ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #25 : บทที่ 6 คลี่คลาย -- 2 - คืนดี

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 489
      1
      4 มี.ค. 55

    2 - คืนดี

    อาน่อน...

    ฉันไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน แต่ฉันสังหรณ์ว่าเรื่องไม่ดีอาจเกิดขึ้นกับเขาได้ ดังนั้นฉันต้องตามหาเขาให้เจอ

    ฉันตั้งสติใช้พลัง พยายามจับสัมผัสของเขา แล้วฉันก็เห็นภาพของสถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นคือดาดฟ้าของตึกที่สูงที่สุดในสถาบันเซ็น

    “อาน่อน!” ฉันรีบเรียกชื่อเขาทันทีที่เปิดประตูทางเข้าดาดฟ้าเข้าไป

    เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ริมรั้วราวเหล็กกั้นของระเบียงดาดฟ้าหันมามองฉัน ขณะนั้นทุกอย่างดูราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ

    “นายมาทำอะไรที่นี่ มันอันตรายนะตรงนั้น!” ฉันตะโกนถามแล้วเดินเข้าไปหา

    ...ตอนที่เธอบอกว่าซิดอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับของแม่เธอน่ะ

    เสียงหนึ่งส่งตรงมาที่ฉัน เสียงนั้นฟังเหมือนเสียงของอาน่อน แต่เขาไม่ได้ขยับปาก ดูเหมือนเขาจะใช้โทรจิตอยู่

    เธอผิดแล้ว

    “นายกำลังพูดถึงเรื่องอะไร” ฉันเปล่งเสียงถามไป

    คนที่ต้องรับผิดชอบต่อการตายของแม่เธอจริงๆ ก็คือฉันเอง ฉันเป็นคนที่ฆ่าแม่เธอ

    กระแสจิตที่เขาส่งออกมาทำให้ฉันเริ่มไม่แน่ใจว่าจะก้าวต่อไปดีไหม

    ตอนที่เกิดอุบัติเหตุ... ฉันสามารถช่วยทุกคนได้ถ้าหากฉันใช้พลัง แต่ฉันก็ไม่ได้ทำ ฉันเลือกที่จะเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง หรือก็คือ ฉันเป็นคนฆ่าเธอเอง

    “ไม่ใช่นะ...” ฉันรีบก้าวเดินต่อ ระยะทางนั้นดูราวจะห่างไปแสนไกล จนฉันต้องออกวิ่ง

    เขาหันกลับไปมองออกนอกดาดฟ้า

    ตั้งแต่วันที่ฉันปล่อยพลังออกมาจนควบคุมไม่ได้... ฉันก็เริ่มกลัวว่าความสามารถของฉันจะมีแต่ทำร้ายทุกคนที่อยู่รอบตัว ฉันจึงคิดว่าทุกสิ่งคงดีขึ้นถ้าหากฉันไม่ทำอะไร

    เสียงที่สัมผัสได้นั้นฟังราบเรียบ ราวกับเขาไม่ได้กำลังพูดถึงเรื่องของตัวเอง ทว่ากลับแฝงไปด้วยความรู้สึกปวดร้าวอย่างที่การสื่อสารด้วยโทรจิตไม่สามารถปิดบังได้

    แต่ฉันก็เข้าใจผิดไป มันไม่สำคัญหรอกว่าฉันจะใช้พลังหรือไม่ ฉันไม่สามารถช่วยชีวิตใครได้ ฉันมีแต่พรากมันไป

    “ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อย นายทำไปเพื่อจะปกป้องโอเร...เพื่อนคนแรกของนาย...แล้วเขาก็ยังไม่ตายด้วย” ฉันรีบพูดออกไป ใช้การสื่อสารคนละช่องทาง รู้สึกเหมือนอยู่ต่างโลกกับเขา

