คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : #chapter2 คืนชีพคัมภีร์มรณะ
“ม...ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลย” คิมหันต์พึมพำ เอื้อมมือไปทาบกับกระจกใสเย็นเยียบที่เริ่มถูกฝ้าจับจนไม่อาจมองไปภายนอกได้ชัดเช่นเดิม
“เกิดอะไรขึ้น” ลลิตถาม คิมส่ายหน้าอย่างช้าๆ และยังรู้สึกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น เขาเชื่อว่าคนทั้งโรงเรียนคงกำลังตื่นเต้นเสียจนไม่กล้าทำอะไรแน่ๆ
ทันใดนั้นเองทั้งคู่สะดุ้งโหยงเมื่อเสียงตามสายอันโหยหวนเริ่มประกาศขึ้น “ขอให้นักเรียนที่อยู่บริเวณนอกอาคารเรียน รีบกลับเข้าอาคารเรียนของตนโดยด่วน หิมะที่เกิดขึ้นอาจมีการปนเปื้อน ทางโรงเรียนขอให้นักเรียนทุกคนอย่าสัมผัสหิมะและรีบเข้าไปที่ตัวอาคารโดยด่วน ย้ำอีกครั้ง...” ข้อความถูกย้ำทั้งสิ้นประมาณสามครั้ง จากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ความโกลาหล ผู้คนนับพันรอบโรงเรียนส่งเสียงอื้ออึงเหมือนฝูงผึ้ง แม้กระทั่งเส้นทางเปลี่ยวๆที่ลลิตกับคิมยืนอยู่ก็ยังได้ยินเสียงพูดคุยราวกับดังอยู่ไม่ไกล
เพล้ง! ทันใดนั้นเอง อะไรบางอย่างก็พุ่งมาใกล้ๆหน้าของคิม และกระทบกับกระจกเสียจนสิ่งนั้นแตกกระจาย คิมผละตัวออกมาตามสัญชาตญาณ เขาล้มไปบนพื้นห่างจากจุดเกิดเหตุเพียงไม่กี่เมตร ซึ่งนั่นก็นับว่าโชคดีมาก เมื่อพบว่าสิ่งที่พุ่งเข้ามาหามันเป็นบีกเกอร์ที่บรรจุของเหลวใสๆมีฤทธิ์กัดกร่อนเอาไว้ เมื่อมันแตกกระจาย ของเหลวดังกล่าวกระจายไปทั่วกระจกและกัดกร่อนบริเวณที่มันสัมผัสให้ระเหิดกลายเป็นไออย่างน่ากลัว และเพียงแค่ยืนห่างจากมัน คิมยังคงรู้สึกแสบจมูกอย่างแรง
“ยุ่งเรื่องของคนอื่นนี่มันไม่ดีนา...” เป็นเสียงเนิบนาบของใครบางคนที่เดินออกมาจากทางสลัวๆ เสียงฝีเท้าจากรองเท้าผ้าใบสีดำเสียดสีกับพื้นหินอ่อนบนอาคาร มันใกล้เข้ามาช้าๆอย่างใจเย็น และดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเลย
ลลิตเข้ามาพยุงคิมให้ลุกขึ้น ทั้งสองเพ่งมองเข้าไปในความมืดและเห็นร่างของใครบางคนที่ใกล้เข้ามา แต่ทันใดนั้นบีกเกอร์บรรจุกรดอีกขวดก็ถูกเขวี้ยงมาใส่อย่างแรง ลลิตกระชากแขนของคิมจนทั้งคู่หงายหลังล้มลงบนพื้น บีกเกอร์แตกกระจายตรงหน้าห่างจากทั้งคู่ประมาณสองเมตร โชคดีที่กรดอะไรบางอย่างไม่กระจายมาโดนทั้งสอง และทำได้แค่กร่อนพื้นหินอ่อนให้ระเหิดอย่างน่ากลัว
“หลบเก่งดีนี่แฮะ ยิ่งคราวแรกนี่ยิ่งน่าทึ่ง คิดว่าจะหน้าเละไปแล้วซะอีก”
“เล่นอะไรของนาย!” คิมตวาดลั่น ใส่ใครบางคนที่ยิ้มแป้นอยู่ตรงหน้า
