล่ออกมาจากประตูบานไหนในตอนแรก ทางเดินวงกลมที่ไม่คุ้นเคยนี่ชวนงงจริงๆ
เอ๊ะ! ตรงนั้นเหมือนจะมีคนอยู่นี่
ฉันลองไปถามทางจากเขาดีกว่า
“ขอโทษนะคะ”
เด็กหนุ่มที่คนที่ฉันถามกำลังยืนพิงกำแพงและมองออกไปยังท้องฟ้าเวิ้งว้าง ดวงตาสีเทาที่ดูเลื่อนลอยของเขาค่อยๆ ย้ายมามองฉัน เขามีสีขาวไปหมดทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า นั่นคือตั้งแต่ผมสั้นหยักศก ผ้าพันคอ เสื้อแขนยาวตัวนอก กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ และผิวของขาวล้วนเป็นสีขาว สิ่งเดียวที่ดูโดดเด่นขึ้นมาในตัวเขาคงเป็นสร้อยล็อกเก็ตสีเงินที่เขาคล้องคอไว้
รู้สึกเหมือนมีบรรยากาศใสบริสุทธิ์อยู่รอบตัวที่ทำให้เขาดูเด็กกว่าฉัน ทั้งๆ เราสองคนก็สูงพอๆ กัน
“เรียกผมเหรอ” เขาถามเสียงใส น้ำเสียงดูซื่อๆ เหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์
“ใช่ค่ะ พอดีว่าฉันหลงทาง ฉันอยากรู้ว่าทางกลับไปรับรองอยู่ทางไหน”
“โอ้ ผมว่ามันคงอยู่ทางนั้นนะ”
เขาชี้ไปที่ประตูบานหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า แต่แล้วก็เอานิ้วมาเกาแก้มตัวเองลูกตาเคลื่อนขึ้นมองบนด้านบนอย่างครุ่นคิด
“เอ... หรือว่าอยู่ทางนี้”
คราวนี้เขาชี้ไปที่ประตูที่อยู่ทิศทางตรงกันข้ามที่ฉันเพิ่งเดินผ่านมา
ฉันยิ้มแหยๆ รับอย่างสุภาพ สงสัยจะถามผิดคนเสียแล้ว
“ขอโทษนะ แต่ว่าผมก็ไม่คุ้นเคยกับที่นี่เหมือนกัน” เด็กหนุ่มบอก “ที่นี่ต่างไปจากเมื่อหลายปีก่อน ตึกนี้ก็เปลี่ยนไปมากจนผมแทบจำมันไม่ได้เลย”
“อย่างนั้นเหรอ” ฉันว่าเขาดูเป็นมิตรดี จึงลองชวนคุยต่อ “ฉันก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับสถาบันเซ็นนักหรอกนอกจากข่าวลือ”
“ข่าวลือแบบไหนเหรอ” ดวงตาของเด็กหนุ่มมีแววอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กๆ ราวกับว่าเขาไม่เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับที่นี่มาก่อน
“ก่อนหน้านี้ ฉันเคยได้ยินว่าโรงเรียนนี้คือฉากบังหน้าเท่านั้น ที่จริงแล้วมันคือฐานทัพของมนุษย์ต่างดาว”
เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงใสรับมุกของฉัน
รอยยิ้มของเขาบริสุทธิ์ดั่งหิมะจนช่วยไม่ได้ที่ฉันเผลอยิ้มตามเขาไปด้วย
“เธอเป็นนักเรียนที่นี่เหรอ” เขาถามหลังหัวเราะจนพอใจ
“ฉันจะเป็นนักเรียนของที่นี่เร็วๆ นี้” ฉันบอก “อ้อ...เกือบลืมแนะนำตัวไปแน่ะ ฉันชื่อเอสซี่”
“ผมชื่อโอเร ยินดีที่ได้รู้จักนะ” โอเรแนะนำตัวบ้าง
ฉันบอกไปว่า ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน แล้วถามเขาต่อว่า
“นายเรียนที่นี่ด้วยเหรอ โอเร”
“ผมว่าก็คงพอพูดแบบนั้นก็ได้อยู่หรอก”
‘คงพอพูดแบบนั้นได้ ’อย่างนั้นหรือ...
