ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #30 : บทที่ 12 กระจัดกระจาย - "ข้าไม่มีวันยอมตายพร้อมเจ้า" [2]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.23K
      3
      28 ม.ค. 54

                ไลนัสกับเรนนีกำลังยืนเผชิญหน้ากับประตูศิลาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนสถานที่ที่เหมือนจะเป็นเกาะกลางบึงโคลน ชายหนุ่มเชื่อว่าสิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายปราสาทโบราณตรงหน้าต้องเป็นที่อยู่ของแม่มดแห่งแดนรกร้างตะวันตกไม่ผิดแน่

                “ทำอย่างไรกันต่อดีคะ” นักบวชสาวที่พลัดหลงมาด้วยกันถามขึ้น

                หลังจากถูกเถาวัลย์ลึกลับจับแยกกันมา ไลนัสและเรนนีก็ฟื้นขึ้นมาบนพื้นที่ที่เป็นบก ตรวจสอบเข็มทิศประจำกลุ่มดูแล้วก็พบใช้การไม่ได้ พวกเขาจึงเดินสำรวจเกาะแห่งนี้จนมาเจอกับประตูหินที่น่าจะเป็นทางเข้าของปราสาทแห่งนี้

                ชายหนุ่มผมเงินมองสำรวจตราสัญลักษณ์บนบานประตู ตรานั้นเป็นคล้ายธาตุพื้นฐานทั้งสี่ในศาสตร์เวทมนตร์สมัยเก่า ถ้าเขาจำไม่ผิด ทรงสี่หน้าที่มียอดแหลมทิ่มแทงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของธาตุไป ส่วนทรงลูกบาศก์ที่นำมาเรียงต่อกันได้ง่ายก็คือดิน ทรงแปดหน้าคือลม เพราะเปรียบเหมือนการรวมตัวกันของทรงสี่หน้าและทรงลูกบาศก์ สุดท้ายทรงยี่สิบก็คือน้ำ ในอาวุธธาตุบางชิ้นจะมีสัญลักษณ์พวกนี้สลักไว้ด้วย เขาจึงพอรู้จักอยู่บ้าง แต่สัญลักษณ์ประเภทนี้ก็ถือว่าเก่าแก่และไม่เป็นที่นิยมใช้กันแล้วในปัจจุบัน

                กล่าวถึงเวทมนตร์ และสัญลักษณ์ เขาก็พอนึกอะไรบางอย่างออกได้แล้ว

                “เจ้าใช้เวทมนตร์ตามหาตัวเจ้าของสิ่งของ หรืออะไรประเภทนั้นได้บ้างไหม” ไลนัสหันมาถามกับเรนนี มือกระชับพิณและห่อของที่ไม่ใช่ของตนแน่นยิ่งขึ้น

                “เวทแสงตามหาตัวเจ้าของ ข้าพอใช้ได้อยู่นะคะ” เรนนีตอบ บางครั้งพวกนักบวชก็ต้องทำหน้าที่เอาของที่คนลืมเอาไว้ไปคืนเจ้าของเช่นกัน เวทที่ช่วยเหลือนำของหายไปคืนเจ้าของถือว่าใช้ได้ไม่ยากนัก

                “อย่างนั้นก็ลองใช้มันช่วยตามหาเจ้าของพิณนี่ดู”

                ชายหนุ่มกำลังจะเดินมาส่งพิณให้นักบวชสาว แต่ทันที่เขาผละออกจากหน้าประตูศิลา พื้นดินที่ใต้เท้าก็เริ่มสั่นไหว ไลนัสรีบเคลื่อนตัวหลบออกมาจากบริเวณนั้น

                ฝุ่นตลบฟุ้งขึ้น ปรากฏร่างศิลาขนาดมโหฬารหลุดออกมาจากร่องกำแพงหิน มันมีศีรษะ ลำตัว และรยางค์แขนขาครบถ้วน หากแต่ทุกส่วนทำขึ้นจากหินทั้งสิ้น สัญลักษณ์ธาตุทั้งที่มีเคยเห็นบนประตูก็มีอยู่บนกลางอกของมัน

                “โกเล็มผู้พิทักษ์ประตูโลกันตร์อย่างนั้นหรือ” ไลนัสกล่าวชื่ออสูรรับใช้ที่ผุดขึ้นมาในความคิด

                โกเล็มจัดเป็นด่านป้องกันพื้นฐานของนักเวทที่ต้องคอยระวังไม่ให้คู่ต่อสู้เข้ามาประชิดตัวได้ โกเล็มแต่ละชนิดก็มีจุดอ่อนและวิธีพิชิตที่ต่างกันออกไป สำหรับโกเล็มโลกันตร์ที่เฝ้าประตูศิลาอยู่นั้น จัดว่าทำลายยากพอเข้าขั้นทีเดียว หากว่าไม่มีนักเวทที่ใช้มนตราได้หลากหลายธาตุในกลุ่ม และการที่มันโผล่มาจากประตูเช่นนี้ แสดงว่าถ้าโค่นล้มมันลงไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้าประตูไป

