ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #24 : บทที่ 6 คลี่คลาย -- 1 - ความจริง

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 330
      1
      4 มี.ค. 55

    บทที่ 6 คลี่คลาย

     

    1 - ความจริง

    วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน

    วันนี้ไม่มีเรียน เพราะโรงเรียนถูกสั่งปิดไป

    ฉันตื่นเช้าไปฝึกพลังจิตเพิ่มเติม คิดว่าบางทีวันนี้อาจต้องใช้มัน

    หลังจากนั้นก็กลับบ้านไปพัก ทำสมาธิ และรอเวลา

    “แม่คะ หนูจะไปละ” ฉันพูดกับรูปถ่ายของแม่ แล้วกล่าวคำขอ “ช่วยคุ้มครองหนูจากเบื้องบนด้วยนะคะ”

    พอถึงเวลายี่สิบสามนาฬิกา ฉันก็ไปอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าสถาบันเซ็น

    หลังจากที่ทำมาหลายครั้ง และมีพลังจิตที่พัฒนาขึ้น การลอบผ่านประตูโรงเรียนไปก็ดูจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับฉัน

    ฉันเลือกมาที่นี่ตอนดึกขนาดนี้ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครอยู่รอที่นี่ ถึงยูออนจะบ้างานและเป็นห่วงฉันขนาดไหนก็ยังไม่อยู่ที่โรงเรียนในเวลานี้

    ฉันไม่รู้สึกกลัวโรงเรียนตอนกลางคืนเหมือนแต่ก่อน คงเป็นเพราะการฝึกทั้งหมดที่ฉันเตรียมพร้อมมาช่วยทำให้สัมผัสรับรู้ของฉันคมขึ้นแน่ๆ

    ฉันทำได้น่า!

    ฉันบอกตัวเองแล้วมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย ที่แรกที่ต้องไปก็คือห้องแล็บวิทยาศาสตร์

    เมื่อคิดดูแล้ว ทุกอย่างเริ่มต้นจากที่นี่ การตายของซิดและมิสอาเซีย... ฉันเคยเจอลอยล์ที่นี่ด้วย... แล้วในคืนนั้นที่ฉันทะเลาะกับยูออนก็มีเสียงปืนดังและกระจกแตกที่ห้องนี้ ทั้งยังมีสัมผัสว่าคนซ่อนอยู่ในตอนนั้นด้วย ต้องมีบางอย่างที่ฉันมองข้ามไป

    ทว่าลองสำรวจดูแล้วฉันก็ไม่เจออะไร ฉันคิดว่ามันไม่ง่ายนัก ฉันต้องการคำใบ้สักอย่าง...

    ทันใดนั้นฉันก็นึกได้ถึงจดหมายของมิสอาเซียที่ทำให้ฉันมาสำรวจที่นี่ในทีแรก ฉันพกมันใส่กระเป๋าติดตัวมาด้วยจึงหยิบขึ้นมาดู

    อย่าลืมว่าคำตอบนั้นอยู่ใกล้กว่าที่เธอคิดเสมอนั่นคือสิ่งที่เธอเตือนฉันไว้

    ฉันยังนึกไม่ได้ออกว่า เธอพยายามจะบอกอะไร แต่ตอนที่ฉันจะเอาจดหมายพับเก็บนั้นเอง ฉันก็สังเกตเห็นว่าด้านหลังของกระดาษมีรอยอะไรบางอย่างเขียนเอาไว้

    เพ่งมองดีๆ ในความมืดก็พออ่านออกได้ว่า

    “โครงกระดูก?” ฉันทวนคำนั้น “เธอหมายถึงโครงกระดูกในห้องนี้หรือเปล่า”

    ในห้องแลบวิทยาศาสตร์นี่มีโครงกระดูกมนุษย์ตั้งแสดงอยู่ชุดหนึ่ง แต่มันก็ดูเป็นแค่โครงกระดูกธรรมดา

    “ไหนดูซิ...” ฉันลองทำการทดสอบกับมัน

    ไม่เป็นผล ฉันขยับมันไม่ไปไหนเลย มันเหมือนกันว่ามันถูกยึดไว้กับพื้น

    ทว่าเมื่อฉันลองผลักมันไปทางขวาได้ ก็พบว่าเสาที่ใช้ยึดและตัวฐานเคลื่อนไปได้ง่าย

    ฉันออกแรงดันเพิ่มขึ้น แล้วจากนั้นก็มีเสียงกลไกทำงานดังขึ้น

    ครืด...ด

    ช่องทางลับที่ด้านหลังโครงกระดูเปิดออก

    ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปข้างในนั้นด้วยความตื่นเต้นและตกใจที่ยังไม่จางหายไป

    บันไดวนมาฉันลงสู่ชั้นแรก ตอนแรกทางเดินก็มืดอยู่ แต่แล้วปลายทางก็สว่างขึ้น

    ฉันมองลอดช่องประตูเข้าไป พบว่าที่แห่งนั้นมีลักษณะคล้ายทดลองวิจัยที่ให้รู้สึกคุ้นเคยอยู่หลายส่วน

    เมื่อเห็นว่าไม่มีใครในนั้น ฉันจึงค่อยเดินเข้าไปสำรวจ

    ฉันจำที่นี่ได้ฉันเคยมาที่นี่มาก่อนตอนที่ยังเด็ก...

    ที่นี่ดูเหมือนถูกทิ้งไว้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงนัก แต่ไฟและเครื่องจักรกำลังที่ทำงานแสดงให้เห็นว่ายังมีคนใช้งานห้องทดลองนี้อยู่

    ฉันหยิบเอกสารชุดหนึ่งจากกองกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาพลิกดูหน้าแรกๆ

    เนื้อหาในนั้นคือรายงานการวิจัยเกี่ยวกับเด็กที่มีพลังจิต... และดูเหมือนพวกเขาก็วางแผนที่จะให้เด็กพวกนี้ในการสงครามด้วย

    ฉันไม่อยากเชื่อเลย นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำกันตลอดหลายปีมานี้หรือ พวกเขากล้าดียังไงมาใช้งานวิจัยของแม่เพื่ออะไรที่เลวร้ายเช่นนี้

    แล้วฉันก็สังเกตเห็นตู้เซฟขนาดเล็กที่วางอยู่ข้างกองเอกสาร ฉันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่สำคัญในเซฟนั้น ดูเหมือนจะให้ใช้รหัสตัวอักษรในการเปิด ฉันลองตั้งจิตใช้พลังรวบรวมสมาธิเข้าด้วยกัน แล้วก็รู้ได้ว่ารหัสนั้นคือ ‘psyche’

    กดรหัสใส่เข้ามาแล้วล็อกก็ปลดออก ภายในกล่องนั้นมีสร้อยคอเส้นหนึ่งที่เหมือนกันกับของฉันอยู่

    นี่เองคือสิ่งที่ฉันต้องการ สร้อยคอที่มิสอาเซียบอกไว้ X-note อีกครึ่งหนึ่งที่ฉันตามหา ในที่สุดฉันก็เจอมันแล้ว

    ถึงจะดีใจแต่ฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป ฉันจะเอาสร้อยเส้นนี้กลับไปอ่านที่อื่นแล้วค่อยแจ้งเรื่องนี้กับยูออน

    ฉันออกจากห้องทดลองใต้ดินได้อย่างปลอดภัย ทว่าขณะอยู่ในระหว่างทางเดินออกจากโรงเรียนนั้นเอง ฉันก็สังเกตเห็นว่า ไฟในห้องคอมพิวเตอร์กำลังเปิดอยู่

    หัวใจฉันเต้นรัวขึ้นมาเมื่อคิดว่าใครอาจอยู่ในห้องนั้น นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของฉัน หรือไม่เช่นนั้นฉันก็กำลังพาตัวเองเข้าไปเสี่ยงภัยโดยใช่เหตุ

    แต่ฉันตัดสินใจแล้ว...