เขาเป็นเด็กหนุ่มวัยเดียวกับคิม คงจะดูเด็กกว่าเล็กน้อยด้วยส่วนสูงที่น้อยกว่าคิมสักห้าเซ็นกับผมสีดำที่ปรกหน้าผากและถูกจัดไว้อย่างดีเป็นทรง ดวงตาสีดำทะมึนหรี่ลงมองทั้งคู่อย่างพิจารณา รอยยิ้มที่ตกค้างบนใบหน้าเจ้าเล่ห์นั่นยิ่งทำให้คนที่ปรากฏตัวตรงหน้าดูน่ากลัวและน่าหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน เขาดูหล่อเหลาและเพียบพร้อมด้วยวฺฒิภาวะทางอารมณ์ ดูราวกับว่าสายตาเจ้าเล่ห์นั่นสามารถมองไปทางใครแล้วทำให้คนนั้นรู้สึกขนลุกซู่ได้ตลอดเวลา ลลิตรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูกทันทีที่รู้ว่าหมอนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“กวี..” ลลิตส่งเสียงเล็ดรอดออกมาจากไรฟัน
“รู้จักหรอ” คิมถาม
‘กวี’ ดูคล้ายกับยิ้มรับตอบ เป็นรอยยิ้มที่คงทำให้สาวๆหลายคนใจละลาย แต่ไม่ใช่สำหรับลลิต เธอดูออกว่านี่มันเป็นรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์และหลอกให้เหยื่อตายใจ เธอไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจอะไรนักถ้าคนแบบกวีสามารถฆ่าแมวให้มีสภาพอเนจอนาถแบบนั้นได้
“สวัสดีครับคุณลลิตาห้องสอง แล้วก็เอ่อ...นาย...”
“ฝีมือนายหรอกวี!” ลลิตโพล่งขึ้นตอนที่กวีกำลังงงกับใบหน้าที่ไม่คุ้นของคิมอยู่
“อะไร๊! เปล่าๆๆ ฉันน่ะสิต้องถามว่าเป็นฝีมือพวกเธอหรือเปล่าที่เอาคัมภีร์มาเล่นอะไรแผลงๆ”
“คัมภีร์...” คิมครุ่นคิด แล้วเขาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเปื้อนเลือดที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆอ่างล้างมือ เขาคว้ามันมาถือไว้แน่นโดยไม่กลัวว่าเลือดจะหกเปรอะตัว “หมายถึงไอ้นี่น่ะหรอ!”
“เห...นายเจอมันหรอกหรอ”
“ฝีมือนายใช่มั้ยกวี อย่ามาทำไก๋!” ลลิตาคาดคั้น
“หืม...ฉันว่า เธออย่ายุ่งเรื่องนี้เลยจะดีกว่านะ ถ้ายังรักชีวิตของตัวเองอยู่ เอ...ซึ่งดูเหมือนคัมถีร์จะได้ถูกใช้ไปแล้ว นั่นหมายถึงว่าพวกเธอมีโอกาสถูกฆ่าตาย ถ้าดันไปแส่ไม่เข้าเรื่องกับคนที่ใช้คัมภีร์ บลาๆๆ เอาเป็นว่า ส่งมันมา!” คำสุดท้ายถูกเน้นชัดขึ้น เมื่อกวีถือหลอดทดลองที่บรรจุสารสีฟ้าเอาไว้ข้างในมาแกว่งบนมือ มันเป็นหลอดเล็กๆที่ดูมีฤทธิ์แรงเสียยิ่งกว่ากรดเมื่อครู่นี้เสียอีก
“อะไรอีกล่ะ น้ำยาแปลงร่างรึ” คิมหันต์ท้าทายอย่างมาดมั่น เข้าแน่ใจเต็มร้อยว่าไม่ว่าด้วยวิธีไหนเขาก็จะไม่ส่งคัมภีร์นี้คืนไปให้หมอนั่นแน่
“โยนมันลงไปตรงกรดนั่นเลยคิม!” ลลิตเสริม คิมเหมือนจะเห็นพ้องต้องกัน เขาคีบเอาหนังสือหนักๆไว้ด้วยสองนิ้ว และยื่นมันไปตรงหน้าที่มีกรดเดือดปุดๆรองรับเอาไว้ เขาไม่ยืนยันว่ามันจะไม่ลื่นหลุดมือเขาตกลงไป แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นก็....”ช่างมันเหอะ”
