ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Special Ones

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 6 เช้าอันแสนวุ่นวาย - "ขอบคุณพระองค์ที่ทรงช่วยลูก"

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.93K
      2
      19 ต.ค. 53

    บทที่ 6 เช้าอันแสนวุ่นวาย

    ขอบคุณพระองค์ที่ทรงช่วยลูก

     

                วิลเลียมตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย... เขาฝันถึงเรื่องในอดีตอีกแล้ว... ฝันนั้นเป็นฝันที่ประหลาด เพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่เขาเคยหลงลืมไป แต่เมื่อฝันแล้วกลับจดจำได้ชัดเจน ประหนึ่งมันไม่ใช่ความฝันที่เกิดขึ้นเพียงวูบหนึ่ง

                ชายหนุ่มมองหนังสือแม่มดดำ : เจ้าแห่งมนตร์ดำผู้ชั่วร้ายที่สุดที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง เมื่อคืนนี้เขาเหนื่อยมากจนไม่ต้องอาศัยมันช่วยกล่อมให้หลับ และหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ใช่วัตถุต้องสงสัยว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาฝันประหลาดอีกต่อไป วิลเลียมคิดว่าน่าจะเป็นเพราะอย่างอื่นมากกว่า

                กระนั้น เขาก็ยังคงเชื่อว่า เหตุการณ์ในความฝันนั้นเป็นเรื่องในเกิดขึ้นจริงในวันวาร ที่เขายังคิดไม่ตกก็คือ เหตุใดเขาจึงลืมมันไปได้ต่างหาก ถ้าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขแล้ว เขาไม่น่าจะลบมันออกไปจากความทรงจำเลยนี่นา

                อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าใครหรืออะไรที่ทำให้เขาฝันประหลาดเช่นนี้จะไม่ได้มีเจตนาร้าย ดังนั้นเขาจะค่อยๆ สืบเรื่องนี้ไปโดยไม่รีบร้อนละกัน

                วิลเลียมลุกขึ้นจากเตียง แล้วไปทำกิจวัตรที่เขาควรทำ

     

                ไฮเดนกำลังปรุงอาหารเช้าอย่างมีความสุขอยู่ในครัว เมื่อเขาเห็นวิลเลียมเดินมานั่งประจำที่โต๊ะอาหาร ชายฉกรรจ์ผู้ผันตัวมาเป็นพ่อบ้านก็รีบยกของที่เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วไปบริการทันที

                วันนี้มีไข่ดาวกับไส้กรอก และข้ายังเตรียมซุปร้อนๆ ไว้ให้นายท่านด้วย เขาบอก ก่อนวางจานอาหารลงบนโต๊ะ

                ขอบใจเจ้ามาก วิลเลียมว่า มองไข่ดาวสองฟองกับไส้กรอกโค้งเส้นหนึ่งที่ดูเผินๆ เหมือนหน้าคนกำลังยิ้ม แล้วอดยิ้มกับอารมณ์ศิลปินตกแต่งอาหารของไฮเดนไม่ได้

                เมื่อวานข้าเห็นท่านวิลเลียมกลับมากินสตูว์มื้อเย็นแล้วก็เข้านอนเลย ไม่รอให้ข้าอุ่นให้ด้วยซ้ำ นายท่านคงไม่เป็นไรกระมัง ไฮเดนถามด้วยความเป็นห่วง

                วิลเลียมยิ้ม อย่างไรเขาก็ต้องขอบคุณไฮเดนที่ช่วยดูแลเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ต่างๆ ให้ ถ้าไม่มีอดีตมือมีดผู้นี้ เขาคงแย่ไปแล้ว

                ข้าไม่เป็นไรหรอก แค่เหนื่อยนิดหน่อยเท่านั้นเอง นอนพักคืนหนึ่งก็หายแล้ว ชายหนุ่มกล่าว แล้วเอ่ยชวน อย่างไรถ้าเจ้าจัดการทุกอย่างในครัวเสร็จแล้วก็มากินข้าวด้วยกันเถอะ

                ...ขอรับ ไฮเดนรับคำ แล้วกลับเข้าครัวไปยกซุปที่ปรุงเสร็จแล้วออกมา เขาไม่อยากให้นายท่านวิลเลียมต้องรอนาน

                ทั้งสองจัดการอาหารเช้าของตนอย่างเงียบๆ และรวดเร็ว กระทั่งของกินมื้อนั้นหมดเกลี้ยงแล้ว วิลเลียมจึงถามขึ้นว่า

                เมื่อวานเจ้าได้เตรียมอาหารกลางวันไว้ให้ข้าด้วยหรือเปล่า

                เห็นจากการที่ไฮเดนอุตส่าห์เตรียมสตูว์มื้อเย็นไว้ให้เขาเมื่อคืนนี้แล้ว วิลเลียมก็อดสงสัยไม่ได้ว่า มื้อกลางวันที่เขาไม่ได้กลับมากิน และไม่ได้แวะกินที่ไหนเลยนั้น อีกฝ่ายจะเตรียมไว้ให้ด้วยไหม

                ท่านวิลเลียมไม่ได้สั่งว่าไม่ให้เตรียม แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ ข้าเลยเตรียมไว้ให้ขอรับ แต่พอคล้อยบ่ายแล้วท่านยังไม่กลับมาเสียที ข้าเลยเอาอาหารพวกนั้นไปให้พวกแมวจรจัดที่ข้างหลังซอยแทน

                แมวหรือ ชายหนุ่มย้อนคำ

                ขอรับ ข้าว่าพวกมันน่ารักดี ไฮเดนบอกด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขยิ่งนัก

                วิลเลียมลองนึกภาพชายหัวล้านตรงหน้าอยู่กับแมวน้อยๆ ทั้งหลายแล้ว...