                ไลนัสรีบบอกให้เรนนีถอยห่างออกจากบริเวณประตูและโกเล็มนั้นไปก่อน อสูรหินเคลื่อนไหวอืดอาดเชิงช้าอยู่บ้าง ทว่าก็ทรงพลัง อย่างไรก็ต้องคอยหลบคอยระวังให้ดี

                ชายหนุ่มผู้เป็นคนปลุกอสูรรับใช้เฝ้าประตูนั้นให้ตื่นขึ้นมา เตรียมจะวางเครื่องดนตรีและของอื่นที่ไม่จำเป็นไว้ในที่ปลอดภัย แล้วเปลี่ยนไปเตรียมสู้ศึกเต็มที่แทนแล้ว หากไม่ใช่เพราะว่ามีเสียงหนึ่งเรียกไว้เสียก่อน

                “ท่านไลนัส” เจ้าของเครื่องดนตรีในสภาพที่ดูไม่งดงามอย่างยามปรกติเท่าไรนักกึ่งเดินกึ่งวิ่งฝ่าโคลนตรงมายังเขา “ข้าขออาวุธคืน แล้วจะช่วยท่านเอง”

                สิ้นคำโรซาลินด์บอก ไลนัสก็ส่งพิณให้นางทันที รู้สึกคลายใจลงมากเมื่อเห็นหญิงสาวปลอดภัย ทว่าพอคนอีกคนที่เดินมาด้วยกันพร้อมสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ดูรีบเร่งนัก เขาก็ไม่แปลกใจเลย

                “เรนนี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” วิลเลียมทักเรนนีก่อนทันที

                นักบวชสาวหันมามองคนกล่าวด้วยความดีใจ แต่ก็ยังไม่ลืมรายงานสถานการณ์ก่อนว่า

                “ท่านไลนัสบอกว่ามีโกเล็มเฝ้าประตูอยู่ พวเราต้องผ่านมันไปก่อนจึงจะเข้าประตูไปข้างในได้น่ะค่ะ”

                วิลเลียมหันไปพิจารณามองโกเล็มที่กำลังเคลื่อนที่งุ่มง่ามมาทางนี้

                “ข้าเห็นแล้ว” เขาบอก ที่จริงคือ เขารู้อยู่ก่อนแล้ว “ถ้าเป็นโกเล็ม เสียงเพลงคงทำอะไรมันไม่ได้ เจ้าเพิ่งใช้เสียงไปมาก ตอนนี้ก็พักในที่ปลอดภัย แล้วช่วยไลนัสถือของแทนไปก่อนละกันนะ โรส”

                ประโยคหลังนี่เขาหันไปกล่าวกับโรซาลินด์ หญิงสาวพยักหน้ารับ

                ไลนัสไม่สนใจจะพูดทักหรือกล่าวอะไรกับวิลเลียม ชายหนุ่มปลดของที่ไม่จำเป็นออกจากตัววางลงพื้น ในมือถือดาบเพียงอย่างเดียว แล้วรี่เข้าไปฟันตรงช่วงข้อต่อระหว่างหินก้อนใหญ่ที่ประกอบขึ้นมาเป็นอสูรรับใช้โดยแรง บางครั้งถ้าหากผู้สร้างประกอบมันมาไม่ดี การฟันเท่านี้ก็อาจทำให้ร่างของโกเล็มแยกเป็นท่อนๆ ได้

                ทว่าวิธีนี้ก็ใช้ไม่ได้ผลกับโกเล็มที่สูงใหญ่เป็นสองเท่าครึ่งของคนเช่นเจ้าตัวนี้

                “ไลนัส เจ้าลองลับดาบกับหินนั่นต่อไป แล้วระหว่างนั้นก็ล่อมันมาทางนี้ด้วยนะ” วิลเลียมป้องปากบอก “ข้าจะเตรียมกับดักรอเอาไว้”

                นักดาบหันไปมองคนสั่งด้วยสีหน้าไม่พอใจที่อีกฝ่ายปล่อยให้ตนสู้อยู่คนเดียว แต่เมื่อเป็นว่าคนสั่งนั้นใช้หญิงสาวที่ว่างงานอยู่ทั้งสองคนช่วยถือเชือกเดินอ้อมต้นไม้สองต้นที่ริมบ่อโคลน แล้วดึงให้ตรึงขนานกับพื้น เขาก็พอเข้าใจแล้วว่า หัวหน้าขบวนคิดจะทำอะไร เพียงแต่ก็ไม่หวังว่ามันจะประสบความสำเร็จ

                กระนั้น ชายหนุ่มผมเงินก็ยังยอมทำตามคำสั่ง เพื่อทดลองดูผล

                โกเล็มยิ่งเคลื่อนที่มายิ่งช้าลง เสมือนว่ามันยิ่งอยู่ไกลแหล่งกำเนิดพลัง จนมีกำลังเวทส่งมาไม่ถึงอย่างใดอย่างนั้น ทว่าสุดท้ายแล้วก็มาติดกับสะดุดเชือกล้มลงจมโคลนไปจนได้

                “เย้! สำเร็จแล้ว!

