ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Seekers (2)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ตัวกาลกิณี [2]

    • อัปเดตล่าสุด 31 พ.ค. 53


    หลังเคารพป้ายวิญญาณเสร็จ จงชิวก็คว้าถุงย่ามมาสะพาย แล้วออกทางเดินไปทำงาน งานของเขาเริ่มต้นเช้ากว่าทุกคนในหมู่บ้าน สมุนไพรเก็บตอนเช้าตรู่จะดีที่สุด จีตงเคยสอนเขาไว้ ฝันร้ายที่ประสบทุกคืนจึงมีประโยชน์อยู่บ้าง มันปลุกเขาตื่นตรงเวลา ไม่ยอมปล่อยให้เขาเกียจคร้าน

    ช่วงนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง...ฤดูที่สัตว์เจ้าของป่าอาละวาด การเข้าไปในป่าเงี้ยวจึงต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ พวกนายพรานยังไม่กล้าเข้ามาล่าสัตว์เลย แต่อย่างไรเด็กชายก็ต้องเข้ามาเก็บสมุนไพร นายพรานยังหางานอื่นทำในหมู่บ้านได้ ทว่าตัวกาลกิณีอย่างเขาคงไม่มีคนอยากให้ช่วยงาน ...จงชิวคิดแล้วต้องรีบถอนตนออกมา

    ไม่ได้ ไม่ได้ ต้องไม่คิดเช่นนั้น... เขาไม่ใช่ตัวกาลกิณี

    ชาวบ้านกล่าวหาเช่นนั้นเพราะไม่รู้จะโทษใครต่างหาก...

    ตามธรรมดาในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่หมู่บ้านจะมีแขกพิเศษมาเยือน คณะนักบวชชุดขาวจะเดินทางมาพำนักที่นี่ เพื่อประกอบพิธีสักการะป่าเงี้ยว นักบวชกลุ่มนี้เป็นที่เลื่อมใสของชาวบ้านทุกคน นอกเหนือจากความประพฤติงามพร้อมทั้งกาย วาจา ใจ ตามวิถีแห่งผู้บำเพ็ญแล้ว พวกเขายังมีความรู้กว้างขวางและมียาดี โรคร้ายแรงแค่ไหนก็รักษาหายได้โดยไม่คิดค่ายาหรือค่าแรงแต่อย่างใด พรที่พวกเขาให้ก็ว่ากันว่าแกร่งกล้านัก เห็นผลเป็นจริงชัดเจนกันถ้วยหน้า ทว่าเมื่อสองปีที่แล้ว...ปีที่เกิดเหตุการณ์ฟ้าวิปโยคถึงสองครั้ง คณะนักบวชชุดขาวมิได้เดินทางมา ปีต่อๆ มาก็เช่นเดียวกัน

    ในวันฟ้าวิปโยคกลับมีเด็กชายบาดเจ็บคนหนึ่งหลงมาแทน ตอนแรกยังไม่มีใครคิดร้ายอะไรเกี่ยวกับเขาหรอก แต่ต่อมาชาวบ้านหลายคนถูกงูพิษกัด เดิมทีฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูที่งูในป่าเงี้ยวจะออกอาละวาดมากเป็นพิเศษอยู่แล้ว ทว่านี่มันมากเกินไป ท่านผู้เฒ่าอ้างว่างูโกรธแค้นที่ไม่มีพิธีสักการะจึงทำร้ายผู้คน พิษงูในช่วงนั้นร้ายแรงยิ่งนัก หากไม่รีบรักษาจะตายในวันรุ่งขึ้น ปีก่อนๆ ก็เคยมีคนถูกพิษอยู่บ้าง แต่ไม่มีใครตายเพราะพวกนักบวชรักษาได้...