“บ๊ะ! เล่นยากกว่าที่คิดแฮะ ว่าแต่นายปิดน้ำไม่สนิทแน่ะรู้ตัวเปล่า” กวีบอก เขาดูจะมั่นใจเสียเหลือเกินว่าคิมจะไม่กล้าปล่อยคัมภีร์ให้โดนกร่อนโดยกรด
แต่ทำไมล่ะ! เขามีอะไรมายืนยันความมั่นใจนี้ คิมกลอกตาไปมองอ่างล้างมืออย่างฉงนสงสัย ใช่...น้ำจากก๊อกไหลออกมาเล็กน้อยเพราะถูกปิดไม่สนิทจริง มันเริ่มล้นออกมาจากอ่างทีละน้อยเพราะด้วยฝาจุกที่กั้นตระแกรงไว้ยังไม่ถูกดึงออก
“รู้เปล่าถ้าสารละลายนี้ทำปฏิกิริยากับน้ำจะเกิดอะไรขึ้น”
“นายไม่กล้าหรอก ขืนทำงั้นคัมภีร์นั่นก็จะโดนลวกไปด้วย” ลลิตบอก
“ฉันไม่สนหรอก... เธอคงเห็นกรดที่ฉันใช้ก่อนหน้านี้ นั่นเป็นแบบผสมน้ำ 5% ซึ่งถือว่าเจือจางมากๆ แต่ถ้าสารละลายนี้ผสมกันแบบเข้มข้นกับน้ำในอ่างอันน้อยนิดนั่นจะเกิดอะไรขึ้น คราวนี้ไม่ได้เจอแค่กรดแน่ แต่เป็นระเบิดลูกย่อมๆเลยล่ะ” ทุกถ้อยคำของกวีนั้นล้วนชัดเจน และทั้งสองรู้ดีว่าหมอนี่ทำจริงและไม่ได้ขู่ สังเกตุได้จากการปากรดอันตรายมาตอนแรก ที่แม่นและรุนแรงเสียจนเรียกได้ว่าเป็นเจตนาสังหารก็ว่าได้ หมอนี่คงจะไม่แยแสจริงๆถ้าจะระเบิดนักเรียนสองคนให้กลายเป็นศพน่าอเนจอนาถไปพร้อมๆกับคัมภีร์เก่าๆที่ไม่รู้ว่าใช้ทำอะไรได้
“ลลิต” คิมหันต์ตัดสินใจ “เธอช่วยไปหลบในห้องเก็บไม้กวาดก่อนได้มั้ย ฉันไม่อยากให้เธอโดนลูกหลง เอาหนังสือนี่ไปด้วย เธอมีไฟแช็คอยู่กับตัว ถ้าเกิดได้ยินเสียงระเบิดหรือเกิดอะไรขึ้น ให้เผามันทิ้งเลยอย่ารีรอ” ลลิตฟังคำสั่งของคิมแล้วครั่นคร้ามอยู่ชั่วขณะ เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีไฟแช็กที่ว่าอยู่กับตัว แต่ที่คิมพูดออกมาอย่างมั่นใจนั่นอาจเป็นเพราเขารู้ดีว่าการขู่นี้จะได้ผล
“แล้วนายล่ะ”
“ไม่ต้องห่วงฉัน ฉันจะถามหมอนี่ให้รู้เรื่อง และฉันก็มั่นใจว่าหมอนี่ไม่กล้าฆ่าคนจริงๆหรอก”
ลลิตนิ่งเงียบ และรับคัมภีร์เปื้อนเลือดนั้นมาถือไว้ในมือ “อย่าเป็นอะไรนะ” เธอพูดจบแล้วก็วิ่งเข้าไปซ่อนตัวในห้องเก็บไม้กวาด
ใบหน้าที่เปื้อนยิ้มของกวีเหมือนะจะรับคำท้าของคิมหันต์ บัดนี้ลลิตเข้าไปซ่อนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทิ้งให้สองหนุ่มยืนประจันหน้ากัน ในอากาศที่เย็นตัวลงเรื่อยๆ
“ตอบคำถามฉันมาทีละข้อ! ตอบให้ตรงคำถามด้วยล่ะ” คิมตะโกนสั่ง
“แล้วทำไมฉันต้องตอบด้วยล่ะ” กวีพูด
“ฉันรู้ว่านายสนใจหนังสือมากกว่าสิ่งอื่นใด ไม่ต้องปฏิเสธหรอกว่าไม่จริง”
“หรอ”
“เอาล่ะ ข้อแรก ใครเป็นคนฆ่าแมวตัวนั้น!”