                สาวๆ ที่มีส่วนร่วมเล็กน้อยในการถือเชือกให้แน่นปรบมือดีใจกัน วิลเลียมเองก็ยิ้มภูมิในกลยุทธของตนไปด้วย ขณะที่ไลนัสยังคงนิ่งสังเกตเจ้าอสูรรับใช้ที่นอนนิ่งแน่ไปแล้ว

                เขาย้อนกลับไปดูที่ประตูศิลา ยังคงเปิดไม่ได้ ไม่มีทางเข้าอยู่ดี

                พริบตานั้นเองอสูรหินที่จมอยู่ในบ่อโคลน ก็เคลื่อนกลับขึ้นมาเตรียมท่าอยู่บนบก เสมือนว่ามีใครใช้เวทมนตร์ย้ายที่มันมา

                “นั่นเจ้าทำอะไรน่ะ ไลนัส” วิลเลียมตำหนิชายหนุ่มที่กำลังจุ้นอยู่ที่ประตู ราวกับว่าเขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้แผนการสร้างสรรค์ของตนต้องล้มเหลวลงไม่เป็นท่าเสียอย่างนั้น

                “อะไรเล่า!” ไลนัสตะคอกกลับ “ก็พวกเราจำเป็นต้องฝ่าประตูนี่เข้าไป เจ้าก็เห็นแล้วนี่ว่า แค่ทำให้มันจมโคลนเฉยๆ มันใช้ไม่ได้ พวกเราต้องพิชิตโกเล็มโลกันตร์ตามเงื่อนไขจึงจะผ่านประตูนี่ได้”

                “ก็รอคนอื่นมารวมกันให้ครบก่อน แล้วค่อยว่ากันก็ได้นี่ ตอนนี้เจ้าควรทำให้มันอยู่นิ่งๆ ไปก่อนเช่นนั้นแหละ”

                “ไม่ต้องมาบอกว่าข้าควรทำอย่างไร” นักดาบขึ้นเสียงแย้ง “เจ้ามันก็ดีแต่เอ้อระเหยอยู่ไปวันๆ รอคนอื่นมาช่วย เวลาก็มีไม่รู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์เสียบ้าง”

                ว่าแล้วเขาก็ฟันดาบใส่ข้อต่อของโกเล็มอีกหลายตำแหน่งเพื่อเป็นการระบายอารมณ์

                ไลนัสคิดว่า ถ้าล้มเจ้านี่และเปิดประตูได้ก่อน ก็จะช่วยให้งานคืบหน้าได้อีกเยอะ ต่อให้วิลเลียมจะไม่ร่วมมือ ตอนนี้เขาจะลองพยายามต่อไปคนเดียวก็ได้

                “ถ้าเจ้ารู้ว่ามันเรียกว่า โกเล็มโลกันตร์ แล้วพอรู้หรือเปล่าว่า จะพิชิตมันได้อย่างไร” วิลเลียมถามอย่างใจเย็น เหตุผลที่ไลนัสจะใจร้อนก็พอมีอยู่ แต่ตอนนี้เขาไม่อยากร้อนตามอีกฝ่ายไปด้วย แดเนียล ไฮเดน และมาร์คัส รวมถึงแคสซานดราที่น่าจะเป็นกำลังสำคัญในการเปิดประตูยังไม่มาเลย

                “ข้าว่า...อาจต้องใช้การโจมตีของธาตุพื้นฐานทั้งสี่” ไลนัสสันนิษฐานเอาจากสักลักษณ์ที่ปรากฏบนประตูและหน้าอกของโกเล็ม

                ฉับพลันนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าพอจะมีวิธีลอง ทว่ายังไม่ทันได้บอกออกไป ก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้นจากอีกฟากหนึ่งของเกาะกลางบึง และเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขาเรื่อยๆ

     

                แดเนียลและไฮเดนที่จับพลัดจับพลูมาเจอกันระหว่างเดินหลงทางอยู่ได้อย่างไรไม่ทราบ ขณะนี้กำลังวิ่งหนีศึกจากสองทิศทาง

                “ข้าหลงไปเจอฝูงจระเข้หางหนามมา คิดว่าถ้าวิ่งหนีมาขึ้นฝั่งแล้วน่าจะปลอดภัยดี แต่พวกมันก็ยังตามข้าไม่เลิกขอรับ” ไฮเดนรายงานให้อีกฝ่ายที่มีฐานะสูงกว่าตนฟัง ขณะวิ่งหนีสุดกำลังไปด้วย

                “ข้าก็ไปเจอรูปปั้นหน้าตาประหลาดบนเกาะเข้า แล้วก็กลายเป็นว่าพวกมันเป็นการ์กอยเฝ้าสถานที่ รับมือไม่ไหวเช่นกัน” แดเนียลที่วิ่งหนีคู่กันไปด้วยบอก ถึงเขาจะสังหารการ์กอยที่เข้ามาใกล้ไปได้ตั้งหลายตัวแล้ว แต่พวกมันก็มีปริมาณมากเหลือคณา หากฝืนสู้ทนต่อไปคงได้กลายเป็นฝ่ายแพ้เป็นแน่ การหนีไปตั้งหลักหาพรรคพวกก่อนคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