    ฉันจะไป

     

    “อาน่อน!” แม้คนที่อยู่ในห้องนั้นจะเป็นคนเดียวกับที่คาดคิดไว้ แต่ฉันก็ยังอดเปล่งเสียงเรียกชื่อเขาออกมาด้วยความตกใจไม่ได้

    เด็กหนุ่มหันมาหา ปรายตามองฉันด้วยสายตาที่ดูเย็นชา

    “นายมาทำอะไรที่นี่” ฉันถาม

    “...ฉันกำลังวางแผนจะไปจากที่นี่” เขาตอบ ดูเหมือนเขากำลังมาเก็บของและจัดการกับคอมพิวเตอร์เครื่องที่เขาเคยใช้อยู่

    ฉันสูดหายใจลึก รวบรวมความกล้า กำสร้อยคอในมือแน่น แล้วบอกเขาว่า

    “ก่อนที่นายจะไป... อยากลองอ่านเจ้านี่กับฉันหน่อยไหม” ฉันเอาสร้อยให้เขาดู

    “มันคืออะไร”

    X-note ครึ่งหลังถูกเก็บไว้ในสร้อยเส้นนี้” ฉันบอก “มันน่าจะมีบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน...เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ เอ็กซ์ นายจะอ่านครึ่งแรกด้วยก็ได้ถ้าต้องการ ฉันรู้รหัสผ่านของมันแล้ว”

    เด็กหนุ่มมีสีหน้านิ่ง ไม่ตอบรับ

    “นายไม่ได้มาที่นี่เพื่อจุดประสงค์นี้หรือ มาอ่านด้วยกันเถอะ”

    เขายืนอยู่ข้างฉันโดยไร้ซุ่มเสียงขณะที่ฉันเสียบแฟลชไดร์ฟที่มาจากสร้อยเส้นใหม่เข้าไปในคอมพิวเตอร์

    ภายในนั้นมีโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า ‘X-note’ อยู่เหมือนที่ฉันคิดไว้

    ฉันเปิดไฟล์ข้างในออกมาอ่าน

     

    จากการพูดคุยกับเอ็กซ์ แม่คาดเดาว่าเขามีอาการของ post-traumatic stress disorder

    ในบรรดาเด็กทั้งหมดที่แม่เคยเจอ เขาแสดงสัญญาณของอาการที่เลวร้ายที่สุด

    เขาค่อนข้างจะมีมุมมองต่อชีวิตในลักษณะที่ถอนตัวออกห่างขั้นรุนแรง ประกอบกับการฝันร้ายถึงอดีตอยู่บ่อยๆ

    มันยากที่จะเชื่อว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดกับเด็กอายุหกปี

    ซิดบอกว่า กรณีเช่นนี้ไม่มีปรากฏมาก่อน สงครามคงฝังความทรมานลึกเข้าไปในจิตใจที่อ่อนแอของเด็ก และซิดก็ฝากให้แม่ช่วยดูแลเขา แม่รับปากไปและสัญญากับตัวเองว่าจะพยายามดูแลเขาให้ดีที่สุด

    แม่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเอ็กซ์ในช่วงเดือนแรกๆ และไปคุยกับเขาทุกบ่าย

    เขาไม่ค่อยแสดงสัญญาณว่ามีการฟื้นฟูนักจนกระทั่งเขาเป็นเพื่อนกับลูกชายคนโตของซิดที่อยู่ที่ตึกเดียวกับเขา

    อย่างไรก็ตาม เรื่องก็เริ่มแย่ลงเมื่อแม่พบว่าเขาถูกทำร้ายโดยกลุ่มเด็กธรรมดาที่รวมตัวกัน

    อาเซียเคยเตือนแม่แล้วว่าสิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นถ้าแม่ขอให้เด็กอื่นมาอยู่ด้วย การดูแลที่ต่างกันอย่างชัดเจนทำให้เด็กพวกนั้นอิจฉา แล้วเอ็กซ์ก็ตกเป็นเป้า

    แม่ยอมรับว่านี่เป็นความผิดของแม่เอง และรู้ว่าทำต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อหยุดมัน ดูเหมือนทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้นคือทางที่อาเซียเสนอมา นั่นคือการส่งเด็กคนอื่นไปให้สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แม่บอกเธอว่า เข้าใจแล้วและจะไปจัดการเตรียมเอกสารให้เรียบร้อย

    แต่ทว่ามันก็สายเกินไป

    ในวันนั้น เอ็กซ์ได้สังหารหมู่พวกเด็กๆ

    หนึ่งในเด็กที่เคราะห์ร้ายคือลูกชายคนโตของซิด...เพื่อนคนแรกของเขา

    แม่ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาทำอย่างนั้น ทว่านั่นก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง...

    หลังจากนั้นซิดก็จับเอ็กซ์ไปเข้าเครื่องทรมานทางจิต

    เขาบอกว่าเขาต้องการทำการทดสอบ เครื่องนั้นสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดเพื่อการสงคราม มันจะสร้างบาดแผลขึ้นในจิตใจของมนุษย์

    ลอยล์เป็นคนซื้อเครื่องพวกนั้นมาจากการเดินทางครั้งล่าสุด เขาอวดว่ามันแพงมาก และพวกเราควรขอบคุณเขาที่ซื้อมาให้ มันเห็นได้ชัดว่า เขาเห็นดีด้วยกับการกระทำของซิด

    แม่ถามไปว่า พวกเขาต้องการจะทำอะไรกับเอ็กซ์

    พวกเขาตอบว่า พวกเขากำลังทดสอบว่าเอ็กซ์จะใช้พลังจิตต้านทานได้แค่ไหนก่อนที่จะล้มลง ผู้ใหญ่ทั่วไปที่เคยทำการทดสอบกับเครื่องนี้จะหมดสติไปในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

    เอ็กซ์สามารถทนกับมันได้เป็นวันๆ

    จากการทดลองเพียงไม่กี่วันนั้น พวกเขาก็สรุปได้ว่า ผู้มีพลังจิตคือมนุษย์ที่มีขอบเขตของจิตใจที่พิเศษกว่าคนอื่น นั่นไม่ได้หมายถึงว่าพวกเขามีจิตใจที่เข้มแข็งกว่าคนอื่น ที่จริงแล้ว มันกลับกัน พวกเขามีจิตใจที่เปราะบาง