    แต่ฉันก็ทำให้เขาต้องอยู่ในสภาพแบบนั้นไม่ใช่หรือ เรื่องในวันนี้ก็เหมือนกัน พอฉันรู้ว่ามีห้องทดลองลับใต้ดินและได้ยินเธอพูดถึงเด็กที่ถูกใช้ในการทดลอง ฉันก็รีบมาช่วยพวกเขาโดยไม่ทันคิด แต่ฉันก็ไปพบเพียงซากร่างของพวกเด็กๆ เท่านั้น

    ฉันสะอึกเล็กน้อยที่รู้เรื่องนี้ เข้าใจแล้วว่าอาน่อนหายตัวไปไหนมา แต่ว่าตอนนี้เรื่องนี้ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

    แล้วถ้าเธอไม่ห้ามฉันไว้ ฉันก็คงฆ่าลอยล์ไปแล้ว

    เขาขยับขึ้นไปยืนบนราวเหล็กกั้น

    พวกเขาพูดถูก ฉันมันสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้

    เด็กหนุ่มอ้าแขนทั้งสองออกข้างตัว แล้วกระโดดไปเบื้องหน้าหลังกล่าวคำนั้นจบ

    “อาน่อน!!

    วินาทีนั้นทุกอย่างดูช้าลดหลายเท่าทวี ฉันเคยเห็นภาพของเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นมาก่อนในสมัยเด็ก และตอนนี้ฉันก็เห็นภาพนั้นซ้อนกับเหตุการณ์ปัจจุบัน

    ฉันพุ่งไถลออกไปสุดแล้วโดยไม่ยั้งคิด เพราะไม่อยากให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง

    มือหนึ่งของฉันคว้าแขนเขาข้างหนึ่งไว้ได้ทัน

    มืออีกข้างรีบตามมาช่วยฉุดเขาไว้

    อาน่อนแหนงหน้ามองขึ้นมา เห็นฉันยื้อเขาไว้อยู่ก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ



     

    “เธอทำอะไร เธอจะตกไปด้วยนะถ้าเธอทำอย่างนี้! ปล่อยฉันไป!” เขาโวยลั่น กลับมาพูดด้วยปากอีกครั้ง

    “ไม่ ฉันไม่ปล่อย!” ฉันกัดฟันตอบ

    “มันไม่มีประโยชน์หรอกน่า! เธอไม่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักเราทั้งคู่ได้!” เขาเถียง

    “ฉันไม่สน!!

    “พอได้แล้ว!

    อาน่อนดูจะโกรธขึ้นมา ตั้งท่าเหมือนจะใช้พลังจิตบังคับ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจโดยพลัน แล้วเปลี่ยนไปพูดด้วยเสียงที่อ่อนลงว่า

    “เอสซี่... ได้โปรด... ฉันขอร้อง... ปล่อยฉัน...”

    “ฮ่า... ฮ่า ฮ่า...” ฉันแค่นหัวเราะเจืออาการเหนื่อยหอบ “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นายเรียกชื่อฉัน แค่คิดว่านายเรียกฉันครั้งแรกเพื่อที่จะขอให้ฉันปล่อยนายไป...”

    กลั้นใจกล่าวต่อว่า

    “นายไม่ได้เปลี่ยนไปเลยสินะ นายทำเรื่องโหดร้ายกับฉันเสมอ... นายรู้แต่วิธีทำให้ฉันเสียใจ...”

    เพิ่มแรงที่แขน ออกแรงดึง

    “นายไม่เข้าใจหรือไง สาเหตุที่แท้จริงที่ฉันสูญเสียความจำไปไม่ใช่เพราะว่าฉันเด็กเกินว่าจะจำได้ ฉันกลัวที่จะจำมันต่างหาก”

    ต่อให้กระดูกและกล้ามเนื้อจะพากันประท้วง...

    “ในวันนั้น ฉันปล่อยนายไป... ฉันไม่ได้ห้ามนายไม่ให้โดดลงแม่น้ำ ฉันเสียใจกับเรื่องนั้นมากจนฉันปฏิเสธที่จะจำทุกอย่าง ไม่มีทางที่ฉันจะทำอย่างนั้นอีก!

