ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    X-note : Mix End

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 4 แตกหัก -- 3 - ฝึก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 370
      1
      11 ม.ค. 55

    3 - ฝึก

    วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน

    ฉันต้องแปลกใจที่เด็กหนุ่มในชุดโทนสีน้ำเงินแวะมาหาฉันหลังเลิกเรียนถึงที่ห้อง

    “เอสซี่”

    “ยูออน? มีธุระอะไรเหรอ”

    ยูออนมองดูรอบๆ ห้อง พอแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นอยู่ที่นี่อีกแล้ว จึงค่อยกล่าว

    “ฉันอยากรู้ว่าเธอพร้อมที่จะอ่านแว่นตาของมิสอาเซียแล้วหรือยัง”

    “จริงสิ ฉันลืมเรื่องนี้ไปสนิทเลย” เมื่อนึกขึ้นได้ ฉันจึงรายงาน “การฝึกของฉันก้าวหน้าไปด้วยดี ฉันคิดว่าฉันน่าจะลองดูได้”

    “เธอเคยลองอ่านสิ่งของมาก่อนหรือเปล่า” ยูออนถาม

    ฉันนึกถึงเหตุการณ์ที่ฉันเคยใช้พลังอ่านการเคลื่อนไหวเพื่อหารหัสเปิดประตูโรงเรียน นั่นน่าจะเรียกว่าการอ่านกระแสอากาศที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้มากกว่าการอ่านความทรงจำจากสิ่งของ ดังนั้นคงไม่นับ อีกอย่างฉันก็ยังไม่อยากออกเรื่องนี้กับยูออน จึงตอบไปว่า

    “เปล่า นี่น่าจะเป็นครั้งแรกของฉัน”

    “อยากลองอ่านอย่างอื่นก่อนไหม”

    “เป็นความคิดที่ดีทีเดียว” ฉันเห็นด้วย “ฉันจะลองหาของมาอ่านดูนะ”

    “ลองโต๊ะนี่เป็นไง” เด็กหนุ่มเสนอ

    ฉันลองเอามือสัมผัสโต๊ะดู แล้วก็บอก

    “นี่ใช้ไม่ได้หรอก ความทรงจำที่ผูกติดกับโต๊ะนี่อ่อนเกินไป พวกมันไม่มีรูปร่างที่แน่นอน การพยายามอ่านเจ้านี่ก็เหมือนกับการพยายามถือน้ำเอาไว้มือตอนที่มันยังเป็นของเหลว”

    “เข้าใจละ” ยูออนว่า

    “เราต้องหาลองที่มีความทรงจำที่เข้มข้นกว่านี้...ชนิดที่ว่าคนคนหนึ่งจะไม่ลืมไปเลยตลอดชีวิตของเขา” ฉันอธิบาย แล้วหันไปถามเขา “ขอเวลาฉันหน่อยแล้วกัน ฉันจะลองหาดูรอบๆ ว่ามีสิ่งอื่นที่พอใช้ได้ไหม”

    “ได้สิ” เด็กหนุ่มอนุญาต “มาบอกฉันเมื่อเธอจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันจะรออยู่ในออฟฟิศ”

    “รับทราบ”

    จากนั้นยูออนก็จากไป ส่วนฉันก็เริ่มมองสำรวจรอบๆ ห้อง มองหาของที่พอจะใช้ได้ แต่พอคิดไปว่าที่นี่คงมีแต่ของของเพื่อนร่วมห้องกับอาจารย์ประจำชั้นที่ฉันไม่อยากละลาบละล้วงล่วงเกิน เพื่อความสบายใจฉันควรไปเดินหาของจากที่อื่นดีกว่า

    เอาละ ฉันจะเริ่มที่ไหนดีล่ะ

    ที่แรกที่ฉันนึกขึ้นได้ก็คือระเบียงทางเดิน เพราะฉันมักจะใช้มันเป็นทางผ่านบ่อยๆ แม้จะอ้อมอยู่บ้าง และฉันก็คิดว่าบางทีลองใช้โอกาสนี้ไปถามโอเรด้วยก็ดี เผื่อเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับการอ่านสิ่งของบ้าง

    “โอเร ฉันกำลังมองหาของที่น่าจดจำอยู่ นายพอมีบ้างไหม” ฉันถามเขาทันที

    “เธอหมายความว่าไงเหรอ ที่ว่าที่น่าจดจำน่ะ” โอเรสงสัย

    “มันก็คล้ายๆ สิ่งที่สำคัญสำหรับเธอหรือคนอื่น” ฉันอธิบาย

    “ฉันไม่แน่ใจว่าฉันมีอะไรแบบนั้นไหมนะ”

    เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบตัวขณะกล่าว...