    กลไกป้องกันตัวเองของคนส่วนใหญ่จะถูกกระตุ้นทันทีเมื่อพวกเขาสัมผัสถึงอันตราย จิตใจของคนเราจะป้องกันตัวเราเองโดยอัตโนมัติเมื่อพวกมันถึงขีดจำกัดที่จุดหนึ่ง แต่ผู้มีพลังจิตขาดสิ่งนี้ พวกเขาไม่สามารถสัมผัสถึงขีดจำกัดทางด้านจิตใจ นั่นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเขาถึงทำสิ่งที่เหนือว่ามนุษย์ทั่วไปได้

    ซิดและลอยล์ต่างพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองและคิดจะดำเนินการต่อไป

    แม่ถามซิดว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเอ็กซ์ถ้าพวกเขาทำการทดลองต่อ

    ซิดตอบว่า มนุษย์ทั่วไปจะหมดสติลงเพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดกับสมองอย่างถาวร โชคร้ายที่ผู้มีพลังจิตถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เอ็กซ์ไม่สามารถสัมผัสถึงอันตรายที่จิตใจของเขากำลังเผชิญได้ จิตใต้สำนึกของเขาคงถูกทำลายเกินว่าจะซ่อมแซมได้ในกรณีนี้

    แม่ตกใจกับคำตอบที่ได้รับ แล้วรีบถามเขาไปว่า รู้ตัวไหมว่าทำอะไรลงไป เอ็กซ์เพียงเด็กอายุหกปีเท่านั้น

    ซิดบอกว่า เขาเข้าใจดีว่าเอ็กซ์เป็นวัตถุทดลองที่มีค่ามาก เมื่อเขากำลังพยายามทำความเข้าใจจิตใจของผู้มีพลังจิตก็ต้องมีการเสียสละเล็กน้อยในการวิจัย

    แม่เถียงในทันทีไปว่า เขากำลังหลอกตัวเองว่าเขาทำสิ่งนี้เพื่องานวิจัย ที่จริงแล้ว เขาใช้มันเป็นข้ออ้างเพื่อแก้แค้นให้กับลูกชายต่างหาก

    เขาถามกลับว่า ถ้าใช่ แล้วจะเป็นอย่างไร ลูกของแม่ไม่ใช่คนที่ต้องตายไปอย่างลูกเขา และเขาก็ไม่ได้คาดหวังให้แม่เข้าใจอะไรเขาด้วย เขาเชื่อว่า งานวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างแน่นอน ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

    อย่างไรแม่ก็ยอมรับไม่ได้ ถึงพยายามเตือนสติเขาด้วยการถามไปว่า การทำสิ่งนี้จะช่วยอะไรใครได้อย่างไร แล้วหาว่า เขาบ้าไปแล้ว

    ซิดยืนยันว่าเขาปรกติสมบูรณ์ดี แต่แม่คิดว่าเขาไม่ใช่ซิดคนที่แม่เคยรู้จักอีกต่อไป และอาเซียที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยก็ไม่ยอมเลือกข้างใคร

    ซิดชักจูงลอยล์ให้ทำการทดลองต่อไปได้สำเร็จ ส่วนอาเซียก็ไม่ทำอะไรเลยเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ในท้ายที่สุด... แม่ก็เหลือเพียงลำพัง

    แม่ตัดสินใจบอกลาซิด บอกว่าแม่จะไปแล้ว บางทีเขาอาจถูกที่ว่าแม่คงรู้สึกต่างออกไปถ้าเป็นลูกของแม่ที่ตาย

    แม่ไม่อยู่ในฐานะที่จะพูดอะไรได้ และไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของเขา แต่ถึงอย่างนั้น แม่ก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้ แม่ไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะมาทรมานจิตใจของเด็กคนไหน เจตนาของซิดได้เปลี่ยนไปจากสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำได้ตอนแรกแล้ว แม่จึงไม่ปรารถนาที่จะช่วยเขาต่อ และแม่ก็ตั้งใจจะพาเอสซี่ไปกับแม่ด้วย

    ซิดยอมรับว่าแม่พูดถูก เขาถูกความแค้นบ่อนทำลาย เขาเปรียบเทียบให้ฟังว่า การแก้แค้นมีรสขมแต่ก็หวานเหมือนดาร์กช็อกโกแล็ต และเขาไม่สามารถอยู่โดยไม่มีมัน...ไม่จนกว่าเขาจะทำลายเอ็กซ์ได้สำเร็จ

    เขาอนุญาตให้แม่ไปได้โดยไม่ว่าอะไร แต่พอแม่บอกเขาว่าจะพาเอ็กซ์ไปด้วย บอกว่าจิตของเด็กคนนั้นถูกทำลายโดยสมบูรณ์แล้ว เขาจำใครไม่ได้เลย และแม่ไม่อยากเห็นเขาถูกทำร้ายไปมากกว่านี้ ซิดก็บอกให้แม่หยุดความคิดนั้น เขาบอกว่า แม่สามารถไปได้แต่ต้องไม่มีเอ็กซ์ไปด้วย ถ้าแม่เลือกที่จะพาเอ็กซ์ไป แม่จะต้องเผชิญกับผลที่ตามมาของการทรยศพวกเขา

    แม่บอกไปว่า แม่ไม่สน แล้วบอกลาเขา

    มันน่าเสียดายที่เห็นซิดกลายเป็นแบบนั้น แม่เคยชื่นชมเขามาตลอดเช่นเดียวกับอาเซีย แต่แม่ไม่สามารถให้อภัยเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น...แม่ไม่สามารถให้อภัยตัวเองที่แม่ไม่หยุดเขาไว้ก่อนหน้านี้

     

    เนื้อหาใน X-note จบลงเพียงเท่านั้น

    ฉันอดคิดไม่ได้ว่า ความทรงจำที่อ่านจากแว่นของมิสอาเซีย...ช่วงที่เห็นเธอลังเลไม่กล้าตัดสินใจก็มาจากเหตุการณ์ในตอนนี้เอง

    แล้วฉันก็นึกได้ถึงอาน่อนที่ยืนอยู่ด้านข้าง คาดว่าเขาน่าจะอ่านจบแล้วเช่นกัน

    “อย่างนั้นนั่นก็คือเรื่องที่เกิดขึ้น” ฉันเปรย แล้วหันไปพูดกับเขา “ถึงแม้ว่านายจะไม่สามารถจำอะไรได้ แต่ว่าจิตใต้สำนึกของนายก็จำมันได้...สิ่งเลวร้ายที่ซิดเคยทำกับนาย นั่นเป็นสาเหตุที่นายเกลียดเขาใช่ไหม”

    อาน่อนไม่ยอมเปิดปากตอบอะไร

    “บันทึกส่วนสุดท้ายเกิดขึ้นในวันก่อนอุบัติเหตุ” ฉันบอกหลังจากลองดูข้อมูลจากไฟล์ “จากวิธีที่เขาพูดดูเหมือนเขาจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแม่ถ้าแม่ทรยศสถาบันเซ็น มันหมายความว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของแม่”

    “เธอรู้อย่างนี้แล้วเธอเกลียดเขาหรือเปล่าล่ะ” อาน่อนถาม

    ฉันนิ่งคิดอยู่พัก แล้วจึงตอบว่า

    “ฉันคงโกหกถ้าฉันพูดเป็นอย่างอื่น แต่ซิดก็ได้ชดใช้แล้วไม่ใช่เหรอ”

    “ว่าแต่ เธอไปเจอเจ้านี่ที่ไหนกันล่ะ” เด็กหนุ่มถามถึงแฟลชไดร์ฟที่ฉันเพิ่งได้มา “มันใช่ของที่เธอตามหาในวันนั้นหรือเปล่า”

    “ใช่” ฉันรับ “ฉันเจอมันในตู้เซฟที่อยู่ในห้องทดลองลับใต้ดิน”

    “ห้องทดลองลับใต้ดิน?”