                ทว่าแดเนียลก็ไม่นึกถึงเลยว่า เพื่อนร่วมขบวนที่เจอเป็นคนแรกจะนำพาสัตว์อสูรเลื้อยคลานผู้เชี่ยวชาญทั้งทางน้ำและบนบกพอๆ กันมาด้วย คราวนี้พวกเขาทั้งสองก็ต้องหนีทั้งการ์กอยที่อยู่บนฟ้า กับจระเข้ที่มาตามบึงเสียแล้ว

                พอเห็นคนอีกสี่คนที่รู้จักอยู่ตรงหน้าไม่ไกลนักแล้ว คนทั้งคู่ก็รู้สึกยินดีเป็นล้นพ้น ทว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นกลับไม่นึกดีใจที่เห็นสหายร่วมเดินทางวิ่งเข้ามาหาตนด้วยความเร็วเหมือนกำลังหนีเอาชีวิตรอดสักเท่าไรเลย

                “พวกเจ้าชักนำตัวอะไรติดมาด้วย” วิลเลียมรีบถามเมื่อพอเห็นเงาของสัตว์อสูรตามมาเบื้องหลังคนทั้งสอง

                “การ์กอย” แดเนียลตอบ

                “จระเข้หางหนามขอรับ” ไฮเดนตอบ

                วิลเลียมฟังแล้วได้แต่ส่ายศีรษะ ด้านหลังนั้นไลนัสก็กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับโกเล็ม ตอนนี้ในบึงก็จะมีจระมาไล่ต้อน บนฟ้าก็จะมีการ์กอยมาไล่กวด ดูไปแล้วก็ไม่มีทางไหนให้หนีรอด มีแต่ต้องเผชิญศึกทุกทิศทาง คิดปลงได้เรียบร้อยเขาก็รีบออกคำสั่ง

                “เรนนีร่ายเวทสนับสนุน เกราะป้องกัน และเตรียมรักษาทุกคน อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้ตกอยู่ในอันตรายด้วยล่ะ”

                นักบวชสาวฟังคำแล้วรีบทำตามนั้นอย่างแข็งขัน

                “โรส ข้าว่าเพลงของเจ้าคงมีผลต่อพวกจระเข้หางหนามหรือการ์กอยอยู่บ้าง คอยก่อกวนพวกมันเอาไว้อย่าให้เข้ามาใกล้พวกเราเกินไป ทำให้สลบไปได้เลยก็ดี”

                โรซาลินด์พยักหน้ารับ แล้วหยิบพิณประจำตัวขึ้นมาบรรเลงทันที

                “ไฮเดนกับแดน วิ่งมาถึงนี่ก็หันหลังกลับไปสู้ได้แล้ว พวกเจ้าเป็นลูกผู้ชายเสียเปล่า กลับพาศัตรูวิ่งเข้ามาหาผู้หญิง ให้พวกนางช่วยปกป้องนี่นะ”

                “ขอโทษด้วยขอรับ” ไฮเดนตอบรับแล้วรีบหันไปประจันหน้ากับจระเข้าหางหนามที่ตามเขามา อย่างน้อยตอนนี้ก็เจอนายท่านแล้ว เขาก็วางใจขึ้นมาก

                “ข้ารู้แล้ว” แดเนียลบอก พอมีเวทสนับสนุนจากเรนนีพวกการ์กอยนี้ก็ไม่เกินกำลังไปนัก

                “แล้วไลนัส เจ้าก็หยุดสู้กับโกเล็มแล้วหันมาช่วยคลี่คลายทางนี้ก่อนก็ดี” วิลเลียมพูดกับคนที่สั่งยากสุดเป็นลำดับสุดท้าย

                “แต่ถ้าล้มโกเล็มนี่ได้ พวกเราก็จะหนีเข้าประตูไป” ไลนัสแย้ง เว้นจังหวะพูดเพื่อหลบกำปั้นหินของโกเล็มที่ฟาดมา ก่อนบอกต่อว่า “แล้วอีกอย่าง ข้าก็พอนึกวิธีพิชิตมันได้แล้ว”

                “แล้วเจ้าไม่คิดว่าข้างในนั่นอาจจะมีศัตรูที่น่ากลัวกว่าอยู่เลยหรือไง หรือต่อให้ถึงไม่มี แล้วพวกเราจะกันเจ้าพวกนี้ไม่ให้ตามเข้าไปได้หรือ เจ้าเปิดประตูได้แล้วมีวิธีปิดหรือเปล่าล่ะ” ระหว่างพูดไป วิลเลียมก็ซัดมืดออกไปช่วยแดเนียลกับไฮเดนอีกแรงด้วย “อีกอย่างถ้าต้องใช้การโจมตีของธาตุทั้งสี่ ก็ต้องรอให้ท่านมาร์คัสหรือแคสซานดรากลับมาก่อนด้วย”

                “เฮอะ ไม่ต้องรอสองคนนั่นก็ทำได้หรอกน่า” ไลนัสว่า พลิ้วกายฟันเข้าใส่โกเล็มอีกที ถึงจะรู้ไม่มีผล แต่ก็ยังไม่อยากจะหันไปช่วยวิลเลียม “ถ้าใช้โซของเจ้าก็สร้างธาตุอะไรให้อาวุธก็ได้ไม่ใช่หรืออย่างไร”