    ...ฉันก็จะ...

    “อาน่อน... ฉันจะไม่ปล่อยนายไปอีกแล้ว!

    ...ไม่มีวันปล่อยเขาไป

    “ไม่มีวัน!

    “เอสซี่...”

    “อ๊ะ!!

    รู้สึกตัวเริ่มโน้มไปข้างหน้า ราวเหล็กเริ่มรับน้ำหนักไม่ไหวจึงเริ่มงอ

    “เอสซี่!!

    ครืน~!

    ชั่วขณะที่รู้ว่าขาสัมผัสถึงพื้นไม่ได้แล้ว และตัวเองกำลังถูกดึงไปข้างหน้านั้น ฉันก็หลับตาลง

    ทว่าการล่วงหล่นนั้นดูเหมือนจะเนิ่นนานจนชวนให้อยากรู้ว่าเมื่อไรความเจ็บปวดเมื่อกระแทบพื้นจะมาถึง

    ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วเห็นท้องฟ้ายามใกล้รุ่งอันแสนงดงาม

    ขณะที่กำลังสงสัยว่าตัวเองอยู่ที่ไหนนั้นก็รู้สึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่คุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ

    “อาน่อน!

    ฉันมองคนที่กำลังอุ้มฉันไว้ในอ้อมแขนของเขาแบบเดียวกันที่เจ้าชายอุ้มเจ้าหญิง แล้วก็ค้นพบว่าขาของเขาไม่ได้แตะพื้น เรากำลังบินอยู่กลางอากาศ



    แม้อาจจะไม่สามารถมองเห็นแววตาของเขาตรงๆ จากมุมนี้ ทว่าฉันกลับรู้สึกได้ว่าอาน่อนคนเดิมกลับมาได้

    “ทำไมเธอถึงทำอะไรโง่ๆ อย่างนี้” เขาพูด มองฉันด้วยสายตาอ่อนโยน “เธออาจตายไปกับฉันด้วยก็ได้”

    บางทีเขาอาจไม่ใช่คนเดิมที่เสแสร้งเสียทีเดียว แต่ก็คงไม่ใช่ที่คิดจะฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน

    “สะ...สุดยอด! เรากำลังลอยอยู่บนฟ้า!” ฉันกล่าวอย่างตื่นเต้น “พลังของนายสามารถทำได้ขนาดนี้เลย”

    “เธอยิ้มทำไม” เด็กหนุ่มสงสัย “เธอนี่ไม่กลัวอันตรายเลยหรือไงนะ”

    ฉันเพิ่งรู้ตัวตอนนั้นเองว่าฉันกำลังยิ้ม

    “ช่วยไม่ได้นี่” ฉันบอก “ฉันมีความสุขนี่นา!

    “...เธอนี่มันโง่จริงๆ” เขากระชับแขนที่ประคองฉันอยู่ให้แน่นกว่าเดิม

    ตอนนี้เขาเหมือนบุคลิกผสมที่เข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น ทว่าก็ยังมีมุมของบุคลิกเดิมๆ หลุดออกมาบ้าง ฉันไม่แน่ใจในเรื่องนี้นัก แต่ฉันรู้อยู่อย่างว่าฉันก็ยังอยากจะเข้าใจเขาให้มากกว่านี้

    “อาน่อน นายถูกยิงนี่!” ฉันนึกขึ้นได้เมื่อสัมผัสถึงเสื้อที่มีเลือดซึมของเขา

    “ไม่ต้องห่วง มันไม่แย่อย่างที่เห็นหรอก แค่ใช้สมาธิสักหน่อย ฉันก็ซ่อมแซมมันได้ในทันที ตอนนี้ก็แค่มีรอยเลือดเหลืออยู่เท่านั้น”

