ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 แม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค - "จำข้าได้ไหม"

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.9K
      12
      19 ต.ค. 53

    บทที่ 2 แม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค

    “จำข้าได้ไหม”

     

                ยามสายของวันเดียวกันที่วิลเลียมกลับมาถึงลูซแวร์ ชายหนุ่มก็แวะมาเอากระเป๋าและสัมภาระที่ฝากไว้ที่ร้านของท่านป้ามาร์กาเรต แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะเปลี่ยนชุดกลับ และขอบคุณท่านลุงและท่านป้าอีกหลายคำ ก่อนจะขอกุญแจบ้านเก่าที่เคยฝากไว้เมื่อนานมาแล้วกลับไป

                พอมาร์กาเรตหากุญแจเจอก็ทำท่าเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่เอาเข้าจริงกลับบอกออกมาไม่ถูก

                “ข้าเหมือนจะจำได้ว่ามีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องบอกเจ้า วิลเลียม มันติดอยู่ที่ปลายลิ้นนี่แหละ” นางทำท่าครุ่นคิดหนัก

                “ไว้ข้าจะมาถามท่านป้าในตอนเย็นอีกครั้งละกัน” วิลเลียมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญถึงขั้นคอขาดบาดตาย ถึงอย่างไรเขาก็พร้อมเผชิญกับทุกอย่างเสมออยู่แล้ว

                “เย็นนี้อย่างลืมแวะมาชมการแสดงของข้าที่ร้านด้วยนะ ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่อยากคุยกับเจ้า” โรซาลินด์กำชับย้ำเตือน

                “ข้าไม่พลาดอยู่แล้ว” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ ถ้าเป็นบุรุษทั่วไปเมื่อได้รับคำเชิญจากโรซาลินด์เช่นนี้อาจดีใจจนตัวลอย แต่เขามีน้ำหนักของภาระมากมายถ่วงเอาไว้จนจึงได้แต่ยิ้มให้นาง

                วิลเลียมสะพายกระเป๋าแล้วเดินออกจากบาร์ของมาร์กาเรตไป

     

                บ้านหลังที่สิบเอ็ดทางซ้ายมือนับจากปากซอย...

                วิลเลียมจำที่ตั้งและลักษณะของบ้านที่เขาเคยอาศัยอยู่กับท่านแม่มาเรียได้ดี บางทีอาจเป็นเพราะที่นี่เป็นที่แห่งเดียวที่เขาเรียกได้เต็มปากว่า บ้าน

                ดีใจเหลือเกินที่ยังไม่ได้ขายที่นี่ทิ้งหรือเปิดให้ใครเช่าต่อ

                อันที่จริงลักษณะภายนอกของสถานที่ที่เขาเรียกว่า บ้าน ก็ใช่จะเหมือนเรือนที่แยกออกเป็นหลังๆ และมีอาณาบริเวณโดยรอบเล็กน้อยอย่างบ้านที่พวกเศรษฐีอาศัยอยู่กัน หากจะกล่าวให้ถูกก็ต้องบอกว่านี่เป็นห้องแถวที่ปลูกติดๆ กัน ไม่มีพื้นที่สำหรับทำสวน ปลูกรั้ว หรืออะไรอย่างนั้นหรอก เพียงแต่ห้องแถวในเขตนี้ก็พอมีระดับดีหน่อย อย่างน้อยพื้นที่ด้านในก็กว้างขวาง มีห้องนอน ห้องน้ำ และห้องครัวแยกออกไปจากห้องรับแขกซึ่งเป็นห้องที่เมื่อเปิดประตูหน้าเข้าไปก็จะเจอทันที

                ชายหนุ่มไขประตูเปิดเข้าไป คาดหวังว่าจะได้พบกับพื้นที่ฝุ่นจับ หยากไย่เต็มเพดาน กลิ่นอับชื้น และบางทีอาจมีเชื้อรา เห็ด หรือตะไคร่ขึ้นตรงจุดที่มีน้ำฝนรั่วซึม ตามสภาพของสิ่งปลูกสร้างที่ย่อมเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาหากไม่ได้รับการดูแลรักษา แต่สิ่งที่ปรากฏแก่สายตากลับเป็นพื้นห้องปูพรมสะอาดเรียบร้อย กระจกหน้าต่างมีผ้าม่านผืนบางแขวนไว้อยู่ ผนังห้องและเพดานดูใหม่ราวกับเพิ่งทาสีเสร็จเมื่อไม่นานนี้ ยังมีแจกันดอกไม้สดวางอยู่บนโต๊ะอาหาร และกลิ่นควันหอมฉุยกับเสียงร้องเพลงมาจากทางประตูห้องครัวอีก...

                ปัง!

                บังเกิดเสียงดังขึ้นเมื่อวิลเลียมรีบงับประตูบ้านปิด ชายหนุ่มหันกลับไปมองที่ต้นซอย แล้วนับจำนวนหลังคาบ้านใหม่ว่าใช่บ้านหลังที่สิบเอ็ดของเขาหรือไม่ แต่พอได้สติอีกที ถ้าหากที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขาแล้วกุญแจในมือจะไขประตูเปิดได้อย่างไร หรือว่าที่ท่านป้าลืมบอกไปก็คือ ท่านป้าเปิดให้คนเช่าบ้านของเขาไปแล้ว

                “ผู้ใดกัน” เสียงต่ำส่อแววดุดังขึ้น คาดว่าคงเป็นคนในบ้านที่ได้ยินเสียงเขากระแทกประตูปิด แต่เสียงร้องเพลงที่เขายินได้มาจากในครัวนั้นแหลมสูงมากเลยนี่นา สงสัยจะเป็นคนละคน

                “ข้าจำบ้านผิดไปหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอกท่าน” วิลเลียมตั้งท่าจะจากไปถามท่านป้ามาร์กาเรตให้แน่ใจเสียก่อนแล้วค่อยย้อนกลับมาใหม่

                หากทว่ายังไม่ทันจะย่างเท้าออกไปสักก้าวเดียว ประตูบ้านหลังที่สิบเอ็ดทางฝั่งซ้ายก็ถูกดึงเปิดเข้าไปก่อน พร้อมชายศีรษะล้านสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวลายดอกและตะหลิวในมือยืนจังก้าอยู่หลังธรณีประตู

                “นั่นเป็นเสียงท่านวิลเลียม เป็นท่านวิลเลียมใช่ไหม” ชายผู้นั้นพูด พอเห็นหน้าวิลเลียมชัดเจนก็กระโจนมาเกาะขาเขาโดยกะหันทัน

                “ฮือๆ ข้าดีใจจริงๆ ที่ท่านกลับมาแล้ว” ชายรูปร่างหนาตัวสูงใหญ่ผิวคล้ำไว้หนวดสีดำดกนั้นน้ำตาไหลพรากๆ และกำลังใช้ขากางเกงของวิลเลียมต่างผ้าเช็ดหน้าอยู่

                วิลเลียมรู้สึกขยะแขยงและสะอิดสะเอียนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

                “เจ้าเป็นใคร” เขาเตะเท้า สะบัดอีกฝ่ายออกไปไกลตัว ความรู้สึกขยะแขยงและสะอิดสะเอียนที่ว่าทำให้เขามีพลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ

                “ข้าไง ท่านวิลเลียม ข้าไฮเดนไง” ละล่ำละลักตอบพลางใช้ตะหลิวชี้หน้าตนเอง ขณะยังคงนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่กับพื้นถนน

                “ไฮเดน?” ชื่อนี้ฟังดูไม่คุ้นหูเขาเลย

                “ไฮเดน มือมีดที่ท่านช่วยชีวิตไว้จากพวกโจรสลัดไง” ชายชื่อไฮเดนเสริม

                “หืม...” วิลเลียมพยายามระลึกความทรงจำ

                “ข้าติดค้างหนี้บุญคุณท่านและรบเร้าจะติดตามท่านเดินทางไปด้วย แต่ท่านบอกว่าอยากเดินทางลำพังอีกสักพัก จึงปฏิเสธข้า แต่ข้าไม่ยอมเลิกรา ยังคงติดตามท่านต่อไป ท่านบังเกิดความรำคาญจึงออกคำสั่งแก่ข้าว่า ให้กลับมารอท่านที่บ้านเกิด ที่ลูซแวร์นี่ แล้วอีกระยะท่านจะตามมาทีหลัง” เขาเล่าฉอดๆ เป็นฉาก

                “อ้อ...”

