ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Illumination ปมลับเทวาและซาตาน

    ลำดับตอนที่ #2 : #chapter2 คืนชีพคัมภีร์มรณะ

    • อัปเดตล่าสุด 22 ต.ค. 55


    “ม...ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลย” คิมหันต์พึมพำ  เอื้อมมือไปทาบกับกระจกใสเย็นเยียบที่เริ่มถูกฝ้าจับจนไม่อาจมองไปภายนอกได้ชัดเช่นเดิม

    “เกิดอะไรขึ้น” ลลิตถาม  คิมส่ายหน้าอย่างช้าๆ  และยังรู้สึกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น  เขาเชื่อว่าคนทั้งโรงเรียนคงกำลังตื่นเต้นเสียจนไม่กล้าทำอะไรแน่ๆ

    ทันใดนั้นเองทั้งคู่สะดุ้งโหยงเมื่อเสียงตามสายอันโหยหวนเริ่มประกาศขึ้น “ขอให้นักเรียนที่อยู่บริเวณนอกอาคารเรียน  รีบกลับเข้าอาคารเรียนของตนโดยด่วน  หิมะที่เกิดขึ้นอาจมีการปนเปื้อน  ทางโรงเรียนขอให้นักเรียนทุกคนอย่าสัมผัสหิมะและรีบเข้าไปที่ตัวอาคารโดยด่วน  ย้ำอีกครั้ง...” ข้อความถูกย้ำทั้งสิ้นประมาณสามครั้ง  จากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ความโกลาหล  ผู้คนนับพันรอบโรงเรียนส่งเสียงอื้ออึงเหมือนฝูงผึ้ง  แม้กระทั่งเส้นทางเปลี่ยวๆที่ลลิตกับคิมยืนอยู่ก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยราวกับดังอยู่ไม่ไกล

    เพล้ง! ทันใดนั้นเอง  อะไรบางอย่างก็พุ่งมาใกล้ๆหน้าของคิม  และกระทบกับกระจกเสียจนสิ่งนั้นแตกกระจาย  คิมผละตัวออกมาตามสัญชาตญาณ  เขาล้มไปบนพื้นห่างจากจุดเกิดเหตุเพียงไม่กี่เมตร  ซึ่งนั่นก็นับว่าโชคดีมาก  เมื่อพบว่าสิ่งที่พุ่งเข้ามาหามันเป็นบีกเกอร์ที่บรรจุของเหลวใสๆมีฤทธิ์กัดกร่อนเอาไว้  เมื่อมันแตกกระจาย  ของเหลวดังกล่าวกระจายไปทั่วกระจกและกัดกร่อนบริเวณที่มันสัมผัสให้ระเหิดกลายเป็นไออย่างน่ากลัว  และเพียงแค่ยืนห่างจากมัน  คิมยังคงรู้สึกแสบจมูกอย่างแรง

    “ยุ่งเรื่องของคนอื่นนี่มันไม่ดีนา...” เป็นเสียงเนิบนาบของใครบางคนที่เดินออกมาจากทางสลัวๆ  เสียงฝีเท้าจากรองเท้าผ้าใบสีดำเสียดสีกับพื้นหินอ่อนบนอาคาร  มันใกล้เข้ามาช้าๆอย่างใจเย็น  และดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลย 

    ลลิตเข้ามาพยุงคิมให้ลุกขึ้น  ทั้งสองเพ่งมองเข้าไปในความมืดและเห็นร่างของใครบางคนที่ใกล้เข้ามา  แต่ทันใดนั้นบีกเกอร์บรรจุกรดอีกขวดก็ถูกเขวี้ยงมาใส่อย่างแรง  ลลิตกระชากแขนของคิมจนทั้งคู่หงายหลังล้มลงบนพื้น  บีกเกอร์แตกกระจายตรงหน้าห่างจากทั้งคู่ประมาณสองเมตร  โชคดีที่กรดอะไรบางอย่างไม่กระจายมาโดนทั้งสอง  และทำได้แค่กร่อนพื้นหินอ่อนให้ระเหิดอย่างน่ากลัว