    “โอ้ ลองดูนี่สิ”

    เขาหยิบใบปลิวบนพื้นขึ้นมาส่งให้ฉัน ฉันมองแผ่นกระดาษนั้นอย่างงงๆ เพราะว่ามันคือใบปลิวมิราจที่ฉันเคยได้

    “มีใบปลิวพวกนี้อยู่ทุกหนทุกแห่งเลย ดังนั้นมันต้องเป็นใบปลิวที่มีความสำคัญมากแน่ๆ” โอเรบอกอย่างใสซื่อฉันไม่มั่นใจนะว่ามันจะใช้ได้หรือเปล่า แต่เมื่อฉันลองใช้จิตสัมผัสมันดูก็พบว่ามีความทรงจำที่เข้มข้นอย่างไม่น่าเชื่ออยู่กับใบปลิวด้วย

    “ฉันไม่แน่ใจว่าฉันสนใจจะรู้ไหมว่าความทรงจำที่ว่าคืออะไร...” ฉันพูดเบาๆ กับตัวเอง

    “เธอกำลังพยายามทำอะไรอยู่เหรอ” โอเรถาม

    “ฉันกำลังพยายามเรียนรู้ที่จะอ่านความทรงจำจากวัตถุน่ะ” ฉันตอบ

    “มันคืออะไร” เด็กหนุ่มเอียงคอ

    “ว่าง่ายๆ มันก็คือความสามารถในการถึงความทรงจำออกมาจากสิ่งของ” ฉันอธิบายรวบรัด ก่อนระบายยิ้มเฝื่อนๆ “ฉันยังใหม่กับสิ่งนี้อยู่ เลยไม่มั่นใจนักว่าฉันจะทำได้หรือเปล่า”

    “ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าเข้าใจหรือเปล่า แต่ผมรู้ว่าเธอทำมันได้แน่” เขาบอกพร้อมส่งกำลังใจมาทางรอยยิ้มสดใส

    “ขอบใจจ้ะ!

    ว่าแล้วฉันก็ขอตัวจากโอเร เดินหาของที่พอใช้ได้อย่างอื่นต่อ จนมาหยุดอยู่ที่ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้วยเหตุผลอะไรฉันก็ไม่แน่ใจนัก

    ตอนนี้ห้องเปิดไฟสว่างแต่ไม่มีคนใช้เครื่องอยู่เลย มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นแม้แต่วี่แว่วของเด็กหนุ่มแจ็กเกตเขียว

    “หายากนะนี่ที่นายนั่นไม่อยู่ที่นี่” ฉันพึมพำกับตัวเองแล้วก็ต้องชะงัก...

    อะไร นี่ฉันกำลังผิดหวังหรือไง

    ความคิดส่วนที่ยังมีสติครบถ้วนดีของฉันรีบส่ายหน้าปฏิเสธ

    ไม่มีทางหรอกน่า

    ไม่ใช่ว่าฉันต้องการความช่วยเหลือจากเขาสักหน่อย ฉันสามารถทำมันได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว

    ...แค่หาของแค่นี้เอง

    ฉันนั่งลงตรงบริเวณที่อาน่อนมักจะสิงสถิตอยู่ นึกสงสัยว่า เขามักจะทำอะไรกับคอมพิวเตอร์พวกนี้นะ

    ถ้าเป็นหมอนั่นล่ะก็ ต้องค้นเว็บไซต์ที่ไม่น่าไว้วางใจแน่ๆ

    ใช่แล้ว! ฉันนึกภาพเขาออกไม่ยากเลย

    “หืมมม...?

    ตอนที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ฉันก็สังเกตเห็นว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องนี้มีอะไรแปลกๆ อยู่นะ

    เมื่อมองดีๆ ฉันถึงรู้ว่ามันไม่ใช่การ เห็นแบบที่คนปรกติเห็น แต่เป็นสัมผัสของความทรงจำที่เข้มข้นที่ติดอยู่ต่างหาก

    บางทีเจ้านี่น่าจะเอาไปลองใช้ได้ แต่ว่าจะมีใครว่าอะไรหรือไม่ถ้าฉันเอามันไปทั้งอย่างนี้...