    “ฉันไม่รู้ว่านายทำอย่างนั้นได้ด้วย มีพลังจิตนี่สะดวกจริงๆ”

    “เธอไม่ได้มีพลังจิตหรือไง”

    “ฉันไม่ได้มีพลังขั้นบ้าอย่างนายสักหน่อย”

    คนมีพลังจิตขั้นบ้าหัวเราะเบาๆ

    “ไม่ได้ยินนายหัวเราะมานานแล้ว หวังว่าครั้งนี้มันจะเป็นของจริงนะ” ฉันกระซิบบอกเขา

    เราค่อยๆ ลอยต่ำลง และขณะนั้นฉันก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง

    “อ๊ะ! นั่นยูออนนี่ เขาไปทำอะไรตรงนั้นน่ะ” ฉันชี้ไปที่ระเบียงโค้งแล้วบอก “อาน่อน พาไปลงตรงนั้นหน่อย”

    “ขอรับ” อาน่อนยินยอมทำตามด้วยดี

    เมื่อลงจอดถึงที่แล้วอาน่อนก็วางฉันลงอย่างนุ่มนวล ทว่าคล้อยหลังจากนั้น บรรยากาศของสถานที่และคนที่อยู่ตรงนั้นก็ทำให้ฉันและอาน่อนต้องนิ่งมองเหตุการณ์อย่างเงียบงัน

    เด็กหนุ่มชุดขาวปรากฏตัวเพียงเลือนรางอยู่ต่อหน้ายูออน

    “ในที่สุดฉันก็ได้เจอกับพี่” ยูออนกล่าว “พี่เป็นคนเตือนฉันในตอนที่ลอยล์ยิงมาครั้งแรกใช่ไหม แม้มันจะนานมากแล้วแต่ฉันก็จำเสียงพี่ได้”

    “ใช่” โอเรพยักหน้ารับ มองยูออนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “นายโตขึ้นมาเลยนะ ตอนนี้ตัวใหญ่กว่าฉันแล้ว ฉันภูมิใจที่มีนายเป็นน้องชาย นายเข้มแข็งมาตลอด”

    “ไม่...” ยูออนปฏิเสธ “นั่นไม่จริงเลย ฉันไม่ได้เข้มแข็ง สิ่งที่ฉันทำก็แค่ทำเป็นเข้มแข็ง ฉันไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวฉันเอง แม้แต่ความสามารถของฉัน...มันก็ไร้ประโยชน์ด้วยตัวเองมันเอง ฉันจำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นถึงจะมีประโยชน์ ฉันไม่ได้เข้มแข็งเหมือนพี่”

    “นั่นเป็นเพราะว่านายมองไม่เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนาย” โอเรบอก “ถ้านายไม่อยู่ที่นี่ด้วย เอสซี่คงไม่สามารถผ่านมาได้ด้วยตัวเธอเองคนเดียวหรอก”

    เขาหันมามองฉันเหมือนเป็นการทักทายทางอ้อม และทำให้ยูออนรู้ว่าทั้งฉันและอาน่อนอยู่ที่นั่นด้วย

    “การพึ่งพาคนอื่นไม่ถือเป็นการอ่อนแอ การพึ่งพากันและกันก่อให้เกิดความแข็งแกร่งได้” เขาเอามือมาประสานกันไว้เบื้องหน้า “ความสามารถของนายไม่ได้เป็นนิยามของสิ่งนั้นหรอกหรือ”

    ยูออนนิ่งฟังพี่ชายกล่าวต่อ

    “และฉันก็ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่นายคิด” โอเรส่ายหน้าเล็กน้อย “ฉันไม่เหมือนนาย ฉันรู้เพียงที่จะฝัน ฉันไม่มีความตั้งใจจริงจังมากพอที่จะเผชิญกับปัญหาในชีวิตที่ฉันมี”

    “พี่หมายความว่าไง”