                ภาพความทรงจำขณะที่ไปติดอยู่บนเรือโจรสลัดแถบทะเลเหนือย้อนกลับมาในมโนความคิด เหตุการณ์ในตอนนั้นสับสนวุ่นวายยิ่งนัก เขาเคยชวนมือมีดที่ดูจะเป็นคนดีที่สุดในหมู่พวกโจรสลัดออกมาจริง จำได้แล้วว่าคนผู้นั้นชื่อ ไฮเดน เป็นคนที่กตัญญูสำนึกรู้คุณอย่างสุดๆ จนน่ารำคาญ สุดท้ายด้วยความที่อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปเขาจึงออกคำสั่งส่งๆ ให้อีกฝ่ายมารอเขาอยู่ที่ลูซแวร์ นครหลวงที่ในตอนนั้นเขาไม่คิดจะมาเยือนอีกครั้ง นึกไม่ถึงว่า ไฮเดนนี่จะบ้าจี้ทำตามจริงๆ เช่นนี้ขนาดผ่านมาเป็นเวลาครึ่งปีก็ยังอยู่หรือนี่

                “แล้วเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” วิลเลียมถามต่อ ก่อนพูดเสริมอีกนิดให้ดูไม่น่าเกลียดที่ลืมเรื่องนี้ไปนักว่า “พอดีที่ผ่านมาข้ามีเรื่องต้องทำหลายเรื่อง ชักลืมเลือนคำสั่งที่บอกกับเจ้าในตอนนั้นแล้ว”

                ไฮเดนผงกศีรษะเข้าใจก่อนเล่าว่า

                “ตอนนั้น ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะมาพบข้าในภายหลังจริงๆ จึงขอให้ท่านให้หลักฐานยืนยัน แล้วท่านก็ให้กุญแจที่พักแห่งนี้บอกว่าเป็นบ้านเก่าของท่าน แล้วถ้าหากต้องการความช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมก็ให้ติดตามถามจากที่บาร์ของมาร์กาเรตได้ ท่านบอกว่า ถ้าบอกว่าท่านส่งมา คนที่นั่นก็จะเข้าใจ และก็เป็นอย่างที่ท่านว่าจริงๆ”

                คราวนี้วิลเลียมจำได้จริงๆ แล้ว เขานึกว่าเผลอทำกุญแจบ้านที่พกติดตัวไว้ตกหล่นหายที่ไหนเสียอีก ที่แท้เขาก็ให้ไฮเดนมาแล้วนี่เอง ดีที่ยังมีกุญแจสำรองอีกดอกฝากกับท่านป้ามาร์กาเรตไว้อยู่ เลยวางใจ แต่การที่เขาลืมเลือนเรื่องนี้ไป แสดงว่าคงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

                เรื่องนี้คงเป็นอะไรที่ติดอยู่ที่ปลายลิ้นที่ท่านป้ามาร์กาเรตพยายามจะบอก

                ...อย่างนั้นท่านป้ามาร์กาเรตคงรู้เรื่องไฮเดนแล้ว แต่ลืมไปสินะ...

                “แล้วหลังจากมาถึงที่นี่แล้ว เจ้าทำอะไรบ้างล่ะ” วิลเลียมยังไม่สุดสิ้นกระบวนการซักถาม

                “ข้าไม่มีที่พักจึงอาศัยอยู่บ้านท่านวิลเลียมไปก่อน ระหว่างที่อยู่ข้าก็ช่วยดูแลเฝ้าบ้านท่านให้เป็นอย่างดี”

                “ข้าเห็นแล้วล่ะ” เรื่องนี้เขาต้องยอมรับ ดูจากสภาพแล้วก็น่าอยู่จริงๆ ทว่ายังมีอีกเรื่องที่เขาสงสัย “ว่าแต่เจ้าทำงานอะไรล่ะ”

                ...หวังว่าคงไม่ได้ติดนิสัยโจรมาที่ลูซแวร์หรอกนะ...

                “งานข้าก็มีแต่ดูแลที่นี่ให้ดี ข้าไม่ได้ออกไปรับงานอย่างอื่นหรอก”

                “แล้วเรื่องเงิน...” วิลเลียมรู้ซึ้งดีว่าค่าครองชีพที่ลูซแวร์นี้หาใช่ถูกๆ ที่นี่เป็นถึงเมืองหลวงของดาเรเนีย ดังนั้นอย่าว่าแต่จะดูแลปรับปรุงบ้านเลย แค่ค่าอาหารมื้อหนึ่งยังแพงกว่าเมืองอื่นถึงสองเท่า ถ้าไม่ทำงานหาเงินมาใช้แล้วจะเสกเอาจากที่ไหนได้เล่า

                “เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าเป็นใช้เงินที่ท่านส่งมาให้แต่ละสัปดาห์อย่างคุ้มค่า แล้วก็ช่วยดูแลบ้านท่านให้ตามคำสั่งที่ท่านย้ำมา เงินส่วนที่เหลือข้าก็ยังเก็บไว้รอคืนให้ท่านด้วย”

                ฟังถึงตรงนี้แล้ววิลเลียมชักรู้สึกว่ามันมีอะไรทะแม่งๆ เหมือนไฮเดนจะเข้าใจอะไรผิดไป เขาไม่เคยส่งเงินกลับมาที่บ้านเลย ไม่เคยเลยสักครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ยังเล่นตามน้ำต่อไป

                “สายของข้าส่งเงินมาให้เจ้าทางไหนหรือ”

                “ทุกเช้าวันจันทร์เมื่อข้าตื่นขึ้นมาจะเห็นถุงเงินวางอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่างทุกครั้ง”

                “แล้วที่เจ้ากล่าวถึงคำสั่งย้ำของข้าล่ะ”

                “ในครั้งแรกมีกระดาษคำสั่งบอกให้ข้าเอาเงินนี้มาใช้ดูแลบ้านท่านให้ดี ทั้งยังบอกว่าข้ามีสิทธิ์ได้เงินส่วนหนึ่งเป็นค่าจ้างไว้หาซื้อเสื้อผ้าและอาหารกินเองอีกด้วย”

                “ดี แสดงว่าสายของข้าทำงานไม่ผิดพลาด” วิลเลียมเออออไปตามสถานการณ์ “แล้วเจ้าได้เงินแต่ละสัปดาห์เป็นจำนวนเท่าไหร่ล่ะ”

                “ข้าได้มาสิบสองเหรียญทองทุกสัปดาห์ ไม่ขาดไม่เกิน สองเหรียญทองเป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของข้า ส่วนที่เหลือเป็นเงินสำหรับดูแลบ้าน ซึ่งในสัปดาห์หลังๆ ข้าไม่ได้ปรับปรุงอะไรเพิ่มเติม จึงเก็บไว้เฉยๆ ไม่ได้นำออกมาใช้”

                “อย่างนั้นหรือ อืม... ซื่อสัตย์ใช้ได้ ไม่มีใครยักยอกเงินข้าไป ยอดเยี่ยมจริงๆ”

                เบื้องนอกนั้นทุกคนที่มองมาจะเห็นวิลเลียมคลี่ยิ้มอย่างสุขใจ แต่ภายในชายหนุ่มกำลังตั้งคำถามกับตัวเองว่า มันเงินใครกันที่ส่งมาให้เขาทุกสัปดาห์ เงินสิบทองเหรียญทองนี่ก็ไม่ใช่น้อยๆ ถือเป็นค่าแรงรายเดือนขั้นต่ำของขุนนางได้เลย ไฮเดนได้เงินไปสองเหรียญทองนั่นก็พอเหลือเกินเหลือใช้ในหนึ่งสัปดาห์แล้ว

                ไม่ใช่ท่านลุงโจนาธานหรือท่านป้ามาร์กาเรตแน่ๆ สองคนนั่นไม่มีทางทำอะไรที่ซับซ้อนหรือเป็นการขาดทุนโดยใช่เหตุเช่นนี้

                ผู้ต้องสงสัยที่เหลือจึงมีเพียง...