    ปีนั้นไม่มีนักบวชชุดขาว มีเพียงเด็กชายแปลกหน้าคนหนึ่ง

    ชาวบ้านตายไปสามคนแล้ว นอนรอความตายอยู่อีกสองคน นักบวชชุดขาวเคยให้สูตรยาถอนพิษไว้ หากแต่ส่วนผสมนั้นประกอบด้วยสมุนไพรชนิดหนึ่งที่หาได้ยากยิ่ง มันอยู่ในป่าเงี้ยวนี้เอง แต่กลับอยู่ในที่ที่อันตรายที่สุด...ในบ่องู ที่พำนักแห่งจ้าวอสรพิษ

    ญาติมิตรของคนถูกพิษต่างมาไหว้วานจีตงให้ไปเก็บสมุนไพรนั้นให้ จีตงยังไม่อยากเอาชีวิตไปทิ้งจึงปฏิเสธเสียทั้งหมด เข้าไปเก็บสมุนไพรในบ่องูตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ แม้แต่พวกนายพรานยังงดล่าสัตว์ในป่าเงี้ยวเลย

    หากก็ยังมีชาวบ้านที่บ้าบิ่นพอจะเสี่ยงเข้าไปหาสมุนไพรในบ่องู ไม่ว่าจะเพื่อช่วยเพื่อน ญาติ คนรัก หรือเพื่อเงินก็ตาม ไม่มีใครนำสมุนไพรกลับมาได้สำเร็จ จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    ยิ่งคนมาหาจีตงมากขึ้น ก็ยิ่งมีคนสังเกตเห็นจงชิวมากขึ้น เริ่มมีเสียงพูดคุยถึงเด็กชายที่ปรากฏตัวในวันวิปโยค ในวันนั้นนอกจากจีตงแล้ว มีอีกหลายคนเห็นภาพเด็กชายอาบเลือดด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาเห็นแล้วต่างหวาดกลัว ไม่ได้รู้สึกอย่างจีตง

    ท่ามกลางความเศร้าโศกแห่งความสูญเสียนั้นเอง ทุกคนมองเห็นเด็กชายเป็นตัวแทนของอาเพศ

    จีตงพยายามแก้ไขโดยพาจงชิวไปพบท่านผู้เฒ่า หมายให้ท่านยืนยันว่าเขาเป็นเพียงเด็กชายธรรมดาเท่านั้น ท่านผู้เฒ่ามองหน้าจงชิวแล้วกลับบอกว่า เด็กชายมีลางร้ายสถิตอยู่ ชาวบ้านทุกคนต่างเคารพท่านผู้เฒ่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ในตอนนั้น แม้คนที่เคยลังเลใจก็เปลี่ยนมายึดถือเด็กชายเป็นตัวกาลกิณีทันที

    มีเพียงจีตงคนเดียวที่ยังเชื่อมั่นในจงชิว เขากล่าวขอโทษที่พาไปพบท่านผู้เฒ่าแล้วทำให้เรื่องแย่ลง บอกว่าผู้เฒ่าก็แค่ยายแก่ฟั่นเฟือน อย่าใส่ใจเลย

    คนเก็บสมุนไพรวางมือทั้งสองลงบนไหล่ของเด็กชาย กล่าวเสียงหนักแน่นว่า

    จำเอาไว้นะจงชิว เจ้าไม่ใช่ตัวกาลกิณี ไม่ใช่อาเพศ ไม่มีลางร้ายใดๆ ในตัวเจ้าทั้งนั้น ข้ายืนยันได้ ดังนั้นจงอย่าใส่ใจคำพูดของคนพวกนั้น พวกเขาก็แค่คนอ่อนแอ ไม่รู้จะระบายอารมณ์กับใครเลยมาลงกับเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนเข้มแข็ง เจ้าต้องไม่พ่ายแพ้คนอ่อนแอพวกนั้น รับปากข้าสิ เจ้าจะเข้มแข็ง เจ้าจะไม่ยอมแพ้”

    จงชิวรับปากไปแม้ไม่ค่อยแน่นักว่าตนจะทำได้หรือไม่ แต่เขามั่นใจอยู่อย่าง ขอเพียงมีจีตงอยู่ด้วย คนอื่นไม่มีวันทำให้เขาอ่อนแอลงได้เด็ดขาด...ขอเพียงยังมีคนเชื่อมั่นในตัวเขาอยู่ก็พอ

    จงชิวคิดเช่นกัน จึงรับปากจีตงไป

    ไม่กี่วันถัดมา งูในป่าเงี้ยวก็เลิกอาละวาด...