                เจอคำถามนั้นเข้า วิลเลียมก็ชะงักและหันไปมองคนพูด

                ไลนัสยิ้มเย็น ปากกล่าว

                “ตอนนี้แดเนียลก็มาแล้ว หอกของหมอนั่นมีสังกัดธาตุดินอยู่ ส่วนการโจมตีธาตุไฟข้าก็สามารถสร้างขึ้นได้ง่ายๆ ที่เหลืออีกสองธาตุให้เจ้าถืออาวุธมือละข้างแล้วโจมตีเข้าใส่มันพร้อมๆ กันก็เรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ ลองดูเสียหน่อยก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร”

                “ข้าไม่ได้...”

                “กรี๊ดดด!”

                ...มีโซนั้น

                วิลเลียมเกือบหลุดสารภาพออกไปแล้ว ถ้าหากไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องมาจากทางด้านของเรนนีเสียก่อน มีจระเข้หางหลามตัวหนึ่งฝ่าแนวป้องกันของไฮเดนและแดเนียลมาได้ หลุดขึ้นฝั่งมา ทั้งสองคนนั่นก็สู้ตรึงมือกันอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงต้องรีบใช้ดาบของตนเข้าไปจัดการให้

                โรซาลินด์บรรเลงเพลงรัวรวดขึ้น พวกจระเข้และการ์กอยเริ่มโจมตีสับสน จู่โจมเข้าใส่กันเองบ้าง ทว่าก็ยังมีหลายตัวที่แม้จะโจมตีสะเปะสะปะก็ยังโดนใส่พวกเขา

                “ไลนัส ขอร้องละ ช่วยสอยเจ้าพวกข้างบนนี้ไปหน่อยได้ไหม เดี๋ยวถ้าต้องการจะล้มโกเล็มอะไรนั่นข้าจะให้ยืมอาวุธแล้วช่วยอีกแรง”

                แดเนียลเห็นทางด้านบนชักจะไม่ไหวจริงๆ แล้วจึงต้องเอ่ยปาก พวกการ์กอยเริ่มพ่นไฟและพลังเวทต่างๆ ออกจากปากถี่ขึ้นเรื่อยๆ เกราะป้องกันของนักบวชก็ยิ่งอ่อนแอลง ถ้าเกิดต้องรับเวทขึ้นมาตรงๆ คงเจ็บจนเสียกำลังรบไปชั่วขณะ แล้วเมื่อนั้นโรซาลินด์กับเรนนีที่ด้านหลังจะแย่เอา

                เมื่อเพื่อนจำใจขอร้องและเห็นว่า สถานการณ์คับขันเกินกำลังแค่ห้าคนนั้นจะรับมือจริงๆ ไลนัสจึงยอมส่งลูกธนูขึ้นฟ้าไปช่วย การ์กอยหลายตัวล่วงหล่นลงบึงให้พวกจระเข้หางหนามกิน ส่วนโกเล็มที่ใหญ่โตเชื่องช้านั้นเขาก็คอยเคลื่อนที่หลบมัน และล่อลวงไปอีกทาง ไม่ให้เข้าใกล้คนอื่นได้

                “ข้าว่า ลองใช้แผนเดิม เอาโกเล็มมาล้มทับพวกจระเข้อีกทีก็ดีนะ ไลนัส” วิลเลียมเสนอ ตอนนี้สถานการณ์คลี่คลายขึ้นมากแล้ว แต่พวกสัตว์อสูรก็ยังโถมเข้ามาเรื่อยๆ เหมือนไม่มีหมด โดยเฉพาะพวกจระเข้ที่ดูจะกินไม่รู้จักอิ่ม

                ไลนัสคิดแล้วก็เห็นว่าเป็นแผนที่ดี แต่ใจหนึ่งไม่ค่อยอยากทำตาม กระนั้น ถึงไม่ตอบ เขาก็ยังเคลื่อนไหวชักนำอสูรหินมาสู่กับดักเดิมขณะยิงธนูปลิดชีพการ์กอยไปอีกหลายๆ ตัวด้วย

                เมื่อโกเล็มลงทับฝูงจระเข้ตายไปหลายตัว พวกสัตว์อสูรในบึงที่เหลือรอดก็พากันแตกตื่น กระจายกันหนีไป เจ้ารูปปั้นมังกรที่บินบนฟ้าเองก็ลดจำนวนลงไปมาก พอเห็นว่ามีพวกเหลืออยู่ไม่เท่าไรก็พากันบินหนีหายไป