    “มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมนุษย์เราที่จะมีความปรารถนา แต่เมื่อสิ่งที่เราปรารถนานั้นไม่สามารถไขว้คว้ามาได้โดยง่าย คนส่วนใหญ่ก็จะนิ่งรอและเฝ้าฝันถึงมันเท่านั้น ฉันเป็นหนึ่งในนักฝันเหล่านั้น”

    โอเรเอามือแตะหน้าอกตัวเอง

    “มันเป็นการง่ายที่จะฝัน แต่การเอาแต่ฝันก็ไม่ต่างจากการยอมแพ้ในโลกของความเป็นจริง”

    เขาเอามือลง มองตรงไปยังยูออน กล่าวต่อว่า

    “แต่นายต่างไป ไม่ว่าจะยากแค่ไหน นายก็ต่อสู้เพื่อสิ่งที่ต้องการเสมอ เพราะเหตุนั้นฉันจึงเชื่อว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายก็จะฝ่าฟันไปได้”

    ยูออนมีสีหน้าเข้าใจและครุ่นคิดอยู่

    “เดี๋ยวขอคุยต่อกับซีรร์ตามที่สัญญากับเอสซี่ก่อนนะ” โอเรบอก ยูออนพยักหน้าให้ จากนั้นเด็กหนุ่มชุดขาวก็เดินมาหาอาน่อน

    “นายเปลี่ยนไปมาก ผมแทบจำนายไม่ได้เลย” เขาพูดยิ้มๆ

    “แต่ฉันคิดว่านายดูไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่เลย เพราะแม้แต่ความจำที่พึ่งพาไม่ค่อยได้ของฉันยังพอจะจำนายได้”

    ทั้งสองคนหัวเราะ และฉันก็หัวเราะไปด้วย

    “นายเป็นคนเรียกให้ฉันมาช่วยเอสซี่ทั้งสองครั้งเลยใช่ไหม” อาน่อนถาม

    “สองครั้งเหรอ” โอเรเอียงคอสงสัย

    “ก็เรื่องวันนี้ กับในวันที่เอสซี่ไม่สบาย” อาน่อนบอก “ฉันว่าฉันได้ยินเสียงเดียวกัน”

    “อ้อ ถ้างั้นก็สองครั้ง” ตอบพลางคลี่ยิ้มสดใส “ดีใจจริงๆ ที่เสียงของผมไปถึงซีรร์”

    “ฉันก็ต้องขอบใจนายที่เรียกฉันเช่นกัน ไม่อย่างนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับเอสซี่ฉันก็ไม่รู้” อาน่อนมองมาที่ฉันแวบหนึ่ง แล้วกลับไปคุยกับโอเรต่อว่า “แต่ฉันจำชื่อ ซีรร์ไม่ค่อยได้แล้ว ตอนนี้ฉันคุ้นกับชื่ออาน่อนมากกว่า”

    “อย่างนั้นฉันเรียกอาน่อนก็ได้” โอเรยอมเปลี่ยนให้ด้วยความยินดี “ผมได้ยินเรื่องของนายมาจากเอสซี่แล้ว ฉันไม่เคยโทษนายที่ทำให้ฉันตาย ดังนั้นอย่าได้โทษตัวเองเลยนะ ในโลกนี้ก็มีเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้เช่นกัน นายแค่พยายามทำให้ดีที่สุดแล้วพอใจกับสิ่งที่ดีก็พอ”

    “แต่...นายยังไม่ตายไม่ใช่เหรอ” อาน่อนถามเสียงอ่อน “ฉันเห็นนายนอนอยู่ในห้องนั้น แล้วเอสซี่ก็บอกฉันอย่างนั้น”

    โอเรยิ้ม แล้วบอกว่า

    “ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้านายรับปากว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน”

    “ได้ ฉันสัญญา”

    “ดีใจจริงๆ ที่ได้ยิน” เด็กหนุ่มชุดขาวบอก “งั้นผมขอคุยกับเอสซี่ต่อละนะ”

    เขาหันมาทางฉันบ้าง

    “โอเร!