                ...ก็คิดใหม่ว่าตนสมควรเลิกจินตนาการภาพนั้นดีกว่า

                อย่างนั้นถ้าต่อไปข้าไม่ได้บอกให้เตรียมอาหารไว้ให้ก่อน ก็ไม่ต้องเตรียมหรอกนะ เขารู้สึกเสียดายของขึ้นมา

                ชายฉกรรจ์ผงกศีรษะรับ ถามเสียงอ่อนลงว่า

                แล้วข้าเอาอาหารไปให้พวกแมวบ้างได้ไหมขอรับ

                ถ้าเจ้าอยากเอาไปให้ก็ตามใจเจ้าเถอะ

                วิลเลียมอนุญาตอย่างจำยอม เขากลัวอีกฝ่ายจะส่งกะพริบตาปริบๆ อ้อนอวนเขาเหมือนคราวที่แล้วอีก ดังนั้นอนุญาตไปก่อนเลยคงเป็นการดีที่สุด เอาอาหารไปให้สัตว์นิดหน่อย คงไม่เสียหายนักหรอก

                ขอบคุณนายท่านมากขอรับ ไฮเดนกล่าวจากใจจริง

                ว่าแต่เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาล่ะ วิลเลียมตั้งใจจะถามถึงเรื่องที่ว่า พวกชาวบ้านพูดถึงเขาอย่างไรบ้าง เมื่อวานนี้เจ้าทำท่าเหมือนอยากจะพูดกับข้าเรื่องนี้ใช่ไหม

                อ้อ... ไฮเดนอุทานเมื่อนึกขึ้นได้ ข้าได้ยินมาว่า ท่านวิลเลียมเคยเป็นท่านชายอยู่ในวัง ท่านเป็นลูกนอกสมรสของเจ้าชายอาเธอร์

                อืม... ว่าต่อไปสิ

                ข้าได้ยินมาว่า ท่านหนีออกไปจากลูซแวร์เมื่อห้าปีก่อนด้วยหลากหลายสาเหตุ...

                ด้วยสาเหตุใดบ้างล่ะ

                ก็มีทั้งที่ว่า ท่านพ่ายแพ้ในการประลอง และสอบตก เลยอับอายแล้วหนีออกไป มีที่บอกว่า เจ้าชายอาเธอร์ขับไล่ท่านออกไปอย่างลับ ยังมีอีกพวกบอกว่า ท่านลักขโมยอาวุธวิเศษในตำนานแล้วหลบหนีไป

                วิลเลียมพยักหน้าถี่ๆ ขณะรับฟัง

                ข่าวลืออย่างไรก็เป็นข่าวลือ แม้จะพอมีมูลความจริงอยู่บ้าง แต่ก็ยังบิดเบือนไปอยู่ดี แต่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปก็ดีแล้ว เพราะถ้ามีใครอื่นรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้คนต้องหนีออกจากลูซแวร์ คนคนนั้นจะยิ่งเป็นอันตราย

                เจ้าสืบมาได้ดีเหมือนกันนะ ไฮเดน

                ชายหนุ่มเอ่ยชม ทว่าไฮเดนกลับรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ

                ข้ายังไม่ได้ลงมือสืบอะไรเลยนายท่าน ที่เล่ามาพวกนี้เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินตอนข้าไปจ่ายตลาดเมื่อวาน

                คนเขาลือกันถึงข้าขนาดนั้นเลยหรือ วิลเลียมเลิกคิ้วถาม

                มีหลายคนสงสัยว่าหนุ่มที่กุหลาบแห่งลูซแวร์ชวนขึ้นไปที่ห้องรับรองพิเศษของร้านนั้นเป็นใคร ผู้คนก็เลยต้องวงคุยกันโขมง แล้วก็มีคนไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับตัวท่านมาให้... ข้าว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ

                วิลเลียมฟังแล้วต้องระบายลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่... แค่เขาไปคุยกับโรสตามประสาเพื่อนเก่าเล็กน้อยยังสร้างเรื่องมากมายตามมาขนาดนี้ กุหลาบแห่งลูซแวร์นี่ช่างเสน่ห์แรงจริงๆ

                แล้วก็มีคนบอกว่า เห็นท่านเดินเข้าออกพระราชวังบ่อยๆ ในวันนั้น คนเลยลือกันว่าท่านจะกลับมาคืนสู่ศักดิ์ฐานะเดิม ไฮเดนรายงานต่อ

                ...นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว...

                ชายหนุ่มเริ่มวิตก ชาวเมืองลูซแวร์นี่นิสัยไม่เปลี่ยนจากแต่ก่อนเลย พอบ้านเมืองสงบสุขไร้สัตว์อสูรมาวุ่นวาย ก็ว่างและสบายใจจัดจนต้องหาเรื่องผู้อื่นมาเสริมแต่งนินทา แต่อย่างไรถ้าเขาสามารถจัดการงานที่พระราชามอบให้ได้ สุดท้ายเรื่องก็คงกระจ่าง และทุกคนก็คงเข้าใจเองละนะ

                แล้วเจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่ได้ยินมาบ้างล่ะ ไฮเดน เขาสอบถาม ตอนที่ชายฉกรรจ์ถ่ายทอดเรื่องที่ได้ยินมานั้น ไฮเดนพูดด้วยน้ำเสียงที่รับดูราบเรียบมาก จนเขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไรอยู่

                ตอนแรกข้าฟังแล้วก็สับสัน... ไฮเดนบอกตามจริง ข้าไม่เคยคิดว่านายท่านจะมีความเป็นมาใหญ่หลวงขนาดนี้มาก่อนเลยขอรับ แล้วข้าก็ไม่รู้จะเชื่อผู้ใดบ้างดี แต่สุดท้าย พอข้านึกถึงนายท่านวิลเลียม ข้าก็คิดว่า ขอแค่นายท่านยังคงเป็นนายท่านผู้มีพระคุณของข้า เป็นท่านวิลเลียมในปัจจุบันที่ข้ารู้จักก็พอ ไม่ว่าในอดีตท่านจะเคยเป็นอะไรมา หรือในอนาคตท่านจะเป็นอย่างไร นายท่านวิลเลียมก็ยังคงเป็นคนที่ช่วยพลิกชีวิตข้าขึ้นมาอยู่ดี

                ฟังเจ้าพูดแล้วก็ซึ้งดีนะ วิลเลียมบอก แต่คราวหลังเจ้าเก็บคำพูดทำนองนี้ไว้ไปบอกกับสาวๆ เถอะ ไม่ต้องเอามาบอกข้าหรอก

                ก็นายท่านถามมานี่ขอรับ...