    ไม่กี่สัปดาห์ถัดมา จีตงก็จบชีวิตลง...

    ความตายของจีตงเป็นสิ่งยืนยันความเป็นตัวกาลกิณีที่สมบูรณ์แบบของเด็กชาย หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคปัจจุบันทันด่วน

    ที่พึ่งสุดท้ายของเขาจากไปแล้ว จงชิวไม่มีใครอื่นอีก เขาเหลืออยู่ตัวคนเดียวเท่านั้น หากแต่ช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ได้อยู่ร่วมกัน จีตงได้ถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นให้แก่เขาหมดแล้ว นั่นทำให้เด็กชายยังคงปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่

    จงชิวโขกศีรษะสาบานต่อหน้าป้ายวิญญาณของผู้มีพระคุณ เขาจะอยู่รอดต่อไป ไม่มีวันยอมแพ้แก่คนอ่อนแอพวกนั้น จะเอาความปวดร้ายทั้งมวลออกไปให้หมด จะไม่ทำให้จีตงต้องผิดหวัง...

    เด็กชายหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพเดียวกับผู้ดูแล สมุนไพรในป่าเงี้ยวนั้นหายาก ไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าไปเก็บลึกๆ ข้างในเพราะกลัวงู จงชิวที่ไม่มีใครยอมจ้างให้ช่วยทำงานตอนบ่ายเหมือนจีตง จึงต้องเสี่ยงเข้าเก็บสมุนไพรลึกๆ เพื่อจะนำมาขายได้ราคาแพง เขาโชคดีที่ไม่เคยได้รับอันตรายจากสัตว์ในป่าเลย จะบาดเจ็บก็แค่เพราะสะดุดหกล้มเองเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม ฤดูใบไม้ร่วงยังเป็นฤดูอันตราย โดยเฉพาะตอนกลางฤดูเช่นนี้ จงชิวเลือกเก็บสมุนไพรจากบริเวณป่าที่คุ้นเคยเท่านั้น พอกะราคาขายของสมุนไพรทั้งหมดได้พอปะทังชีพในวันนี้แล้ว เขาก็รีบออกจากป่าทันที

    ในหมู่บ้านมีร้านยาร้านเดียว เถ้าแก่ร้านเป็นคนที่จงชิวติดต่อด้วยมากที่สุดนับตั้งแต่จีตงจากไป แต่นอกเหนือจากเรื่องค้าขายแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้คุยสัพเพเหระกันเท่าใดนัก ต่างพูดเพียงจำเป็น

    วันนี้ได้อะไรมาบ้างล่ะ” ชายชราเจ้าของร้านยาถามเมื่อเห็นร่างผอมเดินเข้ามาในบ้าน ปกติยามเช้าเช่นนี้ก็มีเพียงคนเดียวที่มาเป็นประจำ

    ของธรรมดา ข้าไม่ได้เข้าไปลึกนัก” เด็กชายหยิบของในย่ามออกมาวางบนโต๊ะ

    เถ้าแก่ร้านกวาดตามองสมุนไพรที่วางเรียงอยู่ช้าๆ ครู่หนึ่งให้หลังก็จ่ายเงินค่าสมุนไพรให้แก่เด็กชาย ขณะนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็กระวีกระวาดเข้ามาในร้าน

    เถ้าแก่ๆ มีสามจันทร์บ้างไหม” เขาถามทั้งที่ยังหอบหายใจ เห็นชัดว่าเขารีบวิ่งมาที่นี่ จงชิวพอจะจำเขาได้ ชายผู้นี้เป็นพ่อค้าอยู่ในตลาด เปิดร้านขายของชำทั่วไป มีนามว่า ว่านซันเฉวียน

    สามจันทร์รึ ไม่มีหรอก เจ้าก็รู้นี่นาว่ามันหมดไปตั้งแต่สองปีก่อนแล้ว”

    สามจันทร์คือสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในการทำยารักษาพิษงู พบในบ่องูในช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น

