ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ 5 ไม่ประสานกัน -- 2 - เผชิญหน้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 431
      1
      4 มี.ค. 55

    2 - เผชิญหน้า

    วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน

    ฉันไปโรงเรียนแต่เช้าเพื่อที่จะไปตามหาโอเร...อีกครั้ง

    เมื่อมาถึงที่ระเบียง ฉันก็พบเพียงความว่างเปล่าเช่นเคย

    ฉันนึกถึงตอนที่เราพบกันครั้งแรก จำได้ว่าเขากำลังมองท้องฟ้าอย่างเหม่อลอยอยู่ที่ตรงนี้

    เรียกผมเหรอ

    เขาดูตกใจเล็กน้อยตอนที่ฉันเข้าไปทักในครั้งนั้น ซึ่งก็น่าจะเป็นเช่นนั้นอยู่หากไม่เคยมีใครมองเห็นเขามาก่อน

    แล้วฉันก็นึกถึงครั้งสุดท้ายที่เราพบกัน...นึกถึงคำพูดสุดท้ายและรอยยิ้มของเขา

    เอสซี่... ผมสามารถรับรู้ได้ว่าเวลาของผมกำลังค่อยๆ เลือนหายไป...

    ถึงอย่างนั้น... ผมก็ดีใจจริงๆ ที่ได้พบคุณ

    ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง และผมก็ต้องขอโทษด้วย...

    เธอควรจะลืมผมไปซะ

    พอระลึกถึงคำพูดนั้นแล้วก็รู้สึกอยากกรีดร้องออกมาทั้งน้ำตา

    “จะให้ฉันลืมนายไปได้อย่างไร”

    ฉันคู้ตัวลง

    “โอเร... ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะหายไปตลอดกาล!

    ...ร่ำร้องอยากปฏิเสธความจริง

    “ได้โปรดปรากฏตัวเถอะ! โอเร!!

    ได้ยินเพียงเสียงของฉันที่สะท้อนไปทั่ว

    ฉันหลับตา กำมือทั้งสองแน่นเท้ากับพื้น คุกเข่าลง แทบจะอยู่ในท่าคำนับ

    “ได้โปรด...” ฉันกัดฟันพูดทั้งน้ำตา “ขอร้องละ อย่าทิ้งฉันไว้เพียงลำพัง...”

    ...

    “เอสซี่...”

    เมื่อได้ยินเสียงเรียกแสนอ่อนโยนนั้น ฉันก็ลืมตาขึ้น

    เด็กหนุ่มชุดขาวที่ฉันตามหาอยู่ตรงหน้า เขายื่นมาเข้ามาใกล้หมายจะเช็ดน้ำตาให้ฉัน ทว่ามือของเขาก็จางหายไปในทันทีที่เกือบจะสัมผัสถึงตัวฉัน






     

    หยดน้ำตาบนหน้ายังคงอยู่เช่นเดิม

    “โอเร!  โอเร!! โอเร!!!

    ฉันเรียกชื่อเขาซ้ำหลายๆ แต่ละครั้งยิ่งทวีความตื่นเต้นเคล้าเสียงสะอื้น ฉันอยากยืนยันว่าเขาอยู่ตรงหน้าฉันแล้วจริงๆ

    “อย่าได้ร้องไห้เลย” เขาบอกฉัน “...ได้โปรด”

    “ทำไมนายถึงได้โหดร้ายอย่างนี้ นายทิ้งฉันไว้เพียงลำพังได้อย่างไร” ฉันปาดน้ำตาพร้อมกับรีบพูดเพราะกลัวเขาจะหายไปอีกครั้ง

    “แต่ เอสซี่ ผม...”

    “ฉันรู้...ฉันรู้ทุกอย่าง ฉันรู้ตั้งแต่ต้นแล้ว” ฉันบอกความจริงกับเขา “ฉันแค่หลอกตัวเองว่านายมีตัวตนอยู่จริงๆ”

    ที่ผ่านมาฉันแค่ทำเป็นไม่อยากรับรู้ ไม่อยากค้นหาความจริงเกี่ยวกับเขาเท่านั้น

    “แต่...ฉันเห็นนายนะ ฉันคุยกับนายได้ ฉันเล่นเกมกับนายได้ด้วยแท้ๆ ในความจริงที่ฉันรับรู้ นายมีตัวตน”