    “หลบเก่งดีนี่แฮะ  ยิ่งคราวแรกนี่ยิ่งน่าทึ่ง  คิดว่าจะหน้าเละไปแล้วซะอีก”

    “เล่นอะไรของนาย!” คิมตวาดลั่น  ใส่ใครบางคนที่ยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า

    เขาเป็นเด็กหนุ่มวัยเดียวกับคิม  คงจะดูเด็กกว่าเล็กน้อยด้วยส่วนสูงที่น้อยกว่าคิมสักห้าเซ็นกับผมสีดำที่ปรกหน้าผากและถูกจัดไว้อย่างดีเป็นทรง  ดวงตาสีดำทะมึนหรี่ลงมองทั้งคู่อย่างพิจารณา  รอยยิ้มที่ตกค้างบนใบหน้าเจ้าเล่ห์นั่นยิ่งทำให้คนที่ปรากฏตัวตรงหน้าดูน่ากลัวและน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน  เขาดูหล่อเหลาและเพียบพร้อมด้วยวฺฒิภาวะทางอารมณ์  ดูราวกับว่าสายตาเจ้าเล่ห์นั่นสามารถมองไปทางใครแล้วทำให้คนนั้นรู้สึกขนลุกซู่ได้ตลอดเวลา  ลลิตรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูกทันทีที่รู้ว่าหมอนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    “กวี..” ลลิตส่งเสียงเล็ดรอดออกมาจากไรฟัน

    “รู้จักหรอ” คิมถาม

    กวีดูคล้ายกับยิ้มรับตอบ  เป็นรอยยิ้มที่คงทำให้สาวๆหลายคนใจละลาย  แต่ไม่ใช่สำหรับลลิต  เธอดูออกว่านี่มันเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์และหลอกให้เหยื่อตายใจ  เธอไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจอะไรนักถ้าคนแบบกวีสามารถฆ่าแมวให้มีสภาพอเนจอนาถแบบนั้นได้

    “สวัสดีครับคุณลลิตาห้องสอง  แล้วก็เอ่อ...นาย...”

    “ฝีมือนายหรอกวี!” ลลิตโพล่งขึ้นตอนที่กวีกำลังงงกับใบหน้าที่ไม่คุ้นของคิมอยู่

    “อะไร๊เปล่าๆๆ  ฉันน่ะสิต้องถามว่าเป็นฝีมือพวกเธอหรือเปล่าที่เอาคัมภีร์มาเล่นอะไรแผลงๆ”

    “คัมภีร์...” คิมครุ่นคิด  แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเปื้อนเลือดที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆอ่างล้างมือ  เขาคว้ามันมาถือไว้แน่นโดยไม่กลัวว่าเลือดจะหกเปรอะตัว “หมายถึงไอ้นี่น่ะหรอ!

    “เห...นายเจอมันหรอกหรอ”

    “ฝีมือนายใช่มั้ยกวี  อย่ามาทำไก๋! ลลิตาคาดคั้น

    “หืม...ฉันว่า  เธออย่ายุ่งเรื่องนี้เลยจะดีกว่านะ  ถ้ายังรักชีวิตของตัวเองอยู่  เอ...ซึ่งดูเหมือนคัมถีร์จะได้ถูกใช้ไปแล้ว  นั่นหมายถึงว่าพวกเธอมีโอกาสถูกฆ่าตาย  ถ้าดันไปแส่ไม่เข้าเรื่องกับคนที่ใช้คัมภีร์ บลาๆๆ เอาเป็นว่า ส่งมันมา!” คำสุดท้ายถูกเน้นชัดขึ้น  เมื่อกวีถือหลอดทดลองที่บรรจุสารสีฟ้าเอาไว้ข้างในมาแกว่งบนมือ  มันเป็นหลอดเล็กๆที่ดูมีฤทธิ์แรงเสียยิ่งกว่ากรดเมื่อครู่นี้เสียอีก

    “อะไรอีกล่ะ  น้ำยาแปลงร่างรึ” คิมหันต์ท้าทายอย่างมาดมั่น  เข้าแน่ใจเต็มร้อยว่าไม่ว่าด้วยวิธีไหนเขาก็จะไม่ส่งคัมภีร์นี้คืนไปให้หมอนั่นแน่