    “อื้ม ฉันเพิ่งเจอว่ามีทางลับที่ห้องแล็บวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมไปถึงที่นั่น ดูเหมือนที่นี่จะมีการแอบทดลองเกี่ยวกับเด็กที่มีพลังจิตเพื่อเอาไปใช้ในการสงควร”

    พูดแล้วฉันก็เริ่มนึกขึ้นได้

    “จริงสิ! ถ้างั้นอาจมีเด็กติดอยู่ข้างล่างนั่นด้วย...”

    ทันใดนั้นอาน่อนก็รีบวิ่งออกจากห้องคอมไป

    “อาน่อน!

    ฉันเรียกเขา แต่เขาจะไม่สนใจฉันแล้ว ดูจากทิศทางที่เขาวิ่งไป เขาคงกำลังมุ่งหน้าไปที่ห้องแล็บวิทยาศาสตร์ที่ฉันว่า

    ฉันรีบวิ่งตามเขาไปพลางนึกบ่นตัวเองว่า โง่จริงๆ ที่บอกเขาไปโดยไม่คิดแบบนั้น

    เมื่อมาถึงที่ห้องแล็บวิทยาศาสตร์ ฉันก็พบว่าประตูลับหลังโครงกระดูกเปิดอยู่ทั้งๆ ที่ฉันปิดมันไปแล้วตอนออกมา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อาน่อนคงใช้พลังย้อนรอยที่ฉันเคยเดิน แล้วหาวิธีเปิดทางลับเจอโดยไม่ยาก

    ฉันเดินลงบันไดลับโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ตั้งใจว่าจะรีบตามตัวอาน่อนกลับมาแล้วออกไปจากที่นี่ ทว่าพอไปถึงห้องวิจัยชั้นล่างแล้วฉันก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา ฉันลองขยายพลังสัมผัสของฉันที่ค้นหาว่าเขาอยู่ที่ไหน

    สัมผัสนี่มัน…!

    ฉันค่อยๆ เดินไปตามทางที่ความรู้สึกของตัวเองมาก มันเป็นความรู้สึกที่ฉันคุ้นเคยมาก... แต่นั่นก็ไม่ใช่สัมผัสของอาน่อน

    ห้องที่ฉันเดินเข้าไปนั้นมีสภาพไม่ต่างจากห้องในโรงพยาบาล และที่เตียงผู้ป่วยก็มีคนคนหนึ่งนอนอยู่

    ฉันเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ คนที่นอนอยู่ตรงนั้นดูผอมและค่อนข้างซีดเซียว เขามีผมสีขาวดูอ่อนนุ่มและมีใบหน้าที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี


     

    “อะ...โอเร!

    รู้สึกเหมือนกำลังฝันไป แต่นี่ต้องไม่ใช่ความฝัน เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเอื้อมมือไปแตะเขาได้

    สัมผัสนั้นอุ่น และฉันก็รู้ว่าเขากำลังหายใจ ฉันสามารถสัมผัสถึงหัวใจที่เต้นอยู่ภายใต้เนื้อหนังที่หน้าอกของเขาฉันไม่เคยรับรู้ถึงตัวตนของเขาชัดเจนขนาดนี้จนกระทั่งตอนนี้

    นี่ไม่ใช่เพียงจินตนาการ...

    เขายังมีชีวิต! เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ !

    ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ ฉันนึกว่าฉันจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วเสียอีก ฉันคิดว่าฉันกำลังไขว้คว้าความหวังจอมปลอมตอนที่เร็กซัสบอกเรื่องยา แต่...

    “โอเร...” ฉันเรียกเขา “นายยังมีชีวิตอยู่”

    ถึงแม้จะดีใจ ฉันก็ยังรู้สึกสับสนอยู่ด้วย

    ทำไมทุกคนถึงคิดว่าเขาตายแล้ว ทั้ง X-note และไดอารีของซิดเองก็บอกไว้... แม้แต่โอเรเองก็คิดเช่นนั้น

    แล้วโอเรที่ฉันคุยด้วยล่ะ... ถ้าเขาไม่ใช่ผี แล้วเป็นอะไร

    ขณะที่กำลังใคร่ครวญอยู่นั้น ฉันก็รู้สึกได้ว่ามีสัมผัสที่น่ากลัวคืบใกล้เข้ามา ฉันรู้ดีว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีสัมผัสเช่นนี้

    “โอ๊ะ! ต๊ายตาย! นี่ไม่ใช่เอสซี่ที่รักหรอกหรือ” ชายร่างผอมไว้ผมยอมก้าวเข้ามาในห้อง

    “ลอยล์!” ฉันแยกเขี้ยวใส่เขา

    “เธอมาที่นี่ได้ยังไงล่ะนี่” เขาถาม

    “...นายเป็นคนขังโอเรไว้ที่นี่ใช่ไหม” ฉันไม่ยอมตอบแต่เปลี่ยนเรื่องแทน

    “โอ้ เธอรู้จักเขาหรือ” ลอยล์ยกมือขึ้นป้องปากออกอาการตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเหยียดยิ้มบอก “เธอน่าจะขอบคุณฉันนะ ฉันเป็นคนที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่มาตลอดหลายปีนี้ เพียงแค่กระดิกนิ้วสั่งฉันก็สามารถกำจัดเขาไปเมื่อไหร่ก็ได้ที่ฉันต้องการ”

    เขาแสดงท่าตวัดนิ้วประกอบ แล้วหันไปมองโอเรที่นอนอยู่

    “ที่จริงแล้ว ฉันวางแผนไว้ว่าจะกำจัดเขาทิ้งตอนที่เขาแก่ตัวลง แต่ดูเขาสิ เขายังดูอ่อนเยาว์อยู่เลย” พูดพลางทำสีหน้าเคลิบเคลิ้มอย่างชื่นชม “ฉันไม่สามารถทำใจทิ้งเขาไปได้”

    ชายคนนี้นี่มันอะไร

    เขาทำเอาฉันรู้สึกสยดสยองอย่างไม่น่าเชื่อ

    “โอเรยังมีชีวิตอยู่ ทำไมทุกคนถึงคิดว่าเขาตายแล้วล่ะ” ฉันลองแหย่ถาม “อย่าบอกจะว่านาย...”