“คำถามยากจัง...ฉันไม่ตอบได้มะ”
เพล้ง! แทบไม่รู้ตัวและทุกอย่างก็เหมือนจะผิดคาดไปหมด หลอดทดลองถูกเขวี้ยงมาที่ขอบของอ่างล้างมืออย่างแม่นยำ มันแตกกระจายจนสารละลายสีน้ำเงินทะลักเข้าไปในอ่างล้างมือ และไม่ถึงวินาที อ่างล้างมือที่ทำจากกระเบื้องก็ระเบิดจนเศษกระเบื้องกระจายไปทั่ว มันส่งเสียงดังกึกก้องไปทั่วบริเวณอาคาร คิมยกแขนขึ้นมาป้องใบหน้าอย่างทันท่วงที เพื่อกันเศษกระเบื้องที่พุ่งมาบาดใบหน้า แต่นั่นก็เหมือนจะไม่ได้ช่วยให้เขารอดพ้นจากน้ำที่ทะลักออกมาจากท่ออย่างไม่รู้จบ เขารู้สึกแสบจมูกอย่างรุนแรง สมองตื้อไปหมด เนื้อตัวเปียกโชกเสียจนเสื้อนักเรียนแนบไปกับผิวหนัง แรงระเบิดส่งให้เขาล้มไปนอนกองกับพื้น โดยมีน้ำห่าใหญ่ที่ผสมกับสารละลายน่ากลัวพุ่งเข้าใส่ตัวจนเขาถึงกับสำลัก มันเข้าไปในปาก เข้าตา และทุกๆบริเวณของร่างกาย นาทีแรกเขารู้สึกว่าตัวเองคงจะตายไปแล้วเป็นแน่แท้ แต่เขากลับไม่สัมผัสถึงความเจ็บปวดอะไรเลย
“อะ..เอ๋” คิมเผยอเปลือกตาขึ้น บ่ายมือที่ยกขึ้นมาปิดหน้าเพื่อป้องกันน้ำเข้าตา เขาไม่เจ็บปวด ไม่แสบอะไรทั้งสิ้น มีเพียงสายน้ำเย็นๆที่ทะลักเข้ามาใส่ตัวเขา และเจิ่งนองไปทั่วพื้นอาคาร
“เกิดอะไรขึ้นคิม! เป็นอะไรหรือเปล่า!” ลลิตโพล่งประตูออกมาอย่างแรง
“เหมือนสารละลายอะไรนั่นจะไม่ได้ผลนะ!” คิมลุกขึ้นพรวดแล้วตะครุบร่างของกวีเอาไว้อย่างแรง ทั้งคู่ล้มลงไปกระแทกกับพื้น แล้วคิมก็ส่งหมัดหนักๆเข้าที่หน้าของกวีแบบไม่ลังเลและออมแรง
“ทีนี้บอกมาได้หรือยังว่าใครเป็นคนทำ!”