    ฉันอยากเอื้อมมือไปคว้าเขามากอดไว้ในตอนนี้เสียเหลือเกิน แม้จะรู้ดีว่ามันไม่มีทางสัมผัสเขาได้ก็ตาม

    “เอสซี่...” โอเรเอ่ย “ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกเธอก่อนหน้านี้ บอกตามตรง ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมเหมือนกัน พอรู้ตัวอีกที ผมก็มาอยู่ที่ระเบียงนี้แล้ว”

    เขาทอดสายตามองทั่วระเบียงแห่งนั้น

    “ไม่มีใครสามารถเห็นผมได้...ไม่ต้องหวังเลยว่าจะมีใครมาคุยด้วย ผมใช้เวลาวันแล้ววันเล่ามองลูกกรงที่ล้อมระเบียงนี้ออกไปนับครั้งไม่ถ้วน”

    โอเรหันไปมองท้องฟ้ากว้างสุดเวิ้งว้างที่ประดับไปด้วยเมฆน้อยใหญ่ทั้งหลาย

    “ตอนที่ผมบอกว่าชอบเมฆน่ะ จริงๆ แล้ว ผมเกลียดมัน มันคือสิ่งที่ผมเห็นมาตลอดในราตรีที่ไม่มีสิ้นสุด แปรเปลี่ยนและไม่เคยเปลี่ยนแปลงตลอดกาล...ราวกับว่ามันอยู่ตรงนั้นเพื่อทรมานผม ผมหวังว่าผมสามารถยื่นมือไปบนฟ้าและฉีกมันเป็นชิ้นๆ”

    เขาแสดงท่าประกอบโดยการยื่นมือออกไปราวกับจะจับเมฆมาทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

    “โอเร...”

    “แต่แล้วผมก็ได้พบกับเธอ” เขาหันกลับมามองฉัน “เธอเป็นคนที่ช่วยผมเอาไว้...คืนชีวิตกลับมาให้ผม ผมดีใจจริงๆ ที่มีโอกาสได้พบเธออีกครั้ง”

    “พบอีกครั้ง...?”

    “ดูเหมือนว่าเธอคงลืมเรื่องเกี่ยวกับผมไปหมดแล้ว” เขาคลี่ยิ้มบาง “เราเคยเจอในสมัยก่อนเมื่อนานมาแล้ว”

    “นายหมายความว่าไง” ฉันจำไม่ได้จริงๆ ว่าเคยพบเขามาก่อน

    “ตอนนี้มันก็สายแล้ว ไว้ผมจะมาบอกกับเธอใหม่นะ” เขาว่า

    “เดี๋ยวก่อน โอเร” ฉันรีบรั้งเขาไว้ “มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากยืนยันกับนายให้แน่ใจ”

    เขาหยุดรอให้ฉันพูดต่อ

    “นายรู้จักคนชื่อยูออนไหม”

    “...”

    แม้จะพยายามปิดปากเงียบ แต่ฉันก็สังเกตเห็นอาการสะดุ้งเพียงเล็กน้อยของเขา

    “เขาคือลูกชายของผู้อำนวยการคนก่อนที่มาขอให้ฉันช่วยสืบคดีและชวนฉันมาเรียนที่นี่”

    “อย่างนั้นเหรอ เขาเป็นคนยังไงล่ะ” เด็กหนุ่มถาม

    “ภายนอกเขาดูเยือกเย็น สงบ และเก็บตัว แต่ว่าที่จริงเขาค่อนข้างจะเปราะบางและงุ่มง่ามอยู่ภายใน”

    “เขาไม่ค่อยจะเปลี่ยนไปเลยนะ” โอเรว่ายิ้มๆ

    เมื่อเห็นปฏิกิริยานั้นฉันก็รีบยิงคำถามต่อไป

    “นายเป็นพี่ชายของเขาใช่ไหม”

    “...ผมคงปิดอะไรเธอไม่ได้จริงๆ เอสซี่” เด็กหนุ่มยอมรับพร้อมพยักหน้า “ถ้าเธอรู้จักเขา ผมก็อยากฝากนี่ไปให้เขาหน่อย”

    โอเรถอดล็อกเก็ตสีเงินที่เขาคล้องอยู่กับตัวออกมา แล้ววางลงที่ฝ่ามือของฉัน น่าแปลกใจทีเดียวที่ฉันสามารถแตะต้องวัตถุนั้นได้

    “ผมต้องไปแล้วล่ะ”

    เสียงของเขาเตือนสติฉันให้กลับคืนมามองคู่สนทนา

    “นาย...จะกลับมาอีกใช่ไหม”