                เออๆ ข้าผิดเอง เขารีบตัดบท ยกมือขึ้นห้ามปราม คราวหลังข้าจะเลือกถามให้ดีกว่านี้ละกัน

                ...ขอรับ ไฮเดนรับคำสั้นๆ

                แล้วถ้าข้าว่างเมื่อไหร่ ข้าจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ให้เจ้าฟัง ไม่ให้เจ้าต้องสับสนละกันนะ ชายหนุ่มเปลี่ยนมาใจดีขึ้น ตอนนี้ข้าบอกเจ้าได้แค่ว่า ข้าเคยอยู่ในวังมาก่อนและก็หลบหนีออกจากลูซแวร์ไปจริง ส่วนสาเหตุเป็นเพราะอะไรนั้น ข้ายังบอกเจ้าไม่ได้

                ...ขอรับ คนฟังไม่รู้จะตอบอะไรมากกว่านั้น เพียงเท่านี้เขาก็ซาบซึ้งเหลือล้นแล้ว นายท่านวิลเลียมอุตส่าห์ยอมบอกว่าความจริงกับเขาตั้งหลายเรื่อง แสดงว่าให้เห็นว่าคงไว้ใจเขามากทีเดียว

                แล้ววันนี้เตรียมอาหารเย็นรอข้าไว้ก็พอนะ มื้อกลางวันข้าคงจะไปหากินที่อื่น วิลเลียมสั่งขณะลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปหยิบเสื้อตัวนอกมาสวม แล้วเตรียมตัวจะออกไป

                ทราบแล้วขอรับ

                อ้อใช่... ชายหนุ่มนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เจ้าไปซื้อวัตถุดิบในการปรุงอาหารและเครื่องดื่มพวกนี้จากที่ไหนบ้างหรือ

                ไฮเดนตอบชื่อร้านที่ตลาดมาสองสามร้าน แล้วถามว่า

                ...นายท่านถามทำไมหรือ มีของอะไรไม่ถูกใจหรือเปล่าขอรับ

                ข้าแค่อยากตรวจสอบอะไรนิดหน่อยน่ะ เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก อาหารที่เจ้าทำก็อร่อยดีแล้ว

                ไฮเดนเห็นท่าทางที่ดูรีบเร่งของผู้เป็นนายแล้ว และลักษณะการกระทำที่ชอบปกปิด ไม่ชอบบอกข้อมูลใครแล้ว ก็คาดว่าชายหนุ่มคงมีภารกิจสำคัญรัดตัวอย่างยิ่ง จึงไม่มีเวลาว่างมาอธิบายอะไรทั้งหลายให้เขาฟัง แต่อย่างไร เขาก็อยากช่วยท่านวิลเลียมบ้าง

                นายท่านมีอะไรอยากให้ข้าช่วยนอกเหนือจากเรื่องงานบ้านในวันนี้ไหมขอรับ เขาออกปากอาสาไป ท่านไว้ใจข้าได้ ข้าจะไม่สงสัยในสิ่งที่ท่านให้ทำ และจะไม่เอาไปบอกใครต่อเด็ดขาด

                ได้ยินคำพูดนั้นแล้ว วิลเลียมก็หยุดมองไฮเดนก่อนออกจากประตู ครุ่นคิดชั่วขณะ แล้วจึงกล่าว

                ถ้าอย่างนั้น ข้าเปลี่ยนใจแล้ว มื้อกลางวันข้าจะมากินที่นี่ และเตรียมงานมาให้เจ้าช่วยด้วยละกัน ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอ่อนโยน แต่ตอนนี้ข้าไปรีบไปแล้วละ เดี๋ยวจะสาย เอาไว้กลางวันค่อยกลับมาคุยเรื่องงานกับเจ้าอีกทีนะ

                ...ขอรับนายท่าน ไฮเดนรับด้วยความดีใจ อีกไม่นานเขาก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้มีพระคุณได้มากกว่านี้แล้ว

                วิลเลียมละสายตาจากชายฉกรรจ์ ก้าวเดินออกจากบ้าน แล้วมุ่งไปยังวิหารหลวงทันที

     

                มหาวิหารแห่งลูซแวร์ตั้งอยู่ติดกับรั้วพระราชวังและมีประตูเชื่อมถึงกัน สถานที่แห่งนี้ดูใหญ่โต หรูหรา และโออ่าสมฐานะของมัน ผู้คนที่ก้าวขึ้นมาตามบันไดของวิหารแห่งนี้จะได้ประจักษ์ในความยิ่งใหญ่อลังการ ได้สัมผัสว่าตนนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวชิ้นเล็กๆ ในอาณาจักรของพระผู้สร้าง และรู้สึกเหมือนว่าตนได้อยู่ใกล้ชิดพระองค์มากยิ่งขึ้น

                เรนนีมองออกไปนอกหน้าต่างบานยาวของวิหาร พลางคิดว่าอากาศวันนี้ช่างดีเหลือเกิน ท้องฟ้าแจ่มใส มีเมฆขาวปุยน้อยๆ ลอยอยู่เบาบาง รอเพียงแค่เสียงระฆังดัง และมีนกพิราบสีขาวบินว่อน ทุกอย่างก็จะครบถ้วนแล้ว