อีกฝ่ายยังเงียบ
“อย่าเลยคิม แค่นี้หมอนี่ก็ไม่มีทางสู้แล้ว” ลลิตเข้ามาปรามไว้ ทำให้คิมที่เนื้อตัวเปียกโชกชะงักหมัดที่สองเอาไว้กลางอากาศ
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ เพื่อนเธอนี่ทำให้ฉันตกใจได้เป็นครั้งที่สองแล้วนะลลิตา โอยๆๆเจ็บๆๆ ทำแบบนี้มันเจ็บนะรู้เปล่า” กวีผลักร่างที่ค้ำตัวของเขาออกไป
“โอ้ย! นี่แก...ทำอะไรฉัน...” และตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบปากกาปลายแหลมถูกเสียบมาที่ต้นขาของคิมจนปักคาอยู่อย่างนั้น เลือดสดๆรินไหลออกมาจากกางเกงนักเรียนสีดำ
“คิม!” ลลิตเข้าไปประคองร่างของคิมเอาไว้ เขาดูไม่เป็นอะไรมาก แต่แผลนั่นกลับน่ากลัว กวีช่างเป็นปีศาจร้ายที่ลงมือได้อย่างรวดเร็วและแทบไม่รู้ตัว
“เห็นแก่ความพยายาม ฉันจะเล่าเรื่องคร่าวๆที่พอรู้ให้ฟังก็ได้” กวีตัดสินใจเปิดปาก เขาลุกขึ้นอย่างช้าๆ เช็ดมุมปากที่มีเลือดซึมออกมา เดินไปเขี่ยเก้าอี้แล้วนั่งลงโดยหันหน้าไปทางพนักพิงหลัง “ก่อนอื่น...คัมภีร์นั่นเป็นของฉันเอง”
“ไม่บอกก็รู้!” ลลิตว่า
“เล่าไปนายอาจจะไม่เชื่อ แต่มันก็น่าตกใจน้อยกว่ามีหิมะตกในประเทศไทยล่ะนะ ฮะฮะฮะ” กวีพยายามยิงมุกตลก ที่ทั้งคู่ไม่รู้สึกขำด้วยเลยสักนิด “โอเคๆ ไม่ขำๆ ได้เข้าเรื่องนะ คัมภีร์นั่นเรียกว่า ‘คธูลู’ หรือ ‘คัมภีร์มรณะ’ เป็นสิ่งที่สืบทอดในตระกูลของฉันมาช้านาน มันเป็นพันธสัญญาของซาตาน จะว่าไงดี...”
“ว่ามาเหอะ ถึงตอนนี้ก็เข้าใจได้หมดแหละ” คิมบอก
“เมื่อนานมาหลายพันปีก่อนหน้านี้บนโลกมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่าย ฝ่ายแรกคือเทวา ทำหน้าที่อยู่บนสวรรค์เป็นผู้โอบอ้อมอารี มีจำนวนมากมาย ฝ่ายที่สองคือมนุษย์ เป็นเผ่าที่มีบาปทั้งเจ็ดประการตีตราเอาไว้ มนุษย์ทุกคนไม่สามารถหลีกพ้นบาปเจ็ดประการเหล่านี้ไปได้ จึงทำให้ฝ่ายที่สามหรือก็คือ ซาตาน คิดใช้จุดอ่อนนี้ของมนุษย์เพื่อขยายอำนาจของตนเอง
ซาตานได้สร้างคัมภีร์มรณะเล่มนี้ขึ้นมา โดยตั้งกฏว่าต้องสังเวยหนึ่งชีวิตและชะโลมเลือดจากหัวใจลงบนหน้ากระดาษที่มีตราสัญลักษณ์แห่งซาตาน จากนั้นผู้ที่กระทำพิธีการจะได้รับพรจากซาตานสามข้อ พรสามข้อนี้สามารถขอได้ทุกสิ่งเท่าที่จินตนาการออก เว้นเพียงอย่างเดียวคือการ ‘สร้างชีวิต’ ซึ่งถือว่าเป็นอำนาจที่นอกเหนือของซาตาน”
“แปลว่าใช้ชุบชีวิตขึ้นมาไม่ได้สินะ” ลลิตถาม
“ว่าอย่างนั้นก็ได้”