                ...ท่านพ่อ...

                เจ้าชายอาเธอร์ในเมื่อสามารถส่งคนออกติดตามสืบเรื่องของตนได้ก็ย่อมทราบเรื่องของไฮเดนด้วยแน่นอน คนมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายและเสด็จพี่ของพระราชา และมีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพไม่มีทางขัดสนเรื่องเงินทองอยู่แล้ว การจะเจียดเงินเล็กน้อยแค่นี้มาให้ไฮเดนช่วยดูแลบ้านเก่าของเขาและท่านแม่จึงไม่น่าจะเป็นปัญหาแต่อย่างใด การกระทำเช่นนี้ยังเป็นการป้องกันไฮเดนไม่ให้ออกไปก่ออาชญากรรมในเมืองอีกด้วย

                ถึงในด้านอื่นจะไม่เคยช่วยเหลือ แต่ในด้านกำลังทรัพย์นี่เจ้าชายอาเธอร์ก็ไม่เคยปฏิเสธ แม้ในบางครั้งจะมาผิดเวลาไปหน่อยก็ตาม...

                วิลเลียมกำลังนึกถึงเงินทุนการศึกษาถุงใหญ่ที่เขาได้มาอย่างลึกลับหลังจากข่าวลือแพร่สะพัดไปแล้ว...

                “เอ่อ... ท่านวิลเลียม กำลังคิดอะไรอยู่หรือขอรับ” ไฮเดนเอ่ยถามหลังจากเห็นผู้เป็นนายกระหยิ่มยิ้มย่องพร้อมเปล่งรังสีประหลาดออกมาจากตัว

                “อ้อ ไม่มีอะไร ข้ากำลังคิดว่าจะตบรางวัลอย่างไรลูกน้องที่น่าเชื่อถือทั้งหลายเหล่านี้อย่างไรดี”

                ...ข้ากำลังคิดว่า หาจะเงินตั้งมากมายไปใช้คืนท่านพ่ออย่างไรดี...

                ควรรู้อย่างหนึ่งว่าวิลเลียมผู้นี้เป็นคนที่ต้องหัดพึ่งพาตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเติบใหญ่ขึ้นก็ติดอุปนิสัยพึ่งพาตนเองนี้มา ดังนั้นเรื่องสำคัญทั้งหลายเขาก็มักจะคิดอยู่แต่ในใจ ถึงแม้จะประสบปัญหาก็มักพยายามแก้ไขจัดการด้วยตนเองก่อน หากอับจนสิ้นหนทางจริงๆ แล้วจึงค่อยยอมบากหน้าหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

                บุคลิกพิเศษอีกประการของชายหนุ่มคือเป็นคนยิ้มง่าย ไม่ว่าจะคิดอะไรอยู่ในใจก็มีรอยยิ้มเป็นหน้ากากกันบัง ปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้เสมอ กว่าจะมีคนศึกษาจนรู้จริงว่ารอยยิ้มไหนของเขาคือยิ้มจริง หรือยิ้มแบบไหนแสดงอารมณ์ความรู้สึกอย่างไรก็ต้องใช้เวลาคบหากันนาน ไฮเดนผู้นับถือวิลเลียมอย่างหมดใจแต่เพิ่งรู้จักได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น แม้จะรู้สึกว่ารอยยิ้มของอีกฝ่ายแปลกๆ อยู่บ้าง ก็ยังบอกไม่ถูกว่าแปลกอย่างไร

                ...ได้กลิ่นเหมือนอะไรบางอย่างกำลังไหม้

                “ตายแล้ว! ข้าทอดปลาไว้ ยังไม่ได้เอาลงจากเตาเลย!” ไฮเดนร้อง แล้วรีบผุดลุกขึ้นแล้ววิ่งถือตะหลิวเข้าครัวไป

     

                หลังจากนั้นวิลเลียมก็แบ่งกันกินปลาย่างที่ไหม้เกรียมไปด้านหนึ่งกับไฮเดน ชายมือมีดขอขมาในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นด้วยการรับผิดชอบครึ่งที่ไหม้เอง แต่วิลเลียมก็ยังเห็นใจเลยแบ่งส่วนที่พอกินได้ของตนให้บ้าง ไฮเดนรับไปกินอย่างซึ้งใจ

                “เดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะแสดงฝีมือทำอาหารมื้อใหญ่เพื่อต้อนรับท่านวิลเลียมกลับมาบ้านนะขอรับ” ไฮเดนเสนอขอแก้มือ

                “ไม่ต้องหรอก คืนนี้ข้ามีนัดแล้ว” วิลเลียมโบกมืดปัด เขาได้รับเชิญจากโรซาลินด์ให้ไปชมการแสดงที่ร้าน จึงคิดจะไปหาอะไรกินที่นั่นเลย “เจ้าก็ทำอะไรกินตามใจเจ้าละกัน”

                “ขอรับ” ไฮเดนรับคำ “แล้วมีอะไรจะสั่งอีกไหมขอรับ”

                วิลเลียมใช้ส้อมจิ้มเนื้อปลาเข้าปาก ครุ่นคิดสักพัก จึงกล่าว

                “ก็เหมือนเดิม ดูแลบ้านให้ดีๆ”

                เขาไม่รู้จะหาอะไรให้คนผู้นี้ทำเพิ่มเติมอีก แค่มีคนมาช่วยเฝ้าบ้านและดูแลคอยทำความสะอาดให้ก็ดีกว่าที่เคยวางแผนเอาไว้ตั้งหลายเท่าแล้ว

                หากครั้นพอเห็นแววตามองอย่างวิงวอนคาดหวังของชายศีรษะล้าน วิลเลียมก็จำต้องกล่าวเสริมขึ้นว่า

                “ช่วยเอากระเป๋าข้าไปจัดหน่อยด้วยละกัน พวกเสื้อผ้าก็เอาไว้ซักรีดให้เรียบร้อย ขัดรองเท้าและจัดที่นอนข้าไว้ แล้วก็...”

                “อะไรอีกหรือขอรับ” ไฮเดนกะพริบตาวิ้งๆ ประหนึ่งว่าการที่วิลเลียมประทานงานบ้านทั้งหลายให้เขาทำเป็นความสุขที่เขาปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง

                “แล้วต่อไปก็ทำท่าทางให้สมเป็นชายชาตรีหน่อย ก่อนหน้านี้เจ้าคือไฮเดน มือมีดผู้เหี้ยมโหดไม่ใช่หรือ”

                “แหะๆ” ชายผิวคล้ำหัวเราะแห้งๆ “พอดีว่าเมื่อก่อนข้าเคยช่วยแม่ทำงานบ้านบ่อยๆ น่ะขอรับ พอได้มาทำงานรับใช้ท่านวิลเลียมแล้วก็รู้สึกงานบ้านเป็นงานที่เหมาะกับข้าขึ้นมา ทำแล้วสนุกดีทีเดียว”

                “อย่างนั้นรึ แล้วแม่เจ้าล่ะ” บางทีเขาอาจจะไล่ให้ไฮเดนให้กลับไปช่วยงานแม่ได้

                “เสียไปแล้ว ตั้งแต่นั้นข้าก็กลายเป็นมือมีดของกองโจรสลัด”

                “ข้าขอโทษด้วยที่ถาม” แผนเป็นอันตกไป

                “ไม่เป็นไรขอรับ”

                “แล้วผ้ากันเปื้อนนั่นล่ะ” วิลเลียมชำเลืองมองผ้ากันเปื้อนลายดอกที่อีกฝ่ายเหมือนจะลืมถอดออกไป

                “ท่านมาร์กาเร็ตให้ยืมมา”

                ...มิน่าล่ะ ถึงว่าคุ้นๆ อยู่ ที่แท้เคยเป็นของท่านป้ามาร์กาเรตนี่เอง...

                 แสดงว่าท่านป้าก็ต้องรู้เรื่องของไฮเดนแน่แล้ว...

                “อ้อ... เจ้าอยากเป็นพ่อบ้านข้าก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะไฮเดน ยินดีเสียอีกที่มีเจ้าคอยอยู่ดูแลที่นี่ให้เรียบร้อยช่วงที่ข้าออกไปทำธุระ แต่ว่าบุคลิกของเจ้าน่ะ...”