    มองไปรอบๆ ห้องก็ยังไม่เห็นใครอื่นเช่นเดิม

    ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจถอดสายสำหรับเชื่อมต่อหน้าจอออกจากตัวเครื่อง แล้วยกมอนิเตอร์ไป

    แล้วจะมาขอโทษทีหลังแล้วกัน... ฉันคิดพลางเดินกลับห้องเรียน

     

    เมื่อมาถึงห้องเรียน ฉันก็มองของสองสิ่งที่ฉันหามาได้...ใบปลิวกับมอนิเตอร์

    ฉันไม่แน่ใจว่านี่จะพอต่อการฝึกแล้วหรือยัง บางทีฉันน่าจะลองหาอย่างอื่นด้วย

    ทันใดนั้นสายตาฉันก็ไปสะดุดกับของที่ตกอยู่ที่พื้นที่ตอนแรกไม่ทันเห็น

    “นี่มันพวงกุญแจมิสเตอร์พัฟฟี่ไม่ใช่เหรอ” ฉันหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ๆ

    คาดว่ามันน่าจะเป็นของที่ยูออนทำหล่นไว้ มันยากที่จะเชื่อว่ายูออนมีของเช่นนี้อยู่ แล้วพกติดตัวไปไหนมาไหนด้วย

    “อะไรกันนี่ มันมีความทรงจำที่ค่อนข้างเข้มข้นทีเดียว”

    ฉันอุทานเมื่อสังเกตดูเจ้ามาสคอตตัวปุกปุยสีเหลืองเขียวนั่นดีๆ

    “ขอโทษนะยูออน แต่ขอฉันยืมเจ้านี่ไปก่อนละ”

    ถึงฉันจะทำมือทำไม้เป็นท่าทางขอโทษขอโพยประกอบ แต่รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของฉันกลับแฝงแววเจ้าเล่ห์

    เพื่อเป็นการชดเชย ฉันให้เกียรติอ่านเจ้านี่ก่อนเป็นอันดับแรกก็แล้วกัน

    ฉันนั่งลงที่เก้าอี้แล้วค่อยๆ รวบรวมสมาธิ ปรือตาลง

    พวงกุญแจมิสเตอร์พัฟฟี่วางอยู่ที่โต๊ะตรงหน้าฉันพอดี ฉันค่อยๆ ใช้ฝ่ามือทั้งสองอังอยู่เหนือพวงกุญแจ รับเอาคลื่นพลังที่มองไม่เห็นเข้ามาประมวลผล


     

    ...

    ภาพที่ปรากฏให้เห็นนั้นคือท้องฟ้าสีฟ้าใส มีเมฆลอยอยู่เล็กน้อย บรรยากาศนั้นชวนให้นึกถึงยามบ่ายอันแสนขี้เกียจ

    “ยูออน!

    เสียงหนึ่งดังขึ้น แต่ฉันมองไม่เห็นว่าใครพูด ได้ยินเพียงเสียงเท่านั้น ฉันบอกได้ว่ามันเป็นเสียงของเด็กชาย

    “วันนี้เป็นวันเกิดปีที่สี่ของนาย” เสียงนั้นกล่าวต่อ “ทายสิฉันซื้ออะไรมาให้นายด้วย”

    “มันใช่...ครีมพัฟหรือเปล่า” เสียงที่เด็กกว่าถาม ฉันคาดว่านั่นน่าจะเป็นยูออน

    “ใกล้เคียง” เสียงแรกตอบ “มันคือครีมพัฟ แต่ไม่ใช่แบบที่กินได้นะ”

    “พวงกุญแจ! พวงกุญแจครีมพัฟ!

    แม้ไม่เห็นภาพอะไรนอกจากท้องฟ้า ฉันก็พอเดาจากเสียงได้ว่ายูออนน้อยคงรับของขวัญไปถืออย่างตื่นเต้น

    “ฉันเห็นมันขายอยู่ที่ร้านครีมพัฟใกล้ๆ นี่ และคิดว่านายน่าจะชอบ ก็นายชอบครีมพัฟมากเหลือเกิน...โดยเฉพาะรสชาเขียว! ประโยคสุดท้ายนั้นกล่าวด้วยเสียงกึ่งแซว

    “ใช่แล้ว! แต่ยูออนน้อยก็ยังรับอย่างหน้าชื่น...ฉันว่านะ

    “ฉันได้ยินพวกเขาเรียกเจ้านี่ว่ามิสเตอร์พัฟฟี่” คนให้ของขวัญเล่าต่อ “นายคิดว่าไงล่ะ ชอบหรือเปล่า”

    “ผมชอบนะ”

    “ดีเลย”

    “แต่ผมอยากได้ครีมพัฟของจริงมากกว่า”

    “...”