    ลูกข้าโดนงูกัดนะเถ้าแก่ ลูกข้าโดนงูกัด...” พ่อค้าว่านร่ำร้อง

    ปีที่แล้วก็มีคนโดนงูกัด ปีที่แล้วก็มีคนเสียชีวิต เจ้าทำใจเสียเถอะ” เถ้าแก่กล่าวอย่างปลงอนิจจังพลางเอามือลูบเครา

    เถ้าแก่ อย่าพูดเหมือนเป็นคนอื่นคนไกลอย่างนั้นสิ นี่ลูกข้านา ข้าขายของอยู่ใกล้ๆ ร้านท่านแท้ๆ ท่านจะไม่เมตตาเลยหรือ”

    ข้าก็พูดอย่างนี้กับทุกคนที่มาถามหาสามจันทร์ ไม่เชื่อเจ้าก็ถามเด็กนั่นดูสิ”

    พ่อค้าหันมองตามนิ้วชี้เหยี่ยวย่นของเถ้าแก้ เขามีสีหน้าตกใจเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีอีกคนอยู่ในร้านด้วย

    “...ตัวกาลกิณี...” เขาพูดเบาคล้ายพึมพำกับตัวเอง แต่เสียงนั้นก็ไปถึงหูทุกคนในร้าน

    เขาเป็นคนเก็บสมุนไพรต่างหาก” เถ้าแก่แก้ “อยากได้สามจันทร์ถามเจ้านี่เอาดีกว่าถามข้า”

    เอ่อ... ข้า... ข้าขอโทษที่พลั้งพูดไป ข้าแค่พูดไปตามที่ชาวบ้านพูดกัน” วาณิชตะกุกตะกักแก้ตัว

    ไม่เป็นไร ข้าชินแล้ว” จงชิวตอบเสียงเรียบ เด็กชายรักษาสีหน้าเป็นปกติตลอดเวลาที่พ่อค้าเข้ามาในร้าน เขาคาดเดาไว้แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น

    สีหน้าเรียบเฉยและแววตาเย็นชาของเด็กชายทำให้พ่อค้าสะดุดใจจนหาคำพูดไม่เจอ

    ข้าหมดธุระแล้ว ขอตัวก่อน” จงชิวนำถุงย่ามขึ้นสะพาย ก่อนก้าวออกจากร้าน

    ครั้นร่างของเด็กชายลับสายตาไป เถ้าแก่ร้านก็ถอนหายใจยาว พลางกล่าวขึ้นมา

    ข้าจะบอกให้... เจ้าเพิ่งปิดทางรอดเดียวของลูกเจ้าไป หากจะมีใครในหมู่บ้านที่เก็บสามจันทร์ได้แล้วละก็ ข้ารับรองว่าต้องเป็นเด็กนั่น”

    ว่าอย่างไรนะเถ้าแก่! ไฉนก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าไม่มีทาง” ว่านซันเฉวียนรีบหันมาถาม

    ทางไม่เคยมีมาก่อนหรอก เราต้องสร้างทางขึ้นมาเอง” เถ้าแก่เปรยพลางหยิบสมุนไพรที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา “เจ้าดูนี่... สมุนไพรพวกนี้เด็กที่พวกเจ้าเรียกว่าตัวกาลกิณีเป็นคนเก็บมา เด็กนั่นเก็บสมุนไพรจากป่าเงี้ยวมาส่งขายทุกวันตั้งแต่จีตงตายไป ไม่เคยมีวันไหนหยุดวันไหนพัก แม้แต่ช่วงนี้ที่นายพรานงดล่าสัตว์ในป่าเพราะกลัวงู มันยังไปเก็บมาเลย”

    แล้วอย่างไรหรือเถ้าแก่ มันก็แค่คนเก็บสมุนไพรธรรมดานี่”

    เจ้าโง่!” ชายชราเปล่งคำผรุสวาทคำหนึ่ง ก่อนอธิบาย “มันเข้าป่าไปทุกวัน ไม่เคยโดนสัตว์ทำร้าย เข้าไปช่วงนี้ยังไม่ถูกงูกัด พวกเจ้าวันทั้งวันอยู่แต่ในหมู่บ้านแท้ๆ ยังถูกงูกัดตายเลย คิดดูแล้วกัน -- ยายเฒ่าว่ามันมีลางร้ายติดตัว ข้าว่าลางร้ายนั่นแหละปกป้องมัน”

    ว่านซันเฉวียนตาสว่างขึ้นมาทันที

    อา... ข้าเข้าใจแล้ว มันเป็นตัวกาลกิณี แม้แต่สัตว์ยังเกลียดกลัวที่จะเข้าใกล้ มันเลยมีโอกาสเก็บสามจันทร์มาได้...”