                “ทำไมหรือขอรับ”

                วิลเลียมไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดอย่างไรดี จะให้บอกว่ามันดูดุน่ากลัวเหมือนพวกโจรสลัดอยู่อย่างนั้นรึ ไม่ดีๆ... แรงไปกระมัง...

                “เจ้าควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งว่าจะเป็นมือมีดหรือว่าเป็นพ่อบ้าน” สุดท้ายเขาก็พูดออกไปตามตรงโดยเลือกใช้คำพูดกลางๆ

                “แต่ข้าก็ว่าแบบนี้ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอันใดนี่ขอรับ” ไฮเดนบอก

                “ถ้าเจ้ายืนยันอย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถอะ” ชายหนุ่มขี้เกียจจะเถียงต่อแล้ว อย่างไรมันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาล่ะ

                เมื่อรับประทานมื้อเที่ยงเสร็จ วิลเลียมก็ฝากบ้านไว้กับไฮเดนแล้วบอกว่าจะไปเดินเที่ยวชมตลาด เขาไม่ได้กลับมาเยือนที่ลูซแวร์มานาน ต้องลงเดินสำรวจความเปลี่ยนแปลงให้หายคิดถึงเสียหน่อย

     

                ร้าน อาลี ค้าสรรพยุทโธปกรณ์เป็นร้านขายอาวุธและเครื่องป้องกันที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในลูซแวร์ ที่นี่มีตั้งแต่หนังสือคู่มือของนักเดินทาง อาหารสัตว์เลี้ยง ดาบต้องสาปจากต่างแดน ไปจนถึงน้ำยาป้องกันสนิมสำหรับทาเสื้อเกราะ หากแต่ในยามบ่ายวันอาทิตย์ที่น่าจะมีคนมาจับจ่ายใช้สอยในย่านนี้มากที่สุด ป้ายหน้าร้านของอาลีกลับแขวนไว้ว่า ปิดเสียนี่

                เป็นที่ทราบกันดีของเพื่อนบ้านแถวนั้นและลูกค้าประจำว่าหากอาลีแขวนป้ายปิดร้านไว้และรีบไล่ลูกค้าออกไปก่อนเวลาปิดจริงเช่นนี้มีสาเหตุอยู่เพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ การมาเยือนของ แขกคนสำคัญซึ่งแขกคนสำคัญที่ว่านั้นเป็นใครก็เป็นเรื่องที่ยากเกินจะกระซิบบอกได้ทั้งหมด เพราะสาเหตุต้นเรื่องต้องเท้าความไปไกลและมีน้อยคนที่ทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้องสมบูรณ์

                “ช่วงนี้กิจการการค้าของร้านเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เจ้าของเสียงสูงฟังไพเราะเอ่ยขึ้นเสมือนเป็นคำทักทายไถ่ถามสารทุกข์สุขทั่วไป แต่เจ้าของร้านก็ทราบดีว่า แขกคนสำคัญของเขาต้องการคำตอบเป็นจริงเป็นจังแค่ไหน

                “กิจการดำเนินโดยสะดวกขอรับ นายท่านผู้เลอเลิศ ด้วยปัญญาบารมีของท่าน ร้านข้ายังคงเป็นอันดับหนึ่งเหมือนเดิม” คนตอบแทรกคำเยินยอไปตามนิสัย ก่อนรายงานต่อ “ไข่ม้ามังกรจากต่างแดนกำลังเป็นที่สนใจของลูกค้า ข้าคิดว่าจะเปิดประมูลในอีกไม่นานนี้ มีซารีฟจากร้านรองเท้า และจาเรด ช่างตีดาบ มาขอกู้ยืมเงินเพิ่ม บอกว่าลูกกำลังจะเปิดเรียน”

                “อย่างนั้นรึ” นางหยิบหมวกเหล็กที่วางอยู่ใกล้มือขึ้นมาดูขณะรับฟังไป แต่สายตาดูเหมือนจะสนใจพิศมองเงาสะท้อนที่หมวกทรงกลมนั้นฉายให้เห็นมากกว่าคุณลักษณะอื่นของสินค้า

                “แล้วม้ามังกรนั่นมีอะไรพิเศษบ้างล่ะ” หญิงสาวยิ้มอย่างพึงพอใจให้กับเงาของตน ก่อนวางหมวกโลหะกลับคืนที่ แล้วกล่าวต่อ “โตขึ้นแล้วมันจะเก่งกว่าวาเรนของข้าไหม”

                มือเรียวเคลื่อนไปลูบขนสีดำเป็นมันเลื่อมของสัตว์ปีกที่เกาะอยู่บนบ่าของนาง เจ้านกนั้นก็ร้องออกมาคำหนึ่งเมื่อถูกสัมผัส

                วาเรนคือชื่ออีกาของนางนั่นเอง

                “ไม่มีทางหรอกขอรับนายท่านผู้สง่างาม ข้าน้อยรับประกันเลยว่าไม่มีทางที่เจ้าสัตว์ผสมครึ่งม้าครึ่งมังกรที่ถูกลักลอบนำเข้ามาตัวนี้จะเก่งว่าสัตว์เลี้ยงสุดแสนยอดเยี่ยมของนายท่านไปได้”

                อาลีรีบกล่าวเอาใจ แต่ความจริงมันก็เป็นอย่างที่เขาบอกนั่นแหละ ไข่สัตว์ที่ถูกลักลอบนำเข้ามายากนักที่จะได้รับการดูแลทะนุถนอมอย่างที่ควรจะเป็น อีกทั้งคนที่มีเงินพอจะซื้อมันไปก็ใช่จะรู้วิธีเลี้ยงสัตว์ต่างแดนที่ถูกต้อง นี่ยังไม่นับว่าอีกาที่ดูสามัญของเจ้านายเขานั้นซุกซ่อนความร้ายกาจเอาไว้แค่ไหน ก่อนที่เจ้าม้ามังกรนี้จะเติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นจริงก็อาจมีสิทธิ์จบชีวิตใต้จะงอยปากนี้ก่อนได้

                “ดี อย่างนั้นก็ขายเอากำไรสูงๆ ละกัน แล้วก็ดูให้แน่ใจด้วยว่ามันจะไม่เก่งกว่าวาเรน” นางสั่งกำชับเพื่อความแน่ใจ วาเรนเอาศีรษะเข้าเคล้าคลอกับนวลแก้มของนางอย่างแสนรู้

                “ขอรับๆ” พ่อค้ารับคำปลกๆ

                “แล้วยอดขายหนังสือล่ะ”

                “งานเขียนชิ้นเอกนั้นยังคงขายออกได้เรื่อยๆ เมืองข้างเคียงก็เริ่มมีการสั่งซื้อหลายเล่มแล้ว” อาลีรายงาน

                ระหว่างที่ทั้งสองกำลังจะเจรจาธุรกิจการค้ากันต่ออยู่นั่นเอง ประตูหน้าร้านก็ถูกผลักเปิด ชายหนุ่มคนหนึ่งโผล่พรวดเข้ามา เขาสนใจมองข้างหลังเหมือนกำลังเพิ่งวิ่งหนีอะไรบางอย่างมาหลบในร้านนี้ ท่าทางคงไม่ทันมองป้ายที่เขียนว่าปิดไว้

                หญิงสาวหันขวับ ค้อนมองเจ้าของร้านอย่างไม่พอใจ

                ทำไมไม่รู้จักลงกลอนประตูร้านป้องกันคนนอกให้ดีนัยน์ตาของนางกล่าวตำหนิเช่นนั้น

                ก็ข้าไม่นึกว่าจะมีคนเข้ามา อีกอย่างนายท่านผู้ยิ่งใหญ่ก็เข้ามาทางประตูหน้าร้านนี่อาลีอยากตอบตามเหตุผลดังกล่าวไป แต่เขาก็รู้ดีว่า เขาไม่มีความสามารถจะสื่อสารข้อความซับซ้อนเช่นนี้ด้วยสายตาไปให้นางได้ อีกอย่าง...ถึงบอกไปนางก็คงจะไม่รับฟัง และถึงแม้จะรับฟังก็คงมีสารพัดเหตุผลโทษเขากลับมา ดังนั้นน้อมรับความผิดเสียแต่ตอนนี้เพื่อตัดปัญหายืดเยื้อที่จะตามมาย่อมดีที่สุด