    “ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะปิดบังมันอีกต่อไป...” ลอยล์แทรก ก่อนเอามือแตะอกรับว่า “ใช่ ฉันเป็นคนทำทุกอย่างเอง ฉันจัดฉากให้เขาตาย”

    “นายทำอย่างนั้นทำไม”

    “มันเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะสร้างความขัดแย้งระหว่างซิดกับเอ็มม่า” เขาบอก “สองคนนั่นใจอ่อนเกินไป การวิจัยคงไม่ไปไหนถ้ามัวแต่ทำอะไรโดยระมัดระวังเชื่องช้าอย่างนั้น ฉันเลยตัดสินใจช่วยกระตุ้นพวกเขาเสียหน่อย แล้วเด็กชายคนนี้เป็นเหยื่อที่เหมาะสมพอดี”

    “แก...” ฉันกัดฟันแค่นเสียง

    “ลองดูผลลัพธ์ในตอนท้ายสิ! ทั้งคู่พากันตกหลุมพรางที่ฉันวางไว้!” เขากล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ต้องขอบคุณความขัดแย้งระหว่างทั้งสองที่ทำให้งานวิจัยดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้ มันยอดเยี่ยมไปเลยใช่ไหม”

    “...แกมันน่าขยะแขยง!” ฉันว่าเขาไป

    “โอ๊! กลัวจัง!” ลอยล์ทำท่าเหมือนจะกลัวเป็นการประชด จากนั้นก็ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากอกเสื้อตัวนอก “ในเมื่อเธอรู้ทุกอย่างแล้ว ฉันจะส่งเธอไปโลกหน้าเสียเลยดีไหม”

    เขาถือปืนจ่อมาที่ฉัน แล้วเหนี่ยวไกยิง...

    ปัง!

    ฉันตั้งจิตมั่นแล้วใช้พลังหักเหกระสุนออกไป

    ลอยล์ตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าก็ยังกลับมายิ้มได้อยู่

    “น่าประทับใจ!” เขาเอ่ย “เธอสามารถเบี่ยงกระสุนได้ด้วยพลังจิต ไม่มีใครในห้องทดลองนี้ที่สามารถทำได้อย่างเธอ”

    ฉันพยายามคิดหาทางหนี แต่ก็อดเป็นห่วงโอเรไม่ได้

    จังหวะนั้นเองก็มีอีกคนวิ่งพรวดเข้ามาในห้อง ทีแรกฉันคิดว่าจะเป็นอาน่อน แต่พอจับสัมผัสและได้เห็นตัวจริงๆ แล้วก็ต้องตกใจ

    “เอสซี่! ฉันได้ยินเสียงปืน เป็นอะไรหรือเปล่า”

    “ยูออน! นายมาทำอะไรที่นี่”

    อยากต่อว่าอีกฝ่ายไปจริงๆ ว่าเข้ามาทำไมโดยไม่ดูตามาตาเรือ พลังสัมผัสของฉันก็มีทำไมไม่รู้จักเอาไปใช้เสียบ้าง ทว่าสถานการณ์ตอนนั้นทำให้พูดไม่ออกจริงๆ

    “ลอยล์!” ยูออนตกใจที่เห็นลอยล์ถือปืนอยู่

    “โอ้ ดูซิ ใครมาอีกคนแล้วล่ะนี่” ลอยล์พูด “นี่ไม่ใช่ยูออนที่รักหรอกหรือ ครั้งนี้ฉันไม่ได้โทรเรียกเธอมาที่นี่ งั้นฉันขอถามอีกครั้งนะว่า พวกเธอมาที่นี่ได้ยังไง”

    “โทรเรียกมางั้นหรือ” ยูออนทวนคำด้วยสีหน้าที่เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “นายเป็นวางแผนไว้ทั้งหมดนี่เอง! นายโทรเรียกฉันให้มาเจอศพพ่อในวันนั้น!

    “โอ้ ฉลาดดีนี่ ฉันหลุดพูดไปนิดเดียวก็เดาเรื่องได้แล้ว แต่ว่าเธอยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะว่า เธอมาที่นี่ได้ยังไง”

    “ฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องตอบ” เด็กหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง

    “โอ้ แต่เพื่อนเธอก็อยากรู้เหมือนกันไม่ใช่หรือว่านายมาทำอะไร” ลอยล์กล่าว “ฉันมีเวลาฟัง ค่อยๆ เล่ามาก่อนได้ ยิ่งเล่านานเท่าไหร่พวกเธอก็ยืดชีวิตต่อไปได้นานเท่านั้น”

    “ยูออน ไม่ต้องตอบเขา” ฉันบอกยูออน แล้วหันไปบอกลอยล์ต่อว่า “เราไม่เล่นสงครามคารมกับแกหรอก ปืนนั่นทำอะไรเราไม่ได้ ยอมแพ้ซะเถอะ”

    ปัง!

    เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกระสุนที่พุ่งเฉี่ยวปลายผมของฉันไป

    “โอ๊ะ เธอแน่ใจขนาดนั้นเชียวหรือ” เขาถามพลางทำท่าเป่าควันออกจากปากกระบอกปืน “สงสัยจังว่าเธอจะหลบได้อีกกี่กระสุน ฉันรู้ว่าเธอพยายามเต็มที่ที่จะซ่อนมันไว้ แต่มันก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอต้องใช้พลังและสมาธิเป็นอย่างมากเพื่อที่จะเปลี่ยนวิถีกระสุนลูกหนึ่ง”

    ฉันกำมือแน่น พยายามห้ามตัวเองไม่ให้สั่น เพราะที่เขาพูดมานั้นถูกต้องทีเดียว

    จากนั้นเขาก็เอาปืนจ่อสลับไปมาระหว่างฉันกับยูออน

    “เอาไงดีละนี่ ฉันยังเหลือกระสุนอีกหลายลูกเสียด้วยสิ” ลอยล์กล่าวพร้อมยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ยังไงก็น่าจะพอสำหรับเธอสองคนนะ ว่าไง จะไม่ช่วยเล่นเกมตอบคำถามของฉันหน่อยก่อนหรือ”

    “...ฉันมาที่นี่เพราะสังหรณ์ไม่ดี รู้สึกเป็นห่วงเอสซี่ขึ้นมา ลองโทรเข้ามือถือไปก็ไม่มีสัญญาณ เลยมาลองมาดูที่นี่แล้วก็เห็นทางลับเปิดอยู่” ยูออนยอมตอบ

    “ยูออน...” ฉันเอ่ยเสียงเบา พร้อมส่งสายตาบอกว่าขอโทษไปให้เขาด้วย ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงและขอโทษที่ดึงเขาเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้จนได้

    “วัยรุ่นก็นะ ทำอะไรเอาแต่ใจและไม่น่ารักเอาเสียเลย” ลอยล์ออกความเห็นประหลาดๆ ก่อนหันมาถามฉันบ้างว่า “แล้วเธอล่ะ เอสซี่ที่รัก”

    “ฉันมาที่นี่เพื่อที่จะเอาเจ้าสิ่งนี้” ฉันกำสายสร้อยคอไว้แล้วยื่นมือออกมาหน้าข้าง คิดว่าลองถ่วงเวลาเขาดูก่อนก็ได้

    “โอ้ สร้อยคอนั่นเองหรือ... อาเซียที่รักทิ้งมันไว้ในตู้เซฟนี่นา” ดูเหมือนเขาจะรู้ที่มาที่ไปของมันดี “เธอเป็นคนที่แปลกจริงๆ เธอน่าจะโยนมันทิ้งไปอย่างที่อยาก แต่เธอก็ไม่ได้ทำมันในตอนท้าย จะให้เรียกว่าโง่หรือน่าสมเพชดีล่ะ”

    “มิสอาเซีย...” คำพูดนั้นเตือนให้ฉันระลึกขึ้นได้ “อย่าบอกนะว่า แก...”