                ตอนนี้วิลเลียมและคนอื่นๆ ก็ต้องยอมทำตามใจไลนัสบ้างแล้ว

                ยังดีที่ระหว่างต่อสู้กันวุ่นวาย วิลเลียมได้ขอให้เรนนีช่วยเอาดาบของเขาไปร่ายเวทชุบน้ำมนตร์ให้ แม้เวทนั้นจะไม่ใช่เวทที่ยิ่งใหญ่หรือรุนแรงอะไร แต่ก็สามารถเปลี่ยนอาวุธให้สังกัดธาตุแสงและธาตุน้ำได้ชั่วคราว แม้สัดส่วนของธาตุแสงจะมีมากกว่า แต่ถ้าพอมีธาตุน้ำด้วยก็คงพอใช้ได้เหมือนกัน ส่วนธาตุลมที่ขาดไปนั้น ถ้าใช้มีดสั้นประจำตัวของเขาก็น่าจะชดเชยได้

                ไลนัสยืนยันว่าจะให้ลองโจมตีใส่แผงอกที่มีตราสัญลักษณ์โบราณของธาตุทั้งสี่สลักอยู่ตามเดิม ด้วยเหตุนี้ประกอบกับที่อสูรหินนั้นคว่ำหน้าล้มจมโคลนอยู่ เขาจึงต้องเรียกมันขึ้นมาอีกครั้งด้วยการเดินไปที่ประตูศิลา ระหว่างนั้นก็สร้างอาวุธธาตุไฟของตนด้วยการราดน้ำมันใส่ดาบของตน แล้วขูดคมดาบนั้นกับกำแพงด้วยความเร็วสูงจนเกิดประกายไฟ เพลิงโหมท่วมอาวุธของเขาทันที

                วิลเลียมหรี่ตามมองภาพนั้นแล้วอดนึกชื่นชมไม่ได้

                หมอนี่เล่นหาอาวุธธาตุไฟง่ายๆ จริงๆ ด้วย...

                แต่ถ้าใช้วิธีนี้จะว่าดาบที่เปลี่ยนเป็นธาตุแสงและน้ำชั่วคราวของเขาเป็นต้นเหตุเพียงอย่างเดียว หากวิธีที่ไลนัสคิดขึ้นมาใช้พิชิตโกเล็มล้มเหลวก็ไม่ได้ละนะ

                ครั้นแล้วโกเล็มโลกันตร์ก็กลับมายืนพิทักษ์ประตูศิลาใหม่เหมือนเดิม วิลเลียม ไลนัส และแดเนียลที่เตรียมอาวุธธาตุในมือไว้เรียบร้อยอยู่แล้วก็ออกโจมตีเข้าใส่ที่สัญลักษณ์บนหน้าอกของมันพร้อมๆ กัน อสูรหินแหลกสลายลงในทันทีราวกับถูกแทงที่จุดตาย ประตูศิลาก็ยกตัวขึ้นตามกลไลด้วยเช่นกัน

                “ข้าบอกแล้ว เห็นไหมล่ะ” ไลนัสอดโอ้อวดไม่ได้ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในปราสาทย้อนยุคนั้นอย่างไม่เกรงกลัวอันตรายหรือกับดักแต่อย่างใด

                คนอื่นเห็นไลนัสเดินเข้าไปแล้วก็ได้แต่ต้องพากันเดินตาม

                “ไลนัส ข้าว่าพวกเรารอท่านมาร์คัส กับแคสซานดราก่อนก็ดีกว่า” วิลเลียมเตือน “คนใช้เวทได้สองคนหายไป การสู้กับแม่มดแห่งแดนรกร้างตะวันตกก็จะลำบากขึ้นนะ อีกอย่าง พวกเขาน่าจะเป็นคนที่ใช้เวทตามหาและกลับมารวมกับคนอื่นได้ก่อนใครเพื่อนด้วย ข้าว่าแบบนี้มัน...”

                ...แปลก

                เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ปรากฏแสงสว่างเรืองรองขึ้นในปราสาทที่ข้างในออกจะมืดมิดนั้น แสงนั้นมาจากกรอบประตูศิลาที่ตั้งเรียงรายตามผนังรอบห้อง มองเห็นเป็นสัญลักษณ์ธาตุแต่ละยุคต่างๆ กันที่ไม่ใช่เพียงดิน น้ำ ลม ไฟ ขั้นพื้นฐานอีกต่อไป

                โกเล็มโลกันตร์ขนาดย่อมหลายตัวเคลื่อนที่ออกมาจากประตูศิลา สัญลักษณ์บนหน้าอกของมันก็เป็นไปตามที่อยู่บนประตู คราวนี้วิลเลียมไม่แน่ใจว่าจะหากลเม็ดใดมาสร้างอาวุธธาตุหรือการโจมตีใดใครครบตามนั้นได้แล้วหากขาดนักเวท อย่าว่าแต่ประตูที่อยู่ลึกเข้าไปในสุดยังเป็นธาตุมืดอีกด้วย

                ที่นี่น่าจะเป็นสนามสอบนักเวทมากกว่าที่อยู่ของแม่มด...