    ความเงียบเข้ามากุมพื้นที่ระยะหนึ่ง ฉันนึกภาพคนให้ของขวัญคงกำลังเหงื่อตกเช่นเดียวกับฉัน

    “ผมล้อเล่นน่า” ยูออนน้อยบอก “ผมชอบมันจริงๆ ขอบคุณครับ พี่ชาย! ต่อไปนี้ เจ้านี่จะเป็นสมบัติของผม”

    ความทรงจำที่ฉันอ่านได้จบลงเพียงเท่านั้น

    ...

    เมื่อสติฉันกลับมาอยู่ที่ห้องเรียนอีกครั้ง ฉันก็นึกทบทวนสิ่งที่ได้รับรู้มา...

    อย่างนี้ก็หมายความว่า พี่ชายของยูออนเป็นคนให้พวงกุญแจนี่แก่เขา...

    ฉันจินตนาการภาพยูออนและพี่ชายของเขาในวัยเด็กแล้วอดยิ้มไม่ได้ ...เป็นเรื่องที่น่ารักดีจัง

    หลังจากนั้นฉันก็ลองใช้พลังอ่านวัตถุอื่นดู แต่ก็พบว่าไม่ไหว ฉันใช้พลังมากไปแล้ว ดูเหมือนว่าขีดจำกัดของฉันจะอยู่ที่หนึ่งวันต่อของหนึ่งอย่าง

    ฉันจะลองอ่านของอื่นพรุ่งนี้ แต่ก่อนหน้านั้นฉันควรไปรายงานความคืบหน้ากับยูออนเสียก่อน

    จริงสิ ต้องจัดการมอนิเตอร์นี่ด้วย ใบปลิวคงเก็บไว้กับตัวได้ แต่มอนิเตอร์นี่จะให้แบกไปคืนในตอนนี้ก็เริ่มขี้เกียจแล้ว ฉันจะเอาฝากไว้ที่ล็อกเกอร์ของห้องก่อนแล้วกัน อย่างไรมันก็เป็นล็อกเกอร์ส่วนรวมที่ไม่ค่อยมีคนใช้อยู่แล้ว คงไม่เป็นไรถ้าฉันจะยืมใช้เก็บของสักวัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันค่อยเอาไปคืน

    หลังจากจัดการซ่อนมอนิเตอร์ไว้เรียบร้อย ฉันก็ตรงไปหายูออนตามแผน

    “สำเร็จลงด้วยดี” เมื่อโผล่หน้าเข้าไปในออฟฟิศ ฉันก็ร้องประกาศอย่างยินดี

    “เป็นยังไงบ้าง” เจ้าของห้องถามเสียงเรียบ ไม่ตื่นเต้นตามไปด้วยเลย

    อย่างไรก็ตาม ฉันก็รายงานไปตามจริงว่า “ฉันอ่านวัตถุได้อย่างเดียวเท่านั้น คิดว่านั่นคงเป็นลิมิตของฉัน ฉันไม่สามารถอ่านได้มากไปกว่านี้ในวันเดียวกัน”

    “แล้วเธออ่านเจออะไรบ้าง” เขาถาม

    “ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่านายชอบครีมพัฟด้วย” ฉันว่า

    ยูออนดูมีสีหน้าอึ้งๆ กึ่งๆ ตกใจ

    “ธะ...เธอรู้ได้ไง” เขาพูดคำแรกตะกุกตะกัก

    ฉันหยิบพวงกุญแจขึ้นมาแกว่งให้เขาดูด้วยท่าทางที่เหมือนนักมายากลกำลังใช้นาฬิกาสะกดจิต

    “นี่พอบอกอะไรนายได้ไหม"

    “พวงกุญแจของฉัน!” เขารีบคว้ามันไปจากมือฉันทันที “เธอเอามันมาจากไหน”

    “พอดีเห็นมันตกอยู่ที่ห้องเรียนของฉันน่ะ ขอโทษด้วยที่ยืมมาใช้โดยไม่ขออนุญาตก่อน มันดูจะมีความทรงจำที่เข้มข้น ฉันเลย...”