    “ใช่แล้ว ฉันฆ่านังนั่นเอง” ลอยล์รับในทันที “ด้วยปืนกระบอกนี้แหละ”

    เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ฉันก็พอจะเดาได้อยู่แต่แรกแล้วว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ลอยล์จะเป็นคนฆ่ามิสอาเซีย แต่ก็ยังอดถามถึงสาเหตุและแรงจูงใจไม่ได้อยู่ดี

    “ทำไมล่ะ จะฆ่าเธอไปทำไม”

    “นังนั่นมันเริ่มทำตัวออกนอกลู่แล้วน่ะสิ” เขาบอก “ฉันเลยช่วยสงเคราะห์ด้วยการจบชีวิตที่น่าสมเพชของมันให้”

    “นายต่างหากที่โง่และน่าสมเพช!” ฉันเถียงกลับ

    “แล้วเราจะได้เห็นกัน...” ลอยล์เหยียดยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารังเกียจมาก “ถ้าเธอดูในสร้อยคอนั้น เธอก็อาจจะสงสัยเกี่ยวกับเนื้อหาบางส่วนของมัน ให้ฉันบอกเลยว่ามีจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น”

    ฉันนิ่ง ดูเหมือนลอยล์จะไม่รู้ว่า ฉันอ่านมันไปแล้ว

    “เอสซี่ที่รักของฉัน” เขากล่าว “คนที่อยู่เบื้องหลังการตายของแม่เธอ... ก็ไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากพ่อของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างเธอ!

    เขาชี้นิ้วไปที่ยูออน ฉันหันมองตามอย่างตื่นตะลึง

    “ไม่ใช่! นั่นมันโกหก!” ยูออนรีบบอก “ไม่มีทางที่พ่อจะทำอย่างนั้นได้”

    “ยูออนที่รัก เธอก็รู้ใช่ไหมว่าพ่อเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่พี่ชายของเธอตายไป”

    “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมา...” เด็กหนุ่มสงสัย

    “พ่อเธอเข้าใจว่าลูกชายคนโปรดของเขาถูกฆ่าโดยเด็กคนหนึ่งในสถาบัน เขาจึงทุ่มเทความพยายามทั้งหมดของเขาเพื่อทรมานจิตใจของเด็กคนนั้นเป็นการแก้แค้น เอ็มม่าไม่สามารถทนกับเรื่องเช่นนั้นได้ เธอเลยตัดสินใจที่จะหนีไปพร้อมกับเด็กชายคนนั้น... โดยหารู้ว่าซิดได้ทำอะไรบางอย่างกับเบรกรถของเธอไปก่อนที่เธอจะไป”

    “ไม่... เป็นไปไม่ได้...” ฉันพึมพำ ฉันยังจำเหตุการณ์ตอนเกิดอุบัติเหตุได้ แล้วก็ได้อ่าน X-note ในสร้อยคอนี้แล้ว ตอนนั้นอาน่อนก็ยังถามว่าถ้าซิดมีส่วนเกี่ยวข้องจริงจะเกลียดเขาหรือเปล่าเลย แม้ฉันจะตอบไปว่าเกลียด แต่ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะเป็นคนลงมือด้วยตนเองด้วยวิธีเช่นนั้น

    “ใช่แล้ว เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างเธอไม่ใช่ใครอื่นนอกจากลูกชายของฆาตกรที่ฆ่าแม่ของเธอ!” เสียงแหลมของลอยล์ดังขึ้นอีก เขายังคงพยายามสุมไฟต่อ

    “ไม่ เอสซี่! อย่าไปฟังเขา! เขาแค่จะทำให้เธอไขว้เขว!

    “ระวังนะ ยูออน”

    ปัง!

    เสียงกระสุนดังขึ้นหลังเสียงเตือนลึกลับเพียงเสี้ยววินาที

    “ยูออน!” ฉันรีบร้องเมื่อเป็นเด็กหนุ่มเอามือจับสีข้างไว้

    “ไม่เป็นไร แค่โดนชายเสื้อถากๆ เท่านั้น” เขาบอกฉัน

    “โอ้ หลบได้ด้วยหรือนั่น เธอไม่น่าจะเอาแต่ห่วงคนอื่นเลยนะ ยูออนที่รัก คนที่ฉันต้องการทำให้ไขว้เขวไม่ได้มีแต่เอสซี่หรอก”

    ลอยล์หัวเราะสะใจเสียงดังก้อง แล้วกล่าวต่อ

    “ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่อ่อนแอ! ความผูกพันระหว่างมนุษย์เป็นสิ่งที่เปราะบางที่สุดในโลกนี้ ที่เธอต้องทำทั้งหมดก็แค่ต้องหว่านเมล็ดแห่งความสงสัยไปเล็กน้อยก็จะพังทุกสิ่งได้แล้ว”

    คำพูดของเขาคล้ายหมายรวมถึงสองเหตุการณ์เข้าด้วยกัน เรื่องในซิดและเอ็มม่าในอดีต และเรื่องของฉันกับยูออนในตอนนี้

    “เอสซี่ที่รัก...ถ้าเธอไม่เชื่อที่ฉันพูด เธอก็สามารถไปอ่านเนื้อหาด้วยตัวเธอเองได้ มาดูกันซิว่าเธอจะยังเชื่อเขาอยู่ไหมในตอนนั้น”

    “ที่จริง ฉันอ่านมันแล้วล่ะ” ฉันพูดเสียงเย็น “ในบันทึกไม่ได้มีอะไรบอกสักหน่อยว่าซิดเป็นคนทำ อีกอย่างถึงเขาเป็นคนทำจริง ยูออนก็คือยูออน เขาไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้สักหน่อย”

    “เอสซี่...”

    ปัง! ปัง! ปัง!

    ราวกับจะทนฟังคำพูดของฉันไม่ได้ ลอยล์ยิ่งกระสุนกระหน่ำออกมาสามนัดติด ทว่ามันก็ถูกตีกลับจนหมด

    “เป็นไปได้ไง!” เขาพูดด้วยความไม่อยากเชื่อ “เธอไม่น่าจะมีพลังพอจะทำอย่างนั้นได้”

    “อย่าลืมว่าทั้งฉันและเอสซี่มีพลังจิต” ยูออนพูดขึ้น “บางทีเราคนใดคนหนึ่งอาจจะไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยตนเอง แต่ว่า...” เขาค่อยๆ เดินมาอยู่ข้างๆ ฉันอย่างมั่นใจ “เรื่องมันต่างไปเมื่อเราอยู่ด้วยกัน ตราบเท่าที่ฉันยังอยู่ที่นี่ ฉันจะไม่ปล่อยให้นายทำอะไรเอสซี่ได้! ฉันจะปกป้องเธอด้วยชีวิตของฉันเอง!