                เมื่อรู้ตัวว่าปลอดภัย ชายหนุ่มผู้บุกรุกก็หันมาสนใจบรรยากาศภายในร้าน ซึ่งดูเหมือนจะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก

                “...ข้าเข้ามาขัดจังหวะการค้าขายของพวกท่านหรือเปล่า” เขากล่าวขึ้นพลางพิจารณาผู้ที่กำลังจ้องตนอย่างไม่พึงพอใจ

                พ่อค้าที่อยู่หลังเคาน์เตอร์คงเป็นอาลี ตามชื่อร้านที่เขาเห็นแวบหนึ่งก่อนวิ่งเข้ามา อาลีมีผิวสีน้ำตาล ไว้ผมและหนวดเคราสีเทาหยิกยาว ที่ศีรษะโพกผ้าสีเขียว ที่หูก็ใส่ต่างหูทองวงโต นิ้วมือก็เต็มไปด้วยแหวน ข้อมือมีแต่สายสร้อยคล้อง บุคลิกทุกอย่างของเขาบอกว่าเป็นวาณิชชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายได้กำไรงามในลูซแวร์

                “ร้านปิดอยู่น่ะ” เมื่ออาลีเปิดปากพูดก็เผยให้เห็นฟันซี่หนึ่งซึ่งเป็นสีเหลืองทอง ชายหนุ่มคาดว่าน่าจะเป็นทองคำแท้มากกว่าลักษณะของฝันผุ เจ้าของร้านยังชี้มือประกอบไปยังป้ายที่เขียนว่า เปิด เมื่อมองจากด้านใน แสดงว่าอีกฝั่งย่อมต้องมีคำว่า ปิดอยู่

                ไม่ต้องพูดหรือแสดงทีท่าขับไล่ไปมากกว่านี้ชายหนุ่มก็รู้ตัวว่าควรรีบออกจากร้านไปเสีย

                แต่เสียงหนึ่งก็เรียกเขาไว้ก่อนที่จะออกไป

                “เดี๋ยวก่อน”

                คนกำลังตั้งท่าจะจากไปหันมามอง และพบสาวผมแดงคนหนึ่งกำลังยิ้มกว้างให้เขา

                “เจ้าคือวิลเลียมใช่ไหม” หญิงสาวทัก

                “ใช่แล้ว” วิลเลียมตอบ ดูท่าจะเป็นคนรู้จักเก่า แต่แย่ล่ะสิ เขาจำนางไม่ได้ วิลเลียมจำไม่ได้เลยว่าเคยรู้จักใครที่มีผมสีแดงเพลิงเช่นนางในลูซแวร์บ้าง ทั้งที่พอเห็นผมสีนี้แล้วคงยากที่จะลืมเลือนไปได้แท้ๆ

                สาวผมแดงนั้นก้าวยาวอย่างรวยเสน่ห์เข้ามาใกล้วิลเลียม

                “วิลเลียม จำข้าได้ไหม” นางยิ้มพริ้มพราย เอ่ยถามอย่างคาดหวัง

                นั่นเป็นคำถามที่วิลเลียมไม่อยากได้ยินที่สุดในเวลานี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคำทักทายอย่างอื่นไม่ใช่ถามเช่นนี้ตรงๆ เขาคงพอพูดจาตามน้ำไปได้จนพอรู้ข้อมูลของนางบ้าง แต่มาถามกันอย่างนี้ก็จะไม่รู้จักปฏิเสธอย่างไรแล้ว

                “เอ่อ... เจ้าคือ... เจ้าชื่อ...” อำอึ้งพยายามคาดเดาชื่อไปสักพัก จนกระทั่งดวงตาสีเทาของนางทอแววผิดหวัง เขาก็จำต้องสารภาพไปว่า “ขอโทษด้วย ข้าจำเจ้าไม่ได้”

                หญิงสาวก้มหน้าลงอย่างเศร้าสร้อยราวกับยอมรับแล้วว่าเขาคงจำนางไม่ได้จริงๆ แต่ไม่ทันไรก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเขา นัยน์ตาสีเทาโลหะเป็นประกายระยิบ กล่าวยิ้มแย้มว่า

                “อะไรกัน จากกันไปเพียง... กี่ปีแล้วนะ...” นางชูนิ้วเรียวที่ทาเล็บสีม่วงเข้มขึ้นมานับ “หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า... แค่ห้าปีเองเจ้าก็ลืมข้าไปแล้วหรือวิลเลียม รู้ไหม แคสซานดราผู้นี้ไม่เคยลืมเจ้าเลยนะ”

                ห้าปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่เขาหนีออกจากลูซแวร์พอดี คงเป็นคนรู้จักที่เคยเจอกันที่นี่แน่

                ...แคสซานดราอย่างนั้นหรือ...

                วิลเลียมพยายามนึกทบทวนชื่อนาง แล้วค้นดูว่าตรงกับความทรงจำในสมองส่วนไหนหรือไม่

                “เป็นอย่างไร พอจะจำข้าได้หรือยัง” นางกระตุ้นถามย้ำหลังจากบอกใบ้ไป

                “ยัง” วิลเลียมที่กำลังใช้สมองอย่างหนักตอบไปตามตรง ไม่มีปิดบัง

                ดวงหน้างามล้ำของแคสซานดราปรากฏแววขุ่นเคืองเล็กน้อย แต่ก็แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับช่วงเวลาที่มันปรากฏขึ้น นางขยับหมวกปลายแหลมที่สวม เรียกไม้เท้าประจำตัวขึ้นมาถือ จัดท่าทางตนเองให้ดูองอาจและงดงาม จากนั้นจึงประกาศว่า

                “ข้าคือแคสซานดรา แม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคอย่างไร”

                “เจ้าเป็นแม่มดดำรึ” คราวนี้วิลเลียมกวาดตามองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแล้ววกกลับมามองตั้งแต่เท้าจรดศีรษะ ไปกลับเช่นนี้ถึงสามรอบโดยไม่เกรงคำนึงถึงการรักษามารยาทอันทีงามแต่อย่างใด

                หญิงสาวนามแคสซานดรานั้นสวมหมวกสีน้ำเงินเข้มที่มีปลายแหลมหักโค้งหยิกงอไปด้านหลัง ส่วนที่เหนือปีกหมวกขึ้นมามีเข็มขัดหนังสีดำเส้นหนึ่งรัดไว้ นี่เป็นลักษณะของหมวกแม่มดขนานแท้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนผมหยักศกสีแดงเข้มดุจเปลวเพลิงนั้นก็ไว้ยาวถึงกลางหลัง เวลาเส้นผมของนางส่ายไหวนั้นดูราวกับไฟกำลังเริงระบำ นางสวมรองเท้าบูทหนังสีน้ำตาลยาวถึงข้อเข่า ที่ท่อนอกสวมแจ็กเกตหนังจิ้งจอกสีส้มแก่ขนาดกะทัดรัด ส่วนกระโปรงสีเขียวที่ยาวเหนือเข่านั้นก็ทำจากผ้าเนื้อดีซ้อนสลับทับกันหลายชั้น และลงลายอักขระมนตรา ที่สำคัญยังมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่บ่าข้างซ้าย ส่วนที่ในมือขวาก็ถือไม้เท้ายาวที่ส่วนยอดแกะสลักเป็นรูปอสรพิษแยกเขี้ยวแผ่พังพาน

                การแต่งกายทั้งหมดของหญิงสาวตรงหน้าแม้จะดูสวยงามดึงดูดสายตา หากก็มีความแปลกพิสดาร ด้วยลักษณะของชุดที่สวมนั้นผสมผสานก่ำกึ่งระหว่างชุดนักเวททั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่จะมีลวดลายและรูปแบบการซ้อนทับจับจีบผ้าคล้ายๆ ชุดของนาง กับลักษณะการแต่งกายของพวกแม่มดนอกรีต ซึ่งจะมีส่วนของชุดที่สั้นและเปิดเผยเรือนร่างมากกว่ามาตรฐานกุลสตรี แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนุ่งห่มน้อยชิ้นเกินควรอย่างของพวกแม่มดดำที่วิลเลียมเคยเห็น นับได้ว่าหญิงสาวนางนี้เป็นนักเวทที่มีการแต่งกายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใครทีเดียว

                แต่หากจะให้เรียกขานเป็นแม่มดดำ ชุดของนางที่มีสีสันหลากหลายและแทบจะปราศจากส่วนประกอบของสีดำ (หากไม่นับอีกากับสายรัดที่หมวกแล้วก็ไม่มีอย่างอื่น) ก็ดูจะผิดครรลองความนิยมของเหล่าแม่มดดำทั่วไปยิ่งนัก หากนางแนะนำตัวว่าเป็นแม่มดสีรุ้งเขายังจะเป็นว่าเหมาะสมกว่าเสียอีก

                “ใช่ ข้านี่แหละแม่มดดำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค และย่อมต้องเป็นแม่มดดำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลูซแวร์” คาสซานดราประกาศย้ำโดยไม่ว่าอะไรที่เขามองสำรวจนางอย่างเสียมารยาทถึงสามรอบ

                “อ้อ ยินดีที่ได้พบเจ้าอีกครั้งนะแคสซานดรา” วิลเลียมยื่นมือไปให้ ไม่อยากบอกเลยว่ายังจำอีกฝ่ายไม่ได้จริงๆ

                ความจริงแล้วคนที่กล้าประกาศตัวเป็นแม่มดดำให้คนทั่วไปรับรู้เช่นนี้ย่อมเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองสูงและเก่งกล้าสามารถไม่ธรรมดา คำว่า แม่มดหรือ พ่อมดนั้นเป็นคำที่ชาวบ้านใช้เรียกพวกนักเวทนอกรีตผู้ศึกษาศาสตร์มืด คาถาอาถรรพณ์ หรือเวทต้องห้ามทั้งหลาย บางคนที่กระทำเรื่องราวเหล่านี้จริงๆ ยังไม่พอใจให้ผู้อื่นเรียกตนอย่างดูถูกเช่นนั้นเลย วิลเลียมเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าไปรู้จักแคสซานดราได้อย่างไรกัน แต่เขาก็ไม่อยากเสียหน้าและทำให้หญิงสาวผิดหวังมากไปกว่านี้ จึงต้องยอมผูกมิตรสร้างสัมพันธ์ไมตรีไปก่อน

                นัยน์ตาสีเทาคู่สวยทรงเสน่ห์แปลกตานั้นมองมือที่ชายหนุ่มยื่นให้ด้วยความเคลือบแคลงและลังเลอยู่ชั่วแวบ แต่อึดใจถัดมานางก็ยื่นมือมาจับตอบ

                “หวังว่าต่อไป เจ้าจะไม่ลืมข้าอีกนะวิลเลียม” นางบอกพลางเขย่ามือเขา

                “ไม่มีทางอยู่แล้ว” ชายหนุ่มยิ้มรับ ไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่า เคราะห์กรรมที่เคยสร้างความเดือดร้อนเอาไว้ให้แก่ผู้อื่นได้ย้อนกลับมาเล่นงานตนแล้ว เมื่อเช้านี้เขาก็พยายามทำให้ทหารเฝ้าประตูจดจำเขาให้ได้ขึ้นใจไม่ใช่หรือ

                “ดี อย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ เจ้าอยากเลือกซื้ออะไรในร้านก็เชิญตามสบายเลยนะ วิลเลียม” นางว่า แล้วหันไปสั่งกับเจ้าของร้าน “อาลี ฝากเจ้าดูแลแขกของข้าคนนี้ดีๆ ด้วยล่ะ”

                กล่าวจบแคสซานดราก็ก้าวยาวๆ ออกจากร้าน แล้วหายวับไปราวสายลม แผ่นป้ายที่แขวนไว้ที่ประตูพลิกหมุนสองรอบแล้วจึงหยุด ยังคงแสดงให้คนภายนอกเห็นว่าร้านปิดอยู่เช่นเดิม

                อาลีรู้สึกหายใจได้โล่งปอดขึ้นมาทันที

                “เฮ้อ... เจ้าหนุ่ม มานี่หน่อยมา” พ่อค้าถอนหายใจแล้วกวักมือเรียกวิลเลียมให้เดินเข้าไปใกล้ ก่อนถามด้วยเสียงเบาลงว่า “เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดนายท่านแคสซานดราถึงสนใจในตัวเจ้าขนาดนี้”

                “ข้าชื่อวิลเลียม” ชายหนุ่มเล่นลิ้นตอบชื่อของตนซึ่งอีกฝ่ายน่าจะทราบแล้วไป “และข้าก็กำลังอยากถามท่านอยู่เหมือนกันว่านางเป็นใคร”

                “นี่เจ้าไม่รู้จักนางรึ” สีหน้าอาลีดูฉงนราวกับเพิ่งพบเจอคนที่ไม่รู้จักแคสซานดราเป็นครั้งแรก

                วิลเลียมส่ายหน้า “ในกาลก่อนอาจจะเคยรู้จักกัน แต่ตอนนี้ข้าจำนางไม่ได้จริงๆ”

                อาลีส่ายหน้าบ้าง แต่การส่ายหน้าของเขาใช่จะหมายถึงการปฏิเสธ หากแต่เป็นการบอกว่า ไม่ไหวเลย ต่างหาก

                “อย่างน้อยเจ้าก็น่าจะเคยได้ยินฉายา แม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในลูซแวร์ มาบ้างสิน่า”

                “ข้าไม่เห็นว่านางจะเหมือนแม่มดดำสักเท่าไหร่” วิลเลียมลองเปรยหยั่งเชิงดู

                อาลีเลิกคิ้วมองวิลเลียม “เจ้าเคยพบเห็นแม่มดดำคนอื่นมาก่อนหรือ เจ้าหนุ่ม”

                “เคย แต่เป็นที่นอกลูซแวร์นะ” ชายหนุ่มบอก

                “เจ้าเคยเจอแม่มดดำกี่คนล่ะ” พ่อค้าทดลองถาม

                “ถ้านับที่เป็นแม่มดจริงๆ ก็สาม มีที่เป็นพ่อมดอีกสี่คน” วิลเลียมตอบหลังนับจำนวนคนรู้จักในหัวเสร็จ

                เจ้าของร้านเดาะลิ้น พลางส่ายศีรษะ กล่าวว่า

                “เจ้าไม่รู้อะไรเจ้าหนุ่ม พวกที่เจ้าพบน่ะ จะกลายเป็นพวกพ่อมดแม่มดที่ไม่ได้ความไปในทันทีเมื่อนำมาเทียบกับนาง”

                “อย่างนั้นหรือ” หากเป็นด้านบุคลิกความงามหรือความองอาจละก็เห็นชัดๆ ว่าเทียบไม่ได้แน่นอน แต่ว่าด้านพลังเวทก็ยังไม่แน่นัก เพราะว่าพวกที่เขารู้จักก็เก่งพอตัวอยู่เหมือนกัน “แล้วแม่มดดำคนอื่นในลูซแวร์ล่ะ ไม่มีใครสู้นางได้เลยหรือ”

                “ลูซแวร์มีแม่มดดำเพียงคนเดียวคือนายท่านแคสซานดรา พ่อมดดำก็ไม่มี” อาลีว่าเรียบๆ

                “อ้าว...” กลายเป็นอย่างนั้นไป เมื่อไม่มีคนอื่นให้เทียบเปรียบ เป็นเพียงหนึ่งเดียวในเมือง การจะประโคมโอ่ว่าตนเป็นแม่มดดำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในลูซแวร์ก็คงไม่ถือเป็นเรื่องเสียหาย แถมอย่างไรก็เป็นความจริง

                “เจ้านี่ดูท่าจะไม่รู้อะไรจริงๆ” เขาส่ายศีรษะรุนแรงกว่าครั้งก่อน แล้วจึงอธิบาย “ก่อนหน้านี้ที่ลูซแวร์ก็เคยมีพ่อมดแม่มดดำคนอื่นอยู่หรอก แต่ถูกนางขับไล่ออกนอกเมืองไปหมดแล้ว ถูกสาปให้เป็นสัตว์บ้างล่ะ เป็นคนพิการบ้างล่ะ บางคนก็กลายเป็นสมุนของนางเป็นประจำอยู่ที่เมืองอื่นแทน ไม่มีใครสู้นางได้สักคน”