    “ผมสัญญา...ว่าผมจะกลับมา”

    เขาส่งยิ้มให้ฉันสบายใจแล้วจางหายไป

    ฉันเปิดล็อกเก็ตดู ข้างในมีรูปคู่ของเด็กชายสองคน คนที่นั่งทำหน้ามุ่ยอยู่นั้นคงเป็นยูออน ส่วนคนที่ยืนยิ้มสดใสในภาพก็คือโอเรไม่ผิดแน่


     

    ฉันจะเอาสิ่งนี้ไปให้ยูออนตอนพักกลางวัน แล้วเล่าเรื่องของโอเรให้เขาฟัง

    ในตอนนี้ฉันควรไปล้างหน้าแล้วไปเตรียมตัวเรียนก่อน ถ้ายังโดดวันนี้อีก ยูออนคงไม่พอใจ

     

    “เอสซี่! ฉันดีใจที่เธอมาเรียน...”

    ยูออนทักฉันทันทีที่ฉันก้าวเข้าไปในห้องทำงานของเขา ฉันส่งข้อความบอกให้เขามาพบที่นี่เอง

    “เรื่องนั้นไม่สำคัญ ช่างมันเถอะ” ฉันตัดบท “มีคนฝากนี่มาให้นาย”

    ฉันส่งล็อกเก็ตให้เขาดู

    “นี่คือ...!” ยูออนตกใจเมื่อเห็นล็อกเก็ตชัดๆ “ใครฝากเธอมา”

    “โอเร” ฉันตอบสั้น แล้วรอดูปฏิกิริยาของเขา

    “เป็นไปไม่ได้!” เด็กหนุ่มผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ “เขาตายไปแล้วนี่...

    “ฉันก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันเห็นเขาอยู่ เขาดูเด็กกว่านายมากจนฉันมองไม่ออกว่าเขาจะเป็นพี่ชายนายได้หากไม่ได้ปะติดปะต่อข้อมูลจากหลายแห่งเข้าด้วยกัน”

    “เธอเจอเขาที่ไหน พาฉันไปหาเขาที” ยูออนถามกึ่งขอร้อง

    “ก็ได้” ฉันตอบตกลง “แต่ฉันไม่แน่ใจนะว่าเขาจะปรากฏตัวหรือเปล่า”

    ฉันพายูออนไปที่ระเบียงที่ฉันมักเจอโอเร เขาไม่อยู่ที่นั่นอย่างที่คิด เรียกหาแล้วก็ไม่ยอมปรากฏตัว ฉันไม่แน่ใจว่าเขาจะมีเงื่อนไขหรือสถานการณ์อะไรที่ทำให้ออกมาในตอนนี้ไม่ได้หรือเปล่า

    “ฉันจะเจอเขาที่นี่เสมอ เขาชอบนั่งเหม่อมองฟ้าอยู่ที่นี่” ฉันเล่าให้ยูออนฟัง

    “...เธอเริ่มเห็นเขาตั้งแต่เมื่อไหร่” เด็กหนุ่มถาม

    “ตั้งแต่วันแรกที่ฉันมาที่โรงเรียนนี้ เขาบอกว่าเขาเป็นนักเรียนของเซ็น แต่ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน เหมือนตัวตนของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาอาจเป็นเพียง...”

    คำสุดท้ายนั้นไม่อาจหลุดออกจากปลายลิ้นของฉันได้ ฉันกลัวเกินกว่าที่จะกล่าว

    “เมื่อคิดว่าเขาจะเป็นพี่ชายของนายแล้ว...” ฉันเปลี่ยนไปพูดอย่างอื่น “ฉันพบว่ามันเชื่อได้ยาก แต่ฉันขอยืนยันว่ามันเป็นความจริง”

    “...ฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่ออะไรในตอนนี้” ยูออนเปรย สายตาค้อมต่ำลง

    “ยูออน... ฉันมั่นใจว่าเขายังอยู่ที่ไหนสักแห่ง ไว้เราค่อยมาลองหาเขากันใหม่ เขาสัญญากับฉันแล้วว่าจะกลับมาอีก แล้วฉันก็ยังมีเรื่องที่อยากจะถาม อยากคุยกับเขาให้เข้าใจ ฉันเชื่อว่าถ้าเราคุยกับเขาแล้ว ความจริงจะปรากฏ”