“แต่ดันใช้สังหารคนอื่นได้ เยี่ยมดีจริงๆ” คิมหันต์กัดฟันพูด รู้สึกชิงชังในคัมภีร์อุบาทว์นั่นอย่างบอกไม่ถูก
“ขอพูดต่อนะ ซาตานมอบคัมภีร์เล่มนั้นให้กับมนุษย์ มีการใช้อำนาจของคัมภีร์อย่างบ้าคลั่งและส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น จนกระทั่งมันตกมาอยู่ในมือของบรรพบุรุษของฉัน เขาเป็นบาทหลวงผู้มีจิตใจโอบอ้อมและนับถือเทวาและพระผู้เป็นเจ้า เขาจึงสัญญาจะเก็บคัมภีร์นี้ไว้โดยไม่ใช้มัน เขาก่อตั้งตระกูล ‘เซนต์เควลเรียน’ ขึ้นและส่งมอบคัมภีร์มรณะไว้ให้คนในตระกูลดูแล แต่เมื่อแผนของซาตานถูกขัดขวาง มันจึงขู่ว่าถ้าหากในหนึ่งปีไม่มีการใช้คัมภีร์นั้นและขอพร มันจะสร้างคัมภีร์ขึ้นมาอีกเล่มเพื่อหาทางทำลายโลกนี้อีกทาง มีโศกนาฏกรรมมากมายเกิดขึ้นในตระกูลผู้ถือคัมภีร์ของฉัน จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ คฤหาสน์ของตระกูลที่ลอนดอนถูกเผาราบ ผู้ที่เหลือในตระกูลเหลือน้อยและมีเพียงฉันที่สามารถถือมันไว้ได้”
“นายเอาของแบบนี้ติดตัวมาโรงเรียนเนี่ยนะ ทุกๆวันเนี่ยนะ” ลลิตพูด รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาตอนรู้ว่ามีของที่เปื้อนเลื้อนมานับพันๆปีอยู่ที่กระเป๋านักเรียนของ กวี
“มันปลอดภัยกว่าถ้าหากอยู่ใกล้กางเขนนี่” กวีล้วงมือเข้าไปภายในคอเสื้อ และหยิบกางเขนเล็กๆสีเงินออกมา มันดูไม่มีฤทธิ์อันน่าพิศวงอันใด ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุใดคิมถึงรู้สึกว่ามันดูขลังและเปี่ยมพลังอย่างบอกไม่ถูก
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากมันถูกแยกออกจากกางเขน” คิมหันต์ถามอย่างอยากรู้ เขาเริ่มรู้สึกว่าคอกำลังแห้งผากในอากาศที่หนาวเหน็บแบบนี้
“คัมภีร์จะเพิ่มพลังตัวเองมากขึ้น มันจะดึงดูดให้ผู้ที่อยู่ใกล้กระหายที่จะใช้มัน จนกระทั่งหลงผิด ไม่อาจปฏิเสธว่าแม้คนที่ดีที่สุดยังหลงไปตามอำนาจของมันได้” กวีอธิบาย
“เหมือนจะมีคนๆนั้นเกิดขึ้นแล้ว” คิมเห็นพ้อง
กวีแสยะยิ้มเครียดๆ “และไม่ว่าใครก็ตามที่ริอาจมาแตะต้องคัมภีร์ของฉัน มันไม่ได้ตายแบบศพสวยแน่ๆ”
“แล้วนายจะทำไงต่อ” คิมถามเสียงเครียด
“ก็ทำแบบนี้ไง” แล้วทันใดนั้น ลลิตหวีดเสียงร้องเมื่อข้อแขนของเธอถูกกวีกระชากไปอย่างแรง กวีลุกขึ้นพรวดพร้อมเตะเก้าอี้ไปให้พ้นตัว เขาใช้มีดคัตเตอร์ที่ได้มาจากไหนก็ไม่ทราบ จ่อที่ลำคอของลลิต ลลิตไม่อาจขัดขืนเรี่ยวแรงของกวีได้ เธอได้แต่สบถด่าออกมาอย่างเคียดแค้น