                เกร๊ง~ เกร๊ง...~

                เสียงระวังของมหาวิหารก้องกังวานขึ้นได้จังหวะเท่าทันความคิดของหญิงสาว เหล่าวิหคขาวบินเฉียงขึ้นฟ้าตัดผ่านกรอบหน้าต่างไป นี่คือสัญญาณเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันในวันใหม่ของเรนนี

                หญิงสาวสวมชุดยาวมิดชิดสีกรมท่า ดูภายนอกแล้วคงไม่ต่างจากเครื่องแต่งกายของนักบวช แต่แท้จริงแล้ว เรนนียังเป็นเพียงนักบวชฝึกหัดที่ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ทว่าเพียงรับผิดชอบหน้าที่ที่ทำอยู่ทุกวัน นางก็มีความสุขดี และไม่หวังอะไรมากไปกว่านั้น

                สำหรับคนที่เป็นกำพร้าตั้งแต่ยังจำความไม่ได้อย่างเรนนี การที่มีนักบวชชั้นสูงของมหาวิหารแห่งลูซแวร์รับอุปถัมภ์เลี้ยงดูนางไว้ก็ถือเป็นวาสนาใหญ่หลวงแล้ว เรนนีคิดว่านางเองโชคดีกว่าเด็กคนอื่นตั้งเป็นอันมาก นางได้อาศัยอยู่ภายใต้พระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้า และมีโอกาสได้ทำงานตอบแทนพระองค์ คงไม่มีเด็กกำพร้าคนใดจะไม่อิจฉานาง

                แต่ความอิจฉาก็เป็นบาป... และความโอหังถือดีก็เป็นบาปยิ่งกว่า... ดังนั้นเรนนีจึงเตือนตัวเองเสมอๆ ว่า อย่าได้ลำพองในความโชคดีของตนเองเกินไป ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ก็เพราะพระประสงค์ขององค์พระผู้สร้าง

                เอ่อ... สวัสดีขอรับ

                เสียงหนึ่งดังขึ้น เรียกให้เรนนีที่กำลังเหม่อมองท้องฟ้าออกหน้าต่างอยู่หันมามอง

                ...จริงสิ วันนี้เป็นหน้าที่ข้าต้องรับแขกผู้มาเยือนนี่นา...

                สติที่เพิ่งกับมาอยู่กับตัวของหญิงสาวเตือนนางให้ระลึกถึงหน้าที่

                สวัสดีค่ะ เรนนีกล่าว พลางพินิจมองคนที่เอ่ยทักนางเมื่อครู่

                ยามนี้ในโถงทางเดินกว้างของมหาวิหารมีเพียงหญิงสาวในชุดนักบวชยืนอยู่กับชายหนุ่มผู้มาเยือนคนหนึ่ง การที่วิหารในยามเช้าจะไร้ผู้คนคงเป็นเรื่องแปลกอยู่บ้าง แต่มหาวิหารแห่งลูซแวร์นั้นจะไม่รับประกอบกิจให้ประชาชนทั่วไปในวันธรรมดา มีเพียงเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเท่านั้นที่จะเข้ามาใช้งานได้ ซึ่งโดยปรกติก็จะมีมาไม่บ่อยนัก ดังนั้นเรื่องที่ต้องสงสัยจึงกลายเป็นว่า ทำไมถึงมีนักบวชฝึกหัดอย่างนางเป็นคนดูแลอยู่ที่นี่คนเดียว และชายหนุ่มอีกคนนั้นเป็นใครกัน เหตุใดจึงเข้ามาที่นี่ได้

                ชายหนุ่มนั้นมีผมสีน้ำตาลเข้มกับดวงตาสีน้ำเงินที่ดูคล้ายใครอีกคนที่นางรู้จัก ทว่ากลับดูอ่อนโยนกว่ามาก เมื่อเห็นความคล้ายกันระหว่างเขากับชายสูงศักดิ์อีกคนหนึ่งนั้นเอง เรนนีก็ไม่สงสัยในตัวตนหรือฐานะของอีกฝ่ายอีกต่อไป

                คือว่า... วิลเลียมออกตัว ข้าอยากขอเข้าพบหลวงพ่อแอนดรูว์...

                เขายังกล่าวไม่ทันจบประโยค หญิงสาวก็แทรกขึ้นก่อนว่า

                หลวงพ่อแอนดรูว์ไม่อยู่ค่ะ ท่านออกไปทำธุระนอกเมือง

                ชายหนุ่มขมวดคิ้ว ครุ่นคิด ก่อนกล่าว

                แล้วบาทหลวงโจเซฟ กับสาธุคุณเบอร์นาร์ดล่ะขอรับ

                ต้องขออภัยด้วยนะคะ หญิงสาวก้มหน้าลงเป็นเชิงขอโทษ แต่ทั้งสองท่านก็เดินทางไปกับหลวงพ่อแอนดรูว์ด้วย

                อ้าว... แล้วกันสิ...