    “...ฉันก็หวังอย่างนั้น” เด็กหนุ่มเอ่ยเบาๆ ด้วยเสียงที่ฟังเศร้าสร้อยอยู่เล็กน้อย

    ฉันไม่อยากเห็นเขาเป็นอย่างนี้เลย แต่ฉันก็เลือกที่จะบอกเขาเอง เขาควรจะได้รู้ไว้

    “อย่าเศร้าไปเลย ยูออน นายไม่ใช่คนเดียวหรอกที่คิดถึงเขา” ฉันพึมพำกับตัวเองด้วยระดับเสียงที่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน “ถ้านายเศร้าแล้ว ฉันคงเศร้ายิ่งกว่า”

     

    ฉันใช้เวลาเกือบตลอดชั่วโมงเรียนภาคบ่ายทำใจและรวมรวบสมาธิ ฉันอยากยุติเรื่องทั้งหมดจึงต้องการความกล้าเพื่อจะไปเผชิญหน้ากับเขา

    ฉันตัดสินใจว่าจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว

    ฉันจะไปพบเขาไม่ว่าจะมีอะไรรอคอยอยู่เบื้องหน้าก็ตาม...

    ที่ห้องคอม เด็กหนุ่มสวมแจ็กเกตเขียวยังคงอยู่ที่นั่นอย่างที่ฉันคิด

    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เขาทักทายด้วยเสียงที่ฟังร่าเริง “ฉันนึกว่าจะไม่ได้เจอเธอแล้วซะอีก”

    นี่เป็นอาน่อนแบบปรกติที่ฉันรู้จัก ตาของเขามีแววและไม่ได้แผ่รังสีน่ากลัวออกมา แต่ฉันก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่บุคลิกเดียวที่เขามี และมันอาจไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเขา

    “บอกความจริงฉันมา” ฉันพูดเข้าประเด็นทันที “ฉันอยากรู้ทุกอย่าง ฉันจะไม่หนีอีกแล้ว”

    อาน่อนหรี่ตามองฉันนิ่ง แววตาของเขาเปลี่ยนไปในทันที แล้วเขาก็ไม่ได้ยิ้มอีกต่อไป

    ฉันสงสัยว่านี่ใช่แววตาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังผมที่ปรกหน้าของเอ็กซ์หรือเปล่า

    “เธออยากรู้อะไรล่ะ” เขาถาม

    “นายคือเอ็กซ์ใช่ไหม”

    “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร” เขายิ่งหรี่ตาต่ำลงอีก

    “นั่นเป็นความจริง?”

    “ความจริงก็คือฉันไม่รู้อะไรเลย” เขาบอกพลางไหวไหล่

    “นายหมายความว่าไง”

    “ฉันจำเรื่องที่เกิดก่อนที่ฉันจะถูกพบโดยพวกพ่อค้าไม่ได้เลย” ดวงตาของเขาดูว่างเปล่าขณะที่เล่า “จริงๆ มันก็ไม่เชิงว่าฉันจำไม่ได้... ความทรงจำของฉันมันตีกันยุ่งเหยิงไปหมด จนฉันตีความมันไม่ออก”

    ฉันค่อนข้างตกใจที่ได้ยินเรื่องนี้ นี่แปลว่าเขาไม่รู้จริงๆ และไม่ได้โกหกอย่างนั้นหรือ

    “ลองนึกถึงตัวต่อจิ๊กซอว์...” เด็กหนุ่มยกตัวอย่างพร้อมทำมือประกอบ “ฉันมีทุกชิ้นอยู่ในหัวของฉัน แต่ว่ามีกระจัดกระจายไปทั่ว ฉันบอกไม่ได้ว่าอันไหนเป็นหัวหรือท้าย”

    มือของเขาที่เหมือนจะแทนตัวต่อจิ๊กซอว์ขยับเปลี่ยนรูปร่างหาทางต่อกันหลายหลากรูปแบบ แต่แล้วก็แยกออก ไม่มีคู่ใดลงตัว

    “ฉันมาที่นี่เพราะว่าฉันมีความรู้สึกที่คุ้นเคยอย่างน่าประหลาดตอนที่ฉันเข้ามาในตึกนี้เป็นครั้งแรก ฉันคิดว่าฉันอาจจะเจอเบาะแสที่ช่วยให้ฉันติดต่อเรื่องเข้าด้วยกันได้หากฉันอยู่ที่นี่”

    “นั่นเป็นสาเหตุที่นายรวบรวมข้อมูลมาตลอดใช่ไหม”