    เห็นยูออนเริ่มหลับตาเหมือนกำลังข่มอารมณ์ ฉันก็หยุดพูด

    “เธอเห็นอะไรบ้าง” เขาถามเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ฟังเยือกเย็น

    “ก็ไม่มากนัก” ฉันบอกพลางยักไหล่เล็กน้อย “ฉันคิดว่านายมีพี่ชายที่ดีมากเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมนายต้องปิดเรื่องนี้ไว้ด้วย”

    “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะปิด...” ยูออนกล่าว “มันก็แค่... มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดของฉัน”

    สีหน้าของเขาสื่อความหมายตามคำพูด และนั่นก็ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าไปด้วย

    “...ฉันก็เคยเป็นอย่างนั้นเหมือนกันในอดีต ฉันกลัวที่จะพูดเกี่ยวกับแม่ การทำอย่างนั้นมันเจ็บปวดเกินไปสำหรับฉัน”

    ตอนแรกมันเริ่มต้นเช่นนั้น เป็นความเจ็บปวดของการที่ต้องสูญเสีย เจ็บทุกครั้งที่นึกถึงสิ่งที่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

    “แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่า ถึงแม้มันจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็มีช่วงเวลาดีๆ ตั้งมากมายที่ได้ใช้ร่วมกับแม่ แม่เป็นความภูมิใจของฉัน และความทรงจำของฉันเกี่ยวกับแม่ก็ถือเป็นสมบัติที่สำคัญ”

    ถึงจะเจ็บอย่างไรก็ยังรัก เพราะคิดว่ามันมีค่ามาก ดังนั้นแทนที่จะมองในแง่ร้ายแล้วถึงสิ่งที่สูญเสียไป ฉันจึงเปลี่ยนมองในแง่ดีแล้วรู้สึกขอบคุณที่ยังมีความทรงจำนั้นอยู่

    “มันอาจจะยากอยู่นะ แต่ฉันหวังว่านายจะรู้สึกแบบเดียวกันต่อพี่ชายของนายในสักวันหนึ่ง”

    หลังจากที่ฉันกล่าวจบ ยูออนก็ใช้เวลาตริตรองคำพูดของฉันครู่หนึ่ง แล้วค่อยบอกเบาๆ ว่า

    “...ฉันก็หวังอย่างนั้นเหมือนกัน”

    จากนั้นเขาก็กลับมาเป็นยูออนคนปรกติ พูดต่อว่า

    “ยังไงก็ตาม ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีปัญหากับการใช้พลังจิตอ่านวัตถุนะ”

    “ใช่ แต่ว่าฉันต้องยอมรับว่ามันยากกว่าที่ฉันคิดไว้ ขอเวลาให้ฉันต่ออีกหน่อยได้ไหม ฉันอยากฝึกให้คล่องกว่านี้ก่อน”

    “ได้สิ เธอใช้เวลาได้ตามต้องการ” เขาบอก

    พอได้คำอนุญาตจากยูออนแล้ว ฉันก็ตรงไปฝึกที่สวนเพกาซัสต่อเพื่อเพิ่มพูนพลังสำหรับใช้ในวันพรุ่งนี้

     

    วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน

    ฉันรอจนถึงเวลาหลังเลิกเรียน เมื่อคนอื่นออกจากห้องไปเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เอามอนิเตอร์ออกจากล็อกเกอร์มาวางบนโต๊ะ ตั้งใจว่าจะลองฝึกอ่านเจ้านี่ดู อย่างไรมันก็เป็นอะไรที่น่าสนใจมากกว่าใบปลิวมิราจ

    “เอาละนะ” ฉันให้สัญญาณเริ่มต้นกับตัวเอง ก่อนสูดหายใจเข้าลึกแล้วรวบรวมสมาธิ

    ...

    สิ่งที่ในตากึ่งหลับกึ่งตื่นของฉันเห็นก็คือภาพที่เคยปรากฏบนหน้าจอในนอดีต...

     

    ORZ Corporate Private Message Board

    (บอร์ดสนทนาส่วนบุคคลของ ORZ Corporate)

    เชื่อมต่อกับบอร์ดสนทนาส่วนบุคคลของ ORZ Corporate เรียบร้อย...

    OVER-9000 ออนไลน์เข้ามา --- 14 พฤศจิกายน, 18:01

    LOLICON ออนไลน์เข้ามา --- 14 พฤศจิกายน, 18:02

    OVER-9000:

    ได้ยินข่าวไหม

    เกิดอะไรขึ้นในสถาบันเซ็นกันแน่

    เหมือนมีข่าวร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    LOLICON:

    ไม่มีอะไรใหม่ คุณยังชอบทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมไม่เปลี่ยนเลยนะ OVER-9000

    OVER-9000:

    ฉันได้ยินว่ารัฐบาลไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

    เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังจะหมดความอดทน

    ใครก็ตามที่รับผิดชอบเรื่องนี้จะต้องทำอะไรบ้างหรือไม่อย่างนั้นสถาบันเซ็นอาจจะอยู่ต่อไปไม่ได้ถ้ายังเป็นแบบนี้

    LOLICON:

    ตอนนี้ผู้นำก็เป็นแค่เด็กเท่านั้น คุณคาดหวังอะไรจากเขาไม่ได้อยู่แล้ว

    OVER-9000:

    ฉันไม่ได้หมายถึงลูกชายผู้อำนวยการคนก่อน

    คุณก็รู้ว่าฉันหมายถึงใครไม่ใช่หรือ

    LOLICON:

    ไม่ค่อยแน่ใจนัก

    ANONYMOUS ออนไลน์เข้ามา --- 14 พฤศจิกายน, 18:05

    ANONYMOUS:

    เฮ่! พวกคุณได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นไหม

    OVER-9000:

    เรากำลังคุยกันเรื่องนี้อยู่พอดี

    ฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กนักเรียน

    ใครจะรู้ว่าใครจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไป

    LOLICON:

    ความกังวลของคุณค่อนข้างแปลกอยู่นะ ฉันว่า

    ฉันไม่ยักรู้ว่ารัฐบาลจะสนใจความปลอดภัยของพลเมืองด้วย

    ANONYMOUS:

    เฮ่! LOLICON! คุณกำลังบอกว่า OVER-9000 ทำงานให้รัฐบาลอย่างนั้นหรือ

    LOLICON:

    ฉันบอกหรือ?

    ฉันรู้จัก OVER-9000 มานานแล้ว หรืออย่างน้อยฉันก็คิดอย่างนั้น

    ANONYMOUS:

    คุณต้องการจะบอกอะไร

    OVER-9000:

    ฉันไม่ชอบที่พวกคุณพูดถึงฉันกันแบบนั้น

    ANONYMOUS:

    โอ้! ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง พอดีว่าฉันเป็นพวกชอบอยากรู้อยากเห็นมากไปหน่อย

    อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเราล้วนเกี่ยวข้องกับ ORZ Corporate หรือไม่อย่างนั้นเราคงไม่สามารถเข้ามาที่บอร์ดสนทนาส่วนบุคคลนี้ได้

    LOLICON:

    คุณแน่ใจ?

    OVER-9000:

    คุณพยายามจะบอกอะไร

    LOLICON:

    คุณก็รู้ดีอยู่แล้วถึงสิ่งที่ฉันหมายถึง

     ANONYMOUS:

    ทั้งหมดที่ฉันรู้ก็คือ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน

     LOLICON:

    คุณแน่ใจนะ

    คุณเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุดในกลุ่มพวกเขา อย่างไรคุณก็เป็นนิรนาม*

    ANONYMOUS:

    มุกใช้ได้นี่ LOLICON

    LOLICON:

    ^___^

     

    ...

    ฉันอ่านได้เพียงเท่านั้น และก็ยังไม่แน่ใจนักว่าฉันเข้าใจทั้งหมดที่เห็นหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันรู้ก็คือพวกเขากำลังคุยกันถึงสถาบันเซ็นและ ORZ Corporate อยู่แน่ๆ

    วันที่ที่ลงไว้คือวันที่ 14 พฤศจิกายน นั่นคือเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง

    ฉันมีความรู้สึกไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าใดนัก

    อย่างไรก็ตาม ฉันลองใช้พลังอ่านใบปลิวดูบ้าง เผื่อวันนี้ฉันอาจพอมีพลังเหลืออยู่ ทว่าก็ไม่สำเร็จเช่นเดิม ฉันจึงได้แต่ทำใจแล้วไปรายงานยูออน

    เมื่อบุกมาถึงที่ห้องของเขาแล้ว ฉันก็ไม่เสียเวลาทักทาย รีบมุ่งเข้าประเด็นทันที

    “ยูออน! ฉันพยายามอ่านของอีกอย่างในวันนี้”

    “พบอะไรบ้างไหม” เขาถาม

    “ฉันอ่านมอนิเตอร์ของคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งจากห้องคอม แล้วฉันก็พบบทสนทนาที่ไม่ค่อยปรกตินักในบอร์ดสนทนาแห่งหนึ่ง”

    “บทสนทนาแบบไหน” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วสงสย

    “มีคนสามคนคุยกันเกี่ยวกับสถาบันเซ็นและ ORZ Corporate พวกเขาล้วนใช้นามแฝง ฉันเลยไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร” ฉันรายงาน “พวกเขาโต้เถียงกันไปมาเรื่องตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคน ทั้งๆ ที่ความจริงมีแต่คนที่ทำงานให้ ORZ Corporate สามารถเข้ามาใช้บอร์ดสนทนานี้ได้”