                วิลเลียมคิด... เขาอุตส่าห์รุดมาถึงที่นี่เพื่อที่จะมาหาของจากสามคนนั้นเชียวนะ ถ้าไม่อยู่กันหมดก็เสียเที่ยวเปล่าน่ะสิ

                มีอะไรจะฝากถึงทั้งสามท่านหรือเปล่าคะ ถ้าเป็นเรื่องที่พอจะบอกได้ ข้ายินดีรับฝากไว้ให้ค่ะ เรนนีเสนอตัวช่วย

                ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ

                พอดีเป็นเรื่องที่อยากพบเป็นการส่วนตัวน่ะขอรับ เขาปฏิเสธอย่างสุภาพ

                ถ้าอย่างนั้น มีธุระอะไรที่อยากทำที่วิหารแห่งนี้หรือเปล่าคะ ท่านวิลเลียม

                วิลเลียมเลิกคิ้วขึ้น

                ...ท่าน...รู้จักข้าด้วยหรือ เขาค่อนข้างแน่ใจว่าไม่เคยพบหญิงสาวนักบวชมาก่อนแน่นนอน หรือเขาจะทำใครหายไปจากความทรงจำอีกคนแล้วละนี่

                เรนนีคลี่ยิ้มบางๆ

                ไม่ต้องเรียกข้าว่า ท่านหรอกค่ะ ข้ายังเป็นเพียงแค่นักบวชฝึกหัดเท่านั้นเอง ต้องรอถึงต้นปีหน้ากว่าจะได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เรียกแค่ เจ้า เหมือนคนมีฐานะเท่ากันก็พอแล้วล่ะค่ะ ท่านวิลเลียม

                อืม...ได้ คุยกันอย่างนี้ก็สะดวกดีสำหรับเขาเหมือนกัน อย่างนั้นก็เจ้าก็เรียกข้าว่า วิลเลียม ก็พอ ไม่ต้องเรียกว่าท่านอะไรหรอก

                แต่ว่าท่านวิลเลียมเป็น...

                ถ้าเจ้าไม่เลิกพูดแบบนี้ ข้าก็จะกลับไปเรียกเจ้าว่า ท่าน เช่นกัน ชายหนุ่มแย้งทันที

                เรนนีขบฟันเม้นปากแน่น ก่อนจะตัดสินใจยอมทำตามข้อกำหนดของอีกฝ่าย นางกล่าวว่า

                ก็ได้ค่ะ วิลเลียมก็วิลเลียม

                ดีแล้ว วิลเลียมยิ้มร่า ว่าแต่เจ้าชื่ออะไรหรือ แล้วรู้จักข้าได้อย่างไร

                ข้าชื่อเรนนีค่ะ หญิงสาวแนะนำตัว ก่อนตอบอีกคำถามหนึ่ง ข้ารู้จักท่านเพราะเคยได้ยินเรื่องของท่านมา ...ที่จริง จะเรียกว่ารู้จักก็คงไม่ถูกต้องนัก ข้าเพียงแต่รู้จักท่านในนาม และพอเห็นตัวจริงท่านแล้วก็คิดว่าต้องเป็นท่านวิลเลียมไม่ผิดแน่

                วิลเลียมฟังคำอีกฝ่ายแล้วก็ยิ่งกลุ้ม ถ้าหากวีรกรรมที่เขาก่อไว้กระฉ่อนเข้ามาถึงในวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แสดงว่าชื่อเสียของเขาคงดังไม่น้อยทีเดียว อาจจะดังยิ่งกว่าที่ไฮเดนรายงานให้เขาฟังเมื่อเช้ายิ่งนัก

                เห็นอีกฝ่ายนิ่งไป เรนนีก็ถือโอกาสนี้เอ่ยขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า หญิงสาวประกบมือทั้งสองเข้าด้วยกันที่ตรงกลางอก

                ขอบคุณพระองค์ที่ทรงรับฟังคำวอนของข้า ในเมื่อท่านวิลเลียมกับมาที่นี่แล้ว ข้าก็อยากขอให้ท่านวิลเลียมกับเจ้าชายอาเธอร์คืนดีกัน

                หืม... เมื่อกี้เจ้าพูดอะไรนะ วิลเลียมที่กำลังจมอยู่ในห่วงความคิดของตนบังเอิญได้ยินคำบางคำที่สะดุดความสนใจเข้า แต่เขาไม่ได้ตั้งใจฟังตั้งแต่แรก จึงจับได้ไม่ครบประโยค

                ข้าแค่บอกขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงบันดาลให้คำอธิษฐานของข้าเป็นจริงขึ้นมาน่ะค่ะ

                แล้วมีคำอธิษฐานของเจ้ามีอะไรเกี่ยวกับข้าหรือเจ้าชายอาเธอร์บ้างไหม

                เรนนีมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย นี่นางเผลอกล่าวคำอธิษฐานดังไปอีกแล้วหรือนี่ อันที่จริงการจะบอกเล่าคำอธิษฐานของตนให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยถือว่าไม่ใช่เรื่องผิด แต่หญิงสาวมีความเชื่อที่ว่า ถ้าหากบอกให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคำอธิษฐานด้วยจะไม่ดีนัก เพราะอาจทำให้ผลสัมฤทธิ์ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าอีกฝ่ายไม่ได้หวังจะให้คำขอนั้นเป็นจริงด้วยเช่นนั้น

                ข้าบอกคำอธิษฐานของข้าให้ท่านทราบไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ หญิงสาวหันหน้าหลบอย่างเอียงอาย

                ทว่าเพียงเท่านี้วิลเลียมก็รู้แล้วว่าต้องเกี่ยวเป็นแน่แท้ ดูเหมือนพวกนักบวชนี่จะโกหกกันไม่เป็นเอาเสียเลย

                หรือบางทีชื่อเสียที่เขาคิดว่าจะแพร่เข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้อาจไม่ใช่อย่างที่คิด เรนนีดูจะไม่ได้มองเขาเป็นคนไม่ดีอย่างนั้น และดูเหมือนนางจะรู้จักกับท่านพ่ออีกด้วย

                แต่การที่นักบวชของวิหารหลวงจะรู้จักเจ้าชายอาเธอร์คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอันใดนัก ดังนั้นประเด็นน่าสงสัยนี้ก็ช่างมันก่อนละกัน