“ทำอะไรของนาย ไอ้สารเลว”
“หึหึหึ ทีนี้จะส่งคัมภีร์ฉันคืนมาได้หรือยังล่ะ คิมหันต์” กวีพูดด้วยน้ำเสียงท้าทาย
“มาเหนือตลอดเลยสินะ แต่ถ้าฉันตื่นตูมร้อนรน มันก็จะเป็นไปตามแผนที่นายอยากให้เป็น และฉันมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่านายไม่กล้าฆ่าเธอหรอก ใช่มั้ยล่ะ”
“จริงหรือเปล่าน้อ” กวียังไม่มีท่าทีว่าจะตะลึงกับการรู้ทันของคิมหันต์แม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้คิมรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดไปพอสมควร
คิมหันต์มุ่นคิ้วเขาขบฟันค่อยๆพลางค่อยๆครุ่นคิดไปด้วย “เข้าใจละ ฉันดันทุรังจะเก็บมันไว้ต่อไปก็ไม่ใช่เรื่องดีใช่มั้ย และยังไงมันก็ของๆนาย สุดท้ายนายก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง รวมถึงชีวิตของแมวตัวนั้นด้วย แต่นายต้องรับปากฉันก่อน...”
“นายมีสิทธิ์มาสั่งฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“ก็ตั้งแต่เมื่อกี้นั่นแหละ” คิมหันต์ตอบเสียงเครียด
“แม้ว่าฉันจะเอามีดจ่อคอแฟนนายอยู่ก็ตามอ่ะนะ”
“ม...ไม่ใช่แฟนย่ะ” ลลิตส่งเสียงเล็ดรอดออกมาจากไรฟัน
“ส่งลลิตคืนมา แล้วเอาคัมภีร์นี่ไปซะ” คิมหันต์ถอยหลังไปช้าๆแล้วก้มลงหยิบคัมภีร์ที่ตกมาจากพื้น เขายังคงจับจ้องมองกวีไปทุกขณะ
“เฮ้อ...แกล้งนายนี่ไม่สนุกเลยสิ” เป็นกวีที่ปล่อยลลิตก่อน นั่นถือว่าอยู่เหนือคาดของคิมหันต์มาก หรือว่าบางทีหมอนี่อาจจะมีอะไรตุกติกอีก
เมื่อลลิตคลายออกจากพันธนาการได้แล้ว เธอใช้เวลาตั้งตัวเพียงเล็กน้อย และทันทีนั้นเองเธอก็ส่งกำปั้นหนักๆเข้าที่กลางจมูกของกวีอย่างแรง
ผัวะ! รุนแรงเสียจนอีกฝ่ายเซหงายไปนอนบนพื้น คิมหันต์สะดุ้งตกใจ ในขณะที่ลลิตเดินกระแทกเท้าเข้ามาแย่งคัมภีร์จากมือเขา แล้วโยนมันไปตรงหน้าของกวี
“เอาคืนไปเลยไอ้ของสกปรกๆนี่”
“ฮะฮะ...โอย...เหนือความคาดหมายจริงๆนะลลิตา แต่ดูเหมือนเธอยังจะไปไหนไม่ได้นะ เพราะกระเป๋าตังค์ของเธอยังอยู่กับฉันน่ะสิ”
ลลิตสะดุ้งโหยง เธอคลำที่กระเป๋าของเธอแล้วพบว่ามันว่างเปล่าจริงๆ กระเป๋าสตางค์สุดหวงของเธอถูกชิงไปอย่างไม่รู้ตัว
“แก...” ลลิตขบฟันกรอด เธอรู้สึกอยากต่อยหมอนี่อีกสักหมัดแรงๆ
กระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลของเธออยู่ในมือของกวี หมอนั่นเปิดพลิกไปมาและดูของในกระเป๋าอย่างสอดรู้สอดเห็น
ความคิดเห็น