    “โยนมันลงไปตรงกรดนั่นเลยคิม!” ลลิตเสริม  คิมเหมือนจะเห็นพ้องต้องกัน  เขาคีบเอาหนังสือหนักๆไว้ด้วยสองนิ้ว  และยื่นมันไปตรงหน้าที่มีกรดเดือดปุดๆรองรับเอาไว้  เขาไม่ยืนยันว่ามันจะไม่ลื่นหลุดมือเขาตกลงไป  แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็....”ช่างมันเหอะ”

    “บ๊ะเล่นยากกว่าที่คิดแฮะ  ว่าแต่นายปิดน้ำไม่สนิทแน่ะรู้ตัวเปล่า” กวีบอก  เขาดูจะมั่นใจเสียเหลือเกินว่าคิมจะไม่กล้าปล่อยคัมภีร์ให้โดนกร่อนโดยกรด

    แต่ทำไมล่ะเขามีอะไรมายืนยันความมั่นใจนี้  คิมกลอกตาไปมองอ่างล้างมืออย่างฉงนสงสัย  ใช่...น้ำจากก๊อกไหลออกมาเล็กน้อยเพราะถูกปิดไม่สนิทจริง  มันเริ่มล้นออกมาจากอ่างทีละน้อยเพราะด้วยฝาจุกที่กั้นตระแกรงไว้ยังไม่ถูกดึงออก

    “รู้เปล่าถ้าสารละลายนี้ทำปฏิกิริยากับน้ำจะเกิดอะไรขึ้น”

    “นายไม่กล้าหรอก  ขืนทำงั้นคัมภีร์นั่นก็จะโดนลวกไปด้วย” ลลิตบอก

    “ฉันไม่สนหรอก...  เธอคงเห็นกรดที่ฉันใช้ก่อนหน้านี้  นั่นเป็นแบบผสมน้ำ 5% ซึ่งถือว่าเจือจางมากๆ  แต่ถ้าสารละลายนี้ผสมกันแบบเข้มข้นกับน้ำในอ่างอันน้อยนิดนั่นจะเกิดอะไรขึ้น  คราวนี้ไม่ได้เจอแค่กรดแน่  แต่เป็นระเบิดลูกย่อมๆเลยล่ะ” ทุกถ้อยคำของกวีนั้นล้วนชัดเจน  และทั้งสองรู้ดีว่าหมอนี่ทำจริงและไม่ได้ขู่  สังเกตุได้จากการปากรดอันตรายมาตอนแรก  ที่แม่นและรุนแรงเสียจนเรียกได้ว่าเป็นเจตนาสังหารก็ว่าได้  หมอนี่คงจะไม่แยแสจริงๆถ้าจะระเบิดนักเรียนสองคนให้กลายเป็นศพน่าอเนจอนาถไปพร้อมๆกับคัมภีร์เก่าๆที่ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรได้

    “ลลิต”  คิมหันต์ตัดสินใจ “เธอช่วยไปหลบในห้องเก็บไม้กวาดก่อนได้มั้ย  ฉันไม่อยากให้เธอโดนลูกหลง  เอาหนังสือนี่ไปด้วย  เธอมีไฟแช็คอยู่กับตัว  ถ้าเกิดได้ยินเสียงระเบิดหรือเกิดอะไรขึ้น  ให้เผามันทิ้งเลยอย่ารีรอ” ลลิตฟังคำสั่งของคิมแล้วครั่นคร้ามอยู่ชั่วขณะ  เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีไฟแช็กที่ว่าอยู่กับตัว  แต่ที่คิมพูดออกมาอย่างมั่นใจนั่นอาจเป็นเพราเขารู้ดีว่าการขู่นี้จะได้ผล

    “แล้วนายล่ะ”

    “ไม่ต้องห่วงฉัน  ฉันจะถามหมอนี่ให้รู้เรื่อง  และฉันก็มั่นใจว่าหมอนี่ไม่กล้าฆ่าคนจริงๆหรอก”