                เจ้ายังไม่เลิกเรียกข้าว่า ท่าน เลยนะ วิลเลียมเปลี่ยนไปท้วงอีกเรื่อง

                อ่า... เรนนีอุทาน ขออภัยด้วยค่ะ พอดีข้าเรียกท่านด้วยความนับถือจนติดปากไปหน่อย

                วิลเลียมฟังหญิงสาวพูดมากเข้าก็คิดว่านางนั้นยิ่งแปลก เขาไม่เห็นว่าตนเองจะมีอะไรน่านับถือที่ตรงไหน แล้วอีกฝ่ายก็บอกว่ารู้จักเขาแต่ในนามเท่านั้นนี่นา ทำไมถึงได้เรียกเขาด้วยความเคารพมานานแล้วล่ะ อีกทั้งตัวเรนนีเองก็ดูเด็กเกินกว่าจะมาทำงานให้มหาวิหารได้ ถึงนางจะบอกว่าเป็นแค่นักบวชฝึกหัดก็เถอะ

                เรนนีนั้นมีผมสีน้ำตาลอ่อน ผมของนางค่อนข้างตรงเรียบ คงเพราะสวมหมวกคลุมศีรษะของนักบุญบ่อยๆ แต่ยามนี้นางไม่ได้สวมหมวกอยู่จึงเห็นผมที่ไว้ยาวถึงช่วงไหล่ชัดเจน หญิงสาวดูสดใสอ่อนเยาว์ ดวงตาสีฟ้าของนางก็แลช่างเพ้อฝันและจินตนาการ จนวิลเลียมอดคิดไม่ได้ว่าคนอย่างนางน่าจะลองทำไปอย่างอื่นมากกว่าจะมาเป็นนักบวช

                แต่กระนั้น เรื่องนี้เขาก็จะช่างมันไปอีกเรื่อง เพราะถึงอย่างไร ชีวิตของใครคนเป็นเจ้าของควรเลือกเอง

                ถ้าเจ้าไม่สะดวกปากก็เรียกตามที่เจ้าถนัดเถอะ เขายอมอ่อนให้ แต่ก็เพียงให้อีกฝ่ายดีใจเล่นครู่หนึ่งเท่านั้น ชายหนุ่มกล่าวต่อว่า แต่ข้ายอมให้เจ้าเรื่องหนึ่งแล้ว เจ้าก็ต้องช่วยข้าอีกเรื่องหนึ่งด้วยเหมือนกันนะ

                อะไรหรือคะ

                พอดีว่า... วิลเลียมเว้นวรรคเล็กน้อย แล้วเลือกคนมาเติม... เพื่อนข้าอยากได้กระดาษที่นักบวชทั้งสามท่านใช้มาประกอบการทดลองหน่อยน่ะ

                ไหนๆ ก่อนหน้านี้เขาก็โยนความรับผิดชอบไปให้แคสซานดราครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนี้ก็ขอยกนางมาอ้างอีกครั้งละกัน

                กระดาษหรือคะ เรนนีเอียงคอถาม

                ใช่ๆ กระดาษอะไรก็ได้ จะเป็นกระดาษเปล่า หรือใช้แล้วก็ได้ ขอแค่เป็นของนักบวชทั้งสามท่านก็พอ เพื่อนข้าอยากเอามาใช้ทดลองวัดระดับความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งของที่นักบวชชั้นสูงครอบครอง

                หลังจากพูดออกไปแล้ววิลเลียมก็ไม่ค่อยอยากเชื่อตนเองเลยว่าคิดเรื่องมาได้อย่างไร ...กระดาษ และ การวัดระดับความศักดิ์สิทธิ์นี่นะ... ปรกติเขามีความคิดสร้างสรรค์ มีจินตนาการบรรเจิดกว่านี้ไม่ใช่หรือ... สงสัยจะใช้หมดไปตั้งแต่คิดเกมล่าสมบัติมาหลอกลูเครเซีย และคิดรายการของสารพัดอย่างพวกนั้นแล้ว

                ทว่าคำตอบรับของเรนนีทำให้ชายหนุ่มต้องตะลึงยิ่งกว่า...

                ท่านวิลเลียมก็ไม่บอกแต่แรก เดี๋ยวข้าจะไปหยิบมาให้นะคะ

                ว่าแล้วหญิงสาวนักบวชก็หันหลังแล้วเดินจากเข้าไปในส่วนของวิหารชั้นใน

                เรนนีไม่คิดกว่าการเอากระดาษมาให้วิลเลียมตามที่ขอจะเป็นเรื่องเสียหายหรือเรื่องแปลก การอาศัยอยู่ที่วิหารศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เล็กทำให้นางพบเห็นความเชื่อของผู้คนในรูปแบบต่างๆ มาจนชินตา ชาวบ้านหลายคนก็มักจะแวะมาขอพรจากเหล่านักบวชเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยในวันงานสำคัญ บางคนก็มาขอแตะมือ บ้างก็ทำอะไรที่พิสดารกว่านั้น อย่างเช่นจะมาขอน้ำล้างเท้าไปเป็นน้ำรดต้นไม้ที่เพิ่งปลูกเพราะเชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ และจะทำให้พืชเจริญเติบโตดีก็มี ถ้าหากไม่ใช่อะไรที่เป็นการทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของศาสนจักรหรือเหนือบ่ากว่าแรงเกินไปแล้ว พวกนักบวชก็จะยอมทำให้ด้วยความเมตตา

                เรนนีเคยถามมาสเตอร์ของนางว่า การทำเช่นนี้จะไม่เป็นปลูกฝังความเชื่อหรือศรัทธาที่ผิดๆ แก่ผู้คนหรือ