                เขาคิดประชดเช่นนั้น

                อสูรศิลาเหล่านี้เคลื่อนที่รวดเร็วและว่องไวขึ้นมาก จนวิลเลียมต้องบอกให้โรซาลินด์และเรนนีออกไปหลบข้างนอก เพื่อคอยให้การช่วยเหลือเป็นระยะในคราวที่เหมาะสมภายหลัง

                “เจ้าจะกลัวอะไร แค่ใช้โซของเจ้าใส่มีดสี่เล่มแล้วซัดออกไปพร้อมๆ กัน ก็น่าจะล้มพวกมันได้ไม่ยากนี่” ไลนัสถาม ขณะเดี๋ยวกันก็ลองใช้ดาบที่ยังลุกไฟอยู่ในมือของตนทดลองโจมตีใส่ข้อต่อของโกเล็มตัวที่อยู่ใกล้ไปด้วย

                “ข้าไม่ได้มีโซนั้น” สุดท้ายแล้ววิลเลียมก็จำเป็นต้องยอมรับออกมา “เป็นมีดนั่นเองที่สามารถเปลี่ยนสังกัดธาตุได้”

                โซที่เขามีจริงๆ ไม่ได้วิเศษมากมายแต่อย่างใด มันก็เพียงแค่ทำให้เขาได้ยิน...

                เข้าไปแล้ว

                อันตรายๆ

                น่าตื่นเต้นจัง

                เสียดาย จะอดดูแล้ว

                เสียงรบกวนที่ต้องพยายามคัดแยกหาสาระออกมาเหล่านั้นนั่นเอง...

                ว่าแต่... จะอดดูแล้วนี่ก็หมายความว่า...

                ก่อนที่โรซาลินด์และเรนนีจะได้ออกจากปราสาทไปตามคำแนะนำของวิลเลียม ประตูศิลาที่เป็นทางเข้าก็ปิดลงเสียก่อน ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในความมืดยิ่งกว่าเดิม และมีโกเล็มโลกันตร์สังกัดหลากธาตุอยู่ด้วยเต็มห้อง

                “ในที่สุดก็ยอมรับแล้วสินะ เจ้าคนขี้โกง” ไลนัสยิ้มเหี้ยมสะใจ ขณะวาดดาบไฟในมือเป็นรัศมีกว้าง หมายขยายวงล้อม แต่นั่นก็ทำอะไรโกเล็มที่สร้างจากหินไม่ได้มากนัก

                วิลเลียมที่โกหกเป็นประจำรู้ตัวดีอยู่แล้วว่า สักวัน คำโป้ปดที่เคยกล่าวไว้นั้น จะต้องย้อนกลับมาเอาคืนและเล่นงานตนเป็นแน่ เขาเตรียมใจไว้แล้วจึงยอมรับโดยไม่รู้สึกหนักหนาแต่อย่างใด

                “ใช่ ข้าโกง”

                แต่ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจจะโกงสักหน่อย...

                คนอื่นในกลุ่มมัวแต่คอยระวังป้องกันไม่ให้อสูรหินโจมตีใส่ตน ฟังทั้งสองคนคุยกันแล้วก็จับความไม่ถูกเหมือนกันว่า ทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร มีเพียงแดเนียลเท่านั้นที่พอรู้เรื่อง แต่ในสถานการณ์อย่างนี้เขาก็ไม่มีเวลามาคิดวิเคราะห์อะไรแล้ว อยากให้ทั้งวิลเลียมและไลนัสหันมาสงบศึก แล้วร่วมมือกันแก้ไขปัญหาเป็นตายตรงหน้าเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

                “ข้าบอกแล้วว่าให้รอท่านมาร์คัสกับคาสซานดราก่อน ถ้าเจ้าไม่บุ่มบ่ามเข้ามา ก็ไม่เกิดเรื่องเช่นนี้หรอก” วิลเลียมว่า ออกแรงกระโดดถีบโกเล็มให้ล้มหงายไปด้วยแถบหนึ่ง

                “ข้าว่านางแม่มดดำที่เจ้าพามาด้วยนั่นแหละเป็นตัวการ นางอาจจะลอบทำร้ายท่านมาร์คัส แล้วไปเข้าพวกกับเอริกาแทน ตั้งแต่รับนางเข้ามาร่วมกลุ่มด้วย นางเคยช่วยเหลืออะไรพวกเราบ้างหรือยัง” ไลนัสกล่าว พลางใช้ดาบตวัดต่ำ สลัดโครงสร้างช่วงล่างของศัตรูให้ล้มลง ถึงแม้ข้อต่อของโกเล็มก็ยังมั่นคงแข็งแรงดี แต่ด้วยขนาดตัวที่เล็กลงทำให้พอจะทำเช่นนี้ได้ด้วยดาบเพียงลำพัง

                วิลเลียมไม่สามารถตอบออกไปได้ว่า นางเคยช่วย แม้นั่นจะเป็นความจริง เพราะแคสซานดราเอาแต่ช่วยเหลือเขาเพียงคนเดียว เขาจึงโต้กลับไปว่า

                “แต่นางก็ไม่เคยสร้างปัญหา หรือทำอะไรไม่ยั้งคิด เป็นตัวถ่วงพวกเราหรอกน่า”

                “การอยู่เฉยๆ แล้วไม่ทำอะไร ไม่เรียกว่าเป็นตัวถ่วงอย่างนั้นหรือ”