    เถ้าแก่ร้านผงกศีรษะช้าๆ พลางกล่าว “แต่เจ้าว่ามันเป็นตัวกาลกิณีให้มันได้ยินไปแล้ว มีหรือมันจะยอมไปเก็บสามจันทร์ให้เจ้า”

    ข้าจะลองดู มันไร้ญาติขาดมิตรอยู่แล้ว อย่างไรให้มันเสี่ยงไปเก็บสามจันทร์ ถึงตายไปก็ไม่มีใครว่าอะไร ถ้ามันรอดมาได้พร้อมสามจันทร์ ลูกข้าก็รอดด้วย” พ่อค้าคิดดีดลูกคิดรางแก้วเสร็จสรรพก็กล่าวต่อเจ้าของร้านว่า “เถ้าแก่จัดยาสำหรับยาแก้พิษงูไว้ชุดหนึ่งด้วย”

    สั่งยาเรียบร้อย พ่อค้าก็รีบออกจากร้านไปตามหาเด็กชายกาลกิณี ไม่นานนักก็พบเด็กชายกำลังเดินกลับบ้าน

    ท่านโปรดหยุดก่อน” ว่านซันเฉวียนเรียกไล่หลัง แต่คนเดินนำไม่หันมา ไม่เคยมีใครใช้สรรพนามเรียกเขาว่า ‘ท่าน’ มาก่อน

    เด็กนั่นชื่ออะไรนะ...

    วาณิชพยายามเค้นสมองนึก แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก สุดท้ายก็ต้องวิ่งแซงขึ้นไปดักหน้าเด็กชายไว้ จงชิวหยุดเดิน สายตาที่มองมาบ่งบอกความสงสัย แต่ปากไม่เอ่ยถาม

    ข้าขอร้องท่าน ช่วยไปเก็บสามจันทร์ มาช่วยลูกข้าด้วย” ว่านซันเฉวียนนั่งคุกเข่า ก้มลงคำนับ ศีรษะจรดพื้นดิน ทั้งที่ร่างยังหอบโยน นี่เป็นท่าแสดงความเคารพอย่างสูง

    ลุกขึ้นเถอะ” เด็กชายเพียงกล่าวคำ มิได้เข้าไปช่วยพยุง

    วาณิชเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มระรื่น “ท่านยอมช่วยข้าหรือ”

    เด็กชายส่ายศีรษะช้าๆ ก่อนกล่าวชัดถ้อยชัดคำว่า

    ข้าขอปฏิเสธ”

    ข้าจ้างท่านก็ได้ ท่านอยากได้เท่าไหร่บอกมา ข้าจะหามาให้”

    ข้ายังยืนยันคำเดิม” จงชิวตอบหนักแน่น

    แต่นี่ลูกข้า... ลูกข้ายังไม่ตายสักหน่อย ข้าขอร้องล่ะ ช่วยลูกข้าด้วย... ลูกข้ายังเล็กนัก เด็กกว่าเจ้าหลายปี ข้ามีลูกชายสืบสกุลเพียงคนเดียว เจ้าจะไม่เห็นแก่ชีวิตน้อยๆ จะไม่เห็นแก่ตระกูลของข้าเลยหรือ...”