                มาสเตอร์ตอบนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

                ลูกเอ๋ย มนุษย์เรามีระดับความเชื่อหรือความศรัทธาที่ต่างกัน เมื่อพวกชาวบ้านต้องการจะเชื่อหรือศรัทธาในสิ่งเหล่านั้น หากเขาทำแล้วสบายใจก็ปล่อยเขาไปเถอะ หน้าที่ของเราก็แค่ค่อยๆ สั่งสอนเขาให้พัฒนาศรัทธาขึ้นเรื่อยๆ ก็พอ เมื่อเขาพร้อมแล้วก็จะมาศรัทธาในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นเอง

                เมื่อได้ฟังคำตอบนั้น เรนนีก็ยิ่งมีศรัทธาในตัวมาสเตอร์ ในศาสนจักร และในพระผู้เป็นเจ้าแกร่งกล้ายิ่งขึ้น นางเชื่อแล้วว่า มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่แตกต่างแล้ว และพระองค์ผู้สร้างก็ทรงชอบรับในความแตกต่างนั้นและไม่ละทิ้งผู้ใดไป

                ดังนั้น เรนนีจึงไปหยิบกระดาษสามแผ่นกลับมาให้วิลเลียมโดยไม่ลังเล กลายเป็นชายหนุ่มเสียอีกที่ยังคงยืนงงว่า อีกฝ่ายเชื่อเรื่องที่เขากุขึ้นมาได้อย่างไร

                ขอบคุณพระองค์ที่ทรงช่วยลูก...

                วิลเลียมไม่เคยรู้สึกซาบซึ้งในพระเจ้าเท่านี้มาก่อน วันนี้เขาคิดว่าตนเองโชคดีจริงๆ เพราะฉะนั้นเขาควรทำอะไรสักอย่างเพื่อขอบคุณพระองค์สักหน่อย บางทีเขาควรสารภาพบาปที่ก่อไว้เมื่อวาน เขาเคยบอกว่าจะทำนี่นา

                ขอบคุณมาก... วิลเลียมบอกขณะรับกระดาษมาเก็บไว้ ...แล้วเจ้าพอจะช่วยข้าอีกอย่างหนึ่งได้ไหม

                เชิญมาว่าได้เลยค่ะ เรนนียินดีพร้อมบริการ

                ข้ามีกิจอีกอย่างหนึ่งที่อยากทำที่นี่ แต่ข้าไม่เคยทำมาก่อน เลยแน่ใจว่าต้องทำอย่างไรบ้าง รบกวนเจ้าช่วยบอกข้าหน่อยแล้วกัน

                กิจของท่านวิลเลียมคืออะไรหรือคะ

                ...ข้าอยากสารภาพบาปหน่อยน่ะ

                เขาพูดจริงที่ว่า เขาไม่เคยมาสารภาพบาปมาก่อน ตอนอยู่กับท่านแม่มาเรียเขาก็ได้แวะมาที่โบสถ์บ้างในบางวาระโอกาส แต่ก็แค่ประกอบพิธีตามคนอื่นไปเท่านั้น ไม่ใช่ใส่ใจอะไรจริงจัง วิลเลียมเคยกระทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ก็หลายครั้ง หากก็ไม่เคยเก็บมาคิดกังวลจนต้องนำมาระบายให้ผู้อื่นฟังผ่านทางพิธีที่เรียกว่า การสารภาพบาปหรอก จะเรียกว่า เขาเป็นพวกที่นับถือศาสนาตามที่ที่บ้านนับถือ เป็นศาสนิกชนแต่เพียงในนามก็ได้

                เรนนีฟังสิ่งที่ชายหนุ่มบอกแล้วก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย นางเข้าใจดีว่าผู้มาประกอบพิธีครั้งแรกๆ จะรู้สึกเกร็งอยู่บ้าง หน้าที่ของว่าที่นักบวชเช่นนางก็คือ ต้องคอยนำทางให้พวกเขารู้สึกเป็นมิตรและปลอดภัย

                หญิงสาวบอกชายหนุ่มว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แล้วฟังเรื่องที่เขาเล่าอ้อมๆ ถึงบาปที่เขาได้กระทำมาเมื่อวานนี้

                กระนั้น นางก็ยังรู้สึกสนุกไปด้วย และเห็นว่าบาปของเขานั้นใช่จะเป็นเรื่องใหญ่หลวงเกินจะให้อภัย การ โกหกขาว หรือการพูดปดเพราะความประสงค์ดีและต้องการจะช่วยเหลือผู้อื่นนั้น ย่อมได้รับความกรุณาจากพระผู้เป็นเจ้าตอบกลับมาอยู่แล้ว

                หลังจากที่ช่วยให้ชายหนุ่มสบายใจขึ้นแล้ว เรนนีก็กล่าวขอบคุณพระเจ้าอีกครั้ง... นางช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้พบชายหนุ่มในวันนี้ ด้วยการนี้เองจึงทำให้นางได้ค้นพบข้อดีในตัวของอีกฝ่ายมากกว่าที่เคยคิดไว้ และก็เห็นด้วยว่า นอกจากลักษณะภายนอกแล้ว ทั้งท่านวิลเลียมและเจ้าชายอาเธอร์ก็ยังมีอุปนิสัยหลายส่วนที่คล้ายกันอีกด้วย

                ขอบคุณพระองค์ที่ทรงทำให้วันนี้เป็นวันที่ดีของลูกอีกวันหนึ่ง

                หญิงสาวกล่าวถ้อยคำนั้นจากใจจริง

     

                วิลเลียมไปเยือนร้าน อาลีค้าสรรพยุทโธปกรณ์ ในยามสาย

                เขาต้องรอลูกค้าทั้งหลายจับจ่ายสินค้าเรียบร้อยก่อนจึงจะได้มีโอกาสคุยกับอาลีอย่างสะดวก ซึ่งนั่นก็กินเวลานานอยู่เหมือนกัน

                ของที่ข้าให้ช่วยหาคืบหน้าไปจึงไหนแล้ว ชายหนุ่มถามเจ้าของร้าน

                เจ้าหมายถึง...ของที่นายท่านแคสซานดราบอกให้ข้าช่วยหาให้ใช่ไหม อาลีแก้คำพูดของเขาใหม่