    “เอสซี่!

    นี่ดูเหมือนฉากการทักทายปรกติของเราที่ระเบียงไม่มีผิด

    “โอเร นายแกล้งฉันอีกแล้ว ทำไมต้องหลอกฉันว่าจะหายไปด้วยล่ะ” ฉันต่อว่า

    “ผมไม่ได้ตั้งใจจะแกล้ง ผมไม่รู้จริงๆ เอสซี่” เขาอธิบายสีหน้าจริงจัง

    “แล้วคนที่นอนอยู่ในห้องนั้นคือใครกัน เขาหน้าเหมือนนายเลย”

    “นั่นคงเป็นร่างของผมเอง” โอเรตอบเสียงเศร้าเล็กน้อย “แต่ที่อยู่ตรงนี้คือจิต ผมใช้พลังถอดจิตออกจากร่างอยู่”

    “อ้อ... ฉันลืมไปเลยว่านายมีพลังนั้นถึงต้องมาอยู่ที่เซ็น” ฉันว่า “แต่นายก็ไม่รู้ตัวไม่ใช่เหรอ”

    “ดูเหมือนผมจะควบคุมพลังไม่ได้นัก” เขาบอก “ผมเพิ่งรู้ว่าร่างผมอยู่ที่นั่นตอนตามเธอลงไป ตอนนั้นผมอ่อนพลังมากน่ะ เอสซี่คงมองไม่เห็น เปล่งเสียงให้ใครได้ยินก็ยากด้วย”

    ขณะเดียวกันนั้นร่างของเขาก็จางลง

    “โอเร นายกำลังจางลงอีกแล้ว!

    “พี่...”

    “ไม่ต้องห่วง ผมคิดว่าตอนที่ผมหายไป จิตผมคงกลับไปอยู่ในร่าง”

    “นั่นหมายความว่านายจะฟื้นขึ้นมาใช่ไหม” ฉันถาม

    “ผมไม่แน่ใจ ร่างของผมเหมือนจะอยู่ในอาการโคม่ามานานแล้ว ผมไม่รู้ว่าผมจะฟื้นขึ้นมาได้ไหม”

    “พี่จะทิ้งฉันไว้คนเดียวอีกแล้วหรือ” ยูออนถาม

    “นายไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ ยูออน” โอเรผายมือมาทางฉันกับอาน่อน “นายมีพวกเขาอยู่ด้วย ฉันมั่นใจว่านายจะไม่เป็นไร”

    ว่าจบเขาก็จางลงอีกระดับหนึ่ง

    “พี่!

    “เอสซี่” โอเรหันมาพูดกับฉันต่อ “ผมคุยกับยูออนและอาน่อนแล้ว ถือว่าผมทำตามสัญญาแล้วใช่ไหม”

    “อย่าพูดอย่างนั้นสิ นายยังไม่ตายนะ! แล้วนายยังมีอีกสัญญาหนึ่ง นายรับปากฉันไว้ว่าจะกลับมา... ไม่ว่าจะหายไปกี่ครั้งก็ต้องกลับมาเสมอ”

    “ผมรู้ ผมบอกแล้วไงว่า ผมจะไม่กล่าวคำอำลา” เขายิ้มให้ฉัน “ผมจะลองกลับไปสู้เพื่อจะได้กลับมาเจอเธออีกครั้ง...ในร่างของผม”

    “โอเร...”

    “ทุกคน...” เขามองฉัน อาน่อน และยูออนทีละคน ก่อนประกาศว่า “ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ผมมั่นใจว่า วันหนึ่ง เราจะได้เจอกันอีก”


     

    มีแสงสว่างวาบ แล้วโอเรก็ค่อยๆ หายไป พร้อมๆ กับดวงตะวันที่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาฉายแสงเต็มดวง

    “เอสซี่ ฝากดูแลน้องชายสุดที่รักและเพื่อนคนสำคัญของผมด้วยนะ”

    ฉันพยักหน้ารับหนักแน่นให้เสียงที่แว่วดังมานั้น

    มันเป็นคืนที่ยาวนาน แต่สุดท้ายแสงสว่างก็กลับมาสู่ฟ้าเสมอ...