ฉันคิดว่านั่นเป็นคำตอบที่แปลกทีเดียว แต่พอเห็นเวลาที่นาฬิกาข้อมือก็คิดไว้ว่าควรจบบทสนทนาไว้เท่านี้ก่อน
“ฉันต้องไปแล้วล่ะ” ฉันบอกโอเร
“เธอไปเองได้จริงๆ เหรอ” คำถามของโอเรแสดงความเป็นห่วงจากใจจริง เพราะสีหน้าเขาก็บอกเช่นนั้น ฉันไม่รู้สึกถึงแววประชดประชันในน้ำเสียงของเขาเลย
คนอะไรช่างน่ารักจริงๆ ยังอุตส่าห์เป็นห่วงคนอื่นทั้งที่ตัวเองยังดูน่าเป็นห่วงเสียยิ่งกว่าอีก
“ไม่ต้องห่วง ฉันดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว เดี๋ยวลองหาทางเข้าไปข้างในดู แล้วคงเจอทางไปต่อได้เองแหละ” ฉันพยายามพูดให้เขาสบายใจ
“โอเคครับ ระวังตัวด้วยแล้วกัน” โอเรโบกมือลาให้ฉันส่งท้าย
“จ้า” ฉันโบกมือตอบ
ปรกติฉันไม่ค่อยทำตัวสนิทสนมกับคนแปลกหน้านัก แต่โอเรเหมือนจะเป็นกรณีพิเศษ ฉันรู้สึกสบายใจที่จะคุยกับเขา ...นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกดี
ฉันหาประตูที่นำไปสู่ทางเดินด้านในเจอจนได้ บริเวณแถบนี้มีห้องลักษณะเหมือนๆ กันเรียงติดกัน ดูแล้วคาดว่าน่าจะเป็นห้องเรียนเพราะมองเข้าไปจากหน้าตาที่บานประตูแล้วเห็นกระดานดำอยู่ข้างใน
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ยูออนพูดจริง อีกไม่นานฉันก็ต้องมาเรียนที่นี่แล้ว ฉันคิดว่าลองเข้าไปสำรวจเล็กน้อยคงไม่เสียหาย
ห้องเรียนของสถาบันเซ็นน่าตื่นตาตื่นใจกว่าที่ฉันคิดไว้ ที่นั่งเรียนเป็นอัฒจันทร์ทรงโค้งเรียงเป็นขั้นๆ เหมือนกับที่ห้องเลกเชอร์ของเด็กมหาวิทยาลัยที่ฉันเคยเห็นในภาพยนตร์ เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องดูทันสมัย แม้แต่กระดานดำที่เห็นในทีแรกก็เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่ใช่กระดานดำที่ใช้คู่กับชอล์กแบบทั่วไป
ถ้าไม่นับข่าวลือแย่ๆ ที่เคยได้ยินมา กับคดีประหลาดพวกนั้น ที่นี่ถือว่าเป็นโรงเรียนที่ได้มาตรฐาน แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่ค่อยชอบบรรยากาศที่ดูหรูหรา นำสมัย และเป็นทางการเกินไปของที่นี่เท่าใดนัก พื้นและผนังสีขาวเหมือนเขตปลอดเชื้อเช่นนี้ยิ่งชวนให้นึกถึงกลิ่นยาและโรงพยาบาล
“นี่เธอ!”
ฉันที่กำลังคิดเปรียบเทียบที่นี่อยู่สะดุ้งและหันไปมอง คนที่เรียกฉันไว้คือหญิงสาวผมทองใส่แว่นคนหนึ่ง เธอเกล้าผมของเธอไว้ด้านหลัง และอยู่ในชุดทำงานสีเหลือง
“เธอไม่ใช่นักเรียนของเรานี่ ที่นี่มีกฎว่าคนนอกห้ามเข้ามาในโรงเรียน” หญิงสาวพูดด้วยเสียงของคนมีอำนาจสั่งการ
“ขอโทษค่ะ” ฉันค้อมศีรษะลงเล็กน้อย “แต่ว่าเดี๋ยวหนูก็เป็นนักเรียนโรงเรียนนี้แล้วค่ะ วันนี้หนูลองเข้ามาเยี่ยมชมสถานที่ก่อน”
“ปรกติเขาไม่อนุญาตให้นักเขียนย้ายเข้าช่วงนี้ของปีนี่นา” อีกฝ่ายตั้งข้อสงสัย
“หนูคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เขายืนกรานว่าจะทำอย่างนั้นได้ หนูเลยช่วยอะไรไม่ได้”
“ ‘เขา’ ที่ว่านั่นคือใคร” หญิงผมทองถาม
“...ยูออน”
ฉันไม่รู้ว่ายูออนมีอำนาจทำเช่นนั้นได้ด้วยตนเองหรือว่าต้องยืมมือคนอื่นช่วยจัดการเรื่องย้ายฉันเข้าเรียนอีกต่อหนึ่ง แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนเดียวที่ฉันรู้ว่าเกี่ยวกับในขณะนี้
ดวงตาคู่สีน้ำเงินได้กรอบแว่นฉายแววตกใจชั่วครู่ หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง
“เด็กนั่น...ฉันน่าจะรู้นะ ไม่มีใครอีกแล้วที่จะทำอย่างนั้นได้ในทันทีทันใด บุ่มบ่ามจริงๆ” เธอถอนหายใจเสียงค่อย ก่อนหันมาพูดกับฉันต่อว่า “อย่างไรก็ตาม ฉันชื่ออาเซีย เป็นอาจารย์สอนอยู่ห้อง 2A”
“หนูชื่อเอสซี่ค่ะ ขอโทษที่บุกรุกเข้ามาด้วยนะคะมิสอาเซีย”
หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’
ทั้งห้องเงียบไประยะหนึ่ง มิสอาเซียยังคงมองฉันอยู่แต่ก็ไม่ได้กล่าวคำ เสมือนเธอมองข้ามฉันได้ไป แล้วกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่แทน
“หนูขอตัวก่อนนะคะ”
เมื่อเป็นเช่นนั้นฉันจึงบอกลาเธอ แล้วออกจากห้อง ระหว่างเดินฉันก็ทบทวนสิ่งที่ได้ยินมาไปด้วย
ฉันกะแล้วว่ายูออนไม่ได้มีฐานะธรรมดาในโรงเรียน อย่างน้อยเขาต้องมีเส้นสายภายในหรืออะไรบ้าง และคำพูดของมิสอาเซียก็ช่วยยืนยันสมมติฐานของฉัน
ครั้งต่อไปที่เจอกัน ฉันต้องบังคับให้เขาบอกทุกอย่างกับฉันให้ได้
ความคิดเห็น