    “ยูออน...”

    “โอ้ ไม่!” ลอยล์ร้องโวยวาย “พลังจิตช่างน่ากลัวจริงๆ ฉันยอมแพ้แล้ว ฉันจะปล่อยพวกเธอไปก่อนในตอนนี้”

    เขาทำท่าจะเก็บปืนเข้าอกเสื้อ

    “ซะเมื่อไหร่ล่ะ ฮ่าๆๆ” ลอยล์หยิบปืนกระบองใหม่ออกมาแทน “บางทีปืนนั่นอาจทำอะไรเธอไม่ได้ก็จริง แต่ปืนนี่มีอานุภาพแรงกว่ามาก ฉันใช้ทดสอบกับผู้มีพลังจิตมาหลายคนแล้ว และยังไม่มีใครใช้พลังต้านมันได้เลย”



     

    ฉันและยูออนต่างยืนอึ้ง

    “แล้วคิดว่าอาวุธนั่นจะทำอะไรฉันได้หรือเปล่าล่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้น

    ที่ประตูทางเข้า มีคนมาใหม่อีกคน

    “อะ...อาน่อน”

    อาน่อนมีแววตาเย็นจัด เขามองตรงไปที่ลอยล์อย่างไม่สนใจฉันกับยูออนและโอเรที่นอนอยู่แม้แต่น้อย

    “ในที่สุดฉันก็เจอนาย นายอยู่ที่นั่นตอนที่เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้น แต่นายก็ไม่ได้พยายามจะหยุดมัน ไม่สิ นายพยายามกระตุ้นให้มันเกิดขึ้น แล้วนายก็ยังทำลายอีกหลายชีวิตที่นี่ ถ้าฉันฆ่านายซะ เรื่องทุกอย่างมันก็จะจบลง”

    “โฮะ...” ลอยล์แค่นเสียง “ทำลายหลายชีวิตเหรอ คำพูดนั้นน่าจะหมายถึงแกมากกว่า แกมันไอ้สัตว์ประหลาดไม่ใช่หรือ คิดหรือว่าฉันจะกลัวแก”

    ปัง!!

    จบคำพูดนั้นเขาก็ยิงกระสุนออกไปใส่อาน่อนทันที แต่อาน่อนไม่เป็นอะไร

    “โอ้ ดูสิ สัตว์ประหลาดอะไรกันนี่ที่เรามีอยู่” ลอยล์พูดอย่างเยือกเย็น ดูไม่ตื่นตกใจกับสถานการณ์ที่เสียเปรียบอยู่ของเขา “เธอไม่ได้เบี่ยงกระสุน แต่ทำลายมันเลย พลังอะไรมหาศาลอะไรขนาดนั้น มันยิ่งกว่าที่เคยมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เสียอีก... สภาพจิตแบบไหนกันที่เธอมีทำได้ทำให้เธอมีความสามารถนั้นได้ เธอกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะตอนนี้ บอกฉันมาสิ”

    ฉันคิดว่าลอยล์คงบ้าไปแล้วที่ไม่กลัวตายแล้วไปถามอาน่อนแบบนั้น แถมยังเปลี่ยนสรรพนามที่เคยใช้เรียกอย่างเหยียดหยามมาเป็นแบบธรรมดาอีก

    “มันสำคัญด้วยหรือไง เข้าใจฉันไปนายก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ถึงแม้ว่านายจะสามารถเลียนแบบสภาพจิตฉันได้ นายก็ไม่มีวันจะมีพลังจิต” อาน่อนตอบขณะก้าวเข้ามาในห้อง

    ลอยล์เริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นหน้าเครียดและจริงจัง แต่ก็ยังไม่วายพูดต่อว่า

    “แกฆ่าลูกชายของซิดที่เป็นเพื่อนคนแรกของแกเอง แล้วก็ฆ่าเด็กที่อยู่รอบๆ ทั้งหมด แกทำให้เอ็มม่าที่ดูแลแกมาตลอดต้องตาย จากนั้นก็ตามมาฆ่าซิดถึงที่นี่...”

    ฉันไม่รู้ว่าลอยล์หวังผลอะไรกับคำพูดนั้น แต่ดูเหมือนทั้งยูออนที่ข้างฉัน และอาน่อนที่ข้างออกไปจะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ต่างกัน ยูออนกำลังพยายามควบคุมอารมณ์ ส่วนอาน่อนมีแววตาที่กลวงเปล่ายิ่งขึ้น

    “ไม่ใช่!” ฉันรีบแย้ง “โอเรยังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่ เขานอนอยู่นี่ไง”

    ทั้งสองคนเหมือนจะสะดุ้งที่รู้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใคร ส่วนฉันเองรู้สึกโล่งใจที่ฉันไม่ได้มองเห็นโอเรอยู่เพียงคนเดียว สถานการณ์ที่ตึงเครียดคงทำให้ทุกคนมองข้ามเขาไป

    “อ้อ เธอพยายามปกป้องไอ้สัตว์ประหลาดนี่หรือ” ลอยล์พูดขึ้น “งั้นเธอก็คงรู้เรื่องทุกอย่างดีสินะ เธออ่าน X-note แล้ว แต่ก็ไม่ยอมบอกยูออน เธอรู้ว่าไอ้สัตว์ประหลาดนี่เป็นคนฆ่าซิด แต่ก็คิดจะปกป้องมันเลยไม่ยอมบอกยูออน ไอ้เจ้านี่มันมีอะไรดีนักหนาหา”

    “ฉันไม่ได้...”

    พอเห็นสายตาที่ยูออนมองมาแล้วฉันก็แทบพูดไม่ออก แต่ก็ฝืนพูดต่อไปว่า

    “ยูออน... ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังนาย ฉันก็แค่อยากรู้ความจริงให้กระจ่างก่อนเท่านั้น อาน่อนไม่ได้ตั้งใจจะก่อเรื่อง เขาก็แค่...”

    ปัง!!

    พริบตานั้นลอยล์ก็ยิงกระสุนเข้าใส่ฉันที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาอธิบายและไม่ทันระวัง

    แต่ก็มีคนเข้ามาขวางเอาไว้

    “อาน่อน!

    ฉันอุทานเมื่อเห็นแผลเลือดออกที่ลำตัวเขา เขาพุ่งเข้ามาทันได้อย่างไรฉันไม่ทราบ ทำไมเขาถึงไม่ใช้พลังจิตป้องกันแทนฉันก็ไม่รู้ ตอนนี้ฉันรู้แค่ว่าฉันเป็นห่วงเขาและคงรีบเข้าไปประคองแล้ว ถ้าหากว่า...