    พูดถึงตรงนี้ฉันก็นึกขึ้นได้

    “อ้อ แล้วก็มีอีกสิ่งที่ทำให้ฉันไม่สบายใจ... พวกเขาบอกว่าสถาบันเซ็นอาจจะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้นานนัก”

    ฉันสังเกตเห็นสีหน้าคล้ายตกใจของยูออนปรากฎขึ้นแวบหนึ่ง แต่เขาก็รีบปิดบังมันทันที

    “นายเข้าใจไหมว่ามีอะไรเกิดขึ้นอยู่” ฉันซัก

    “เป็นความจริงที่ว่าโรงเรียนนี้กำลังประสบกับปัญหามากมายตั้งแต่การตายของซิด เคราะห์ซ้ำที่การตายของมิสอาเซียมีแต่ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม” เด็กหนุ่มบอก “นักเรียนหลายคนต้องการทำเรื่องขอย้าย และผู้ปกครองบางคนก็ร้องเรียนเรื่องการขาดความปลอดภัยของโรงเรียน”

    ถึงเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเรียบเฉย แต่ฉันก็เดาได้เลยว่ายูออนต้องแบกรับปัญหาหนักมากจากเรื่องนี้

    “เพื่อทำให้เรื่องยิ่งแย่ลงไปอีก ฉันเพิ่งได้หมายแจ้งจากรัฐบาลว่าพวกเขากำลังพิจารณาเรื่องการปิดโรงเรียน พวกเขาเชื่อว่ามันมากเกินไปสำหรับฉัน...เด็กอายุสิบห้าปีคนหนึ่งที่จะดูแลโรงเรียนใหญ่ขนาดนี้”

    “...ฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อนเลย”

    “บางทีมันอาจจะต่างออกไปถ้าลอยล์อยู่ที่นี่ด้วย ความสัมพันธ์ของเขากับ ORZ Corporate อาจช่วยกู้สถานการณ์ได้ อย่างไรก็ตาม ฉันเชื่อว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของรัฐบาลน่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า”

    “นายหมายความว่าไง”

    “ฉันคาดว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาน่าจะต้องการบีบให้ลอยล์ออกมาจากที่ซ่อนมากกว่า”

    ฉันตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน

    “ถ้าหากว่าการคาดการณ์ของฉันถูกต้อง ลอยล์น่าจะยังมีชีวิตอยู่” ยูออนกล่าว “เขาแค่กำลังหลบหนีจากฆาตกรที่ฆ่าซิดและมิสอาเซีย”

    “...” ฉันปิดปากนิ่งสนิท

    การคาดการณ์ของยูออนน่าจะใช้การได้ ลอยล์ยังมีชีวิตอยู่จริง ฉันเห็นเขาเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ฉันไม่คิดว่าเขากำลังหลบหนีฆาตกรอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาจะกลับมาทำอะไรที่ห้องแล็บวิทยาศาสตร์ มาหาหลักฐานอย่างนั้นหรือ

    ฉันไม่แน่ใจว่าฉันควรจะบอกเรื่องนี้ให้ยูออนรู้ไหม ถ้าบอกออกไปฉันอาจทำให้เราสองคนตกอยู่ในอันตราย...

    “ยังไงก็ตาม เธอทำได้ดีแล้ว” ยูออนเอ่ย

    “อื้ม” ฉันกลับมาจดจ่อกับสถานการณ์ตรงหน้า “ฉันว่าฉันพร้อมที่จะอ่านแว่นตาของมิสอาเซียแล้วพรุ่งนี้”

    “เยี่ยมเลย ฉันจะรอเจอเธอพรุ่งนี้นะ”

    จากนั้นฉันบอกเขาว่าขอตัวกลับก่อน แต่แทนที่จะมุ่งหน้ากลับบ้านหรือแวะไปที่สวนเพกาซัสเพื่อฝึกการใช้พลัง ฉันก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เอามอนิเตอร์ไปเก็บคืนที่เลย ดังนั้นจึงต้องย้อนกลับไปที่ห้องเรียนแล้วแวะไปห้องคอมต่อจากนั้น

    ตอนนี้ก็ถือว่าเย็นมากแล้วที่ห้องคอมจึงไร้ผู้คน น่าดีใจที่สามารถแบกจอไปต่อคืนได้โดยไม่เป็นที่สังเกต

    “เอาละ เท่านี้ก็เรียบร้อย” ฉันบอกกับตัวเองหลังเสร็จงานพลางปัดมือทำความสะอาดเล็กน้อย

    “เฮ่!” เสียงร้องทักที่ด้านหลังทำให้ฉันสะดุ้ง

    “อะ...อาน่อน!