    “ยูออน นายมีเลือดออกเยอะเลย!” ฉันเพิ่งสังเกตเห็น “ฉันจะไปเรียกรถพยาบาลมาเดี๋ยวนี้นะ อ้อ จริงสิ น่าจะให้เขามาย้ายโอเรไปด้วย”

    “เอสซี่... เรื่องนั้นไว้ก่อนก็ได้” ยูออนบอก

    “ฮะ?

    “ช่วยแนะนำเขาให้ฉันรู้จักอย่างเป็นทางการหน่อยได้ไหม” ยูออนหมายถึงอาน่อน

    “อย่างนั้นเหรอ งั้น... ยูออนนี่อาน่อน เขาเป็นคนช่วยหาข้อมูลให้ฉัน อาน่อนนี่ยูออน เขาเป็นคนจ้างฉันให้มาช่วยสืบคดี” ฉันแนะนำอย่างรวบรัด

    “สวัสดี” ยูออนพูด

    “ไง” อาน่อนตอบ

    “พวกนายช่วยพูดอะไรให้มันดูเป็นกันเองและสนิทกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง” ฉันโวย “อุตส่าห์ให้ฉันแนะนำทั้งที”

    “ก็จะให้พูดอะไรล่ะ ไง ฉันนี่แหละเป็นคนฆ่าพ่อนายอย่างนั้นหรือ”

    ป้าบ!

    ฉันตบหัวคนไม่มีสามัญสำนึกและขาดมารยาททางสังคมอย่างรุนแรงในทันที

    “ฉันพอเดาเรื่องนั้นได้แล้ว” ยูออนบอก “ถึงจะไม่พอใจนายอยู่แต่ก็ดีใจที่นายกล้ายอมรับออกมาตรงๆ”

    “ฉันยอมรับอ้อมๆ ต่างหากล่ะ” อาน่อนขมุบขมิบปากว่า

    “นี่ยูออน เรื่องนี้ให้ฉันอธิบายดีกว่า” ฉันออกตัว “นายให้ฉันมาเป็นคนสืบคดีนี้ไม่ใช่เหรอ”

    “เอสซี่ ฉันเชื่อในตัวพ่อฉัน” ยูออนเอ่ย “แต่ว่ามันก็คงมีช่วงที่คนเราเลือกเส้นทางที่ผิดพลาดไปบ้าง พอฉันเห็นห้องทดลองลับใต้ดินนั้น ฉันก็เริ่มมีความคิดว่าพ่ออาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉันคิดจริงๆ ก็ได้”

    “ยูออน...”

    “ถ้าหากว่าเขาอยู่เบื้องหลังการตายของแม่เธอจริงๆ อย่างที่ลอยล์บอกล่ะ” เขาถาม

    ฉันส่ายหน้าแล้วบอกว่า

    “ฉันมาคิดดูแล้วนะ ยูออน... แม่ทิ้ง X-note ไว้เพราะอยากให้ฉันรู้ความจริง แต่นั่นคงไม่ใช่สิ่งเดียวที่เธอพยายามจะบอกฉัน คนเราไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตได้ แต่เราสามารถเรียนรู้จากมัน ถ้าฉันใช้พ่อนายเป็นข้ออ้างที่จะเกลียดนาย อย่างนั้นฉันก็คงทำผิดซ้ำ ฉันบอกแล้วไงว่า นายก็คือนาย”

    “ฉันดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น เอสซี่” เขาบอก แล้วหันไปกล่าวกับอาน่อนว่า