    “ใช่แล้ว” เขารับเสียงเย็นพร้อมหยักยิ้ม “แต่ในท้ายที่สุด ฉันก็ไม่ได้อะไรมากไปกว่าที่เธอรู้ เธออาจจะรู้อะไรมากกว่าฉันด้วยซ้ำ เรื่องของเอ็กซ์ที่เธอว่านั่นไง”

    เขามองตรงมาที่ฉัน ดวงตาคู่นั้นดูราวจะดูดกลืนฉันเข้าไป

    “นี่... อยากลองดูมันไหมล่ะ” เขาเอ่ยคำถามชวนสงสัย

    “ดูอะไร”

    “ความทรงจำของฉัน...เหมือนที่เธอทำเมื่อวันก่อนไง” เขาทำมือเป็นรูปปืนแล้วจ่อไปที่ขมับของตัวเอง

    ฉันพยายามคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นแล้วตอบไปว่า

    “แต่ฉันไม่สามารถทำมันได้ในตอนนั้น...”

    “ตอนนั้น...” เขาแทรก “...พลังของฉันคุ้มกันร่างกายของฉันไว้โดยที่ฉันสั่ง ฉันแค่ปรับนิดหน่อย เธอก็สามารถเข้ามาอ่านได้แล้ว”

    “แต่มันจะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ”

    “เธออยากรู้ความจริงไม่ใช่”

    “ชะ...ใช่”

    “งั้นก็ลองดูเลยสิ”

    อาน่อนก้าวเข้ามาใกล้ โน้มตัวเข้ามาหา แล้วเอาหน้าผากของเขาแตะหน้าผากฉัน

    ร่างกายฉันถูกสะกดนิ่งโดยไม่ทันตั้งตัว ไม่อาจขยับไปไหนได้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเขาใช้พลังควบคุมฉันเอาไว้ หรือเป็นเพราะฉันกลัวจนไม่กล้าเคลื่อนไหวเอง



     

    ตึก ตึก...ก

    พริบตานั้นฉันก็สัมผัสได้ว่ามีกระแสคลื่นของข้อมูลที่เข้มข้นไม่สม่ำเสมอกันไหลผ่านเข้ามาในหัวของฉัน

    ...

    ภาพถัดมาที่ฉันตีความนั้นคล้ายเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยทั้งหลายกระจายอยู่ทั่วห้วงอวกาศอันมืดมิด

    นี่มันอะไรกัน... ความทรงจำของอาน่อนอย่างนั้นหรือ

    ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่ามันจะยุ่งเหยิงและเลวร้ายมากขนาดนี้

    นี่มันบ้าไปแล้ว... ฉันจะอ่านเศษพวกนี้ทั้งหมดได้อย่างไร

    ไม่! ฉันจะเลิกล้มไม่ได้!

    ท่ามกลางความท้อแท้และสับสนนั้น ฉันก็รีบเตือนตัวเองว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้

    ฉันไม่สนว่ามันจะเป็นอะไร แต่ฉันต้องหาบางอย่าง อะไรก็ได้... หลักยึดอะไรสักอย่างเพื่อเป็นจุดเริ่มต้น...

    เอ็กซ์!

    ใช่แล้ว! สิ่งที่ฉันต้องทำก็คือหาว่ามีเอ็กซ์อยู่ในความทรงจำเหล่านี้ไหม

    ถ้าอาน่อนเป็นเอ็กซ์ ก็ต้องมีเอ็กซ์อยู่ในความทรงจำของเขา

    ฉันรวบรวมสมาธิตั้งจิตนึกภาพของเอ็กซ์ แล้วภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในเศษความทรงจำหลายๆ ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นภาพสะท้อนของเด็กชายผมปรกหน้าในกระจกเงา และคนที่จะเห็นภาพเช่นนี้ได้มีเพียงเจ้าของความทรงจำเท่านั้น...

    ต้องไม่ผิดแน่!

    อาน่อนใช่เอ็กซ์จริงๆ

    ...

    หลังจากที่ค้นพบความจริงนั้นแล้วฉันก็เห็นเพียงความมืดมิด

     

    เบื้องหน้าที่เห็นคือท้องฟ้าสีครามของยามเย็น

    สัมผัสถึงความอบอุ่นที่ใกล้ๆ ที่ใต้ตัว...