    ลลิตนิ่งเงียบ  และรับคัมภีร์เปื้อนเลือดนั้นมาถือไว้ในมือ “อย่าเป็นอะไรนะ” เธอพูดจบแล้วก็วิ่งเข้าไปซ่อนตัวในห้องเก็บไม้กวาด

    ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของกวีเหมือนะจะรับคำท้าของคิมหันต์  บัดนี้ลลิตเข้าไปซ่อนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ทิ้งให้สองหนุ่มยืนประจันหน้ากัน  ในอากาศที่เย็นตัวลงเรื่อยๆ

    “ตอบคำถามฉันมาทีละข้อตอบให้ตรงคำถามด้วยล่ะ” คิมตะโกนสั่ง

    “แล้วทำไมฉันต้องตอบด้วยล่ะ” กวีพูด

    “ฉันรู้ว่านายสนใจหนังสือมากกว่าสิ่งอื่นใด  ไม่ต้องปฏิเสธหรอกว่าไม่จริง”

    “หรอ”

    “เอาล่ะ  ข้อแรก  ใครเป็นคนฆ่าแมวตัวนั้น!

    “คำถามยากจัง...ฉันไม่ตอบได้มะ”

    เพล้ง! แทบไม่รู้ตัวและทุกอย่างก็เหมือนจะผิดคาดไปหมด  หลอดทดลองถูกเขวี้ยงมาที่ขอบของอ่างล้างมืออย่างแม่นยำ  มันแตกกระจายจนสารละลายสีน้ำเงินทะลักเข้าไปในอ่างล้างมือ  และไม่ถึงวินาที  อ่างล้างมือที่ทำจากกระเบื้องก็ระเบิดจนเศษกระเบื้องกระจายไปทั่ว  มันส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณอาคาร คิมยกแขนขึ้นมาป้องใบหน้าอย่างทันท่วงที  เพื่อกันเศษกระเบื้องที่พุ่งมาบาดใบหน้า  แต่นั่นก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากน้ำที่ทะลักออกมาจากท่ออย่างไม่รู้จบ  เขารู้สึกแสบจมูกอย่างรุนแรง  สมองตื้อไปหมด  เนื้อตัวเปียกโชกเสียจนเสื้อนักเรียนแนบไปกับผิวหนัง  แรงระเบิดส่งให้เขาล้มไปนอนกองกับพื้น  โดยมีน้ำห่าใหญ่ที่ผสมกับสารละลายน่ากลัวพุ่งเข้าใส่ตัวจนเขาถึงกับสำลัก  มันเข้าไปในปาก  เข้าตา  และทุกๆบริเวณของร่างกาย  นาทีแรกเขารู้สึกว่าตัวเองคงจะตายไปแล้วเป็นแน่แท้  แต่เขากลับไม่สัมผัสถึงความเจ็บปวดอะไรเลย

    “อะ..เอ๋” คิมเผยอเปลือกตาขึ้น  บ่ายมือที่ยกขึ้นมาปิดหน้าเพื่อป้องกันน้ำเข้าตา  เขาไม่เจ็บปวด  ไม่แสบอะไรทั้งสิ้น  มีเพียงสายน้ำเย็นๆที่ทะลักเข้ามาใส่ตัวเขา  และเจิ่งนองไปทั่วพื้นอาคาร

    “เกิดอะไรขึ้นคิมเป็นอะไรหรือเปล่า!” ลลิตโพล่งประตูออกมาอย่างแรง

    “เหมือนสารละลายอะไรนั่นจะไม่ได้ผลนะ!” คิมลุกขึ้นพรวดแล้วตะครุบร่างของกวีเอาไว้อย่างแรง  ทั้งคู่ล้มลงไปกระแทกกับพื้น  แล้วคิมก็ส่งหมัดหนักๆเข้าที่หน้าของกวีแบบไม่ลังเลและออมแรง

    “ทีนี้บอกมาได้หรือยังว่าใครเป็นคนทำ!