    “ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะให้อภัย และเลิกโกรธ เกลียดนาย ...เพราะฉันเองก็คิดจะตัดใจจากเรื่องนี้อยู่ตั้งแต่แรกแล้ว”

    “ยูออน ถ้านายรู้เหตุผลจริงๆ นายก็จะเข้าใจมากขึ้น...” ฉันรีบเสริม แต่แล้วก็สะดุด “...แต่นั่นก็หมายถึงว่า นายอาจต้องมองพ่อนายเปลี่ยนไปจริงๆ” ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฉันพยายามช่วยปรับความเข้าใจของฉันที่มีต่อพ่อแท้ๆ

    “ไม่เป็นไร เอสซี่ ฉันรู้ดีว่าเธอพยายามปกป้องพ่อฉันมาก่อนหน้านี้ด้วย” ยูออนมองฉันแล้วยิ้มบาง “ในเมื่อเธอสามารถให้อภัยเขาได้ ฉันเองก็อยากทำได้เช่นกัน และความจริงจะเป็นอย่างไรก็เป็นสิ่งที่ฉันเลือกที่จะรับรู้”

    “ไม่หรอก ฉันผิดเอง” อาน่อนรีบบอกกับยูออน “ฉันควบคุมพลังของฉันไม่ได้ในตอนนั้น แล้วก็ไม่สามารถเอาชนะความเกลียดชังที่ไม่ทราบที่มา ถ้าฉันรู้จักให้อภัยได้เหมือนนาย เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้”

    “จริงๆ แล้วมันอาจเป็นเพียงแค่คำพูดปากเปล่าเท่านั้น ฉันยังรู้สึกว่าในใจมีความรู้สึกไม่พอใจนายหลงเหลืออยู่ แต่ว่าฉันก็จะพยายามควบคุมมัน” ยูออนว่าขณะมองไปยังอาน่อน

    “ฉันก็เช่นกัน จะพยายามเรียนรู้ต่อไป” อาน่อนกล่าว

    ฉันรู้สึกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ดี และอยากมีส่วนร่วมบ้าง เลยดึงมือทั้งสองคนมาจับกัน มีมือฉันเป็นตัวประสาน แล้วพูดว่า

    “งั้นสรุปว่าเราสามคนเป็นเพื่อนกันนะ”

    “อื้ม...” เสียงอีกสองหนุ่มดังขึ้น แต่ก็ยังไม่ใช่แค่นั้น

    “เฮ่! ใครว่าฉันอยากเป็นแค่เพื่อนกับเธอ” อาน่อนพูดขึ้นเมื่อนึกได้ “เราควรไปถึงขั้น...”

    ป้าบ!

    ฉันตีหัวเขาไปอีกหนึ่งที

    “เงียบไปเลย!

    “...ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอเป็นคนชอบใช้ความรุนแรง” ยูออนเอ่ย ดูตะลึงนิดๆ ที่เห็นภาพนั้น แต่ที่จริงเขาก็เห็นฉันตีอาน่อนไปก่อนหน้านี้ทีหนึ่งแล้ว

    “ก็แค่กับตานี่เท่านั้นแหละ” ฉันบอก

    แล้วพวกเราก็หลุดหัวเราะกัน

     

    หลังจากนั้น...

    รัฐบาลอนุญาตให้เราเปิดโรงเรียนได้อีกครั้ง และสุดท้ายทุกอย่างก็กลับมาเป็นปรกติ

    ฉันตัดสินใจอยู่ที่เซ็นต่อ...ไม่ใช่ในฐานะคนที่มาสืบสวน แต่เป็นในฐานะฉันเรียนธรรมดาคนหนึ่ง

    อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงฝึกความสามารถทางพลังจิตต่อไป

    ฉันคิดว่าในเมื่อฉันได้รับความสามารถนี้มาแล้ว ฉันก็น่าจะใช้มันให้เป็นประโยชน์... เพื่อตัวฉันเองและผู้คนที่ฉันห่วงใย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×