    เด็กชายรับฟังไม่กี่ประโยคก็เลิกสนใจ เขาเดินผ่านพ่อค้าไป พ่อค้ายังคงพร่ำคำอ้อนวอนไม่ขาดปาก พูดไปน้ำตาไหลไป แม้เขาจะกลิ้งกลอกอยู่บ้างก็ความรักที่มีต่อลูกนั้นแท้จริง

    เจ้าเป็นคนเก็บสมุนไพรที่เก่งที่สุดในหมู่บ้าน เจ้าเก็บสมุนไพรได้ตลอดทั้งปี เถ้าแก่ร้านยายังชมว่าเจ้าเก่งเลย เจ้าเข้าป่าไปไม่เคยถูกสัตว์ทำร้ายแม้แต่รอยขีดข่วนไม่ใช่หรือ... ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้... --”

    เขาใช้วาจาหว่านล้อม หยอดคำหวาน เยินยอมากมาย เด็กชายก็ยังไม่เปลี่ยนความคิด จนตอนท้ายเด็กชายเริ่มเดินห่างไปไกล เขาจึงตะโกนขึ้นมาด้วยความโกรธ เปลี่ยนมาใช้วิธีขู่บังคับแทน

    เจ้าตัวกาลกิณี! เจ้าไม่มีความเป็นคนบ้างหรือไร! ชีวิตคนทั้งคนไม่สงสารหรือ ดี ข้าจะป่าวประกาศความเลวทรามของเจ้าให้รู้กันทั่วหมู่บ้าน ไม่ใครหน้าไหนไยดีเจ้าดี แม้ข้าวเม็ดเดียวก็จะไม่มีใครยอมขายให้เจ้ากิน!”

    เด็กชายยังไม่หยุดฝีเท้า...

    เด็กนี่มันต้องมีจุดอ่อนบ้างสิ...

    ฉับพลันนั้น พ่อค้าก็ตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดังเท่าที่จะสามารถตะเบ็งได้

    เจ้ามันก็ชั่วเหมือนจีตง มันไม่ยอมเก็บสามจันทร์ทั้งที่เป็นหน้าที่ของมันสวรรค์จึงลงทัณฑ์”

    เด็กชายหยุดกึก

    พอแล้ว พอกันที ข้าจะไม่ทนอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว...

    ท่านให้ได้เท่าไหร่” จงชิวถามโดยไม่เหลียวหลัง

    ได้ยินดังนั้น พ่อค้ารีบพลิกลิ้น เปลี่ยนอารมณ์

    เจ้าอยากได้เท่าไหร่ ลองว่ามา”

    สามแท่งทอง” จงชิวตอบโดยไม่เสียเวลาคิด

    สามแท่งทอง! นี่มันราคาโอสถสวรรค์รักษาทุกโรคหรือไร

    ราคาที่เด็กชายเรียกนั้น หากกินอยู่อย่างประหยัดแล้วละก็ เพียงพอใช้ได้เป็นสิบปี

    แต่ว่านั่นมัน...” ว่านซันเฉวียนอ้ำอึ้ง

    ชีวิตคนหาค่าเปรียบมิได้ ข้าเรียกราคาเท่านี้นับว่าถูกมากแล้ว ถ้าท่านให้ไม่ได้ ข้าก็ขอลา” เด็กชายทำท่าจะเดินต่อ

    ช้าก่อน...” พ่อค้ารีบรั้งไว้ จงชิวชะงักเท้ารอฟัง...

    “...ข้าตกลง” ว่านซันเฉวียนฝืนใจกล่าวในท้ายที่สุด

    ข้าจะเข้าป่าไปเก็บสามจันทร์มาให้ท่านภายในคืนนี้ ท่านเตรียมเงินไว้ให้พร้อม ข้ารับเฉพาะเงินสด”

    -ได้สิ แต่ว่าคืนนี้มันไม่ล่าช้าไปหรือ”

    ท่านไม่รู้หรือ สามจันทร์ขึ้นตอนกลางคืน ถ้าลูกท่านตายก่อนข้ากลับมาก็ถือว่าท่านอับโชคเอง”

    ว่าจบเด็กชายก็เดินจากไป ทิ้งพ่อค้าให้ยืนครุ่นคิดเพียงลำพัง ...เจรจาค้าขายกับตัวกาลกิณีจะไม่ทำให้เขาอับโชคได้อย่างไร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×