    อีกฝ่ายยังเงียบ

    “อย่าเลยคิม  แค่นี้หมอนี่ก็ไม่มีทางสู้แล้ว”  ลลิตเข้ามาปรามไว้  ทำให้คิมที่เนื้อตัวเปียกโชกชะงักหมัดที่สองเอาไว้กลางอากาศ

    “ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ  เพื่อนเธอนี่ทำให้ฉันตกใจได้เป็นครั้งที่สองแล้วนะลลิตา  โอยๆๆเจ็บๆๆ  ทำแบบนี้มันเจ็บนะรู้เปล่า” กวีผลักร่างที่ค้ำตัวของเขาออกไป

    “โอ้ยนี่แก...ทำอะไรฉัน...” และตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบปากกาปลายแหลมถูกเสียบมาที่ต้นขาของคิมจนปักคาอยู่อย่างนั้น  เลือดสดๆรินไหลออกมาจากกางเกงนักเรียนสีดำ

    “คิม!” ลลิตเข้าไปประคองร่างของคิมเอาไว้  เขาดูไม่เป็นอะไรมาก  แต่แผลนั่นกลับน่ากลัว  กวีช่างเป็นปีศาจร้ายที่ลงมือได้อย่างรวดเร็วและแทบไม่รู้ตัว

    “เห็นแก่ความพยายาม  ฉันจะเล่าเรื่องคร่าวๆที่พอรู้ให้ฟังก็ได้” กวีตัดสินใจเปิดปาก  เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ  เช็ดมุมปากที่มีเลือดซึมออกมา  เดินไปเขี่ยเก้าอี้แล้วนั่งลงโดยหันหน้าไปทางพนักพิงหลัง “ก่อนอื่น...คัมภีร์นั่นเป็นของฉันเอง”

    “ไม่บอกก็รู้!” ลลิตว่า

    “เล่าไปนายอาจจะไม่เชื่อ  แต่มันก็น่าตกใจน้อยกว่ามีหิมะตกในประเทศไทยล่ะนะ  ฮะฮะฮะ” กวีพยายามยิงมุกตลก  ที่ทั้งคู่ไม่รู้สึกขำด้วยเลยสักนิด “โอเคๆ  ไม่ขำๆ  ได้เข้าเรื่องนะ  คัมภีร์นั่นเรียกว่า คธูลูหรือ คัมภีร์มรณะเป็นสิ่งที่สืบทอดในตระกูลของฉันมาช้านาน  มันเป็นพันธสัญญาของซาตาน  จะว่าไงดี...”

    “ว่ามาเหอะ  ถึงตอนนี้ก็เข้าใจได้หมดแหละ” คิมบอก

    “เมื่อนานมาหลายพันปีก่อนหน้านี้บนโลกมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่าย  ฝ่ายแรกคือเทวา  ทำหน้าที่อยู่บนสวรรค์เป็นผู้โอบอ้อมอารี  มีจำนวนมากมาย  ฝ่ายที่สองคือมนุษย์  เป็นเผ่าที่มีบาปทั้งเจ็ดประการตีตราเอาไว้  มนุษย์ทุกคนไม่สามารถหลีกพ้นบาปเจ็ดประการเหล่านี้ไปได้  จึงทำให้ฝ่ายที่สามหรือก็คือ ซาตาน  คิดใช้จุดอ่อนนี้ของมนุษย์เพื่อขยายอำนาจของตนเอง

    ซาตานได้สร้างคัมภีร์มรณะเล่มนี้ขึ้นมา  โดยตั้งกฏว่าต้องสังเวยหนึ่งชีวิตและชะโลมเลือดจากหัวใจลงบนหน้ากระดาษที่มีตราสัญลักษณ์แห่งซาตาน  จากนั้นผู้ที่กระทำพิธีการจะได้รับพรจากซาตานสามข้อ  พรสามข้อนี้สามารถขอได้ทุกสิ่งเท่าที่จินตนาการออก  เว้นเพียงอย่างเดียวคือการ สร้างชีวิตซึ่งถือว่าเป็นอำนาจที่นอกเหนือของซาตาน”