                “พวกเจ้าเลิกทะเลาะกัน แล้วตั้งใจสู้สักทีได้ไหม” แดเนียลตวาดลั่น เห็นสองคนนี้เถียงกันไป แล้วสู้ไปด้วยเหมือนไม่ตั้งใจสู้สุดสมาธิแล้วอดไม่ได้จริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่าทำได้ดีกว่าเขาและไฮเดนที่ต้องทุ่มสุดกำลังกายและใจสู้เป็นไหนๆ

                วิลเลียมและไลนัสที่ไม่เคยเห็นแดเนียลแสดงอารมณ์โกรธออกมารุนแรงเช่นนี้มาก่อนก็ต้องเงียบไปพัก ส่วนพวกสาวๆ แม้จะรู้สึกกดดัน และอยากให้ทั้งสองคนหยุดทะเลาะกันเช่นเดียวกับแดเนียลก็ยังไม่กล้าจะพูดแทรกไปอย่างนั้น ได้แต่ทำหน้าที่สนับสนุนของตนอย่างเต็มที่

                โรซาลินด์หมายมั่นว่า จะลองร้องเพลงให้มีความถี่พ้องต้องกับโครงสร้างของโกเล็มพวกนี้เพื่อช่วยทุกคนดู ทว่านางก็ยังไม่มั่นใจว่า การทำเช่นนั้นจะทำให้โครงสร้างของอาคารกระทบกระเทือนด้วยหรือไม่ จึงบอกเรนนีให้เตรียมร่ายบาเรียป้องกันขนาดใหญ่ที่จะช่วยกันได้ทั้งกลุ่มหากเป็นอะไรขึ้นมาเอาไว้ก่อน ซึ่งนักบวชสาวก็พยักหน้ายืนยันพรักพร้อม

                วงล้อมของพวกเขากระชับร่นเข้ามาเรื่อยๆ โกเล็มที่สู้ไปเท่าไหร่ก็ทำลายไม่ได้สักทีทยอยมาเบียดเสียดแน่นยิ่งขึ้น ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่ดีแน่

                วิลเลียมและไลนัสโถมสู้ระบายอารมณ์โกรธต่ออีกฝ่ายออกไป ตอนนี้ต้องมาหันหลังชนกัน รับศึกสองด้าน

                “พวกเราเคยได้สู้และคอยระวังหลังให้กันแบบนี้มาก่อนไหมนะ” วิลเลียมย้อนนึกถึงความหลัง แล้วหยอกถามเล่น

                “ไม่เคย” ไลนัสตอบหนักแน่น

                “นั่นสิ เจอกันทีไรก็มีจับอาวุธ หันหน้าเข้าหากันนี่นา”

                “เฮอะ” ชายหนุ่มผมเงินแค่นเสียง “ข้าไม่มีวันยอมตายพร้อมกับเจ้า ณ ที่แห่งนี้หรอก”

                “ข้า...ก็เหมือนกัน” ชายหนุ่มผมน้ำตาลกัดฟันกล่าว แต่ถึงจะพูดไปอย่างนั้นตอนนี้เขาก็เหนื่อยล้าเหลือเกินแล้ว ไม่ต้องพูดถึงไฮเดน กับแดเนียลที่ต้องสู้และวิ่งมาไกลก่อนหน้านี้เลย ทั้งสองคนนั่นดูโรยแรงมาก

                โรซาลินด์เห็นวงล้อมหดเล็กเข้ามา น่าจะพอที่เรนนีป้องกันทุกคนได้ง่าย และพวกผู้ชายก็ดูอ่อนเพลียสิ้นกำลังกันเหลือเกินแล้ว นางส่งสัญญาณบอกให้เรนนีเตรียมตัวให้พร้อม และตั้งต้นจะร้องเพลง...

                ทันใดนั้น ผนังกำแพงของห้องก็ถล่มลงมาโดยที่หญิงสาวผมทองเองก็ได้แต่แปลกใจ เนื่องจากนั่นไม่ใช่ฝีมือของนาง...

    ---

    S.O.

    January 28, 2011

    ที่จริงบทนี้ยังมีเนื้อหาต่ออีกเล็กน้อย แต่ขอเก็บไว้ก่อนให้ลุ้นกันเล่นๆ นะคะ (ชอบคิดทำอะไรใหม่ๆ ตัดตอนอัพแปลกๆ อีกแล้วสิเรา)

    ก็ยังไม่มีอะไรจะกล่าวมากนอกจากขออภัยที่มาอัพช้าพอสมควรทีเดียว สาเหตุก็เป็นเพราะงานค่อนข้างรัดตัวและอยู่ในช่วงตามหาแรงบันดาลใจและไอเดียใหม่ๆ อยู่ด้วยค่ะ

    อย่างไรก็ตาม สำหรับบทนี้คงต้องขอบคุณเพื่อนๆ หลายๆ คนที่ช่วยออกความคิดเรื่องสัตว์อสูรทั้งหลาย (ตอนคิดและหาชื่อสัตว์ในตำนานลักษณะตามที่ต้องการนี่ก็สนุกกันมากทีเดียว)

    ตอนหน้าคงได้มาเฉลยเรื่องมีดส่วนหนึ่งล่ะมั้ง

    ...ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและเป็นกำลังใจให้มาตลอดค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×