                เออ นั่นแหละ

                ไม่ว่าจะเรียกอะไร หรือใครเป็นสั่งให้ตามหาก็เป็นอย่างเดียวกัน เพราะตอนนี้เขากับแคสซานดราจับมือเป็นพันธมิตรกันเรียบร้อยแล้ว จะมีก็แต่อาลีที่ยังคงยึดติดกับผู้เป็นนายอยู่

                ก็ได้มาเกือบครบแล้ว พรุ่งนี้น่าจะได้ครบตามรายการ พ่อค้าอาวุธว่า ก่อนถามต่อ แล้วเจ้าแวะมาที่นี่ มารออยู่นานเพื่อจะถามข้าเท่านี้หรือ

                เปล่า ข้ามีเรื่องอื่นจะถามท่านด้วย วิลเลียมบอก ข้าอยากรู้ว่าร้านพวกนี้ใช่ร้านในเครือของแม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคไหม... เขาไล่ชื่อร้านที่ไฮเดนเคยบอกว่าไปซื้อของมา

                ร้านพวกนั้นไม่ใช่ร้านของนายท่าน อาลีตอบ ก่อนหยีตาลงมองเขาอย่างสงสัย เจ้าถามทำไม ร้านเล็กๆ พวกนี้มีอะไรน่าสนใจหรืออย่างไร

                ไม่ใช่อะไรหรอก ชายหนุ่มตีหน้ายิ้ม พอดีว่าคนของข้าไปซื้อของจากร้านพวกนี้มาประกอบอาหาร ข้าคิดว่า ถ้าเปลี่ยนมาอุดหนุนร้านในเครือของแคสซานดราแทนน่าจะดีกว่า เงินจะได้ไม่ไหลออกไปไหน

                อาลีผงกคางถี่ๆ ที่จริงกิริยานั้นคงเป็นการผงกศีรษะ แต่ด้วยผ้าที่พันคอเขาอยู่ในวันนี้ทำให้ยากที่จะแยกส่วนหัวออกจากส่วนตัวของเขาได้ สิ่งที่เห็นจึงกลายเป็นเหมือนการเอาคางมาชนกับช่วงอกแทน

                เจ้าพูดถูก เขาเห็นด้วย ไม่แคลงใจอีกต่อไป เมื่อเป็นสหายของนายท่านผู้ยิ่งใหญ่แล้วก็ต้องช่วยเหลือลูกน้องของท่านด้วย ข้าจะแนะนำร้านดีๆ ให้เจ้ารู้จักด้วยเลยดีกว่า

                ว่าแล้วอาลีก็ร่ายยาวถึงรายชื่อร้านต่างๆ ในเครือข่ายของแม่มดดำผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค วิลเลียมฟังแล้วต้องยิ่งตะลึงในอำนาจบารมีของสหายเก่า เขาไม่คิดเลยว่านางจะครองร้านค้าในลูซแวร์ไปกว่าครึ่ง แถมหลายชื่อที่ได้ยินมายังเป็นร้านชื่อดังของเมืองอีกด้วย

                เอาไว้ข้าจะบอกคนอื่นให้รู้ไว้ด้วยว่า เจ้าเป็นสหายของนายท่าน พวกนั้นจะได้บริการเจ้าดีๆ อาลีเสริมปิดท้าย

                ลำบากท่านแล้ว วิลเลียมว่าไปตามครรลอง

                ตอนนั้นมีแขกอีกคนเข้ามาในร้านพอดี ชายหนุ่มจึงถือโอกาสบอกลาเลย

                ข้าหมดธุระแล้ว ขอตัวก่อนละนะท่านอาลี

                เชิญ พ่อค้าต่างแดนผายมือส่งเขา ก่อนหันไปต้อนรับลูกค้าใหม่

                ...ถ้าหากว่าร้านที่ไฮเดนไปซื้อของมาไม่ใช่ร้านในเครือของแคส...

                วิลเลียมคิดคำนึงขณะเดินไปเรื่อย...

                ...แล้วข้าก็ไม่ได้กินของแปลกๆ ที่ไหนอีกเมื่อวานนี้...

                แสดงว่าเขาไม่น่าจะเผลอดื่มน้ำยาเรียกคืนความทรงจำอะไรนั่นไป หรือไม่อย่างนั้นเขาคงก็ดื่มไปตั้งแต่มะรืนวานแล้วยาของออกฤทธิ์ไม่หมด... หรือไม่ก็อาจมีคนแอบผสมยาใส่อาหารของเขาโดยไฮเดนไม่รู้ตัวก็ได้... มิฉะนั้นก็อาจเป็นตัวไฮเดนเองที่เป็นคนลงมือ...

                วิลเลียมก็ยิ่งคิดก็ยิ่งค้นพบความเป็นไปได้มากมาย เรื่องนี้ยังมีช่องโหว่อยู่หลายจุด ในเมื่อยังหาคำตอบไม่ได้ เขาก็มีแต่เก็บรวบรวมข้อมูลไปเรื่อยๆ เท่านั้น

                ชายหนุ่มไม่ชอบความรู้สึกที่ว่า กำลังมีใครมาบงการชีวิตตน หรือแอบควบคุมเขาอยู่ลับๆ ดังนั้นเขาจึงต้องการจะรู้ความจริง

                แต่ในขณะที่ยังเปิดเผยตัวออกไปอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้นี้ เขาก็ต้องแกล้งทำเป็นโง่เง่า เสมือนไม่สนใจเรื่องราวใดๆ หรือไม่คิดนำพากับมันไปก่อน

                การอดทนรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมเป็นคุณสมบัติของนักล่าที่ดีที่วิลเลียมเรียนรู้มา

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×