    “แปลว่าใช้ชุบชีวิตขึ้นมาไม่ได้สินะ” ลลิตถาม

    “ว่าอย่างนั้นก็ได้”

    “แต่ดันใช้สังหารคนอื่นได้  เยี่ยมดีจริงๆ” คิมหันต์กัดฟันพูด  รู้สึกชิงชังในคัมภีร์อุบาทว์นั่นอย่างบอกไม่ถูก

    “ขอพูดต่อนะ  ซาตานมอบคัมภีร์เล่มนั้นให้กับมนุษย์  มีการใช้อำนาจของคัมภีร์อย่างบ้าคลั่งและส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น  จนกระทั่งมันตกมาอยู่ในมือของบรรพบุรุษของฉัน  เขาเป็นบาทหลวงผู้มีจิตใจโอบอ้อมและนับถือเทวาและพระผู้เป็นเจ้า  เขาจึงสัญญาจะเก็บคัมภีร์นี้ไว้โดยไม่ใช้มัน  เขาก่อตั้งตระกูล เซนต์เควลเรียนขึ้นและส่งมอบคัมภีร์มรณะไว้ให้คนในตระกูลดูแล  แต่เมื่อแผนของซาตานถูกขัดขวาง  มันจึงขู่ว่าถ้าหากในหนึ่งปีไม่มีการใช้คัมภีร์นั้นและขอพร  มันจะสร้างคัมภีร์ขึ้นมาอีกเล่มเพื่อหาทางทำลายโลกนี้อีกทาง  มีโศกนาฏกรรมมากมายเกิดขึ้นในตระกูลผู้ถือคัมภีร์ของฉัน จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้  คฤหาสน์ของตระกูลที่ลอนดอนถูกเผาราบ  ผู้ที่เหลือในตระกูลเหลือน้อยและมีเพียงฉันที่สามารถถือมันไว้ได้”

    “นายเอาของแบบนี้ติดตัวมาโรงเรียนเนี่ยนะ  ทุกๆวันเนี่ยนะ” ลลิตพูด  รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาตอนรู้ว่ามีของที่เปื้อนเลื้อนมานับพันๆปีอยู่ที่กระเป๋านักเรียนของ กวี

    “มันปลอดภัยกว่าถ้าหากอยู่ใกล้กางเขนนี่” กวีล้วงมือเข้าไปภายในคอเสื้อ  และหยิบกางเขนเล็กๆสีเงินออกมา  มันดูไม่มีฤทธิ์อันน่าพิศวงอันใด  ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดคิมถึงรู้สึกว่ามันดูขลังและเปี่ยมพลังอย่างบอกไม่ถูก

    “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากมันถูกแยกออกจากกางเขน” คิมหันต์ถามอย่างอยากรู้  เขาเริ่มรู้สึกว่าคอกำลังแห้งผากในอากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้

    “คัมภีร์จะเพิ่มพลังตัวเองมากขึ้น  มันจะดึงดูดให้ผู้ที่อยู่ใกล้กระหายที่จะใช้มัน  จนกระทั่งหลงผิด  ไม่อาจปฏิเสธว่าแม้คนที่ดีที่สุดยังหลงไปตามอำนาจของมันได้” กวีอธิบาย

    “เหมือนจะมีคนๆนั้นเกิดขึ้นแล้ว” คิมเห็นพ้อง

    กวีแสยะยิ้มเครียดๆ “และไม่ว่าใครก็ตามที่ริอาจมาแตะต้องคัมภีร์ของฉัน  มันไม่ได้ตายแบบศพสวยแน่ๆ”

    “แล้วนายจะทำไงต่อ” คิมถามเสียงเครียด

    “ก็ทำแบบนี้ไง” แล้วทันใดนั้น  ลลิตหวีดเสียงร้องเมื่อข้อแขนของเธอถูกกวีกระชากไปอย่างแรง  กวีลุกขึ้นพรวดพร้อมเตะเก้าอี้ไปให้พ้นตัว  เขาใช้มีดคัตเตอร์ที่ได้มาจากไหนก็ไม่ทราบ  จ่อที่ลำคอของลลิต  ลลิตไม่อาจขัดขืนเรี่ยวแรงของกวีได้  เธอได้แต่สบถด่าออกมาอย่างเคียดแค้น