                “อ้อ... อย่างนี้ค่อยน่ายอมรับหน่อย” วิลเลียมค่อยบังเกิดความเลื่อมใสขึ้นมา “ว่าแต่เดี๋ยวนี้แม่มดดำเขาไม่ต้องสวมเครื่องแต่งกายโทนดำๆ มืดๆ กันแล้วรึ”

                “เครื่องแต่งกายพวกนั้นน่ะมีแต่พวกล้าสมัยที่ยังสวมกัน ต้องอย่างนายท่านแคสซานดรานี่สิจึงถือเป็นแบบอย่างของผู้นำ ท่านไม่ต้องตามอย่างใคร อยากแต่งตัวแบบไหนก็แต่งได้ทั้งนั้น”

                ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าพ่อค้าคนนี้พูดไม่กี่ประโยคก็ต้องหาทางชมเชยแคสซานดราเสียทุกที ดูจากรูปการก็เหมือนจะเป็นการกล่าวจากจริงใจจนติดเป็นนิสัย เบื้องหลังคงมีความเกี่ยวพันอะไรซ่อนอยู่

                “นางก็สวยงดงามจริงๆ แหละนะ” วิลเลียมชื่นชมตามไปด้วย พอเห็นอีกฝ่ายผงกศีรษะรับด้วยท่าทีพอใจจึงกล่าวถามต่อ “แล้วนางมาทำอะไรที่ร้านท่านในตอนที่ร้านปิดล่ะ เป็นแขกคนพิเศษหรือไร”

                อาลีกระดกนิ้วชี้ไปมาเป็นความหมายให้วิลเลียมเอาหูเข้ามาฟังใกล้ๆ

                ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปหา...

                “ฟังแล้วเหยียบไว้เลยนะเจ้าหนุ่ม ข้าเห็นนายท่านรู้จักเจ้าจึงยอมบอกความลับนี้ให้ฟังนะนี่” เขากระซิบ “ที่จริงแล้วน่ะ นายท่านแคสซานดราเป็นเจ้าของร้านนี้ ข้าเป็นแค่คนมาคอยดูแลร้านเท่านั้นเอง”

                “อาลี! เจ้ากำลังแพร่งพรายความลับอะไรของข้าอยู่หรือ!

                เสียงที่เหมือนเสียงของแคสซานดราไม่มีผิดเพี้ยนดังกัมปนาทขึ้น ทั้งสองรีบเหลียวหาทิศทางต้นกำเนิดเสียงนั้น แล้วก็ไปเจอนกแก้วตัวหนึ่งกำลังตีปีกผับๆ อยู่บนแท่นยืน นกแก้วตัวนี้เป็นอาลีเจ้าของร้านเลี้ยงไว้เอง ตอนแรกที่วิลเลียมเข้ามาเห็นมันอยู่นิ่ง ไม่ส่งเสียงพูดอะไร จึงไม่ได้ใส่ใจ

                “ข้าแค่กำลังเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของนายท่าน และบอกว่านายท่านเป็นเจ้าของที่แท้จริงของร้านนี้ ให้แขกของนายท่านที่ชื่อวิลเลียมฟังขอรับ” แม้จะแตกตื่นตกใจจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก แต่อาลีก็ยังคงตอบคำถามไปตามความสัตย์จริง

                “บอกแก่วิลเลียมหรือ... อย่างนั้นก็แล้วกันเถอะ” นกแก้วสีแดงพูดด้วยเสียงของแคสซานดรา หรืออันที่จริง ควรบอกว่าแม่มดดำกำลังยืมปากนกแก้วพูดจึงจะเหมาะสมกว่า

                “ข้าลืมสั่งอะไรบางอย่างกับเจ้าไป เจ้าเข้ามาฟังหน่อยสิ” นางกล่าวต่อ

                นกแก้วนั้นขยับปีกเข้ามาใกล้ตัว ดูแล้วเหมือนกิริยาเชิญชวนให้เข้ามาใกล้ของมนุษย์ยิ่งนัก วิลเลียมเคยเห็นนกแก้วพูดเลียนแบบคนได้ก็จริง เคยเห็นนักเวทใช้ปากนกส่งสารต่างปากตนอยู่ครั้งหนึ่งก็แล้ว แต่ความสามารถถึงขั้นสั่งให้นกทำท่าอย่างคนเช่นนี้เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

                นกแก้วเอาปีกป้องที่ข้างหูของอาลี ไม่ให้วิลเลียมเห็นหรือได้ยินว่ากระซิบสั่งการอันใด อาลีพยักหน้าถี่ๆ บ่งบอกความเข้าใจ ทั้งที่ความจริงคงไม่จำเป็น เพราะอีกฝ่ายไม่ได้น่าจะเห็นอะไรผ่านนัยน์ตานกแก้วนั้นได้ แต่นั่นก็ไม่แน่เสียทีเดียว...

                “ทราบแล้วขอรับ ข้าจะจัดการให้ตามที่นายท่านสั่ง” เมื่ออาลีกล่าวจบ เจ้านกแก้วก็กลับไปเป็นนกธรรมดาที่ยืนอยู่เงียบๆ เช่นเดิม

                “นายท่านสั่งให้ข้าดูแลรับรองท่านให้ดีๆ ถ้าสนใจเลือกดูสินค้าอะไรก็เลือกดูได้เลยนะขอรับ เดี๋ยวข้าจะลดราคาให้เป็นพิเศษ ส่วนเรื่องเกี่ยวกับนายท่านหรือเกี่ยวกับแม่มดดำ ถ้าท่านอยากรู้โปรดไปถามนายท่านด้วยตนเอง หรือจะอ่านจากหนังสือเล่มนี้เอาก็ได้นะขอรับ”

                เจ้าของร้านหยิบหนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งขึ้นมาให้เขาดู หน้าปกหนังสือเขียนเอาไว้ว่า

    แม่มดดำ : เจ้าแห่งมนตร์ดำผู้ชั่วร้ายที่สุด

    เขียนโดย ซี. เจ.

                “หนังสือเล่มนี้รวบรวมพฤติกรรมอันแปลกประหลาดและสุดแสนชั่วร้ายของเหล่าแม่มดดำเอาไว้ เป็นที่นิยมติดอันดับต่อเนื่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา พวกอาลักษณ์ต้องคัดลอกกันไม่หวาดไม่ไหว ตอนนี้ที่ต่างเมืองก็กำลังสนใจสั่งซื้อจำนวนหลายเล่ม” แล้วก็โฆษณาบอกความนิยมเสียดิบดี

                “เดี๋ยวนี้ชาวลูซแวร์นิยมอ่านหนังสือหนาๆ เช่นนี้กันแล้วรึ สมัยเด็กๆ ข้ายังอ่านแต่พวกเทพนิยาย ผู้กล้า เจ้าหญิงเจ้าชายอะไรพวกนั้นอยู่เลย” วิลเลียมว่าขึ้น “ไม่นึกว่าเดี๋ยวนี้คนจะสนใจศึกษาเกี่ยวกับแม่มดดำกัน”

                “พวกเรื่องอมตะพวกนั้นก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ขอรับ แต่ว่าพอนายท่านแคสซานดรามีชื่อเสียงขึ้นมา คนก็หันมาสนใจกัน หนังสือเล่มนี้จึงกลายเป็นที่นิยม ท่านแคสซานดราก็ยืนยันเองว่าเล่มนี้เขียนใช้ได้ ถึงขนาดเขียนคำนิยมให้ด้วยนะขอรับ”

                วิลเลียมรู้สึกว่ายิ่งฟังเรื่องก็ยิ่งแปลก...