    กะพริบตาถี่ๆ พลางสำรวจว่าตัวเองอยู่ที่ไหน

    ฉันอยู่บนทางกลับบ้าน กำลังเคลื่อนที่อยู่ แต่ฉันไม่ได้เดินเอง

    เด็กหนุ่มผมสีชารวบผมเป็นจุกที่ท้ายทอยเป็นคนแบกฉันขึ้นหลังของเขาแล้วพาเดิน



     

    “อะ...อาน่อน?” ฉันร้องถาม

    “เธอฟื้นแล้ว?” เขาทัก

    ฉันพยักหน้าทีหนึ่ง เขาคงไม่เห็น แต่น่าจะพอเดาได้

    “เธอเพิ่งหมดสติไป ฉันเลยว่าจะพาเธอไปส่งบ้าน” เขาบอก

    “...หัวฉันยังปวดอยู่...” ฉันเอ่ยไปตามที่รู้สึก

    “อยู่นิ่งๆ ไว้” เด็กหนุ่มว่า “เธอใช้พลังมากไป ตอนนี้ยังไม่ควรจะขยับไปไหน เราเกือบถึงแล้วล่ะ พอกลับถึงบ้านแล้วเธอก็สามารถพักผ่อนได้”

    “ฉะ...ฉันขอโทษ...” ฉันกระซิบแผ่วเบา แน่ไม่ใจเหมือนกับว่าขอโทษเรื่องอะไร คงเป็นเรื่องที่ทำให้เขาต้องลำบากมาส่งกระมัง

    ฉันไม่เคยซ้อนหลังใครมาก่อน ...ความรู้สึกนี้มันช่างอบอุ่นดีจัง

    มาอยู่ด้านหลังแบบนี้ มันดูจะไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นใคร ...หรือเป็นเพราะฉันมองไม่เห็นแววตาของเขาจึงไม่รู้สึกกลัว

    ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ไม่ว่าเขาจะเป็นเอ็กซ์หรืออาน่อน เขาก็จะยังคงอ่อนโยนต่อฉันเสมอ...

     

    เมื่อกลับมาถึงบ้าน อาน่อนก็ส่งฉันลงยืน แล้วถามอาการ

    “รู้สึกเป็นยังไงบ้าง”

    “ฉะ...ฉันไม่เป็นไร” อย่างน้อยฉันก็ยืนเองได้ ไม่ต้องให้เขาช่วยพยุง

    “ดีแล้ว” เขายิ้มเล็กน้อย “ฉันจะไปละนะ”

    ฉันพยักหน้า แต่เมื่อเขาหันหลังแล้วเริ่มออกเดิน ฉันก็เรียกเอาไว้ก่อน

    “อาน่อน!

    เขาหันกลับมามองด้วยสายตาเป็นเชิงถาม

    “ฉันขออ่านความทรงจำของนายอีกครั้งพรุ่งนี้ได้ไหม”

    “ฉันไม่แนะนำให้เธอทำมันอีก” เขาเตือน “มันทำให้จิตของเธอต้องแบกรับมากไป”

    “ฉันรู้ แต่ฉันไม่อยากยอมแพ้ทั้งอย่างนี้” ฉันสบตาเขาตรงๆ

    “เธอแน่ใจนะ” เขาหรี่ตาถาม “เธออาจค้นพบอะไรที่เธอไม่ต้องการจะรู้ก็ได้”

    “ฉันบอกนายแล้วไงว่าฉันจะไม่หนีอีกแล้ว ฉันอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนาย”

    เด็กหนุ่มตริตรองเล็กน้อยแล้วจึงตอบ “...พรุ่งนี้ฉันจะรออยู่ที่เดิม”

    เมื่อเขาเดินลับสายตาไปฉันจึงค่อยผ่อนลมหายใจพลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่เพิ่งค้นพบ

    อาน่อน...

    เขาคือเอ็กซ์จริงๆ ด้วย... ฉันยังพบว่ามันยากที่จะเชื่ออยู่

    เขาเปลี่ยนไปมาก... เกิดอะไรขึ้นในช่วงหลายปีมานี้นะ...

    ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าใจเขาถ้าฉันยังคงกลัวเขาอยู่แบบนี้

    ดังนั้นเมื่อเรี่ยวแรงของฉันเริ่มฟื้นคืนกลับมาแล้ว ฉันจึงไปฝึกที่สวนเพกาซัส อย่างน้อยการฝึกเพิ่มทักษะการใช้พลังก็คงช่วยให้ฉันมีความพร้อมขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×