    “ทำอะไรของนาย  ไอ้สารเลว”

    “หึหึหึ  ทีนี้จะส่งคัมภีร์ฉันคืนมาได้หรือยังล่ะ  คิมหันต์” กวีพูดด้วยน้ำเสียงท้าทาย

    “มาเหนือตลอดเลยสินะ  แต่ถ้าฉันตื่นตูมร้อนรน  มันก็จะเป็นไปตามแผนที่นายอยากให้เป็น  และฉันมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่านายไม่กล้าฆ่าเธอหรอก  ใช่มั้ยล่ะ”

    “จริงหรือเปล่าน้อ” กวียังไม่มีท่าทีว่าจะตะลึงกับการรู้ทันของคิมหันต์แม้แต่น้อย  นั่นยิ่งทำให้คิมรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดไปพอสมควร

    คิมหันต์มุ่นคิ้วเขาขบฟันค่อยๆพลางค่อยๆครุ่นคิดไปด้วย “เข้าใจละ  ฉันดันทุรังจะเก็บมันไว้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดีใช่มั้ย  และยังไงมันก็ของๆนาย  สุดท้ายนายก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง  รวมถึงชีวิตของแมวตัวนั้นด้วย  แต่นายต้องรับปากฉันก่อน...”

    “นายมีสิทธิ์มาสั่งฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

    “ก็ตั้งแต่เมื่อกี้นั่นแหละ” คิมหันต์ตอบเสียงเครียด

    “แม้ว่าฉันจะเอามีดจ่อคอแฟนนายอยู่ก็ตามอ่ะนะ”

    “ม...ไม่ใช่แฟนย่ะ” ลลิตส่งเสียงเล็ดรอดออกมาจากไรฟัน

    “ส่งลลิตคืนมา  แล้วเอาคัมภีร์นี่ไปซะ”  คิมหันต์ถอยหลังไปช้าๆแล้วก้มลงหยิบคัมภีร์ที่ตกมาจากพื้น  เขายังคงจับจ้องมองกวีไปทุกขณะ

    “เฮ้อ...แกล้งนายนี่ไม่สนุกเลยสิ” เป็นกวีที่ปล่อยลลิตก่อน  นั่นถือว่าอยู่เหนือคาดของคิมหันต์มาก  หรือว่าบางทีหมอนี่อาจจะมีอะไรตุกติกอีก

    เมื่อลลิตคลายออกจากพันธนาการได้แล้ว  เธอใช้เวลาตั้งตัวเพียงเล็กน้อย  และทันทีนั้นเองเธอก็ส่งกำปั้นหนักๆเข้าที่กลางจมูกของกวีอย่างแรง 

    ผัวะรุนแรงเสียจนอีกฝ่ายเซหงายไปนอนบนพื้น  คิมหันต์สะดุ้งตกใจ  ในขณะที่ลลิตเดินกระแทกเท้าเข้ามาแย่งคัมภีร์จากมือเขา  แล้วโยนมันไปตรงหน้าของกวี

    “เอาคืนไปเลยไอ้ของสกปรกๆนี่”

    “ฮะฮะ...โอย...เหนือความคาดหมายจริงๆนะลลิตา  แต่ดูเหมือนเธอยังจะไปไหนไม่ได้นะ  เพราะกระเป๋าตังค์ของเธอยังอยู่กับฉันน่ะสิ”

    ลลิตสะดุ้งโหยง  เธอคลำที่กระเป๋าของเธอแล้วพบว่ามันว่างเปล่าจริงๆ  กระเป๋าสตางค์สุดหวงของเธอถูกชิงไปอย่างไม่รู้ตัว

    “แก...” ลลิตขบฟันกรอด  เธอรู้สึกอยากต่อยหมอนี่อีกสักหมัดแรงๆ 

    กระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลของเธออยู่ในมือของกวี  หมอนั่นเปิดพลิกไปมาและดูของในกระเป๋าอย่างสอดรู้สอดเห็น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×