                “พวกแม่บ้านอย่างชอบซื้อไปอ่านให้ลูกๆ ฟัง จะได้เอาไว้ขู่ให้กลัวไม่กล้าทำผิด ถ้าบอกว่าเที่ยวเล่นข้างนอกบ้านตอนกลางคืน เดี๋ยวแม่มดดำจะมาจับไปกิน พวกเด็กๆ ก็กลับไม่ได้ออกนอกบ้านแล้ว” พ่อค้าอวดสรรพคุณของสินค้าในมือต่อ

                “แม่มดดำกินเด็กด้วยอย่างนั้นรึ” เรื่องนี้เขาเพิ่งเคยได้ยิน

                “หนังสือเล่มนี้เขียนบอกไว้ว่า แม่มดดำจับเด็กไปไว้เพื่อคงความอ่อนเยาว์เป็นสาวตลอดกาล”

                “แล้วหนังสือพูดถึงแต่แม่มดดำ ไม่ได้พูดถึงพ่อมดดำบ้างหรือ”

                “ที่จริงก็พูดถึงบ้างโดยภาพรวม แต่คนเขียนเห็นว่าแม่มดดำชั่วร้ายกว่าพ่อมดดำ จึงเน้นไปที่แม่มดดำเป็นหลัก”

                “คนเขียนหนังสือเป็นใคร” ข้อนี้ล่ะที่เขาสงสัยเป็นที่สุด จะมีใครคิดพิลึกเกิดอยากศึกษาเกี่ยวกับแม่มดดำจนถึงขั้นเขียนเป็นหนังสือขึ้นมาด้วยหรือ และถึงจะมีคนเช่นนั้นจริง ก็ไม่น่าจะล่วงเอาความลับอะไรออกมาได้มากนักหรอก น่าจะถูกเอาไปต้มกินอย่างเด็กพวกนั้นเสียมากกว่า

                อาลีก้มมองที่หน้าปก

                “ซี. เจ.” เขาตอบ

                “นั่นมันนามปากกา ข้าอยากได้ชื่อจริง” วิลเลียมบอก

                “เรื่องนี้ข้าไม่ทราบ ท่านคงต้องไปสืบหาเองล่ะ”

                เป็นอันว่าการโฆษณาขายหนังสือแม่มดดำ : เจ้าแห่งมนตร์ดำผู้ชั่วร้ายที่สุดก็ปิดฉากลงเพียงเท่านี้...

                ต่อจากนั้นอาลีก็ยังคงชวนวิลเลียมเดินดูของต่างๆ ทั่วร้าน แม้แต่ตามซอกหลืบมุมห้องที่เก็บของประหลาดๆ หลายอย่างเอาไว้ก็ยังพาไปดูเผื่อเขาจะสนใจ ร้านของอาลีแม้จะเป็นร้านใหญ่แต่ก็ใช่จะจัดของไว้เป็นระบบระเบียบนัก เนื่องจากพวกอาวุธและเครื่องป้องกันส่วนใหญ่ในร้านมักเป็นชนิดพิเศษที่มีเพียงหนึ่งเดียว มิใช่ของโหลๆ ที่ผลิตขึ้นมาเพื่อขายครั้งละมากๆ ดังนั้นการจัดวางสินค้าไว้แบบนี้ก็ใช่จะไม่เหมาะสม เพียงแต่ต้องอาศัยความจำเป็นเลิศของเจ้าของร้านในการหาของที่ลูกค้าต้องการออกมาให้เท่านั้นเอง

                สุดท้ายวิลเลียมทนทานการตื้อของอีกฝ่ายไม่ไหว จึงต้องซื้อมีดสำหรับขว้างชุดหนึ่งติดตัวกลับมา และจำใจขายมีดชุดเก่าที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งยังไม่ได้ใช้ทิ้งไป เพราะพกเงินติดตัวมาไม่พอจ่าย แม้อาลีจะยืนยันว่าลดราคาให้สุดๆ แล้วก็ตาม

                ...อย่างน้อยมีดชุดนี้ก็ดูมีเสน่ห์น่าใช้สมราคายังมันแหละนะ...

                ชายหนุ่มพิจารณาคมมีดขนาดเล็กใหญ่ต่างกันทั้งหกด้ามที่วางเรียงบนแผงหนังในมือหลังจากที่ก้าวออกจากร้าน อาลี ค้าสรรพยุทโธปกรณ์มาได้ในที่สุด ที่ด้ามจับของมีดชุดนี้แกะสลักเป็นลายปีกนกเอาไว้อย่างสละสลวย อาลียืนยันเป็นหมั่นเหมาะว่า ลายนี่ลงอาคมที่ช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถปามีดได้แม่นและเร็วขึ้น พอทดสอบกับเป้าในร้านแล้วก็เห็นเป็นเช่นนั้นจริง เขาจึงยินยอมจ่ายเงินซื้อมาโดยไม่ทราบสักนิดเลยว่า ความสามารถซ่อนเร้นของมีดชุดนี้ยังมีมากกว่านั้น...

                “เดี๋ยวก่อน ท่านวิลเลียม” เป็นเสียงอาลีที่เรียกเขาไว้ วิลเลียมคงรีบวิ่งหนีไปไกลแล้ว ถ้าอีกฝ่ายไม่ใช้ลิ้นพ่อค้ายกระดับฐานะของเขาเป็น ท่าน ขึ้นมา ก่อนหน้าที่จะซื้อของยังเรียกหาเป็น เจ้าหนุ่ม อยู่ปาวๆ เลย

                “หนังสือเล่มนี้ข้าสมนาคุณให้ ท่านลองเอาไปอ่านดูยามว่างละกัน” อาลีวางหนังสือแม่มดดำ : เจ้าแห่งมนตร์ดำผู้ชั่วร้ายที่สุดแหมะลงบนมือทั้งสองที่กำลังกางแผ่นหนังรองชุดมีดขว้างดูอยู่ แล้วก็หายกลับเข้าร้านไป เป็นอีกคนที่ไม่คิดจะเปิดโอกาสให้เขาได้ปฏิเสธอีกแล้ว

                ดูท่าต่อไปเขาจะต้องระวังเล่ห์เหลี่ยมของพ่อค้าลูซแวร์เอาไว้ให้มากกว่านี้... ไปอยู่เมืองอื่นเสียนาน กลายเป็นคิดไม่ค่อยทันคนที่นี่เสียแล้วสิ...

                ...คราวหน้าต้องเลือกร้านที่จะหนีมาซ่อนให้ดีกว่านี้ด้วย...

                ชายหนุ่มเตือนตัวเองพลางมองหนังสือเล่มหนาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับมันดี

     

                “ได้ของที่ข้าต้องการมาไหม”

                แขกคนสำคัญย้อนกลับมาที่ร้านค้าอาวุธอีกครั้งในตอนเย็น เมื่อมาถึงนางไม่หาได้สนใจสอบถามถึงความเป็นไปของกิจการค้าขายที่ยังคงคุยค้างไว้ แต่กลับถามถึงสิ่งนี้แทน

                “ได้มาขอรับ นายท่านผู้ประเสริฐ” อาลียื่นห่อผ้าผืนหนึ่งไปให้อย่างนอบน้อม เขาไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าผู้เป็นนายอยากได้ของเก่าๆ เช่นนี้ไปทำอะไร แต่มันคงสำคัญมาก...สำคัญถึงขนาดที่เขาต้องยามขายอาวุธวิเศษไปในราคาที่แทบเรียกได้ว่ากัดฟันยกให้เพื่อแลกกับมันมา

                อย่างไรก็ตาม แคสซานดราไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก นางรับห่อผ้าเก่าๆ นั่นไปด้วยความยินดีที่เต้นระริกอยู่ในดวงตา ความจริงของที่นางจะใช้อาจเป็นอย่างอื่น ไม่ต้องเป็นอาวุธนี่ก็ได้ ทว่านางก็กลัวว่า อาลีจะไม่ฉลาดพอจะเข้าใจว่าของที่นางต้องการเป็นอย่างไร จึงได้แต่ระบุเจาะจงลงไปเช่นนี้

                ...เดี๋ยวนี้เปลี่ยนมาเขวี้ยงมีด ไม่เล่นฟันดาบเหมือนแต่ก่อนแล้วหรือ วิลเลียม...

                แม่มดดำรำพันกับตนเอง พลางรำลึกถึงแผนที่วาดไว้ในใจ เพียงแค่คิดว่าอีกไม่นานเจ้าของอาวุธนี้ก็จดจำนางได้เช่นเดิมแล้วก็ทำให้นางรู้สึกเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×