    ฉันเรียกชื่อคนทักพร้อมระบายลมออกจากปากอย่างโล่งใจ หวังว่าเขาคงไม่ได้เห็นว่าฉันกำลังทำอะไรก่อนหน้านี้นะ

    “ฉันไม่เห็นเธอมานานแล้ว เธอคงคิดถึงฉันมากเลยถึงมาหาฉันที่นี่ใช่ไหม” อาน่อนฉีกยิ้มให้ฉัน

    “ยะ...อย่าเข้าใจผิดไป ฉันไม่ได้มาที่นี่เพราะว่าฉันคิดถึงนายหรืออะไรงี่เง่าแบบนั้นสักหน่อย” ฉันรีบเถียง

    “งั้นเธอมาที่นี่ทำไมล่ะ” ยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่งแล้วถาม

    “อะ...เอ่อ... ฉันมาที่นี่เพราะ...”

    “เพราะ...?” เขายื่นหน้ามาพลางย่อตัวลงให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับฉัน

    “พะ...เพราะ...”

    เกิดอะไรขึ้นนี่ ฉันตอบคำถามเขาตรงๆ ไม่ได้ แล้วก็คิดหาคำแก้ตัวอื่นไม่ออกด้วย

    รู้สึกเหมือนหัวสมองปั่นป่วนไปหมดจนคิดอะไรไม่ออกแล้ว

    “เธอน่ารักมากนะ...รู้ตัวหรือเปล่า” เขาบอกด้วยเสียงอ่อนโยน

    “...ฉะ...ฉันไปละ”

    ในเมื่อพูดไม่ได้ก็ยังเดินหนีได้

    “เดี๋ยว!” อาน่อนคว้าไหล่ฉันไว้ แล้วค่อยๆ ดึงฉันให้หันหน้ามาคุยกับเขา “เราไม่ได้เจอกันมานาน เราน่าจะลองหาอะไรทำเป็นการชดเชยนะ”

    “นายหมายความว่าไง” ไม่ได้เจอกันนานอะไร ฉันเพิ่งเจอเขาไปเมื่อวันจันทร์นี่เอง

    “ก็เห็นได้ชัดไม่ใช่เหรอ ฉันกำลังขอเธอออกเดตไง!

    หา...?

    “ไม่มีทาง! ใครกันอยากจะไปเดตกับนาย” แทบไม่ต้องคิดฉันก็ปฏิเสธในทันที

    “น่านะ แค่วันเสาร์นี้เอง”

    เด็กหนุ่มทำท่าขอร้องสุดตัว จนฉันสงสัยว่าเขาจะมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงหรือเปล่า ดูเหมือนเขาไม่ตั้งใจจะแกล้งชวนฉันเล่นๆ

    “ทำไมต้องเป็นวันเสาร์นี้ด้วย” ฉันเค้น

    “มันเป็นความลับ” บอกพลางทำท่ารูดซิปปากประกอบ “ฉันจะมาเจอเธอที่ใกล้ๆ ร้านนายบักส์ ตอนบ่ายสามตกลงไหม”

    ความลับอย่างนั้นหรือ จะใช่ข้อมูลอะไรที่เกี่ยวกับเรื่องที่ฉันกำลังสืบอยู่หรือเปล่า หรือว่าเขาจะบังเอิญไปเจออะไรเข้า จะว่าไปมอนิเตอร์ที่ฉันเอามาลองอ่านก็เป็นของเครื่องที่เขามักใช้ประจำด้วยนี่นา บางทีเขาอาจรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้

    แต่ว่าวันเสาร์นี้...

    “กะ...ก็ได้” ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจรับปาก “แต่มันเป็นเพราะนายขอร้องขนาดนั้นหรอกนะ ฉันถึงยอม อย่าได้เข้าใจผิดไปละ”

    เด็กหนุ่มเพียงหัวเราะเบาๆ แล้วก็ยอมปล่อยตัวฉันไปหลังจากนั้น

    พอออกจากห้องคอมมาแล้ว ฉันก็พบว่าสมองของฉันปลอดโปร่งมากขึ้น กลับมาทำงานได้เป็นปรกติไม่ติดขัดแล้ว

    ว่าแต่ว่าที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้มันคืออะไรกันล่ะ เป็นเพราะอาน่อนอย่างนั้นหรือ

    มันต้องเป็นเพราะใบหน้าตลกๆ ของเขาแน่ใช่! ไม่มีอะไรมากกว่าไปนั้น

    ฉันบอกตัวเองเช่นนั้น แล้วเดินทางไปซ้อมต่อ

     

     



    * Anonymous แปลได้ว่า นิรนาม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×