    อาน่อนที่คุกเข่าลงนั่งข้างหนึ่งอยู่ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา ทำเหมือนไม่เจ็บปวดอะไร แล้วก็พูดกับลอยล์

    “ปืนนั่นมีปัญญาทำได้แค่นี้หรือ ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาส่งเจ้าของของมันไปลงนรกแล้ว”

    เด็กหนุ่มร่างสูงก้าวเข้าไปใกล้คนถือปืนอย่างเชื่องช้าเสมือนมีรังสีกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากทุกอย่างก้าวของเขา

    ลอยล์ดูจะมีสีหน้าตื่นกลัวและตระหนกตกใจอย่างปิดไม่มิดเป็นครั้งแรก

    “สิ่งที่นายไล่ตาม... พวกเด็กๆ, ผู้มีพลังจิต, ผู้คนที่มีจิตใจที่พิเศษ... นายไม่มีอะไรพวกนั้น...”

    ปัง!!

    นายหลงใหลในเด็กเพราะว่านายไม่มีทางกลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้ง...”

    ปัง!!

    “ความสามารถทางพลังจิตและจิตใจที่พิเศษเป็นสิ่งที่นายไม่เคยมี...”

    ปัง!!

    “ไม่มีใครมีพลังที่จะเอาชนะความปรารถนาได้หรอก นายมันก็แค่คนที่คนลวงที่น่าสมเพช ไม่ต่างอะไรไปจากคนทั่วไปที่นายเกลียดชัง

    ปัง!!

    ลอยล์ยิงปืนกระหน่ำติดต่อกันใส่อาน่อนตลอดช่วงที่เขาพูด แต่กระสุนทุกลูกสลายหายไปหมดเมื่อเข้าไปในรัศมีสามสิบเซนติเมตรจากตัวอาน่อน มีนัดหนึ่งไม่ได้สลายแต่สะท้อนเฉียดแก้มของคนยิงแทน

    “หน้าฉัน! ใบหน้าอันงดงามของฉัน!” ลอยล์หยุดยิงแล้วเอามือจับแก้ม ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

    เหลืออีกไม่กี่ก้าวอาน่อนก็จะไปถึงตัวลอยล์

    “อาน่อน!! อย่า!!” ทันใดนั้นฉันก็รวบรวมความกล้าแล้วรีบเข้าไปกอดเขาไว้จากด้านหลัง “แค่ทำลายปืนของเขาก็พอ เขาทำอะไรเราไม่ได้แล้ว ไม่ต้องฆ่าเขาหรอก”

    “แกมันเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ ด้วย! ไอ้สัตว์ประหลาด!” ลอยล์ร้อง

    อาน่อนเดินก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง มีพลังประหลาดลากฉันไปด้วย ฉันรู้ว่าเขายังไม่เปลี่ยนใจ

    “ฉันรู้ว่านายรู้สึกยังไง แต่...” ฉันกอดเขาแน่นขึ้น “ฆ่าเขาไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้!

    เด็กหนุ่มก้าวเข้าไปอีกก้าว

    “ฉันไม่อยากให้นายทำร้ายใครอีก! นั่นหมายถึงนายทำร้ายตัวนายเอง! มีแต่นายที่จะเจ็บปวดในภายหลัง!

    เท้าอีกข้างของเขาย่ำลง

    “ที่นายบอกว่านายสูญเสียความสามารถในการรับรู้ความเจ็บปวดไป... นั่นก็แค่โกหกใช่ไหม ความเจ็บปวดทางกายอาจเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ว่า...ความเจ็บปวดทางใจนายยังรับรู้ได้อยู่นะ ไม่อย่างนั้นนายไม่มีทางดูเสียใจขนาดนี้หรอก!

    ฉันตะเบ็งทุกอย่างที่เคยคิดจะบอกเขาไว้ออกมา

    เท้าอีกข้างตามติด

    “ได้โปรด... อย่าทำเลย” เสียงกรีดร้องของฉันที่เปล่งออกมานั้นแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

    แล้วเขาก็หยุดเดิน ฉันได้ยินเสียงคล้ายโลหะกำลังถูกดัด ลองมองไปก็เห็นว่าปลายกระบอกปืนของลอยล์ได้บิดไป ช่วงเวลานั้นเหมือนเนิ่นนานผ่านไป นั่นทำให้ฉันนึกว่าคนที่ฉันรั้งตัวไว้อยู่กลับมาเป็นปรกติแล้วจึงยอมปล่อยแขนออก ทว่าทันทีที่เป็นอิสระอาน่อนก็วิ่งหนีไป

    ทันทีที่ฉันว่าอาน่อนจากไป ลอยล์ก็รีบวิ่งหายไปอีกรายด้วยความตื่นกลัว

    ฉันงงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก ใจหนึ่งคิดจะตามไปดูอาน่อนว่าเขาเป็นอะไรไป ส่วนอีกใจก็บอกว่าควรตามไปจับลอยล์

    “เอสซี่...”

    พอได้ยินเสียงเรียกอีกครั้ง ฉันถึงหันไปแล้วก็ต้องตกใจ

    “ยูออน! นายเลือดออก!

    “นี่เกิดจากกระสุนนัดแรกที่ฉันบอกว่าโดนแค่ถากๆ มันยิงโดนลึกกว่าที่ฉันคิด” เด็กหนุ่มบอก

    “ยูออน...”

    “ไม่ต้องห่วง แผลแค่นี้ไม่ถึงตายหรอก” เขาว่า

    “ฉันขอโทษ” ฉันก้มหน้าลง “ขอโทษจริงๆ ที่ปิดบังนาย ฉันตั้งใจว่าจะบอกนายทีหลังหลังจาก...”

    “ไปซะ” เสียงเขาแทรกขึ้น

    “ฮะ?” ฉันเงยหน้าขึ้นมางงๆ

    “เป็นห่วงหมอนั่นอยู่ไม่ใช่หรือ ไม่รีบตามเขาไปล่ะ”

    “แต่ว่า...”

    “ฉันดูแลตัวเองได้น่า แล้วพี่ฉันก็อยู่ที่นี่ด้วย” เขามองไปที่โอเร “ฉันไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ไม่ต้องห่วงหรอก”

    “แต่...”

    “หมอนั่นเป็นคนสำคัญของเธอไม่ใช่หรือ ฉันเห็นเธอพยายามปกป้องเขามาตลอด มีเพียงเธอที่เข้าใจเขาดีที่สุด” ยูออนกล่าวโดยยังคงเลี่ยงสายตาไปมองโอเร “ที่จริงฉันก็รับปากใครบางคนเอาไว้ว่าจะคอยดูแลเธอ แต่ตอนที่ลอยล์ยิงปืนใส่เธอฉันมัวแต่สับสนจนทำอะไรไม่ทัน ถ้าหมอนั่นไม่เอาตัวเข้ามาขวางไว้ ฉันคงรู้สึกผิดมาก”

    เขาหันมาสบตาฉันตรงๆ แล้วกล่าวว่า

    “ฉันยังเชื่อใจเธออยู่ถึงเธอจะไม่ได้บอกฉันทุกเรื่องก็ตาม ดังนั้นตอนนี้ก็รีบไปหาเขาซะ แล้วค่อยกลับมาเล่าทุกอย่างให้ฉันฟัง ตกลงไหม”

    “อื้ม ขอบคุณที่เชื่อใจฉันนะ ยูออน” ฉันยิ้มตอบเขาด้วยความซึ้งใจแล้วก็รีบวิ่งไป

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×